Uncategorized

Lucid Dream คอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรกพร้อมอัลบั้มเต็มจาก Jelly Rocket

  • Writer: Montipa Virojpan
  • Photographer: Neungburuj Butchaingam

ภายในไม่กี่วันที่ Jelly Rocket เปิดขายบัตรคอนเสิร์ตเปิดอัลบั้ม Lucid Dream ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 14 มกราคม 2560 ทางออนไลน์ได้หมดไปเรียบร้อย แต่วันนี้เราจะเหลืออีก 50 ใบสุดท้ายให้รีบไปจับจองกันที่ Play Yard ซึ่งใครที่ยังลังเลอยู่ เราขอถือโอกาสนี้ชวนสาว ๆ มาพูดคุยว่า เพราะอะไรทุกคนจึงไม่ควรพลาดคอนเสิร์ตนี้ด้วยประการทั้งปวง

15288529_647200465481815_2493841718528153072_o

พูดถึงปรากฏการณ์ EP ที่หมดในเวลารวดเร็วหน่อย

ภัคธ: พี่โมหัวหมุนเลย

โม: EP นี่หมดในเวลา 18 นาที 300 แผ่น ช็อกมาก คอมเราค้างไปหลายรอบ ด้วยเวลาแค่หนึ่งนาทีจะมีคนทักเข้ามาเป็นร้อย ซึ่งบางคนก็ทักมาทันในจำนวนแผ่นที่จำกัดเนี่ยแหละ แต่พอเขาพิมพ์มาอีก เมสเสจมันก็จะเด้งอันที่อัพเดตสุดไปข้างบน ทำให้เราไม่สามารถเช็กคิวจากล่างขึ้นบนได้ ต้องเปิดดูทุกอันแล้วทำแท็กไว้ว่าคนนี้คือคนที่ทักมาตอนเวลาเท่าไหร่ แล้วให้ของเขาไปเรื่อย ๆ

หมดล็อตนี้แล้วจะมีออกมาอีกไหม

โม: EP ไม่มีแล้ว ให้รอซื้ออัลบั้มเต็มกัน

ทำไมทำไวนิลแค่สองเพลง ไม่รอทำพร้อมอัลบั้มเต็ม

โม: อันนี้เราอยากทำให้เป็นของสะสมก่อนออกอัลบั้มเต็ม แล้วไวนิล 7” มันใส่ได้สองเพลง ก็เลยเลือกซิงเกิ้ลที่เป็นเพลงภาษาอังกฤษให้เข้าธีมกัน ก็เลยเลือกเพลงล่าสุด This is Real กับ How Long เพลงแรกของเรามาใส่

เราจะได้เจออะไรในอัลบั้มเต็มของ Jelly Rocket

ปั้น: อัลบั้มนี้ชื่อ Lucid Dream สังเกตไหมว่าทุก mv ของเราจะมีการหลับและตื่น (หัวเราะ) เพราะฉะนั้นก็เหมือนในอัลบั้ม แต่ละเพลงมันก็จะมีรสชาติที่แตกต่างการไป

คือจะบอกว่า Jelly Rocket เป็นวงขี้เซา

ปั้น: ไม่ใช่ (หัวเราะ) ด้วยซาวด์ Jelly Rocket มันจะดูพาฝันน่ะ แต่ในความฝันนั้นมันไม่ใช่ความฝันแบบหวาน ๆ มันไม่ใช่ฝันดี แล้วก็มันไม่ใช่ฝันร้ายขนาดนั้น ก็จะเจอเพลงที่ทำให้ร้องไห้แบบ aggressive มาก และเพลงที่ทำให้รู้สึกแฮปปี้ ก็อยากให้คนฟังได้ฟังหลาย ๆ รสชาติ ด้วยเพลงของเรามันไม่ได้เป็นอะไรที่สร้างขึ้นมา แต่มันคือความรู้สึกจริง ๆ ของคนแต่งที่ต้องการจะสื่อ เวลาคนฟังเพลงก็อยากให้เข้าไปอยู่ในเรื่องราวของชีวิตคน ๆ นึง เหมือนกำลังฝันอยู่แล้วในความฝันนั้นก็อาจจะเป็นความฝันหรือเรื่องจริงก็ได้

