เราคิดว่า Boyle ตั้งใจจะใส่ฉากนี้เพื่ออุทิศให้กับโบวี่ เพราะอันที่จริงแล้วเขาคงเป็นแฟนตัวยง และมีความตั้งใจที่จะใช้เพลงของโบวี่มาประกอบในหนังตั้งแต่ภาคแรกแล้ว แต่ก็ไม่ได้รับอนุญาต เขาจึงเลือกใช้เพลง Lust For Life ของ Iggy Pop ที่โบวี่เป็นคนแต่งมาอยู่ในหนังแทนจนกลายเป็นเพลงฮิตในคลับยุคนั้น บอยล์ไม่ได้ถูกปฏิเสธแค่ Trainspotting แต่ในปี 2012 เป็นช่วงการจัดโอลิมปิกที่อังกฤษ บอยล์ได้รับโอกาสให้เป็นผู้กำกับการแสดงในพิธีเปิดและอยากให้โบวี่มาร่วมแสดงด้วยแต่โบวี่ก็ปฏิเสธ หรือแม้แต่บอยล์มีแผนจะทำ David Bowie Musical แต่ก็ยังโดนปฏิเสธจนต้องตัดใจเปลี่ยนมาทำหนังเรื่อง Steve Jobs แทน
กลับมาที่เรนตัน ทันทีที่เข็มจรดลงไปที่ตัวแผ่น เสียงเพลง Lust For Life ดังเล็ดลอดออกมาไม่ถึงวินาทีและเขาก็เลิกฟังมัน เพราะดนตรีพวกนี้เป็นสิ่งที่ย้ำเตือนให้เขานึกถึงเวลาเก่า ๆ อันหวานขมของเขาที่เคยผ่านมา การเลือกใช้เพลงใน T2 ไม่ได้เป็นแค่การเอาความชอบส่วนตัวมายัดลงไปในหนัง แต่ยังบอกเล่ายุคสมัย รสนิยม และใช้เพลงที่เลือกมาได้อย่างคุ้มค่า อย่าง Lust For Life ถูกจับมารีมิกซ์ให้เข้ากับซีนและดูร่วมสมัยมากขึ้นในสไตล์ของ The Prodigy รวมถึงเพลงของ Brian Eno อย่าง Deep Blue Day ในภาคก่อนก็มาโผล่ในภาคนี้ และแน่นอน theme song สุดโด่งดังที่ต้องมาคู่กันกับหนังเรื่องนี้อย่าง Born Slippy ของ Underworld ก็เอามารีมิกซ์ใหม่ในสองสไตล์เช่นกัน แบบแรกชื่อ Slow Slippy ถูกจับมาใส่ในฉากสำคัญต่าง ๆ โดยเฉพาะฉากที่หวนนึกถึงวีรกรรมสมัยวัยละอ่อนของพวกเขา ความทรงพลังของเพลงเอกเพลงนี้ทำให้เราน้ำตาซึมออกมาจากการที่มันพาเราย้อนเวลาไปยังหนังภาคแรกได้สำเร็จ (นึกถึงตอนที่ได้ดู Underworld สด ๆ ตอนเขามาเล่นในงาน Super Summer Sound เมื่อเดือนพฤษภาคมก็ฟินแบบนี้แหละ) และยังมีเพลงซึ้ง ๆ อย่าง Eventually But ที่ออกมาได้ตรงกับซีนสุดสะเทือนใจ
ส่วนเพลงอื่น ๆ ที่มาอยู่ในหนังล้วนแต่เป็นแทร็คคลาสสิกในดวงใจเราทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น Perfect Day ของ Lou Reed ที่แม้จะมาแค่เปียโนแต่ก็ยังสุดเพราะ แล้วมี Dreaming จาก Blondie, Radio Ga Ga ของ Queen มาให้ได้กรี๊ดกันด้วย แต่นอกจากเพลงจากยุคที่พวกนี้เป็นวัยรุ่นจะโผล่มาให้ฟังกัน เขาก็ไม่ลืมจะเอาตัวแทนของยุคสมัยปัจจุบันอย่าง Wolf Alice ในเพลง Silk และสารพัดบีทสุดเดือดจาก Young Fathers มาใส่ด้วย