‘An Elephant Sitting Still’ บทเพลงแสนเศร้า 4 ชั่วโมง จาก 4 ชีวิตในโลกของ Hu Bo
- Writer: Montipa Virojpan
ที่หม่านโจวหลี่ มีช้างตัวนึงที่นั่งอยู่เฉย ๆ ทั้งวัน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะมันโดนของแหลม ๆ ทิ่มจากคนที่ฝึกเพื่อให้มันนั่ง หรือเพราะมันชอบนั่งนิ่ง ๆ แบบนั้นอยู่แล้ว
นอกจากการเป็นภาพยนตร์ความยาว 4 ชั่วโมงที่ฉายยิงยาวไม่มีการพักครึ่ง หรือได้รับเลือกไปฉายครั้งแรกที่เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเบอร์ลินปี 2018 และได้รับรางวัล FIPRESCI หรือภาพยนตร์เรื่องแรกยอดเยี่ยมกลับมา ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าความตายของผู้กำกับ Hu Bo ถูกใช้เป็นหนึ่งในเครื่องมือการตลาดที่ทำให้ต้องไปดู An Elephant Sitting Still (大象席地而坐) ว่าจะเป็น ‘เมืองอนาคตหมด’ อย่างที่ชื่อภาษาไทยว่าไว้จริง ๆ หรือเปล่า
เรื่องราวของคน 4 คนที่ชีวิตต้องมาเชื่อมโยงพัวพันกันอย่างช่วยไม่ได้ พวกเขาต้องตื่นลืมตาขึ้นมาในสังคมเส็งเคร็ง ประโยคแรกที่ผู้คนทักทายกันไม่ใช่ ‘สวัสดี’ แต่เป็นการสบถ ‘เฮงซวย’ ใส่กันในทุกเช้า ความเห็นแก่ตัวและการกล่าวโทษกันเป็นเรื่องปกติในเมืองสีเทา ๆ ที่เทคโนโลยีรุดหน้า แต่การเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกันถูกกลืนหายไปในหมอกควันทุกที ๆ แม้แต่กับตัวเองพวกเขาก็มองว่าไร้ค่า ถ้าเลือกได้ก็อยากจะหายไปจากที่นี่ซะ
4 คนนี้มีสถานที่หนึ่งที่อยากจะไปเหมือน ๆ กันนั่นคือ ‘หม่านโจวหลี่’ เมืองทางตอนเหนือของจีนติดกับมองโกเลียและรัสเซีย เพราะได้ยินเรื่องราวน่าตลกขบขันเรื่องหนึ่ง พวกเขาอยากจะไปเห็น ‘ช้างนั่งนิ่ง ๆ’ กับตาโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันมีจริงไหม หรือถ้าไปเห็นแล้วจะได้อะไรขึ้นมา คิดแค่ว่าอย่างน้อยก็ดีกว่าอยู่ที่นี่ หรือการเห็นช้างนั่งนิ่ง ๆ อาจจะน่าหัวเราะเยาะกว่าชีวิตที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ได้ แต่บางคนก็คิดว่าการไปที่ใหม่ก็ไม่ต่างอะไรกับการอยู่ที่เดิม ที่ที่อนาคตก็เป็นสิ่งที่มองไม่เห็นเหมือนกัน หัดซึมซับความเจ็บปวดนั้น และมองเสียว่าความทุกข์ในชีวิตเป็นเรื่องธรรมดาเสียยังดีซะกว่า
บทภาพยนตร์ถูกดัดแปลงมาจากนิยายเรื่อง ‘Huge Cack’ (大裂) ที่เขียนโดย หู ปอ เอง ตอนนั้นเขาใช้นามแฝงว่า Hu Qian (胡迁) ในเรื่องนี้เขารับหน้าที่กำกับและตัดต่อเอง แม้จะมีปัญหากับโปรดิวเซอร์แต่เขาก็ยืนกรานว่าจะไม่มีการตัดหนังให้สั้นลง หู ปอ ต้องการถ่ายทอดเรื่องราวอันข่มขื่นออกมาเป็นเวลา 4 ชั่วโมงให้ผู้ชมได้รับสาส์นอย่างสมบูรณ์ที่สุด แต่ไม่กี่วันก่อนกระบวนการสร้างภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องแรกและเรื่องสุดท้ายนี้จะเสร็จสิ้น เขาก็ตัดสินใจปลิดชีพตัวเอง โดยก่อนหน้าก็ได้ส่งสัญญาณผ่านสเตตัสในโซเชียลมีเดียและบทสนทนากับคนใกล้ชิดมาบ้าง ส่วนหนึ่งเราก็เชื่อว่าเรื่องราวในหนังก็เป็นทั้งบันทึกความเศร้าและจดหมายลาของเขาไปในตัว
