Uncategorized

Sound of Solitude

  • Writer: Montipa Virojpan
  • Photographer: Neungburuj
  • Stylish: Varach Chotchotiros
  • Art Director: Tunlaya Longsurname

Sound of Solitude
กุลจิรา ทองคง

ด้วยใจที่รักในเสียงดนตรีทำให้ เอ้ – กุลจิรา ทองคง ได้นำสิ่งสำคัญที่อยู่กับเธอตลอดชีวิต มาถ่ายทอดให้ผู้คนได้รับรู้ผ่านเสียงเพลงของเธอ จนก้าวเข้ามาอยู่ในฐานะ เอ้ The Voice จากวันนั้นจนถึงวันนี้ อะไรคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เธอเลือกเดินสายประกวดเพื่อตามหาความฝัน พบกับคำตอบจากปากของเธอได้ในบทสัมภาษณ์นี้

“ความรู้สึกเราไม่ได้เชื่อในการแข่งขันประกวดร้องเพลงนะ เรามีความคิดว่าการประกวดร้องเพลง มันประกวดกันไม่ได้ แต่ถ้าเป็นประกวดความชอบให้คนเลือกน่าจะประกวดกันได้”

เสียงดนตรีกับความทรงจำในวัยเด็ก

เอ้: เราเริ่มเดินทางในสายดนตรีมาตั้งแต่เด็กแล้ว ทุกอย่างเกิดขึ้นจากการฟังเพลงเป็นส่วนใหญ่ มันถูกซึมซับมาตั้งแต่เด็ก เราชอบฟังเพลงและร้องเพลงตั้งแต่จำความได้ ส่วนเริ่มมาจริงจังช่วงไหน นี่ก็จำไม่ได้ รู้แค่ว่าเราชอบร้องเพลงมากแค่นั้น (หัวเราะ) โดยไม่ได้นึกถึงว่าจะนำการร้องเพลงเล่น ๆ ในช่วงเวลานั้นจะมาทำเป็นอาชีพในปัจจุบันนี้ เมื่อถึงเวลาต้องเข้าศึกษาต่อมหาวิทยาลัย มีคำถามว่าในใจเกิดขึ้นว่าจะเอาไงต่อดี ไม่รู้ว่าจะไปทางไหน เพราะเรามีความสามารถเพียงสองอย่างในชีวิตนี้ คือ ร้องเพลงกับวาดรูป จนสุดท้ายก็ตัดสินใจเลือกร้องเพลง ด้วยความรู้สึกของเราว่าเราร้องเพลงได้ดีกว่า

เดินสายประกวดร้องเพลงจากรายการ The Winner Is สู่ The Voice

เอ้: การประกวดที่เกิดขึ้นทั้งหมดมันมาจากเพื่อนเราเชียร์ทั้งนั้นเลย (หัวเราะ) เริ่มต้นเราไปประกวดรายการ The Winner Is ก่อน ณ ตอนนั้นเราสามารถร้องเพลงได้แล้ว การประกวดนี้มันก็มีเงินรางวัลซะด้วยสิ แต่จริง ๆ แล้ว ความรู้สึกเราไม่ได้เชื่อในการแข่งขันประกวดร้องเพลงนะ มีความคิดว่าการประกวดร้องเพลง มันประกวดกันไม่ได้ แต่ถ้าเป็นประกวดความชอบให้คนเลือกน่าจะประกวดกันได้ มันน่าจะสนุกดี ได้หรือไม่ได้ก็ไม่เป็นไร จึงไปประกวดเวทีนี้เป็นครั้งแรก ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ค่ะ พอหลังจากจบการประกวด The Winner Is เพื่อนก็เชียร์ต่อให้ไป The Voice ซึ่งช่วงนั้นเรามีความคิดว่าเราอยากจะร้องเพลงให้เป็นอาชีพอย่างจริงจังอยู่แล้ว ดังนั้นเลยตัดสินใจไปประกวด The Voice ต่อเลย เพื่อให้คนรู้จักเรามากขึ้นด้วย อยากรู้กระแสตอบรับต่าง ๆ ว่า เราดีพอไหม เรามีศักยภาพพอรึเปล่า ผลปรากฏอย่างที่หลาย ๆ คนเห็นเลยค่ะ

หลังจากประกวด The voice ชีวิตพลิกผันมากขึ้นรึเปล่า

เอ้: ความจริงมันก็ไม่ได้เปลี่ยนอะไรมากเท่าไหร่หรอก แค่มีงานเยอะมากขึ้น เหมือนตามที่เราต้องการก่อนลงแข่งไปประกวดอยู่แล้ว ซึ่งมันสามารถทำให้เราจ่ายค่าเทอมได้ เพราะปกติเราทำงานทุกวันนี้ก็ส่งตัวเองเรียนควบคู่ไปด้วยค่ะ

