Quick Read ตาดูหูฟัง

Hedwig and the Angry Inch กะเทยที่ตามหาตัวตนอีกครึ่งหนึ่งที่หายไป

  • Writer: Peerapong Kaewthae

ไม่มีใครไม่เคยรู้สึกแปลกแยกบนโลกใบนี้ ยิ่งช่วงวัยรุ่นก็เป็นช่วงที่เรามักสับสนในชีวิตกันเป็นเรื่องปกติ บางคนอาจจะอยากเป็นในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้เป็น หรือบางคนอาจยังไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใครกันแน่ วัยรุ่นจึงเป็นวัยแห่งการออกเดินทางไขว่คว้าและการตามหาตัวเองให้เจอ แม้แต่การตามหาอีกครึ่งหนึ่งที่หายไปเหมือนเฮ็ดวิก

image-w1280

Hansel Schmidt หรือ Hedwig คือผู้หญิงข้ามเพศเจ้าของวงร็อกนามว่า Hedwig and the Angry Inch ซึ่งเดินทางตระเวนเล่นดนตรีตามเมืองต่าง ๆ เพื่อตามรังควาน Tommy Gnosis นักร้องชื่อดังระหว่างทัวร์คอนเสิร์ต จริง ๆ แล้วทอมมี่คือถ่านไฟเก่าของเธอ แต่เขากลับทอดทิ้งเธอและขโมยเพลงทั้งหมดของเธอมาเป็นของตัวเองจนดังเป็นพลุแตก

หนังเล่าสลับกันระหว่างปัจจุบันที่เฮ็ดวิกพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อเข้าหาทอมมี่ให้ได้ และอดีตที่เป็นการเติบโตของเด็กชายฮันเซลในเยอรมันก่อนที่จะผ่าตัดแปลงเพศแล้วย้ายมาอยู่ในอเมริกาด้วยชื่อของแม่ หนังค่อย ๆ ป้อนรายละเอียดให้คนดูจนอดีตวิ่งไล่ทันปัจจุบันว่าทำไมเธอถึงยึดติดกับทอมมี่ขนาดนั้น และเราก็ได้เห็นว่าการเติบโตของเฮ็ดวิกนี่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

สำหรับผมแล้วหนังเรื่องนี้ไม่ใช่หนัง แต่มันคืองานศิลปะชั้นดีชิ้นหนึ่ง ส่วนหนึ่งอาจเพราะบทถูกพัฒนามาจากละครเวทีเลยทำให้การลำดับเรื่องเป็นธรรมชาติ หนังเต็มไปด้วยสัญลักษณ์ที่ชวนให้ตีความเคล้ารสหวานปนขมของเรื่องราวโรแมนติกที่ไม่มีอยู่จริงในการตามหารักแท้หรืออีกครึ่งหนึ่งที่หายไป และความโดดเด่นของหนังเรื่องนี้คือเพลงร็อกแอนด์โรลที่ถ่ายทอดออกมาในรูปแบบของมิวสิกวิดิโอล้อไปกับตัวหนังได้อย่างกลมกลืน บวกกับเนื้อเพลงที่กินใจ เป็น coming of age เล่าถึงการเติบโตในแต่ละช่วงของเฮ็ดวิก ตัดสลับกับภาพแอนิเมชันเหนือจริงที่ละลายเส้นแบ่งของความจริงกับความฝันจนเราแยกไม่ออก ก็ช่วยดำเนินเรื่องไปได้อย่างเพลิดเพลินและคมคาย

เฮ็ดวิกเปรียบตัวเองเหมือนกำแพงเบอร์ลินอันใหม่ของโลกไว้ในเพลง Tear Me Down ที่เมื่อถูกทำลายลงก็ไม่รู้แล้วว่าตัวเองคือผู้หญิงหรือผู้ชาย เป็นทาสหรือสัญลักษณ์ของเสรีภาพในสังคมที่แบ่งแยกทุกอย่างชัดเจนแบบนี้ ตัวเธอเองเลยรู้สึกว่าต้องหาขั้วตรงข้ามเพื่อยืนยันให้ได้ว่าแท้จริงแล้วเธอเป็นใคร