An Elephant Sitting Still อัดแน่นไปด้วยความเศร้า สิ้นหวัง และเพิกเฉยต่อผู้คนรอบข้าง นอกจากจะเป็นการบอกเล่าสังคมจริง ๆ ของจีนที่คนรุ่นหลังต้องแบกรับความคาดหวังของคนรุ่นก่อนหน้า ต้องการการยอมรับและยกตัวเองให้สูงกว่าจนเกิดทัศนคติที่ดูแคลนและดูถูกเหยียดหยามผู้น้อย แล้วเราก็ได้เห็นความบ้าคลั่งของการไม่เห็นค่าความเป็นเพื่อนมนุษย์นับไม่ถ้วน อีกด้านหนึ่งก็เป็นการตอกย้ำความเชื่อที่ว่าการกระทำของทุกคนส่งผลกระทบซึ่งกันและกันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เมื่อเกิด A จึงเกิด B ต่อไป C เป็นห่วงโซ่ไร้ที่สิ้นสุด
จากองค์ประกอบในหนังทั้งหมดที่ถาโถมเข้ามาได้นำเสนอความหดหู่เกินบรรยาย ไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศความหนาวเย็น เมืองสีเทาซีด ความเวิ้งว้างกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาที่มองไม่เห็นอีกฟากฝั่ง แสงสลัว ๆ ที่ไม่มีท่าทีว่าจะสว่างได้มากไปกว่านี้ อีกสิ่งที่เป็นสัญญะแทนความ ‘โดดเดี่ยว’ ของตัวละครคือกล้องจับโฟกัสที่ใบหน้าของตัวเอกเท่านั้น พวกเขา 4 คนที่เก็บงำความทุกข์ไว้แต่เพียงผู้เดียว โดยไม่มีใครรับฟังและไม่มีใครเข้าใจ ช่วงเวลายาวนานแสนทรมานจากการ long take ในแต่ละฉากผ่านไป จนใบหน้าของคนอื่น ๆ ในฉากค่อย ๆ คมชัดขึ้นเมื่อพวกเขาเริ่มเปิดใจหรือมอบสถานะ ‘ความมีตัวตนและสำคัญกับชีวิต’ ให้คนรอบข้างพวกนั้นอีกครั้ง
ที่น่าสังเกตคือเพลงประกอบก็เป็นหนึ่งในองค์ประกอบที่ช่วย ‘เพิ่มน้ำหนัก’ ให้กับหนัง หมายถึงความหนักอึ้งน่ะนะ เพราะเสียงกีตาร์เคว้งคว้างให้ความรู้สึกเบาหวิวเหมือนชีวิตของตัวละครที่ไร้จุดหมาย ความ ‘ปลอม’ จากเสียงสังเคราะห์ของซินธิไซเซอร์น้อยชิ้น ความซ้ำเดิมจากโน้ตที่ใช้ในเกือบทุกเพลงประกอบจนเรานึกว่าทั้งเรื่องใช้เพลงอยู่ไม่กี่เพลง หรือคอร์ดวนเป็นลูปเหมือนพยายามจะบอกว่า ความเศร้าในชีวิตแม่งเป็นเรื่องคลีเช่
ผู้ที่สร้างสรรค์เพลงประกอบในเรื่องนี้คือ Hualun วง instrumental โพสต์ร็อก avant-garde จากเมืองอู่ฮั่น พวกเขาเป็นหนึ่งในวงดนตรียุค 2000 ที่ทดลองค้นหาเสียงดนตรีเพื่อถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกในแบบฉบับของตัวเอง ซึ่งเพลงของฮั่วหลุนก็มีความโดดเด่นที่เมโลดี้หยาดเยิ้ม สวยงาม เปี่ยมด้วยความหวัง และทรงพลังในความเป็นร็อกแอนด์โรลพุ่งพล่านในขณะเดียวกัน แต่กับ original soundtrack 10 เพลงที่ถูกใช้ในเรื่องนี้ถูกทอนความแน่นของเครื่องดนตรีให้เหลือเพียงไม่กี่ชิ้น ความโหวงและช่องว่างในเพลงที่เราได้ฟังไม่ต่างอะไรไปจากจิตใจอันเหนื่อยอ่อนของตัวละคร และทันทีที่ end credits ขึ้นมาพร้อมกับเพลง Elephant (大象) เมโลดี้สวยงามและการประสานเสียงของเด็ก ๆ ในเพลงนี้ทำให้ความรู้สึกที่เหมือนโดน ‘ช้างนั่งทับ’ มาตลอดทั้งเรื่อง แปรเปลี่ยนมาเป็นความเห็นใจและเข้าใจในการกระทำของแต่ละตัวละคร เพราะสิ่งที่พวกเขาได้พบเจอมันทั้ง ‘ยิ่งใหญ่’ ‘หนักหน่วง’ และความเจ็บช้ำพวกนั้นมันทำให้ ‘ยากที่จะลุกไปไหน’ จริง ๆ
ผลปรากฏว่าเราก็ได้รับรู้ความหนักอึ้งและรู้สึกทรมานครบตามเวลา แม้จะรับความบีบคั้นในเรื่องไม่ไหว แต่เราก็ไม่ได้ลุกไปไหนเพราะอยากรู้ว่าตัวละครจะรับมือกับสถานการณ์ที่ค่อย ๆ เลวร้ายลงเรื่อย ๆ ยังไง กับอีกใจที่ยังมีความหวังจะได้เห็นแง่งามของความเป็นมนุษย์ในเรื่องนี้บ้าง
An Elephant Sitting Still ไม่ใช่หนังที่มองว่าความเศร้าเป็นเรื่องสวยงาม และมันไม่เคยสวยงาม หู ปอ ได้จำกัดความว่า ‘ความเศร้า’ ก็คือ ‘ความเศร้า’ และหนังเรื่องนี้ก็ทำให้เรารู้สึกว่า ความเศร้าเป็นความรู้สึกอันยาวนานราวกับจะคงอยู่ไปตลอดกาล