โม: อยากให้ทุกคนเข้าใจคอนเซปต์ว่าเราอยากให้ในความฝันเป็นอะไรก็ได้ เปรียบเทียบกับเพลงในอัลบั้มของเราที่มีหลากหลายรูปแบบ แต่ละเพลงก็แล้วแต่จะตีความว่ามันคืออะไร แล้วแต่ความรู้สึกของคนฟัง พอฟังเสร็จก็เหมือนตื่นจากฝัน แบบใน mv This is Real ที่จะเริ่มด้วยการโดนปลุกขึ้นมา พบเจอเหตุการณ์ต่าง ๆ สุดท้ายก็ตื่นขึ้นมาจริง ๆ แล้วพบว่าอันนั้นคือฝัน แล้วคอมก็บอกว่า จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่ Lucid Dream มันก็จะเป็นประมาณนั้น ถ้ารู้สึกจริง ๆ ก็จะเชื่อก็ได้

ปั้น: นั่นแหละในอัลบั้มมี 10 เพลงเน้น ๆ ทั้งเพลงก่อนหน้าและเพลงใหม่ จะขายในคอนเสิร์ตที่แรก ซึ่งคนที่มาคอนเสิร์ตเราก็จะได้ราคาพิเศษที่ซื้อพร้อมแพคเกจบัตรเข้างาน

000055

ในอัลบั้มนี้มีอะไรที่เป็น climax อยากให้ทุกคนลองฟัง

ปั้น: มีเพลงที่ยังไม่ได้ปล่อยที่ชอบมาก แต่ยังไม่รู้ว่าจะปล่อยเมื่อไหร่ ทั้งเพลงพี่โมและเพลงที่ภัคธแต่ง มีเพิ่มมา 4 เพลง มันเป็นอารมณ์ที่ค่อนข้างแตกต่างกันจากที่ผ่านมา ที่เราจะออกแนวแบบความรักที่ไม่สมหวัง แต่เพลงที่พี่โมแต่งมันค่อนข้างจะเหมือน realized ได้ว่า โอเค สิ่งนี้มันไม่ใช่ความจริงนะ ค่อย ๆ ปลอบประโลม ส่วนเพลงที่ภัคธแต่งก็จะเป็นเพลงที่ให้กำลังใจ

โม: เราอยากให้ลองฟังเพลงในอัลบั้มเรียงกันทุกเพลงมากกว่า จะได้รู้สึกว่าเราเดินทางไปด้วยกัน อยากให้ฟังเรื่องราวที่พวกเราผ่านกันมาแล้วมาใส่ในอัลบั้ม

ภัคธ: สรุปก็คือเลือกไม่ได้ว่าเพลงไหนอยากให้ฟังที่สุดเพราะก็เป็นลูกรักไปหมด ของเรามันเหมือนอัดเพลงผ่านไปตามกาลเวลา เราเริ่มทำเพลงกันมาเมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว เริ่มอัด How Long ไล่เรียงกันไปเรื่อย ๆ คือเพลงในนั้นมันอาจจะไม่ได้เรียงตามเป๊ะ ๆ แต่มันก็จะมีความที่ได้กลิ่นอายของแต่ละช่วงชีวิตของเราสามคน เหมือน Jelly Rocket ค่อย ๆ โตขึ้น ซึ่งเราว่าเวลาตอนทำมันมีผลนะ เพราะว่าช่วงนั้นเราฟังอะไร ช่วงนี้เราฟังอะไร มันจะส่งผลต่อสิ่งที่เราคิดออกมา

คิดยังไงกับที่คนบอกว่าเพลงของ Jelly Rocket มีความเป็น girly diary

ภัคธ: ก็อาจจะจริงมั้ง มันก็คือประสบการณ์ที่เราผ่านมา แล้วเจออะไรเราก็เล่าให้ทุกคนได้ฟังผ่านเพลง แต่เราว่าด้วยตัวดนตรีเราก็ไม่ได้หวานแหววเท่าไหร่ ก็มีความเป็นตัวเราสามคนที่เราก็ไม่ได้เป็นสาวหวานกัน แล้วก็เป็นผู้หญิงที่อยากจะสนุก อยากจะบู๊ ๆ หน่อยเหมือนกัน

