อัลบั้มนี้ขายได้เท่าไหร่? รวมหนทางหารายได้จากแผ่นเสียงวงอินเตอร์ที่เรามี
- Writer: Malaivee Swangpol
- Visual Designer: Karin Lertchaiprasert
ข้าวยากหมากแพงแบบนี้ อะไร ๆ ที่เป็นของนอกกายก็พร้อมที่จะถูกแปรเปลี่ยนเป็นเงินได้ง่าย ๆ ซึ่งสำหรับสายดนตรีแล้ว เราก็ล้วนรู้ว่า แผ่นเสียง จำนวนมากที่วางกอง ๆ อยู่นั้นมีค่า Fungjaizine เลยขอเปิดโพยราคาแผ่นที่น่าเอามาขายกินในช่วงนี้จ้า
หมายเหตุ: ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการรวบรวมข้อมูลราคาจากเว็บไซต์ Discogs.com ในเดือนพฤษภาคม 2020 เท่านั้น อาจมีการเปลี่ยนแปลงราคาขึ้นลงได้ภายหลัง และเราขอแนะนำให้อ่านบทความนี้ ไวนิล 101: รวมศัพท์ฉบับคนหัดสะสมแผ่นเสียง อ่านปุ๊บเปย์ได้เลย เพื่อเพิ่มความเข้าใจในศัพท์แผ่นเสียงสำหรับใครที่ยังมือใหม่
แผ่นเสียง ยุคพ่อเล่น
The Beatles – Sgt. Pepper’s Lonely Hearts Club Band (1967)
ราคาขายที่แพงที่สุด: €309.65 (ประมาณ 10,810 บาท)
ราคาขายกลาง: €56.10 (ประมาณ 1,960 บาท)
สตูดิโออัลบั้มลำดับที่ 8 ของ The Beatles ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในอัลบั้มอมตะ โดยทั้งเพลงและอาร์ตเวิร์กก็เป็นที่ถูกใจสายไซเคเดลิกด้วยอาร์ตหลอน ๆ ย้วย ๆ สีสด ๆ และเพลงที่สามารถตีความไปในแง่สารเคมีหลอนประสาทได้หลายเพลง ซึ่ง pressing ที่ทำราคาได้ถึง 10,810 บาท คือ 1st UK pressing สังเกตได้จากตัวเลข PMC 7027 ด้านหลังปก โดยตัวปกเปิดแบบ gatefold ซองใส่แผ่นเสียงเป็นเส้นสีแดงสลับขาว มีแผ่นกระดาษให้ตัดรูปต่าง ๆ ออกมาเล่นได้ (เหมือนตุ๊กตากระดาษ) และมีประโยคที่ว่า Sold in the U.K. Subject To Resale Price Conditions, See Price Lists ในเลเบลตรงกลางแผ่น พร้อมคำว่า Made in Gt. Britain อย่างไรก็ดี ถึงจะเป็น pressing นี้ แต่ถ้าปกสภาพแย่มากก็อาจจะขายได้แค่เพียง 195 บาทเท่านั้น
ไปส่องได้ที่ discogs.com/The-Beatles-Sgt-Peppers-Lonely-Hearts-Club-Band/release/499497
Prince – The Black Album (1994)
ราคาขายที่แพงที่สุด: €250.24 (ประมาณ 8,740 บาท)
ราคาขายกลาง: €118.29 (ประมาณ 4,130 บาท)
อัลบั้มปกดำในตำนานของ Prince นักร้องผู้ล่วงลับ โดยในตอนแรกอัลบั้มนี้จะวางจำหน่ายในปี 1987 แต่เขาสั่งให้ยกเลิกหนึ่งสัปดาห์ก่อนวาง ทำให้ต้องรอถึง 7 ก่อนจะได้วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในปี 1994 แบบลิมิเต็ด นั่นก็คือ pressing นี้นี่เอง ทำให้ราคาไปสูงถึง 8,740 บาท รหัสของอัลบั้มนี้คือ 9362-45793-1 ผลิตในเยอรมนีโดย WARNER Music MFG. Europe ทั้งปกและทั้งซองใส่แผ่นมีสีดำล้วน จะมีสีก็แค่จากสติกเกอร์บนปกและบาร์โค้ดเท่านั้น โดยตรง runout (พื้นที่ว่างที่อยู่ระหว่าง groove เสียง กับเลเบล) มีการปั๊มคำว่า Hü และเลขจำนวนนึง
