‘Love & Mercy’ วิกฤติชีวิต Brian Wilson แห่ง The Beach Boys ที่ยังเชื่อว่า ความรักและความปรานีทำให้โลกไม่โหดร้ายเกินไป
- Writer: Montipa Virojpan
Love & Mercy คือเพลงของ Brian Wilson หนึ่งในมันสมองของวงป๊อปอันโด่งดังจากยุค 60s The Beach Boys เขาได้เริ่มทำผลงานเดี่ยวและปล่อยเพลงนี้ออกมาเมื่อปี 1988 เป็น double single คู่กับเพลง He Couldn’t Get His Poor Old Body to Move
ต่อมาในปี 2014 ‘Love & Mercy’ ถูกใช้เป็นชื่อภาพยนตร์ชีวประวัติของเขาเอง นำแสดงโดย Paul Dano และ John Cusack โดยเนื้อเรื่องเป็นการเล่าชีวิตสองช่วงของไบรอัน ในยุคที่ผลงานของวงรุ่งเรืองแบบฉุดไม่อยู่ ตัดสลับกับช่วงที่เขาพักรักษาตัวจากโรคจิตเภท ทำให้เราได้เข้าใจถึงแก่นแท้ของเพลง Love & Mercy ขึ้นมาทีละน้อย
*เปิดเผยเนื้อหาสำคัญในภาพยนตร์*
The Beach Boys ประกอบไปด้วยสามพี่น้อง WIlson — Brian, Carl, Dennis และลูกพี่ลูกน้อง Mike Love รวมถึงเพื่อนร่วมชั้นของไบรอัน Al Jardine (มีช่วงนึงที่อัลออกจากวงไปเพื่อเรียนทันตแพทย์ และได้ David Marks เพื่อนบ้านสมัยเด็ก ๆ ของพี่น้องวิลสันมาเล่นแทนระยะหนึ่ง)
ย้อนกลับไปช่วงแรกของการก่อตั้งวง ผู้ที่เป็นหัวหอกของการแต่งเพลงคือไบรอัน เขาขึ้นโครงดนตรีด้วยเปียโน ส่วนไมค์ จะเป็นคนช่วยเขียนเนื้อเพลงและเป็นผู้ร้องหลัก พวกเขาได้รับอิทธิพลจากเพลง surf rock ของ Dick Dale ได้ไลน์กีตาร์มาจาก Chuck Berry เมโลดี้แบบ r&b และการร้องประสานเสียงจากวงแจ๊สยุคก่อน เอามาผสานกับดนตรีร็อกแอนด์โรลที่กำลังเป็นที่นิยม
ในเวลาขณะนั้น เดนนิสผู้เป็นมือกลองและนักเล่นเซิร์ฟเพียงคนเดียวในวง เล็งเห็นว่ากีฬาโต้คลื่นกำลังจะได้รับความนิยมมากขึ้นในอนาคต เขาเลยแนะนำให้พี่ ๆ ทำเพลงที่ถ่ายทอดบรรยากาศของชายหาด สาว ๆ และปาร์ตี้ จนเกิดมาเป็น Surfin’ เพลงแรกที่ไบรอันเขียนขึ้น และเพลงนี้ได้เข้าไปอยู่ในอันดับที่ 75 ของชาร์ต Billboard Hot 100
การเป็นชายหนุ่มปรากฏตัวพร้อมลุคที่น่าจดจำ ใส่เสื้อเชิ้ตลายตารางอยู่ริมทะเล ผู้เป็นตัวแทนของเสียงดนตรีคลอสายลมแสงแดดแห่งชายหาดแคลิฟอเนียแบบที่ไม่เคยปรากฏที่ใดมาก่อน ทำให้ใครก็ตามที่ได้ฟังเพลงของ The Beach Boys ต่างโหยหาที่จะมาเยือนแคลิฟอร์เนียให้ได้สักครั้งในชีวิต
ดนตรีเซิร์ฟร็อกและป๊อปในสไตล์ของพวกเขาก็ได้ครองความนิยมในที่สุด แต่นั่นก็แปลว่าพวกเขาต้องผ่านความกดดันมหาศาล เมื่อการเป็นศิลปินของ The Beach Boys ไม่ใช่แค่ได้ถ่ายทอดสาส์นที่ตัวเองอยากจะสื่อ แต่ต้องทำเพื่อชื่อเสียงของวง อันดับบนคลื่นวิทยุ และเม็ดเงินที่ค่ายเพลงจะตั้งคำถามหากไม่สามารถทำได้ถึงเป้าที่วางไว้ หรือไม่สามารถเบียดคู่แข่งให้ตกไฟสปอตไลต์ไปได้