ปั้น: แต่ด้วยความที่เราเป็นผู้หญิงด้วยมันก็เลยออกมาเป็นแบบนั้นมั้ง

รู้สึกยังไงบ้างกับโปรเจกต์ที่ผ่านมาอย่าง Crossplay 

ปั้น: ก่อนอื่นต้องบอกว่าตื่นเต้นมาก ไม่คาดคิดว่า Scrubb จะเลือกทำงานกับเรา เพราะเขาก็เป็นคนที่เราได้ฟังเพลงเขาตั้งแต่เราเด็ก ๆ กันแล้ว แล้วตอนหลัง… เอาจริงแค่ได้ร่วมงานก็ดีแล้วอะ ไม่คิดว่าจะมียอดฟังเยอะขนาดนี้ ซึ่งโปรเจกต์นี้ก็ทำให้รู้สึกดีมาก ๆ ที่เหมือน Scrubb ก็เอาเพลงที่เศร้าโคตร ๆ ของเราไปทำให้ฟังดูสดใส คือก็ดีที่ได้เห็นเพลงเราในอีกแนวนึง ก็ขอบคุณฟังใจด้วยค่ะที่มีโครงการแบบนี้

ภัคธ: เราไปดูคอนเสิร์ต 10 ปี Scrubb เมื่อ 6-7 ปีที่แล้ว (หัวเราะ) ตอนแรกเราจะเลือกเพลง See Scape เพราะ Jelly Rocket เป็นคนเศร้ามาตลอดทุกเพลงเลย เราก็มีความที่อยากจะแบบว่า เฮ้ย พี่ ๆ Scrubb เขาคิดบวกนะเว้ย เราก็อยากจะคิดบวกบ้าง แล้วสุดท้ายก็ไม่ใช่ทาง (หัวเราะ) เลยเลือก ย้อนเวลา เพราะมันเป็นสิ่งที่เราถนัดจริง ๆ เพลงเศร้าอะไรแบบนี้ ก็จมอยู่กับความเศร้าแล้วดิ่งกันลงไปกว่าเดิม

โม: มีความดึง (หัวเราะ) นี่คือเราโดนที่ทำงานล้อ พีคมาก แบบ หมวด มี ความ ดึง หรอ (หัวเราะ) แล้วเขาจะพูดแบบเว้นพยางค์อะ เราไม่ได้อยากให้มันดึงขนาดนั้นนะ แค่ฟังแล้วรู้สึกว่ามัน emotional มากกว่า track ปกติ ตอนอัดเพลงเราอัดสดแบบเล่นพร้อมกันหมดทุกเครื่อง แล้วเราปิดไฟ พยายามดึงความรู้สึกในห้องซ้อมแบบทุกครั้งที่เราเล่นให้มันออกมาจริง ๆ ก็เหมือนนอกจากเสียงดนตรีแล้วก็ได้บันทึกความรู้สึกของคนเล่นเข้าไปด้วย

ปั้น: การทำงานแบบนี้เป็นสิ่งที่เราก็ไม่ได้เจอบ่อยนะ ตอนนั้นเรายังรู้สึกเองเลยว่ามันเศร้ามาก ๆ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็ไม่ได้เศร้าอะไรหรอก แต่มันรู้สึกด้วยการที่ทุก ๆ คนเล่นออกมาในอารมณ์แบบนั้น

ภัคธ: มีตอนซ้อมครั้งนึงที่ภัคธร้องไห้ (หัวเราะ) เออ มีเรื่องที่ไม่เคยบอกในวงว่าไลน์ไฮแฮทของกลองอะ เหมือนเราตั้งใจให้เสียงมันเหมือนนาฬิกา แบบ กึกกึก ชิก

