หนังทุกเรื่องของ David Fincher ล้วนถูกขับเคลื่อนด้วยความด่างพร้อยในจิตใจของตัวละคร และสะท้อนออกมาเป็นการกระทำที่โหดร้ายบนเหตุผลที่ทุกคนเข้าใจได้ เราจึงได้เห็นตัวละครที่จำเป็นต้องทำลายมิตรภาพเพื่อความสำเร็จของตัวเองอย่าง Mark Zuckerberg ในเรื่อง The Social Network หรือภรรยาที่จัดฉากฆาตกรรมตัวเองจนเป็นเรื่องใหญ่ไปทั้งประเทศเพียงเพื่อจะสั่งสอนสามีที่นอกใจเธอในเรื่อง Gone Girl
สภาพสังคมที่ล้อมรอบวัยรุ่นในยุค 90s ทั่วโลกเป็นแหล่งพลังงานของอารยธรรมในการเสพและสร้างงานศิลปะที่มีแนวทางเฉพาะตัวเหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในยุคอื่น ๆ ก่อนหน้า แต่ต่างกันที่แหล่งพลังงาน การขยายตัวของลัทธิโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ และการถาโถมของโฆษณาส่งเสริมลัทธิบริโภคนิยม ก็มาพร้อมกับช่อง MTV ที่เสียงแตกของกีตาร์เบากว่าเสียงใส ๆ ของป๊อปสตาร์และเป็นสิ่งที่วัยรุ่น Gen x เจอบ่อยกว่าหน้าพ่อแม่ เชื้อเพลิงเหล่านี้เป็นพลังงานสำคัญที่ผลักดันให้เท้าใน Converse Chuck Taylor All Star ก้าวออกมาจากความยุ่งเหยิงนี้ หรือบางคนก็เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของมัน
เพราะความยุ่งเหยิงนี้จึงทำให้ผู้กำกับมิวสิกวิดิโอสายป๊อปที่สุดของโลกในยุคนั้นนาม David Fincher สร้างหนังที่ตั้งคำถามกับระบบทุนนิยมอย่างจริงจังในระดับจิตใจที่ชื่อว่า Fight Club ขึ้นมา ซึ่งทุกวันนี้ Fight Club ยังคงเป็นหนังชั้นครูที่วัยรุ่นในยุคนั้นให้คุณค่าและหวังว่าคนรุ่นต่อไปจะรู้เท่าทันจิตใจฝั่ง Tyler Durden ของตัวเอง และมีวิธีใช้ชีวิตอยู่ในโลกบริโภคนิยมอย่างมีความสุขและมีสมดุล น่าเสียดายที่นับวันจะหา first jobber ที่เคยดูเรื่องนี้ได้น้อยลงทุกที
เช่นเดียวกันกับหมาป่าเดียวดายในทุ่งคอนกรีตนาม Trent Reznor ที่ได้ยินเสียงสายพานไฮดรอลิกของเครื่องจักรเป็นเสียงกีตาร์บนเอฟเฟกต์ fuzz ที่หมุน gain จนสุด ดีไซน์เสียงของอนาลอกซินธิไซเซอร์ให้คล้ายเสียงเลื่อยไฟฟ้าและเสียงเชื่อมเหล็ก ตีความเสียงปั๊มเพื่อผลิตซ้ำในจำนวนมากออกมาเป็นจังหวะกลองที่แห้งผาก ไร้สีสัน แต่หนักแน่นเหมือนแม่พิมพ์เหล็กและเกิดเป็นวง Nine Inch Nails ขึ้นมา ซึ่งเป็นผู้บรรจุแนวเพลง industrial rock ลงในประวัติศาสตร์เพลงร็อก และเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดวงอย่าง Korn, Limp Bizkit และ Linkin Park ขึ้นมา