เฮ็ดวิกค่อนข้างยึดติดกับแนวคิดในเรื่องความรักจากหนังสือ Symposium ของเพลโต ที่เชื่อว่ามนุษย์ทุกคนไม่สมบูรณ์ ในหนังสือเล่าว่าแต่ก่อนมนุษย์ทุกคนล้วนเคยมีลักษณะเป็นคนสองคนตัวติดกันมาก่อน โดยแบ่งเป็น 3 เพศคือบุตรของดวงจันทร์จะเป็นผู้ชายตัวติดกับผู้หญิง บุตรของดวงอาทิตย์จะเป็นผู้ชายตัวติดกับผู้ชาย และบุตรของโลกคือผู้หญิงติดกับผู้หญิง ต่อมาพวกเขาเริ่มต่อต้านและท้าทายพระเจ้าจนโดนลงโทษจับฉีกแยกออกจากกันแล้วโดนพายุปัดเป่าให้พรากจากกันไปไกลแสนไกล มนุษย์ทุกคนเลยต้องออกตามหาอีกครึ่งหนึ่งที่หายไปเพื่อกลับมารวมเป็นหนึ่งอีกครั้งผ่านวิธีร่วมรัก

เธอคิดว่าลูเธอร์และทอมมี่จะเป็นอีกครึ่งหนึ่งที่หายไป แต่เธอกลับถูกทอดทิ้งเพราะเพศครึ่ง ๆ กลาง ๆ ของเธอเองที่ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของทั้งสองได้ มันเลยทำให้เฮ็ดวิกที่คลุมเครือในเพศสภาพของตัวเองอยู่แล้วยิ่งโกรธเกรี้ยว (สื่อผ่านชื่อวง) และแปลกแยก รู้สึกว่าไม่มีใครที่เหมือนตัวเองเลยซักคน เธอยิ่งถวิลหาอีกครึ่งหนึ่งที่หายไปเพราะไม่อยากต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวมากกว่าใคร ๆ

หลังจากโดนลูเธอร์ทิ้ง และกำแพงเบอร์ลินที่ตัวเองหนีมาถูกทำลายลง เฮ็ดวิกก็ไม่รู้อีกแล้วว่าตัวเองเป็นใครและมาทำอะไรที่อเมริกากันแน่ จนเธอไปหยิบวิกผมที่เคยได้เป็นของขวัญวันเกิดมาใส่ก็ทำให้เธอตระหนักได้แล้วว่าเธอจะเป็นใครก็ได้ที่เธอต้องการผ่านวิกผมต่าง ๆ ในเพลง Wig in the Box ก็พูดถึงการค้นหาตัวเองให้เจอ เราอยากเป็นใครก็เป็นได้แม้แต่ร็อกสตาร์ ปลอบประโลมตัวเองด้วยเพลงร็อกแอนด์โรล แค่ไม่ต้องเป็นตัวเองที่เจ็บปวดก็พอแล้ว

จนสุดท้ายเธอก็ได้พบกับทอมมี่ ผ่านเพลงซึ้ง ๆ อย่าง Wicked Little Town (ซึ่งเป็นเพลงที่ผมชอบที่สุดในเรื่อง) ที่พูดถึงการปลอบประโลมคนผิดหวัง บอกให้รู้ว่ามีคนที่พร้อมจะเคียงข้าง อย่างที่เพลงได้บอกความในใจว่า

And if you’ve got no other choice
You know you can follow my voice

เด็กมีปัญหาอย่างทอมมี่ก็พร้อมที่จะยึดเหนี่ยวและเดินตามเสียงของเฮ็ดวิกทันที เพื่อผ่านชีวิตวัยรุ่นอันสับสนไปด้วยกัน เธอเป็นทั้งครูดนตรีและคนรักสำหรับทอมมี่ และเป็นคนมอบชื่อ Gnosis (โนซิส: ผู้ตื่นหรือผู้ละแล้วทุกอย่าง) กับสัญลักณ์กางเขนบนหน้าผากให้กับทอมมี่ แต่เมื่อเขารู้ว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงที่สมบูรณ์ก็ทิ้งเธอไปทันทีพร้อมขโมยเพลงทั้งหมดไปด้วย