ไบรอัน ผู้เป็นเหมือนต้นความคิดในการเขียนเพลงของวง ก็ได้รับความกดดันตรงนี้เช่นเดียวกับกับศิลปินหลาย ๆ คนที่กลายเป็นผู้ป่วยจิตเวชจากการที่ความโด่งดังปรี่เข้ามาอย่างรวดเร็ว (ในตอนนั้นพวกเขาอายุยังไม่พ้น 20 ปีดีเลยด้วยซ้ำ) ไหนจะเพื่อนร่วมวงบางคนที่คอยไม่เห็นด้วย การใช้สารเสพติด และพื้นหลังครอบครัวที่ทำให้เกิดแรงต้านมหาศาลจากผู้เป็นพ่อ หรือ Murry Wilson ที่ควบตำแหน่งผู้จัดการวง ก็ยิ่งผสมโรงทำให้ไบรอันเกิด anxiety จนเขาตัดสินใจไม่ร่วมทัวร์กับวงและมาโฟกัสกับการทำเพลงในสตูดิโอ
บุคคลที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับไบรอันในฐานะ studio artist แต่ขณะเดียวกันก็เป็นแรงบันดาลใจคือ Phil Spector โปรดิวเซอร์ที่ร่วมงานกับศิลปินดังมามากมาย และไบรอันก็ได้อิทธิพลการทำงานมาจากคนคนนี้อยู่เสมอ “ไบรอันชอบฟิลมาก เขาจะไปเข้าห้องอัดของฟิล ยิ่งเวลาที่ฟิลเล่นทุกอย่างที่อัดมาให้ไบรอันฟังมันทำให้จิตใจของเขาเตลิดเปิดเปิง ผมว่ามันเป็นเพราะแรงกระทบทางอารมณ์และจิตวิทยา จากการที่ไบรอันได้ไปฟังรายละเอียดของดนตรีก่อนที่เพลงจะถูกปล่อยออกมา ทำให้เขาตกอยู่ในมนต์สะกดของฟิลอย่างจัง” นี่คือคำพูดของคาร์ลจากบทความ Surf Music ของ Geoffrey Himes เขาเล่าอีกว่าไบรอันได้แรงบันดาลใจจากเทคนิคการทำเพลงของฟิล ในภายหลัง ชื่อของฟิลก็ไปปรากฏอีกครั้งในฐานะโปรดิวเซอร์ในอัลบั้ม Let It Be รวมถึงผลงานเดี่ยวของสมาชิกบางคน จากวงคู่แข่งของ The Beach Boys ที่กำลังจะย่างกรายเข้ามาแบบไม่ทันตั้งตัว
ตั้งแต่ปี 1963 เป็นต้นมา คลื่นลมร้อนก็ถูกท้าทายด้วยเม็ดฝนอึมครึม เมื่อวงอังกฤษเข้ามาทักทายวงการเพลงของอเมริกา หลายวง ถือครองอันดับต้น ๆ ของชาร์ตเพลง เบียดเพลงของ The Beach Boys ตกลงไป ความตึงเครียดก่อตัวในวงขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะ 2-3 ปีให้หลัง ไบรอันสุดทนกับการต้องพยายาม ‘เค้น’ เขียนเพลง surf ให้ได้ เขาให้สัมภาษณ์กับ Earl Leaf ใน Teen Beat Magazine ว่า “เรารีดไอเดียออกมาแล้ว พยายามหาทุกแง่มุมที่จะเขียนเพลงเกี่ยวกับการโต้คลื่นให้ได้ จนมันหมดเกลี้ยง เราเลยหนีไปทำเพลงขับรถเล่น ก็ทำมาแล้วจนเพลงนั้นดัง แต่ตอนนี้คือเราต้องเติบโตแบบมีศิลปะจริง ๆ สักที”