ไปส่องได้ที่ discogs.com/Prince-Black-Album/release/605413
Pink Floyd – The Dark Side Of The Moon (1973)
ราคาขายที่แพงที่สุด: €355.12 (ประมาณ 12,420 บาท)
ราคาขายกลาง: €114.00 (ประมาณ 3,990 บาท)
หนึ่งในอัลบั้มขายดีที่สุดตลอดกาล ซึ่งสำหรับคนเล่นแผ่นเสียงใครไม่มีอัลบั้มนี้เหมือนยังไม่บรรลุธรรม โดยในโลกนี้มีอัลบั้ม The Dark Side Of The Moon มากกว่า 900 เวอร์ชั่น นับว่าเยอะมาก ๆ เมื่อเทียบกับอัลบั้มอื่น ๆ โดย pressing ที่คนเฝ้าตามหานั่นคือ original pressing รหัส SHVL 804 โดยค่าย Harvest ซึ่งตรงเลเบลจะมีรูปสามเหลี่ยมสีฟ้า แทนที่จะเป็นแค่กรอบสามเปลี่ยมเฉย ๆ มีโปสเตอร์กับสติกเกอร์อย่างละ 2 ชิ้น ส่วนอีก pressing หนึ่งที่ราคาดีคือของประเทศ Guatemala รหัส 3325 ที่ตรงเลเบลเป็นสีเขียว
ไปส่องได้ที่
1st pressing discogs.com/Pink-Floyd-The-Dark-Side-Of-The-Moon/release/1873013
Guatemala discogs.com/Pink-Floyd-The-Dark-Side-Of-The-Moon/release/8739789
Led Zeppelin – Led Zeppelin (1969)
ราคาขายที่แพงที่สุด: €1,220.73 (ประมาณ 42,630 บาท)
ราคาขายกลาง: €921.15 (ประมาณ 32,165 บาท)
อัลบั้มแรกจาก Led Zeppelin ที่เดิมจะใช้ชื่อ The New Yardbirds แต่ไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ชื่อ ทำให้เราได้จดจำพวกเขาในนามเรือเหาะ ซึ่ง pressing แรก รหัส 588171 ก็มีแตกต่างกันถึง 6 เวอร์ชั่นด้วยกัน ความเหมือนกันคือบนเลเบลจะเป็นสีแดง/ม่วง แต่ในเวอร์ชั่น 1 และ 2 ตัวอักษรบนปกจะเป็นสีฟ้าใส (turqoise) ซึ่งถ้าใครมีหรือบังเอิญคุ้ยเจอ ก็เหมือนกับเจอทองคำ เพราะราคาไม่ต่ำไปกว่า 50,000 บาทแน่นอน!
ไปส่องได้ที่ discogs.com/Led-Zeppelin-Led-Zeppelin/release/1218217
The Who – Who’s Next (1971)
ราคาขายที่แพงที่สุด: €95.00 (ประมาณ 3,310 บาท)
ราคาขายกลาง: €16.65 (ประมาณ 580 บาท)
อัลบั้มนี้เดิมตั้งใจให้เป็นร็อกโอเปร่าต่อจากอัลบั้ม Tommy (1969) ในชื่อ Lifehouse แต่อย่างไรก็ดี ด้วยความซับซ้อนของตัวอัลบั้มและปัญหาที่เกิดกับผู้จัดการวง ให้ทำโปรเจกต์ถูกพับไป แล้วเลือกมาเป็นบางเพลงมาใส่ใน Who’s Next ซึ่งมีปกสุดกวนที่เลียนแบบ monolith ในภาพยนตร์เรื่อง ‘2001: A Space Odyssey’ ซึ่ง pressing ที่ผู้คนตามหา แน่นอนว่าเป็น 1st UK pressing รหัส 2408 102 ในปี 1971 แต่ไม่ใช่แค่นั้น ยังมีความพิเศษคือ อัลบั้มที่ขายในวันแรกที่วางจำหน่าย จะมีตัวเลข 0871 ปั๊มอยู่บนซองใส่ แผ่นเสียง ทำให้ถ้ามี ราคาอาจสูงได้ถึง 20,000 บาทเลยทีเดียว