ตอนหลังเมื่อทอมมี่ถูกเปิดโปง เฮ็ดวิกได้แสงสปอร์ตไลท์สาดใส่ในที่สุด เธอกลายเป็นคนดัง ได้ร้องเพลงของตัวเองต่อหน้าทุกคน เธอก็เพิ่งเข้าใจว่าทั้งหมดนี่ไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการเลย เธอแค่ต้องการให้ทอมมี่กลับมารักเธอเท่านั้น ทอมมี่เลยร้องเพลง Wicked Little Town ในมุมมองของตัวเองเพื่อขอโทษเฮ็ดวิกกับเนื้อเพลงที่ลึกซึ้งมาก ๆ

Cos I was just a boy
And you were so much more

เฮ็ดวิกเป็นมากกว่าผู้ชายหรือผู้หญิง การที่ไม่เข้าพวกกับเพศไหนไม่ได้แปลว่าเธอจะด้อยกว่าใคร พร้อมทั้งบอกเธอว่าในโลกนี้ไม่มีทั้งพระเจ้าหรือเทพนิยายที่คอยกำหนดหรือชี้ชะตาความรักของใคร สิ่งที่ไม่เคยหาเจอก็ไม่ได้แปลว่ามันไม่มี และไม่มีใครเติมเต็มตัวตนของเราได้นอกจากตัวเอง

เฮ็ดวิกที่ตระหนักแล้วว่าเสื้อผ้าและเครื่องสำอางหรือวิกผมเป็นเพียงภาพลวงตา เลยได้ปลดเปลื้องตัวเองผ่านเพลง Midnight Radio ทั้งเสื้อผ้าหน้าผม ชื่อเสียง คนที่เธอรักและความเป็นผู้หญิงข้ามเพศ เธอยังได้คืนวิกผมกับเพศสภาพและทุกสิ่งที่ช่วงชิงมาให้กับยิตซัค หรือคอรัสของวง แท้จริงแล้วคือผู้หญิงข้ามเพศเหมือนเฮ็ดวิกเนี่ยแหละ แต่เฮ็ดวิกบังคับให้เธอแต่งเป็นผู้ชายเพื่อเติมเต็มสิ่งที่เฮ็ดวิกต้องการ เพราะแม้แต่ตัวตนของยิตซัคที่มีความคล้ายคลึงกับเฮ็ดวิกที่สุดก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของเฮ็ดวิกให้ไม่ได้

สุดท้ายแล้วอีกครึ่งหนึ่งที่หายไปมันก็ไม่มีอยู่จริง ไม่ว่าคุณจะเป็นชาย หญิง ตุ๊ด กะเทย ทอม เลสเบี้ยน ทุกคนล้วนสมบูรณ์แล้ว จิตวิญญาณที่สมบูณ์แล้วคือการตระหนักยอมรับว่าตัวเองคือใครและไม่เหมือนใครยังไง รับมาทั้งข้อดีและข้อเสียทั้งหมดในชีวิตแล้วพอใจกับสิ่งที่เรามีก็พอ เพราะชีวิตสั้นเกินกว่าจะเป็นคนอื่นหรือหวังพึ่งแต่คนอื่น ไม่มีใครเกิดมาเพื่อเราอย่างแท้จริง ทุกคนล้วนผ่านเข้ามาในชีวิตเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของเราเท่านั้น จงเติบโตและยอมรับ แล้วหาให้เจอว่าตัวเองเป็นใคร

ในตอนจบ เราจะได้เห็นเฮ็ดวิกเปลือยกายเดินออกมาจากตรอกที่มืดมนและดูสกปรกเยี่ยงครรภ์มารดา เปรียบเปรยดั่งการเกิดใหม่ เราจะไม่เห็นรายละเอียดชัดเจนว่าตอนนี้เขาหรือเธอมีเพศอะไร แต่น่าจะตอบคำถามของทุกคนได้ด้วยภาพรอยสักที่กลับมาสมบูรณ์เป็นรูปเดียวกัน สื่อให้เห็นว่าเฮ็ดวิกได้เจออีกครึ่งที่หายไปของตัวเองแล้ว

Facebook Comments

Next:


Peerapong Kaewthae

แม็ค เป็นคนชอบฟังเพลงเพราะเป็นกิจกรรมที่ทำคนเดียวได้ และก็ชอบแนะนำวงดนตรีหรือเพลงใหม่ ๆ ให้คนอื่นรู้จักผ่านตัวอักษรตลอดเวลา