ลึก ๆ แล้ว เขาไม่ได้อยากทำ surf music เขาไม่เล่นเซิร์ฟด้วยซ้ำ อย่างในภาพยนตร์ ‘Love & Mercy’ ก็มีตอนที่เขาบอกว่า ‘คนเล่นเซิร์ฟเองก็ไม่ได้สนใจเพลงของ The Beach Boys นักหรอก’ สิ่งที่ไบรอันอยากจะเป็นก็คือนักแต่งเพลงเก่ง ๆ สักคน ก็เท่านั้น
ภายหลัง เดวิดขอลาออกจากวงเพราะมีปัญหากับพ่อของสามพี่น้อง และไบรอันก็ถูกดึงกลับมาให้ทัวร์ร่วมกับวง
จากความกดดันหลาย ๆ ด้าน ปี 1964 ไบรอันเลิกเขียน surf music ไปโดยปริยาย และให้พ่อของเขาพ้นจากการเป็นผู้จัดการวง เพราะสุดทนกับการถูกบีบบังคับ ความเห็นที่ไม่ลงรอยกัน และการไม่ได้รับการยอมรับในความสามารถหรือสิ่งที่เขาเป็นมาแต่ไหนแต่ไร
จนวินาทีที่อัลบั้ม Rubber Soul (1965) ของ The Beatles ออกมาทำให้ไบรอันแทบบ้า เขาคิดว่าดนตรีในชุดนั้นลงตัวและตราตรึง จนเขาอยากจะทำเพลงชุดใหม่ให้ดีกว่าให้ได้ “มันเป็นแรงบันดาลใจให้ผมอยากทำ Pet Sounds ผมจะไม่ลอกพวกเขา ไม่อยากให้เพลงออกมาเหมือนกัน แต่อยากให้มันดีได้เท่า Rubber Soul ให้คุณภาพมันอยู่ในระดับเดียวกัน”
ความที่ไบรอันการต้องการพิสูจน์ตัวเองในฐานะโปรดิวเซอร์ก็ทำให้เขาจับจดกับตัวเองยิ่งขึ้น การขับเคี่ยวในศึกศักดิ์ศรีนักแต่งเพลงเป็นแรงบันดาลใจให้ไบรอันทำอัลบั้ม Pet Sounds ได้สำเร็จในปี 1966 และในช่วงที่โปรโมตงานชุดนี้ The Beach Boys ได้ PR ที่เคยทำงานให้ The Beatles (เพราะอยู่ Capitol Records ต้นสังกัดเดียวกันในอเมริกา) มาปรับภาพลักษณ์ของพวกเขา พร้อมกับแท็กไลน์ ‘ไบรอัน วิลสัน คืออัจฉริยะ’ (Brian Wilson is a genius) ในทีแรกประโยชนี้อาจจะดูเป็นโฆษณาชวนเชื่อ แต่เมื่อหลายคนได้ฟังพาร์ตดนตรีในชุดนี้ก็ให้ความเห็นตรงกันว่ามันไม่เกินความจริงแต่อย่างใด
Pet Sounds ได้กลายเป็นอัลบั้มในตำนานขึ้นหิ้งของประวัติศาสตร์ดนตรี Mojo ยกให้เป็นอัลบั้มที่ดีที่สุดที่ถูกทำขึ้นมาบนโลก Rolling Stones ยกให้เป็นหนึ่งใน 500 อัลบั้มยอดเยี่ยมตลอดกาล และหนังสือ ‘101 Albums that Changed Popular Music’ กล่าวว่า นี่เป็นอัลบั้มการบันทึกเสียงที่ก้าวหน้าที่สุดในประวัติศาสตร์เพลงร็อก แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ไบรอันต้องฝ่าฟันอุปสรรคมามากมาย
สมาชิกวงบางคน และ Capitol Records ไม่เห็นด้วยเมื่อเขาพยายามจะทำเพลงใหม่ ๆ ให้ไม่เป็นไปตามสูตรของ The Beach Boys แบบเดิม ๆ ในเพลง I Just Wasn’t Made for These Times มีเนื้อร้องว่า “Every time I get the inspiration to go change things around, no one wants to help to look for places where new things might be found.” ทุกครั้งที่ฉันเกิดไฟฝัน ที่จะทำให้สิ่งอันผันเปลี่ยน กลับไร้คนวนเวียน ช่วยเสาะหาหนแห่ง ที่สิ่งใหม่จะพบได้
