From Actor to Musician เพราะความรู้สึกหลอกกันไม่ได้ นักแสดงเหล่านี้จึงขอเล่นเองทุกโน้ตเมื่อรับบทนักดนตรี
- Writer: Chawanwit Imchai
เพราะความรู้สึกหลอกกันไม่ได้ นักแสดงเหล่านี้จึงขอเล่นเองทุกโน้ตเมื่อรับบทนักดนตรี
ในการทำหนังที่มีซีนเล่นดนตรีก็มีวิธีการตัดต่อที่ทำให้นักแสดงดูเหมือนว่าเล่นเป็นจริง ๆ หนึ่งในนั้นคือการลำดับภาพโดยให้คนดูเห็นมือเล่นเครื่องดนตรีในบริเวณที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำ แล้วตัดกลับมารับอารมณ์จากสีหน้าของนักแสดง ซึ่งทำให้สมองของคนดูประกอบภาพต่าง ๆ เหล่านั้นขึ้นมาเป็นภาพใหญ่ภาพเดียว และเชื่อว่านักแสดงคนนั้นเล่นดนตรีได้ ซึ่งยืนยันด้วยเสียงเล่นเครื่องดนตรีจากนักดนตรีอาชีพที่ถูกนำมาวางแทนที่เสียงอัดจากโลเคชัน เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำเมื่อนักแสดงคนนั้นเล่นสด ๆ ตอนถ่ายไม่ได้ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม
แต่โลกของวงการภาพยนตร์นั้นเต็มไปด้วยคนที่หลงใหลในความสมบูรณ์แบบ นักแสดงสาย method acting ที่เชื่อว่าความรู้สึกในการเล่นดนตรีมันหลอกด้วยการตัดต่อไม่ได้ จึงปฏิเสธการใช้ตัวแสดงแทนด้วยการเสียสละทั้งเวลานอนและชีวิตส่วนตัวเพื่อฝึกเล่นเครื่องดนตรีตามบทที่รับมาให้ได้เป๊ะ ๆ ทุกตัวโน้ตแบบ 100% เพื่อให้อารมณ์ของบรรยากาศตรงนั้นส่งมาถึงผู้ชมเต็ม ๆ
พวกเขาไม่ได้แสดงเป็นนักดนตรี แต่เป็นนักดนตรีในบทที่กำลังแสดงสดอยู่หน้ากล้อง
Walk The Line (2005)
กำกับโดย James Mangold หนังว่าด้วยชีวิตของ Jonny Cash ผู้เป็นตำนานนักดนตรีคันทรีของโลกนี้ รับบทโดย Joaquin Phoenix คนเหงาจากเรื่อง ‘Her’ และ June Carter ผู้หญิงที่อยู่เคียงข้างทั้งบนและล่างเวที รับบทโดย Reese Whitherspoon ทั้งสองเล่นสด ๆ ทุกซีนตามที่ผู้กำกับฝันไว้ว่าจะไม่อัดเสียงทับทีหลัง ทั้งคู่หัดเล่นกีตาร์และออโต้ฮาร์ปจากศูนย์ และวาคินก็ได้รางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมไปครอง
Ray (2004)
Jamie Fox รับบทเป็น Ray Charles อัจฉริยะเปียโนตาบอดที่ทำให้โลกรู้จักกับเพลง r&b เขาใช้วิธีการ method acting เพื่อผลลัพท์ที่ดีที่สุด โดยใช้ชีวิตแบบคนตาบอดจริง ๆ ตั้งแต่ไปเรียนภาษาเบรลล์ เพื่ออ่านบทที่ขอให้พิมพ์เป็นภาษาเบรลล์ จนไปให้สุดด้วยการปิดตาด้วยซิลิโคน 12 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อให้ได้ความรู้สึกแบบ เรย์ ชาร์ลส จริง ๆ ถึงตรงนี้ก็คงไม่ต้องบอกนะว่าเขาจัดการกับซีนเล่นเปียโนอย่างไร
The Pianist (2002)
เป็นอีกเรื่องที่ทำให้ชื่อของผู้กำกับชั้นครูที่ครูฟิล์มก็นำมาสอนในคลาสอีกที Roman Polanski ไปอยู่ในใจของนักเรียนฟิล์มก่อนที่เรื่องคุกคามทางเพศจะแดงขึ้นมา ว่าด้วยการเอาชีวิตรอดของ Wladyslaw Szpilman นักเปียโนประจำสถานีวิทยุชาวยิว/โปลิช ที่พลัดหลงกับครอบครัวระหว่างหลบหนีการกวาดล้างยิวของนาซี รับบทโดย Adrien Brody ซึ่งเป็นอีกคนที่ใช้วิธีการเข้าถึงตัวละครแบบ method acting ทำให้เขาขายเกือบทุกอย่างในอพาร์ตเมนต์ ขายรถ ไม่ดูทีวี และอดอาหารเพราะอยากเข้าใจว่าคนที่สูญเสียทุกอย่างเป็นอย่างไร และแน่นอน ซ้อมเปียโนอย่างหนักจนเล่นเพลงของ Chopin สด ๆ ในซีนได้ และก็ทำให้เขาได้รางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในวัย 29 ปี
La La Land (2017)
หลังจากผู้กำกับ Damien Chazelle หวดคนดูเกือบตายใน ‘Whiplash’ ไปแล้ว ก็มาตบหน้าด้วยเรื่องราวจากความจริงของชีวิตอีกครั้งใน ‘La La Land’ โดยมี Ryan Gosling รับบทเป็น Sebastian นักเปียโนที่ให้แจ๊ซนำทางชีวิตในเมืองแห่งความฝันนามลอสแองเจลลิส และ Emma Stone ที่เส้นทางสู่ฮอลลีวู้ดของเธอมาพาดผ่าน Seb พอดี
ไรอันเริ่มหัดเล่นเปียโนจากศูนย์ เขาใช้เวลาเรียนเปียโน 2 ชั่วโมงต่อวัน 6 วันต่อสัปดาห์ เพียง 3 เดือนก่อนถ่ายทำ สำหรับเราถือว่าบ้าคลั่งมาก ๆ ถ้าฟังจากแต่ละซีนในหนัง เพราะความยากระดับนั้นกับคนที่เริ่มจากศูนย์มันดูจะเป็นไปไม่ได้เลยในเวลาแค่นี้ แต่ไรอันก็พิสูจน์ไปแล้วว่าขีดจำกัดของมนุษย์ไม่มีอยู่จริงเมื่อสิ่งที่ต้องการคือความสมบูรณ์แบบ
เกิดเป็นคนทั้งทีก็ต้องทำอะไรให้มันสุด ๆ แบบนี้แหละ ยิ่งถ้าสิ่งนั้นนำไปสู่อาชีพที่เรารักหรือความฝันที่อยากให้เป็นจริงด้วยแล้วก็ยิ่งไม่ต้องยั้ง จะทำได้หรือไม่ได้ไม่มีความหมายเพราะวันหนึ่งคนมันก็ลืมแล้ว เหลือแค่ตัวเราเท่านั้นที่รู้ว่าที่ผ่านมาทำดีที่สุดแล้วหรือยัง