000054

ได้ร่วมงานกับ Malama แล้วมีการเปลี่ยนแปลงยังไงบ้าง

ปั้น: ตัวเบาขึ้นนะ จริง ๆ เราทำเองมาตลอด ตอนนี้เราก็ยังติดกับการที่จัดการอะไรเองอยู่เลย เหมือนตอนแรกที่ตัดสินใจมาร่วมก็คือเราพยายามทำกันเองมาก่อนแล้วแหละ ทั้งเรื่องอัลบั้ม กับอีเวนต์เปิดตัวอัลบั้ม แต่เราก็ยังขาดประสบการณ์อยู่ พอพี่ ๆ เขาแนะนำว่า เนี่ย มีตรงนี้อยู่นะ ก็รู้สึกยินดีที่จะมาร่วม เพราะว่าเขาก็มีประสบการณ์ในการจัดอีเวนต์อะไรหลาย ๆ อย่าง แล้วก็มีความเข้าใจที่ดีกับศิลปิน เหมือนคุยกันง่าย แล้วก็เข้าใจสิ่งที่เราต้องการ ก็แบ่งเบาเราไปเยอะมาก

ภัคธ: คือรู้สึกว่าวงมันเริ่มโตเกินการที่จะสามารถจัดการด้วยคนสามคนได้แล้ว

โม: ตอนแรกเราต้องซ้อม ต้องทำโชว์ ทำเพลง อัดเพลง ดีลงาน ต้องการคนที่มีประสบการณ์มาช่วยเรื่องที่เรายังขาดอยู่ เรื่องคิวงาน การจัดอีเวนต์ หน้าที่ของกันต์ตอนนี้คือเหมือนคนคอยดูคิว รับงาน คอนเฟิร์มงาน ตอนนี้เวลามีอะไรก็จะเรียกกันต์ (หัวเราะ)

ปั้น: เหมือนพยายามจูนเข้าหากันอยู่ เพราะต่างคนต่างไม่เคยทำอะไรแบบนี้กัน ก็รู้สึก admire ความพยายามของพี่กันต์ด้วย แล้วก็ทั้ง Malama ด้วย เราก็จะเดินทางไปด้วยกันนะ

พูดถึงคอนเสิร์ต Lucid Dream ที่กำลังจะเกิดขึ้นในเดือนหน้า

ปั้น: เรารู้สึกตั้งแต่ตอนทำ How Long แล้วว่าอยากทำอัลบั้ม อยากได้ EP เป็นของตัวเอง จนมันล่วงเลยมา 2-3 ปีแล้ว คงจะจัดงานปล่อยอัลบั้มธรรมดาไม่ได้แล้วเพราะเราตั้งใจทำกันมาเป็นระยะเวลาที่นานมาก ก็คิดว่า มันต้องจัดคอนเสิร์ตใหญ่ โดยที่ไม่ใช่คอนเสิร์ตแค่อยากให้คนมาฟังเพลง มาซื้อ แล้วกลับ เพราะคนฟังก็รอมานานมาก ๆ ทุกคนคอยถามอยู่ตลอด อยากให้คนฟังได้มาสัมผัสประสบการณ์อะไรสักอย่างที่เราสั่งสมมานาน ต้องการจะสื่อออกไป อยากทำให้มันคุ้มค่ากับที่ทุกคนรอ และที่เราพยายามทำกันมาด้วย

นอกจากจะได้ฟังทุกเพลงของ Jelly Rocket แล้ว จะมีอะไรเป็นพิเศษอีก

โม: ก็จะมีโปรดักชันยิ่งใหญ่อลังการ แสง สี เสียง

ปั้น: รู้สึกดีใจที่ทีมงานเปิดรับความเห็นของเรามาก ๆ เราได้มีส่วนไปเสนอไอเดียในทุก ๆ ขั้นตอน แล้วก็มี Fwends มาเป็น special guest เพราะเป็นวงเพื่อนสนิทกัน ก็เลยไว้ใจที่จะให้เพื่อนมาเล่นเปิดให้ อีกอย่างเขาก็กำลังขาขึ้น ก็ให้เขามาช่วย

ภัคธ: ก็โตมาด้วยกันนะ เรารู้สึกว่าเมย์ หรือเพื่อน ๆ ในวงก็อยู่ในวงการ ได้เล่นงานเดียวกันบ่อย ก็ขอให้เพื่อนยิ่งขาขึ้น ๆๆๆ ยิ่ง ๆ ขึ้นไป