แต่ในขณะเดียวกัน ทางฝั่ง The Beatles กลับมีท่าทีตรงกันข้าม เมื่อพวกเขาได้ฟังเพลงนั้น John Lennon กับ Paul McCartney ก็เขียนเพลง Here, There and Everywhere ขึ้นมาในอัลบั้ม Revolver ปี 1966 เป็นสาส์นตอบรับ และในเวลาต่อมา พอลก็เขียนข้อความในอัลบั้ม Pet Sounds ฉบับ reissue ว่า Pet Sounds เป็นแรงบันดาลใจสำคัญให้พวกเขาทำอัลบั้ม Sgt. Pepper’s Lonely Hearts Club Band (1967) แถมอัลบั้มนั้นก็เป็นอัลบั้มโปรดตลอดกาลของพวกเขา โดยเฉพาะกับเพลง God Only Knows พอเอาไปเปิดให้ลูก ๆ ฟัง ลูก ๆ เองก็ชอบด้วย
เรียกได้ว่ายุค 60s เป็นหนึ่งในยุคทองของดนตรี เพราะมีศิลปินหลายต่อหลายคนจากยุคนี้เป็นผู้ริเริ่มและทดลองสร้างแนวดนตรีใหม่ ๆ ส่วนนึงก็เป็นผลเนื่องมาจากการแข่งขันที่สูงมากในอุตสาหกรรมดนตรี ทำให้คนฟังได้ฟังเพลงที่ดีและแปลกใหม่อยู่เสมอ ดังเช่น The Beach Boys และ The Beatles เพลงฮิตมากมายของทั้งสองวงก็ยังถูกถ่ายทอดมาจนถึงยุคของเรา ๆ ในทุกวันนี้แม้เวลาจะผ่านไปกว่าครึ่งศตวรรษแล้ว ที่น่าประทับใจที่สุดคือการสร้างสรรค์ผลงานดนตรีของวงที่แม้จะเป็นคู่แข่งทางการตลาดกัน แต่กลับก่อเกิดมิตรภาพและสร้างแรงบันดาลใจให้กันและกันอย่างไร้ที่สิ้นสุด
ไบรอันมีแรงฮึดต่อที่จะทำเพลงรูปแบบใหม่ ในช่วงหลังมานี้เขามีวิธีการทำงานที่ต่างออกไป วัตถุดิบในการขึ้นเพลงแต่ละเพลงมาจากการที่เขารู้สึกได้ถึง ‘เสียง’ ที่อยู่ในหัว ส่งผลให้ขั้นตอนการอัดซิงเกิ้ลใหม่ Good Vibrations ซับซ้อนยิ่งขึ้น เขาใช้นักดนตรีรับเชิญหลายชีวิต ใช้สตูดิโอถึง 4 แห่ง และกินระยะเวลาอัดร่วมเดือน
แต่ในความตั้งใจก็ทำให้ในปี 1966 เมื่อเพลงนี้ปล่อยออกมาก็ขึ้นอันดับ 1 ของ Billboard Hot 100 อเมริกา ตามหลังเพลง I Get Around และ Help Me, Rhonda และเป็นเพลงแรกของ The Beach Boys ที่ขึ้นอันดับ 1 ของชาร์ตในอังกฤษ แล้วยอดขายของเพลงนี้ยังถูกจารึกเป็นแผ่นเสียงทองคำ (certified gold) นิตยสาร NME ก็จัดโพลขึ้นมาและพวกเขาถูกโหวตให้เป็นวงที่ดีที่สุดในโลกจาก การกลับมาของ The Beach Boys ในครั้งนี้ ก็เป็นการพาศิลปินอเมริกันรายอื่น ๆ กลับไปตีตื้นวงจากอังกฤษบนชาร์ตเพลงได้สำเร็จ