บริบทของสังคมอเมริกันในยุค 90s ตอนปลายคือวัตถุดิบที่ผลักดันให้เกิดสไตล์งานของทั้งสอง และการเริ่มต้นเส้นทางอาชีพจากส่วนที่เล็กที่สุดในวงการก็เป็นสิ่งที่ทั้งสองมีร่วมกัน ในเวลาดึกที่ไม่มีใครใช้งานสตูดิโอที่ Trent Raznor ทำงานเป็นผู้ช่วย เขาใช้อุปกรณ์ของที่นี่ผลิตผลงานเองในทุกขั้นตอนจนเกิดเป็นอัลบั้มแรกของ Nine Inch Nails ที่มีชื่อว่า Pretty Hate Machine (ดู facts ของ Nine Inch Nails เพิ่มเติมได้ที่นี่) เช่นเดียวกันกับ David Fincher ที่เริ่มต้นจากการเป็นเด็กสารพัดนึกในสตูโอผลิตภาพยนตร์ และเคยทำมาแล้วแทบจะทุกตำแหน่งที่ทำให้เกิดภาพยนตร์ซักเรื่องขึ้นมา ทุ่มเวลาในช่วงชีวิตวัยรุ่นตั้งหน้าตั้งตาสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับมิวสิกวิดิโอเพลงป๊อปที่มักถูกดูแคลนจากผู้กำกับรุ่นก่อนว่าเป็นงานศิลปะชั้นต่ำ จนทำให้ Madonna กลายเป็นป๊อปสตาร์คนสำคัญของโลกได้ด้วยการใช้ภาษาภาพยนตร์ขยายขอบเขตการรับรู้เสียงเพลงของผู้ฟัง (ดูวิธีกำกับมิวสิกวิดิโอของ David Fincher เพิ่มเติมได้ที่นี่)
ปี 1994 เพลง Closer ในอัลบั้ม The Downward Spiral ถูกปล่อยออกมาพร้อมมิวสิกวิดิโอที่เต็มไปด้วยภาพเนื้อหนังของสัตว์ที่ถูกชำแหละ และเมื่อ David Fincher ได้ฟังเพลงนี้เขาก็รู้ทันทีเลยว่า Trent Reznor คือเสียงที่จะเติมเต็มโลกในหนังของเขา ซึ่งเพลงนี้ก็ได้ไปปรากฏอยู่ใน title sequence ของเรื่อง Se7en (1995) เป็นครั้งแรกที่โลกคู่ขนานอันเกิดจากการระเบิดครั้งเดียวกันดึงดูดเข้าหากัน
ความรู้สึกที่พวกเขามีให้กับมนุษย์ในโลกอันวุ่นวายนี้สะท้อนออกมาเป็นวิธีการทำงานเพื่อมุ่งไปสู่ความสมบูรณ์แบบ และทั้งคู่ก็สัมผัสความรู้สึกนี้ได้ในกันและกัน จนเมื่อถึงคราวที่ Trent Reznor รับหน้าที่ทำเพลงประกอบให้กับเรื่อง The Social Network ร่วมกันกับ Atticus Ross (สมาชิกคนล่าสุดของ Nine Inch Nails) ก็มีรางวัลออสการ์สาขาเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยมเป็นเครื่องยืนยันของพลังเคมีที่เกิดจากคนที่จริงใจกับสิ่งที่ตัวเองทำ
การจับคู่ของทั้งสองคนนี้เป็นสิ่งที่ทำให้ผู้เสพอย่างเราตื่นเต้นและเฝ้ารอว่าจะมีชิ้นงานดี ๆ ออกมาให้เราได้ดูได้ฟังและเป็นแรงบันดาลใจในการทำงานต่อไป แต่ก็อดสิ้นหวังต่อโลกนี้ไม่ได้เหมือนกันถ้าความบิดเบี้ยวในจิตใจคนยังมีให้พวกเขาหยิบมาสร้างเป็นงานได้ต่อไป และเป็นสิ่งที่ชัดเจนขึ้นทุกครั้งที่สร้างงานออกมา