โม: มี Gramaphone Children ที่จะมาเล่น after party ให้เราตอนปิดงานด้วย ส่วนแพคเกจสินค้าเราก็ซื้อได้ทาง Ticket Box มีโปสเตอร์ ใหญ่มาก แต่หน้างานก็จะไม่มีโปสเตอร์ แต่ยังมีซีดีขายอยู่ดี แล้วก็มีเสื้อ Lucid Dream จำนวนจำกัด

s__3236115

รู้สึกยังไงที่แฟน ๆ ให้การสนับสนุนที่ดีมาโดยตลอด

โม: มีหลายช่วงที่วงเราเงียบ ๆ ไป ช่วงที่เข้าห้องอัด วงใหม่ ๆ ก็ออกมาเยอะมาก ตอนแรกเราก็คิดว่าจะทำ EP ดีไหม ไม่ได้ปล่อยเพลงใหม่มาสิบชาติ แต่ผลตอบรับคือดีเกินคาด ขอบคุณทุกคนมาก ๆ รู้สึกดีใจมาก

ปั้น: คือเพราะเราหายไปนานแล้วเราเลยกะทำ EP ออกมาในจำนวนที่น่าจะขายหมด ไม่คิดว่าจะถล่มทลายขนาดนั้น ยังมีเพื่อน ๆ ที่ติดตามเราอยู่ถึงแม้ว่าเราเราเงียบไปสักพัก คือเมสเสจเข้ามาสองพันอะ

โม: อัลบั้มนี่ก็ทำมาจำนวนจำกัดนะ (หัวเราะ)

สองสามปีที่ผ่านมา คิดว่าวงการเพลงไทยยังขาดอะไรอยู่

ปั้น: ที่เราผจญมา รู้สึกว่าวงการอินดี้เราค่อนข้างมีความคิดที่ ถ้าวงไหนกลายเป็นแมสแล้วจะไม่ชอบแล้ว เราก็ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น

ภัคธ: เพราะเราก็เติบโตมาจากตรงนี้ เรารักแฟนเพลงของเราทุกคน เราก็อยากให้รักเราไปนาน ๆ แบบวันแรกที่ได้เจอ (หัวเราะ)

ปั้น: ไม่รู้ว่าอัลบั้มหน้า หรือซิงเกิ้ลหน้าอาจจะมีความแตกต่างจากเดิม ก็ไม่อยากให้รู้สึกว่า เฮ้ย Jelly Rocket ไม่เหมือนเดิมแล้วว่ะ ไม่ชอบแล้ว นี่เป็นสิ่งที่เกิดบ่อยในวงการ หลายคนเป็นคนที่ฟังเพลงลึก ไม่ได้ดูแค่ที่ลุคว่าเปรี้ยวดีหรือเท่ เขาฟังเทคนิกด้วย เราก็รู้สึกว่าถึงแม้เราเปลี่ยนสไตล์ไปแต่ก็ยังอยากให้รับฟัง ลองเปิดใจดู

โม: คือเราไม่ค่อยอยากจำกัดว่าอินดี้หรือแมส มันเป็นดนตรีเหมือนกัน มันแค่เป็นความชอบของคน อินดี้จริง ๆ มันคือ independent music ที่คนทำมาด้วย กู don’t give a fuck กูจะทำแบบนี้ของกู กูจะตามใจตัวเอง งานกูเลยออกมาเป็นแบบนี้ แบบไม่แคร์ใครแล้ว ซึ่งวงอินดี้ที่มีความสามารถบางทีก็มีที่ยืนน้อยกว่าวงแมส วงใหญ่ เพราะเขามีคนซัพพอร์ต มีเม็ดเงินขับเคลื่อนทำให้เขาไปได้ไกล เรียกง่าย ๆ ว่าวงอินดี้จะไม่มีโอกาสได้ทำอะไรใหญ่ ๆ บ้าง ก็อยากขอโอกาสสำหรับการพุ่งทะยานของวงใหม่ ๆ มากขึ้น แล้วก็สื่อช่วยโปรโมตวงเยอะ ๆ อย่าง Bomb at Track ก็ดี อยากให้ทุกคนได้รู้จัก มาลองฟัง อยากให้วงใหม่ ๆ มีโอกาส