จากการถูกวิพากษ์วิจารณ์ และมีการเผยแพร่บทความที่ตีแผ่เรื่องส่วนตัวของไบรอันถึงอาการหลงผิด และพารานอย ที่ส่งผลกระทบต่อการทำอัลบั้มชุดต่อ ๆ มา ทำให้ The Beach Boys เดินทางมาถึงจุดเสื่อมความนิยมที่สุดในช่วงปลายปี 60s อดีตภรรยาของไบรอันเลยให้เขาเข้ารับการรักษาโดยจิตแพทย์ Eugene Landy ระหว่างนั้นบางคนก็ผันตัวไปมีโปรเจกต์เดี่ยว ขณะเดียวกันการทำงานในฐานะวงก็ยังดำเนินต่อไป ทว่ามักจะถูกแทรกแซงกระบวนการโดยแลนดี้ กับข้ออ้างที่ว่าเขาต้องการรับรู้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับไบรอันทุกประการ ‘เพื่อประโยชน์ในการรักษา’ ไปจนถึงการกีดกันไบรอันจากกลุ่มเพื่อน ความตึงเครียดที่สะสมมานานทำให้ในที่สุดแล้ววงก็ต้องแยกกันไปคนละทาง เดนนิส มือกลองของวงได้รู้จักกับ Charles Manson ที่ต่อมาก็กลายเป็นฆาตกรชื่อกระฉ่อน เจ้าลัทธิ Manson Family ที่สังหารโหดนักแสดงสาวดาวรุ่ง Sharon Tate ที่กำลังตั้งครรภ์และเพื่อนของเธอ ทำให้วงกลายเป็นผู้ต้องสงสัยที่เข้าไปพัวพันกับ cult นี้
ไบรอัน วิลสัน ในฐานะผู้รับการรักษาถูกแยกตัวออกมาแทบจะโดยสิ้นเชิงในช่วงปี 80s อย่างที่เล่าในภาพยนตร์ ‘Love & Mercy’ ทำให้เราได้เห็นช่วงเวลาที่ยากลำบากของเขา ที่นอกจากต้องอยู่กับความโดดเดี่ยวมาตลอดตั้งแต่การเลือกทางเดินที่แตกต่าง เขายังต้องต่อสู้กับเสียงที่เกิดขึ้นภายในหัว ไปพร้อม ๆ กับการสร้าง masterpiece ให้สำเร็จจากการกดดันตัวเอง และความคาดหวังจากคนรอบข้าง แถมยังต้องสูญเสีย เดนนิส น้องชายที่ร่วมทุกข์สุขมาด้วยกันที่เสียชีวิตจากการจมน้ำ ในจุดนั้นเขาอาจจะไม่ต้องการชื่อเสียงแล้ว เพียงแต่ต้องการการเป็นที่ยอมรับ ไม่ใช่จากคนทั้งโลก แต่จากคนใกล้ตัวที่เขาห่วงใย แค่พวกเขามองเห็นคุณค่าในสิ่งที่เขาทำ ก็น่าจะทำให้เขามีกำลังใจที่จะไปต่อในทางที่เชื่อได้ แต่เมื่อเรื่องราวมันไม่ได้สวยงามอย่างที่หวัง เราก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าต้องใช้ความอดกลั้นมากขนาดไหนถึงจะผ่านชีวิตช่วงนั้นมาได้
เมื่อ ‘Love & Mercy’ รอบ premiere ออกฉาย ไบรอันกล่าวชื่นชมภาพยนตร์ว่าเล่าได้สมจริง เขาเข้าไปมีส่วนร่วมในการถ่ายทำพาร์ตที่ John Cusack แสดงเป็นตัวเขาในช่วงปี 80s ทั้งยังกล่าวชมในพาร์ต Paul Dano ว่าการแสดงของเขาไร้ที่ติ และสามารถนำเสนอบุคลิกของตัวไบรอันเองได้ใกล้เคียงมาก ยิ่งในพาร์ตของ Eugene Landy ก็ทำให้เขารู้สึกกลัวขึ้นมาได้ (แม้ลูกชายของแลนดี้จะมีความเห็นว่า การนำเสนอเรื่องราวของพ่อเขาแบบในหนังทำให้รู้สึกว่าพ่อของเขาไม่ได้รับความเป็นธรรม)