ไปส่องได้ที่ discogs.com/The-Who-Whos-Next/release/487464
แผ่นเสียง ยุคลูกเล่น
Oasis – (What’s The Story) Morning Glory? (1995)
ราคาขายที่แพงที่สุด: €268.45 (ประมาณ 9,375 บาท)
ราคาขายกลาง: €138.97 (ประมาณ 4,850 บาท)
อัลบั้มที่มีเพลงอมตะอย่าง Wonderwall, Don’t Look Back In Anger และ Champagne Supernova ซึ่งมี pressing จากโรงงานผลิตแผ่นเสียงเก่าแก่ 2 โรงงานในอังกฤษ คือ MPO (ที่ทำราคาได้มากกว่านิดหน่อย) และ Damont ซึ่งก็เป็นที่นิยมของนักสะสมทั้งคู่ โดยจะมาในแผ่น heavyweight เคลือบ แต่ซองใส่แผ่นเสียงของโรงงาน MPO จะมีการไดคัตให้มองเห็นทะลุเข้าไปที่เลเบลของแผ่น ในขณะที่ของ Damont จะเป็นซองทึบไปเลย และจะมีการปั๊มเลข CRELP189 รวมถึงคำว่า DAMONT ตรง runout อีกด้วย ซึ่งก่อนจะดีใจที่คุ้ยแผ่นเจอ ก็อย่าลืมระวังแผ่นปลอมด้วยล่ะ เพราะแทบจะเหมือนกันเป๊ะ ยกเว้นปกอัลบั้มที่ดูชัดกว่าต้นฉบับเท่านั้น
ไปส่องได้ที่
MPO pressing discogs.com/Oasis-Whats-The-Story-Morning-Glory/release/7100395
Damont pressing discogs.com/Oasis-Whats-The-Story-Morning-Glory/release/939519
Radiohead – OK Computer (1997)
ราคาขายที่แพงที่สุด: €213.85 (ประมาณ 7,470 บาท)
ราคาขายกลาง: €109.20 (ประมาณ 3,810 บาท)
อัลบั้มที่ 3 จากตัวพ่อแห่งวงการอัลเทอร์เนทีฟ เป็นอัลบั้มที่เริ่มมีความจัดจ้าน ที่ปูทางไปสู่ความ experimental ในอัลบั้มต่อ ๆ มา และแน่นอนว่า pressing ที่เป็นที่นิยมคือ 1st UK pressing แต่มันไม่ใช่แค่เพราะมีความศักดิ์สิทธิ์ของ 1st pressing เท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะ pressing นี้ใช้เทคนิค direct metal mastered เทคนิคจากยุค 80s ซึ่งเป็นการปั๊มมาสเตอร์ของอัลบั้มลงในแผ่นทองแดงแทนที่จะเป็นอลูมิเนียม ทำให้เสียงของแผ่นมีความแหลม สว่าง และอาจจะฟังแล้วเมื่อยหูมากกว่าปกติ โดยจะมีตัว D ปั๊มอยู่ตรง runout ของแผ่น และมีรหัส NODATA 02 หรือ 7243 8 55229 1 8
ไปส่องได้ที่ discogs.com/Radiohead-OK-Computer/release/4950798
Tame Impala – Tame Impala (2008)
ราคาขายที่แพงที่สุด: €109.20 (ประมาณ 3,810 บาท)
ราคาขายกลาง: €59.15 (ประมาณ 2,065 บาท)
EP ที่ 2 สุดลิมิเต็ดของ Tame Impala ซึ่งรวมเพลงที่ Kevin Parker ผู้ก่อตั้งวงทำไว้ตั้งแต่ปี 2003-2008 โดยมีเพลงอย่าง Desire Be Desire Go, Half Full Glass of Wine และ Skeleton Tiger และขึ้นไปถึงอันดับหนึ่งบนชาร์ต Australian Independent Record Labels ซึ่ง แผ่นเสียง 10″ ที่ผลิตเป็น 1st pressing รหัส MODVL107 ก็ผลิตมาอย่างจำกัดแค่ 500 แผ่นเท่านั้น ทำให้ราคาที่มีคนตั้งล่าสุดตอนนี้สูงถึง 47,000 บาทเลยทีเดียว ส่วนอีก pressing ที่ก็ไม่ได้ทำมาน้อย ๆ แต่ก็เป็นที่ตามหากันมากนั่นคือของ US Record Store Day ของปี 2013 รหัส MODVL174 ซึ่งผลิตมา 5,000 แผ่น กับแผ่นเสียงสีแดงสวยงาม ซึ่งเคยขายในราคาสูงถึง 3,825 บาท และตอนนี้ก็มีการตั้งราคาไว้ถึงกว่า 6,370 บาท