ภัคธ: สำหรับเราคือรู้สึกว่ามันจะมีคนอยู่กลุ่มนึงที่ไม่ฟังเพลงไทย เราก็รู้สึกว่า ให้โอกาส OTOP บ้านเราหน่อย แบบว่าบ้านเราก็มีของดีนะ ลองเปิดใจรับฟังดูหน่อย อย่าแบบว่า เพลงไทยเราไม่ฟัง เราว่าคนไทยก็มีฝีมือเยอะ

ปั้น: เรารู้สึกว่าการที่ เพลงไทยเราไม่ฟัง มันทำให้ไม่พัฒนาเว่ย คนไทยมีความสามารถมากกว่าที่คิดนะ พูดรวม ๆ คืออยากให้ทุกฝ่ายเปิดใจ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคนอินดี้เอง หรือว่ากลุ่มคนแมส อยากให้มีที่ให้วงใหม่ ๆ ด้วย อย่างเกาหลีอยู่ ๆ ก็พัฒนาเรื่องเพลงจนกลายเป็น international ได้ ก็คือที่เราฟังเกาหลีเพราะเรา admire ความสามารถของเขาที่อยู่ ๆ ทั้งโลกก็ตาม เหมือนเราไม่ภูมิใจในตัวเองซะงั้น

อยากพูดอะไรถึงแฟนคลับที่อายุไม่ถึง เข้าคอนเสิร์ตไม่ได้ไหม หลายคนบ่นเสียดาย

โม: แนะนำ ๆ ไปทำบัตรปลอม ยืมบัตรพี่สาวมานะ ที่ข้าวสารมีเต็มเลย เนียนมาก แล้วเข้าไปก็อย่าพูดภาษาไทย

ปั้น: พี่ขอโทษษษษ ก็ขอโทษน้อง ๆ ด้วย แต่คิดว่าในภายภาคหน้าจะมีอะไรดี ๆ เกิดขึ้นมาอีก

ภัคธ: ด้วยข้อจำกัดหลาย ๆ อย่างแหละเนาะ

ฝากถึงคอนเสิร์ตและอัลบั้มเต็ม

ปั้น: อยากให้ทุกคนติดตามคอนเสิร์ตและอัลบั้มเต็มด้วยนะคะ เพราะว่าเราตั้งใจกับมันมาเป็นเวลานานมาก สองปีคืออยากมีอัลบั้มเต็มมาตั้งแต่ How Long แล้ว แต่ถ้าอยู่ ๆ มาจัดคอนเสิร์ตเปิดตัวอัลบั้มเต็มตั้งแต่ปีที่แล้วคงไม่ได้จัดงานอะไรแบบนี้ อยากให้ทุก ๆ คนมาจริง ๆ เราตั้งใจทำทุก ๆ อย่างจริง ๆ ตั้งแต่อาร์ตเวิร์ก ทุกอย่างบนเวที อยากให้ทุก ๆ คนไปแล้วดูเอาเองละกันว่าตั้งใจขนาดไหน

ภัคธ: ทุกเพลงมันเหมือนการเดินทางของพวกเราในหลาย ๆ ปีที่ผ่านมา มันคือช่วงชีวิตของพวกเราช่วงนี้ที่มันจะไม่มีทางหวนกลับมาอีกแล้วนะ มันถูกสต๊าฟไว้ตรงนี้ แต่ทุกคนสามารถฟังมันซ้ำ ๆ ได้เราอยากให้ไปดูคอนเสิร์ตด้วยเพราะมันจะเป็นประสบการณ์ที่คุณพลาดไปก็คงไม่ได้มาดูอีกแล้ว เราก็คงจะไม่เหมือนเดิม ไม่ได้ทำงานแบบนี้อีกแล้ว

000059

โม ปั้น ภัคธ พูดกันขนาดนี้แล้ว อย่าได้ลังเลอีกต่อไป รีบจับจองบัตรกันนะเพราะหมดไวจริง ๆ แล้วเจอกัน

Facebook Comments

Next:


Montipa Virojpan

อิ๊ก เนิร์ดดนตรีที่เพิ่งกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนตอนอายุ 25 ชอบเดินเร็ว นอกจากขนมปังกับกาแฟดำแล้วก็สามารถกินไอศกรีมกับคราฟต์เบียร์แทนมื้อเช้าได้