Spoken Word: ชวนฟังเพลงที่อยู่ ๆ ก็หยุดร้องแล้วก็พูดขึ้นมาซะงั้น
- Writer: Malaivee Swangpol
Spoken Word คือเพลงที่ร้อง ๆ อยู่แล้วอยู่ดี ๆ ก็เงียบแล้วพูดขึ้นมา หรือบางทีไม่ร้องอะไรให้เราฟังทั้งนั้น จะพูดอย่างเดียว ซึ่งวันนี้ฟังใจซีนจะชวนมาเปิดโลก ฟังเพลง spoken word หลากแนวกันซักหน่อยจ้า
Blur — Parklife
ซิงเกิ้ลที่ 3 จาก Park Life อัลบั้มที่ 3 ของวง Blur โดยเพลงนี้เล่าเรื่องโดย Phil Daniels ซึ่งมาเล่นใน mv ด้วย นอกจากท่อนพูดแล้ว สิ่งที่ทำให้เพลงนี้ดังจนติดชาร์ตอันดับ 10 และเป็นซิงเกิ้ลที่ขายดีที่สุดในอัลบั้ม ก็คือท่อนฮุคที่จำได้ง่ายดายอย่าง ‘all the people so many people’ ซึ่งคำว่า ‘parklife’ ในเพลงนี้มาจากย่านที่ Damon Albarn นักร้องนำเคยอาศัยอยู่ ก็คือ Kensington Church Street ซึ่งเขาต้องจอดรถทุกวัน ระหว่างจอดรถก็ชมนกชมไม้ไป อย่างในท่อน ‘I feed the pigeons, I sometimes feed the sparrows too. It gives me a sense of enormous well-being’
Tom Misch — Movie
เพลงฮิตจากเจ้าพ่อเพลง r&b pop นุ่ม ๆ เขาได้ให้พี่สาวของเขา Polly มาพูดเปิดเพลงด้วยข้อความที่เหมือนมากับภาพยนตร์ดราม่าอกหักรุ่นปู่ย่า อย่าง ‘He walks along the platform as if in a dream, ever fiber in me wants to shout and scream, ‘Stop!’ To run across to him, take him in my arms, to tell him ‘I love you! You silly, silly man, I love you!’ But instead I stand still, heart cracking.’ ซึ่งใน mv ก็เพิ่มความวินเทจด้วยฟุตเทจของคุณปู่คุณย่าของเขา Margriet และ Klaus จากการท่องเที่ยวยุโรปในปี 1945
The 1975 — The 1975
เพลงเปิดจากอัลบั้ม Notes On A Conditional Form โดยเป็นเพลงที่ 3 ของวงที่ใช้ชื่อเพลงว่า The 1975 ซึ่งคราวนี้ไม่ได้มากับเสียงร้องอันคุ้นเคยของ Matty Healy แต่เป็นเสียงของสาว Greta Thunberg นักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมวัยรุ่นซึ่งได้สร้างแรงกระเพื่อมให้ผู้ใหญ่ได้รู้ตัวว่าทำร้ายโลกมาแค่ไหน โดยวงนำเสียงของเธอมาจากสปีชในงาน World Economic Forum เมื่อเดือนมกราคมปี 2018 กับประโยคเปิดที่ว่า “We are right now in the beginning of a climate and ecological crisis. And we need to call it what it is. An emergency.” ที่สำคัญคือวงไม่ได้เอาความรักษ์โลกมาขายผ่านเพลงอย่างเดียว แต่ค่าย Dirty Hit ของวงก็เตรียมจะเลิกขายซีดีในกล่องพลาสติก และไวนิลแบบ heavy weight ซึ่งเปลืองพลังงานในการผลิตด้วยจ้า
Coldplay — Kaleidoscope
เพลงลำดับที่ 7 จากอัลบั้ม A Head Full Of Dreams ซึ่งมีความยาวเพียงแค่ 1:51 นาที โดยเพลงนี้นอกจากเสียงเปียโนเพราะ ๆ เพลิน ๆ ก็มีบทพูดจากกลอนเรื่อง The Guesthouse ที่เขียนโดยกวีชาวเปอร์เซีย Jallaludin “Molana” Rumi บางส่วนของบทกวีก็พูดถึงวิธีการมองชีวิตได้น่าสนใจ ‘This being human is a guest house, every morning a new arrival, a joy, a depression, a meanness, some momentary awareness comes as an unexpected visitor’ ซึ่งในเพลงก็อ่านโดย Coleman Barks นักแปลชาวอเมริกันผู้เผยแพร่งานของ Rumi นอกจากนี้ยังมีเสียงของอดีตประธานาธิบดี Barack Obama ร้องเพลง Amazing Grace ในตอนท้ายเพลงอีกด้วย
Morrissey — Sorrow Will Come in the End