ไปส่องได้ที่
1st Australian Pressing discogs.com/Tame-Impala-Tame-Impala/release/1752616
US Record Store Day 2013 discogs.com/Tame-Impala-Tame-Impala/release/4494660
Amy Winehouse – Back To Black (2006)
ราคาขายที่แพงที่สุด: €44.66 (ประมาณ 1,555 บาท)
ราคาขายกลาง: €29.99 (ประมาณ 1,045 บาท)
ผลงานชุดที่ 2 ของนักร้องโซล r&b แห่งยุคสมัย ซึ่งเนื้อหาเล่าเรื่องชีวิตของเธอที่วนเวียนอยู่กับการดื่มเหล้า ยาเสพติด และเซ็กส์ โดยมีเพลงอย่าง Rehab, You Know I’m No Good และ Back to Black อัลบั้มนี้พาเธอไปชนะรางวัลแกรมมี่ถึง 5 รางวัล ซึ่งถึงแม้ pressing ต่าง ๆ ของเธออาจจะไม่ได้ขายได้ราคาพุ่งกระฉูดแบบที่เรานำเสนอไปด้านบน แต่มี pressing หนึ่งที่เราอยากเล่าให้ฟัง นั่นคือ pressing รหัส 173 412 8 ในปี 2007 ที่เกิดการปั๊มผิด โดยหน้า B มาอยู่ที่หน้า A ด้วย ทำให้ทั้งแผ่นมีแค่เพลงในหน้า B โดยราคาก็จะสูงกว่า pressing อื่น ๆ เล็กน้อย ดังนั้นถ้าบังเอิญเพิ่งได้แกะฟังแล้วซ้ำกัน 2 หน้า โอกาสเก็บของแรร์สุด ๆ หรือขายก็อยู่ตรงหน้าแล้วจ้า
ไปส่องได้ที่ discogs.com/Amy-Winehouse-Back-To-Black/release/9802872
Billie Eilish – Don’t Smile At Me (2017)
ราคาขายที่แพงที่สุด: €227.49 (ประมาณ 7,940 บาท)
ราคาขายกลาง: €123.73 (ประมาณ 4,320 บาท)
ถึงแม้ EP นี้จะเพิ่งปล่อยในปี 2017 แต่ด้วยความที่แผ่นสีเหลืองนี้มีวางแผนแค่ที่ร้าน Urban Outfitters ในสหรัฐอเมริกาเพียง 1,500 แผ่นเท่านั้น ทำให้ชาวเน็ตตามหากันให้ทั่ว (ในคอมเมนต์ใน discogs คือตามหาแผ่นราคาถูกกันรัว ๆ แต่เสียใจด้วย ไม่มีแล้วจ้า) โดยถ้าใครอยากมีไว้ครอบครอง ไปฟังเพลง idontwannabeyouanymore หรือ ocean eyes เพลิน ๆ ก็กำเงินเฉียดหมื่นรอกดไว้ได้เลย หรือสำหรับแฟนคลับที่มีอัลบั้ม When We All Fall Asleep Where Do We Go? แผ่นเขียวสะท้อนแสงไว้ในครอบครอง ก็อาจสร้างรายได้ให้คุณเฉียด 3,500 บาทเลยทีเดียว
ไปส่องได้ที่ discogs.com/Billie-Eilish-Dont-Smile-At-Me/release/10918077
อ่านต่อ
ไวนิล 101: รวมศัพท์ฉบับคนหัดสะสมแผ่นเสียง อ่านปุ๊บเปย์ได้เลย
ร้านแผ่นเสียงในเมืองต่าง ๆ ทั่วโลก ที่ถ้าไปเยือนก็ควรแวะซักครั้ง (ตอนที่ 1)
Ocean Vinyl — ชุบชีวิตขยะทะเล ให้กลายเป็นไวนิล!
อย่าลองดีกับป้าโด! เปิดตำนานร้านเทป ซีดีโดเรมี ที่เด็กสยามต่างเคยไปเยือน