ใน credit roll ช่วงท้ายของภาพยนตร์ เป็นรายชื่อทีมงานเบื้องหลังและภาพการแสดงสดเพลง Love & Mercy ของไบรอัน ด้วยเมโลดี้ที่ฟังแล้วจับใจบวกกับเนื้อเพลงที่รับรู้ได้ถึงความเมตตาในความเป็นมนุษย์ทำให้เรารู้สึกอบอุ่นอย่างน่าประหลาด แต่เมื่อเราได้รู้เรื่องราวเบื้องหลังของเพลง Love & Mercy จากที่ไบรอันเล่า เราก็ยิ่งรู้สึกสะเทือนใจกับเรื่องราวการเดินทางของ The Beach Boys มากขึ้นไปอีก
“ผมกำลังเล่นเปียโนเพลง What the World Needs Now is Love อยู่ แล้วจู่ ๆ ก็ขึ้นเพลงนึงได้ ผมต้องใช้ความพยายามมากในการเอาสิ่งที่อยู่ในหัวใจออกมาเล่า เพราะมันเป็นข้อความส่วนตัวของผม ที่จะส่งไปถึงทุกคน ผมอยากให้ทุกคนถูกโอบอุ้มด้วยความรัก เพราะมันไม่มีอะไรการันตีได้เลยว่าวันนึงคุณจะตื่นขึ้นมา แล้วจะไม่มีความรักอยู่ตรงนั้น ความรักที่จู่ ๆ ก็หายไปมันเหมือนกับฝันร้ายนะ
“‘ความปรานี’ เป็นคำที่ลึกซึ้งกว่าคำว่า ‘ความรัก’ ผมคิดว่าความรักคือสิ่งที่อ่อนโยน แต่ความปรานีฟังดูน่าสิ้นหวังกว่ามาก มันคือความต้องการอย่างที่คุณโหยหาเหลือคณา ความปราณีคือสิ่งหนึ่งในชีวิตที่จะทำให้ผู้ประสบกับปัญหาได้หยุดพักหายใจ Love and Mercy เป็นเพลงที่เล่าถึงเรื่องในเชิงจิตวิญญาณที่สุดที่ผมเคยเขียนขึ้นมา”
แม้ลึก ๆ แล้ว Brian Wilson หวังจะกลับไปร่วมงานกับ Mike Love แต่เรื่องราวทางตัวบทกฎหมาย การฟ้องร้อง ลิขสิทธิ์ และการเข้ามาเกี่ยวโยงของตัวแทนหรือบุคคลที่สาม ยิ่งเป็นตัวกระเทาะรอยร้าวในความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนในวง พวกเขาแยกกันทัวร์เป็นสองกลุ่ม คือฝั่ง Brian Wilson, Al Jardine และ David Marks (ตอนหลังมาร์กส์ถอนตัวไปจากปัญหาด้านสุขภาพ) กับฝั่ง Mike Love และ Bruce Johnston โปรดิวเซอร์ของวงในยุคนึงที่มีช่วงต้องไปทัวร์แทนไบรอัน ยืดเยื้อมาจนถึงตอนนี้ ซึ่งแฟนเพลงก็ยังหวังลึก ๆ ว่าพวกเขากลับมารวมตัวกันอยู่แหละนะ
ปี 2020 The Beach Boys กำลังมีทัวร์ที่อเมริกา แคนาดา อังกฤษ เยอรมนี นอร์เวย์ สวีเดน และ เดนมาร์ก โดยเป็นวงของ Mike Love และ Bruce Johnston กับนักดนตรีแบคอัพ ลองติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.thebeachboys.com/tour
อ้างอิง
Rock and Roll: An American History Surf Music by Geoffrey Himes
Love & Mercy: what Brian Wilson’s story tells us about genius and music
Dennis Wilson the only surfer in The Beach Boys
The Beach Boys Chart History Billboard Hot 100
อ่านต่อ
Trip Hop ประวัติอย่างย่อของดนตรีดำมืดอันน่าหลงใหลจากเมือง Bristol
2019: การกลับมาของ Drum and Bass ดนตรีอิเล็กทรอนิกจาก 90s ที่จะยังคงอยู่
ลองฟังดูดี ๆ คุณได้ยินข้อความแปลก ๆ ในเพลงเหล่านี้หรือเปล่า