ความสุข คือ พลังให้ต่อสู้ไปอย่าได้ถอยหนี

เอ้: เรามีความสุขทุกครั้งที่ร้องเพลงและความสุขมันก็หล่อเลี้ยงเราเรื่อยมา แต่มันก็มีบางครั้งนะที่มันก็ไม่มีความสุข เวลาเราทำงาน มันมีความมากเกินไปเกิดขึ้น ซึ่งอะไรที่มากเกินไปมันก็ไม่ดีนะ เราร้องเพลงหนัก ๆ บางทีก็เหนื่อยมาก อย่างไรก็ตามพอเรามองย้อนกลับมา เราจะเห็นทุกวันนี้ที่ทำอยู่ มันก็เป็นงานที่เรารักถึงมันจะมีเหนื่อยบ้าง แต่ทำแล้วมันก็มีความสุขอยู่ดี (ยิ้ม)

การร้องเพลงประกวดกันไม่ได้

เอ้: เราขอยกตัวอย่างละกัน อย่าง The Voice ที่ไปประกวดในความคิดของเรานะ ทางกรรมการก็ได้คัดเลือกคนที่มีความสามารถไปอยู่ในทีมเขาอยู่แล้ว เราเชื่อแบบนั้นเสมอ แต่ถึงอย่างไรการประกวดดนตรี ประกวดร้องเพลงมันไม่สามารถประกวดกันได้ มันคือความชอบมากกว่า ความชอบของคณะกรรมการในแต่ละเวทีนั้นที่จะเลือกจากคาแรคเตอร์ควบคู่ไปความสามารถเพียงแค่นั้นเอง

ทุกวันนี้เรียกว่าประสบความสำเร็จกับชีวิตแล้วรึยัง

เอ้: เราว่ายังไม่ประสบความสำเร็จเลยนะ (หัวเราะ) ประสำเร็จของเรา คือ การร้องเพลงได้ดีมากกว่านี้ ถึงแม้ว่าการร้องเพลงตอนนี้ มันก็มีความสุขแล้ว แต่มันสามารถพัฒนาไปได้อีก เราไม่ได้มองว่าความสำเร็จมันวัดกันที่ชื่อเสียง เรามองว่ามันเป็นความสุขมากกว่า

ประกายไฟในการเริ่มต้นร้องเพลง Cover

เอ้: การ Cover มันมาจากความชอบเพลงต่าง ๆ ในตัวเราอยู่แล้ว พอเกิดความหลงใหลในตัวเพลงขึ้น ความปรารถนามันก็ก่อตัวขึ้นตามมาทำให้เราอยากร้องมันเลยชวนเพื่อนที่ชอบแนวเดียวกันมา Cover ด้วย แล้วอัดลง Youtube กระแสตอนนั้นมันก็โอเคนะ ด้วยเพลงที่เราร้องเป็นเพลงสากลและเป็นเพลงเก่า จะมีคนเข้ามาทักประมาณว่า เห้ย! ไม่คิดว่าจะมีคนเอาเพลงนี้มาร้อง แล้วก็มีคนต่างประเทศแสดงความคิดเห็นว่าชอบ จะสามารถโหลดได้ทางไหนบ้างอะไรแบบนี้สนุกไปอีกแบบ

ชีวิตในนามวง สันโดษ กับซิงเกิ้ล ภวังค์

เอ้: ตอนนั้นมีเพื่อนอกหัก เขาแต่งเพลงด้วยอารมณ์นั้น แล้วเราก็อกหักเช่นกัน ด้วยความสนิทกันอยู่แล้ว เพื่อนจึงชวนเราไปร้อง พอลองไปร้องปุ๊ปก็ได้บอกกับเพื่อนคนนั้นไปเลยว่า เราชอบเพลงของนายนะ ซึ่งเขาก็บอกว่าจริง ๆ ตั้งใจจะแต่งเพลงนี้ให้เราร้องอยู่แล้ว ตอนนี้ก็ให้เขาแต่งเพลงเพิ่มไปอีก แต่เริ่มต้นพวกเราไม่ได้คิดว่าจะทำวงนี้ตั้งแต่แรกนะ มันเป็นความบังเอิญล้วน ๆ

ภายภาคหน้าสันโดษจะมีอัลบั้มไหม

เอ้: ไม่ได้คาดหวังหรือคิดไว้เลย แค่ทำเพลงไปเรื่อย ๆ ก็พอแล้ว ซึ่งตอนนี้มันก็มีไม่กี่เพลงหรอกค่ะ ถ้ามันดีเดี๋ยวก็ทำมาเป็นอัลบั้มเองแหละ (หัวเราะ)

“พลังผู้หญิงสำหรับเอ้ คือ ไม่ต้องแข็งแกร่งมากขนาดผู้ชาย ขอแค่ดูแลตัวเองได้ มีความเป็นของตัวเองสูง รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร ถ้ายังไม่รู้ตัวเองก็ควรฝึกฝนให้มาก ๆ หาตัวเองไปเรื่อย ๆ อย่าให้คำว่าผู้หญิงมาทำให้เราอ่อนแอ”