นักร้องผู้ไม่กินเนื้อคนนี้เคยแพ้คดีเรื่องส่วนแบ่งรายได้ที่สู้กับเพื่อนร่วมวง The Smiths Mike Joyce ซึ่งนอกจากเขาแพ้คดี ต้องจ่ายเงินให้กับเพื่อนร่วมวงแล้ว ความเจ็บปวดก็คือการโดนผู้พิพากษาบอกว่าเขาเป็นคน “สับปลับ ก้าวร้าว และไว้ใจไม่ได้” ทำให้เขาแต่งเพลง Sorrow Will Come in the End ออกมาด้วยความแค้นเพื่อเป็นการตอบโต้การแพ้คดี ซึ่งเนื้อเพลงกับเสียงพูดตลอดทั้งเพลงก็จองล้างจองแค้นมากอย่าง ‘Don’t close your eyes, don’t ever close your eyes. A man who slits throats has time on his hands, and I’m gonna get you’ แถมความเซ็งระลอกสุดท้ายก็คือ ค่ายไม่ยอมให้เขาปล่อยเพลงนี้กลัวจะโดนฟ้องหมิ่นประมาท ก็ทำให้เขาต้องหอบเพลงนี้ย้ายค่ายจนได้วางจำหน่ายเพลงนี้กับอัลบั้ม Maladjusted ในที่สุด
Radiohead — Fittier Happier
เพลงที่ใช้โปรโมตอัลบั้ม Ok Computer และยังเป็นเพลงที่สรุปเรื่องราวของอัลบั้มได้อย่างครอบคลุม โดย Thom Yorke นักร้องนำเขียนเพลงนี้ขึ้นหลังจากเกิดอาการ writer’s block (คิดงานไม่ออก) เป็นเวลาสามเดือนเต็ม ๆ เขาได้แต่เขียนคำ แต่ไม่สามารถเขียนประโยคออกมาได้ ซึ่งพอมันเข้ามาในหัว เขาก็วิ่งขึ้นบันไดแล้วพิมพ์ลงไปในคอมจนเสร็จภายใน 10 นาทีด้วยความตื่นตระหนกและสติหลุด ซึ่งเขาก็ได้ให้ Fred โปรแกรมพูด (text to speech) ของ Macintosh เป็นคนพูดในเพลงนี้ ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจก็คือว่า ถึงจะผ่านมา 22 ปีแล้ว แต่เพลงนี้ยังคงสะท้อนความเป็น modern society ใต้คำว่า Fitter Happier ที่ทุกคนต้องทำตัวให้เนี้ยบเสมอ พบปะเพื่อน ๆ เป็นประจำ มีสัมพันธไมตรีกับเพื่อนร่วมงาน ไม่ทานอาหารขยะ ขับรถดี แต่ในอีกมุมมันก็กลับมาทำร้ายคุณเองเพราะต้องเก็บอารมณ์ความรู้สึก ‘อย่างที่มนุษย์พึงมี’ ไว้ภายใน จะแสดงความอ่อนแอให้ใครเห็นไม่ได้ ก่อนจะปิดท้ายด้วยประโยค ‘A pig in a cage on antibiotics’ เปรียบมนุษย์สุดเพอร์เฟ็คในเพลงว่าก็เป็นแค่หมูในคอกที่โดนอัดยาปฏิชีวนะลงคอ โดนสังคมหลอกว่าควรจะทำตัวอย่างไร และคิดว่านั่นคือสิ่งที่ดี แต่ไม่รู้หรอกว่านั่นคือกรงที่ขังคุณไว้ไม่ให้มีอิสระตลอดไป
Bob Dylan — the Ballad of Frankie Lee and Judas Priest
เพลง spoken word แนวบัลลาดความยาวห้านาทีครึ่งที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับวงเมทัล Judas Priest เอาไปตั้งชื่อวง โดยเพลงนี้เล่าเรื่องของ Frankie Lee ซึ่งเป็นคนจน กับ Judas Priest ซึ่งเป็นคนโอบอ้อมอารี ซึ่งเขาได้มอบเงินให้กับ Frankie Lee ก่อนจะบอกให้ไปหาที่ Paradise ซึ่งเป็นบ้านที่มีหญิงสาว 24 คน โดยเขาก็อยู่ที่บ้านนั้นจนครบ 17 วันและตายด้วยความ ‘ต้องการ’ อันมากล้น ก่อนจะสอนใจตอนท้ายด้วยการบอกว่า ‘The moral of this song is simply that one should never be where one does not belong’ ซึ่งเพลงนี้ก็เป็นที่ถกเถียงเรื่องกับเนื้อหาเช่นเดียวกับเพลง Bob Dylan หลากหลายเพลง ส่วนมากจะมีการตีความไปเรื่องศาสนา เรื่องเหนือธรรมชาติ เช่นมุมที่ Frankie Lee คือพระเจ้า ที่ถูกล่อลวงโดยด้านมืดก็คือ Judas Priest จนเสียท่าและพ่ายแพ้กับกิเลส หรือบางคนก็ตีความว่าเป็นเรื่องเขากับผู้จัดการ Albert Grossman ที่มีปัญหาแบ่งรายได้ไม่ลงตัว โดย Judas Priest ก็คือผู้จัดการที่แบ่งเศษเงินมาให้คนจน ๆ อย่างเขา ก่อนจะล่อลวงให้ทำงานจนร่างกายย่ำแย่
อ่านต่อ
Industrial Music เสียงแห่งกระแสสำนึกเพื่อตอบโต้ยุคสมัยแห่งจักรกล
The Boston Typewriter Orchestra กลุ่มศิลปินที่เอาเครื่องพิมพ์ดีดมาสร้างเสียงดนตรี
รวมเพลงปลุกใจ ซับหยาดเหงื่อของคนรักงาน ก่อนตื่นเช้าไปลุยต่อในวันจันทร์
6 วงอินดี้ที่คุณอาจไม่รู้ว่าได้ชื่อมาจากหนัง