Girl Power of Aey

เอ้: พลังผู้หญิงสำหรับเอ้ คือ ไม่ต้องแข็งแกร่งมากขนาดผู้ชาย ขอแค่ดูแลตัวเองได้ มีความเป็นของตัวเองสูง รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร ถ้ายังไม่รู้ตัวเองก็ควรฝึกฝนให้มาก ๆ หาตัวเองไปเรื่อย ๆ อย่าให้คำว่าผู้หญิงมาทำให้เราอ่อนแอเกินความจริงของตัวเราค่ะ

ศิลปินหญิงคนนี้ ฉันอยากร่วมงานด้วย

เอ้: Tracy Chapman อีกคนก็เป็น Nico Velvet Underground

เสน่ห์ที่แตกต่างกันของศิลปินหญิงและศิลปินชาย

เอ้: แล้วแต่คนด้วยนะ เสน่ห์มันมีของใครของมัน แต่ส่วนมากเรามีชอบร้องเพลงของผู้ชายซะเป็นส่วนใหญ่ เพราะ มันมีความดิบอยู่ เราจะชอบหลากหลายนะ ถ้าเป็นในส่วนของผู้ชายลูกเล่นมันเยอะดี ถ้าเป็นส่วนผู้หญิงก็ขอเป็นแบบสไตล์ร็อคเก่า ๆ ทั้งในไทยและต่างประเทศนะ แต่ถึงอย่างไรผู้หญิงมันจะมีความหวานสอดแทรกมาด้วยอยู่แล้วไม่ว่าจะแนวอะไรก็ตาม

เอกลักษณ์ที่ยังค้นหาต่อไป

เอ้: ทุกวันนี้เรายังหาตัวของตัวเองไม่พบเลยนะ เอาจริง ๆ รู้สึกว่ามันยังมีอะไรให้หาไปได้เรื่อย ๆ บางครั้งมันมีแนวทางที่เราชอบแล้วก็จะพุ่งไปเลย แต่ก็ยังไม่สุดทาง มันยังพัฒนาต่อไปได้อีก บางทีการเรียนรู้คงไม่มีวันสิ้นสุด อยากทดลองอะไรหลาย ๆ อย่างอีก

แบ่งสันปันส่วนระหว่างเรียนและทำงานอย่างไร

เอ้: ขอตอบตามตรงนะ พังค่ะ (หัวเราะ) ตอนแรกเราเป็นคนขี้เกียจทำงาน แต่พอเราขยันมากขึ้นงานมันก็เยอะขึ้น ทำให้ช่างน้ำหนักกันไม่ถูกเลย ตอนนี้ทำได้อย่างเดียว ทำใจค่ะ เราเหนื่อยและเป็นคนสมาธิสั้นด้วย การจัดวางระบบมันไม่เหมือนคนอื่นทำให้เรารู้สึกว่าทุกวันนี้เรายังจัดวางระบบได้ไม่ดีพอ

มหาวิทยาลัยประตูสู่โลกดนตรี

เอ้: การมาเรียนในคณะดนตรี ทำให้เจอคนชอบแนวดนตรีหลายอย่างและการเติบโตที่มากันคนละแบบ เครื่องดนตรีคนละประเภท ทว่าถึงมันจะหลากหลายยังไง พอเราเล่นกับใครไปซักพัก มันมีอะไรบางอย่างทำให้เราเข้าใจกันเอง เหมือนสื่อสารทางดนตรี ไม่ต้องพูดอะไรกันมาก อย่างเวลาซ้อมจะรู้กันไปเอง ว่าเราสบายใจจะเล่นกับใครอย่างไร

อนาคตถ้าไม่เป็นนักดนตรี

เอ้: ไม่น่าจะมีนะ อนาคตแบบนั้น (หัวเราะ) อย่างที่บอกเรามีความสามารถที่ทำได้แค่สองด้าน ร้องเพลงกับวาดรูป อาจมีได้ภาษานิดหน่อย ถ้าให้คิดคงเป็นอาชีพที่สามารถต่อยอดได้จากฐานความสามารถเดิมของเรา ยกเว้นพนักงานออฟฟิศนะ เพราะ เป็นคนตื่นสายมาก (หัวเราะ)

ปักหมุดไว้ ฉันจะไปให้ถึง

เอ้: ตอนนี้คิดว่าร้องเพลงเลี้ยงตัวเองให้เรียนจบและทำเพลงกับเพื่อนต่อไป พัฒนาต่อไปจากจุดเดิมให้ดีขึ้น ร้องเพลงที่ตัวเองอยากร้อง Cover มีเพลงที่ตัวเองอยากทำแค่นั้นเพียงพอแล้ว

พื้นที่โฆษณา

เอ้: ฝากผลงานเพลง Cover ของเอ้ และผลงานของวงที่ไม่รู้จะเป็นไงอย่างสันโดษด้วยนะ (หัวเราะ)

Facebook Comments

Next:


Gandit Panthong

กันดิศ ป้านทอง อดีตนักศึกษาฝึกงานนิตยสาร Hamburger Magazine, ทำงานในกองบรรณาธิการ MiX Magazine และ บก.คนแรกของ Fungjaizine ที่มีความมุ่งมั่นว่าจะตั้งใจสร้างสรรค์วงการเพลงให้เกิดแต่สิ่งดี ๆ ต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง