‘UNEMPLOYMENT’ อัลบั้มเต็มที่ 2 จาก ‘H 3 F’ 7 เพลงจากคนว่างงาน ในช่วงเวลาที่วงการดนตรีถูกแช่แข็ง
- Writer: Donratcharat Phromsoonthornsakul / Jiratchaya Srisuwan
- Visual Designer: Nan Chanikarn
นับเป็นเวลากว่า 3 ปีหลังจาก ‘Family Product’ อัลบั้มแรกของทั้ง 4 หนุ่ม ก้อง แม็ค ปิง และหม่อม หลังจากจัดงานเปิดอัลบั้มแรกไป ก็พบกับโรคระบาดที่ไม่มีใครคาดฝันจะให้มันเกิด จนวงการดนตรีค่อย ๆ ก้าวเข้าสู่คำว่าแช่แข็ง จนเป็นเวลาร่วม 3 ปีแล้วที่มันถึงจุดเยือกแข็งจริง ๆ กว่าจะออกมาเป็น ‘UNEMPLOYMENT’ ที่เราได้ฟังกันก็เกิดเรื่องราวมากมาย
หากคุณเห็นปกอัลบั้มที่เป็นรูป ATK พร้อมกับสองขีดสีแดง นั่นไม่ใช่การม็อคอัพ เพราะมันเกิดขึ้นจริงกับสองสมาชิกในวง ไม่มีตัวแสดงแทนเลยในความจริงที่ต้องเผชิญนี้ ทั้งการว่างงาน การเจ็บป่วย ไม่มีเงิน แต่สุดท้ายก็ยังสู้สุดใจปล่อยอัลบั้มเต็มที่สองนี้ออกมาให้เราฟัง งั้นเราไปฟังกันเลยดีไหม?
ฟัง UNEMPLOYMENT ได้แล้วที่นี่
Waste My Time
เพลงเปิดอัลบัมที่โซโล่เดือดดาล กรูฟชวนขยับ เป็นการกลับมาพร้อมกับความแสบสันในเพลงตั้งแต่เนื้อร้องไปยันดนตรี ตลอดเวลา 2.30 นาที ถือว่าเร็วเกินไปสำหรับเพลงนี้ แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้ต้องกดเล่นซ้ำไปจนกว่าจะพอใจจริง ๆ ตั้งแต่โซโล่อันเดือดดาล ตามด้วยเบสดึบ เพิ่มกรูฟ ตบด้วยกลองที่ดิ้นเข้าหูทุกหมัด
เมื่อรวมด้วยเนื้อเพลงและเสียงร้องจากก้อง ก็ออกมาสะหูสะใจราวกับได้ปลดปล่อยอะไรที่ถูกเก็บไว้ในใจมาเป็นเวลานานออกมาเสียที ทำให้เราคิดถึง Ain’t Coming Home ได้ไม่ยาก เป็นอีกด้านที่เราประทับใจในเพลงของ H 3 F มาเสมอ และเชื่อว่าเมื่อฟังจบก็อดที่จะกดฟังเพลงต่อไปแทบไม่ไหวเลยเช่นกัน
Tell Me (The Reason Why?)
ก่อนโควิดจะหนักจนวงการดนตรีถูกแช่แข็ง 100% เช่นนี้ เราเคยได้มีโอกาสได้ดู H 3 F เล่นที่ De Commune วันนั้นเป็นวันแรกที่เราได้ฟังเพลงนี้ ตัววงเองก็ยังแซวว่า ชื่อเพลงแรกที่คิดมันคือ Tell Me เหมือนชื่อเครื่องสำอางเลย พอวันปล่อยจริง ๆ อาจไม่ใช่ชื่อนี้ก็ได้ (ขำ) แล้วสุดท้ายก็ยังคงเป็น Tell Me ดังเดิม ประทับใจ!
ฟังครั้งแรกก็เชื่อได้ว่าเพลงนี้จะเข้าไปนั่งอยู่ในใจใครหลาย ๆ คน ด้วยเมโลดี้ที่แคทชี่จับใจ เนื้อเพลงที่รวบรวมความสับสนในหัวและรอคำตอบ พอเปลี่ยนโปรเกรสชันแล้วดึงความหน่วง ๆ เข้ามาในเพลงนี่ก็ปล่อยให้ล่องลอยไหลไปตามความคิดในหัวได้จริง ๆ ก่อนจะโหมขึ้นอีกแล้วทิ้งให้เราตกอยู่ในห้วงของเครื่องเป่าที่โดดเด่นขึ้นมากับคอรัสที่เพราะหลาย แล้วค่อยดึงเรากลับไปหาเอาท์โทรกีตาร์ซาวด์คลีน ๆ สำเนียงตามฉบับของก้อง
It’s Alright
เพลงที่พกรอยยิ้มมาให้คนฟังแบบเต็มร้อย กับลูกเล่นในเพลงและเมโลดี้ที่ชวนร้องตามแบบหวาน ๆ น้ำตาลเรียกพี่อีกเช่นเคย กับเรื่องราวของการเชื่อใจ ว่าขอให้เชื่อใจกันอีกสักครั้ง ต่อจากนี้จะไม่ทำให้ต้องเสียใจอีกแล้ว ไม่รู้จะหยิบคำไหนมาพูด ไม่รู้จะเรียงร้อยออกมายังไง แต่ก็อยากให้รู้ว่าจากนี้ ไม่เห็นต้องแซดอะไร ๆ มากมาย เพราะมันจะต้องดีแน่ ๆ ให้เธอใช้เวลากับตัวเองให้เต็มที่เลยแล้วหลังจากนี้มาใช้ชีวิตต่อด้วยกัน
เคลิบเคลิ้มไปกับดนตรีที่คลอไปกับเสียงร้องชวนฝันของก้อง เบสจากหม่อมก็ยังดึบดับเด้งดึ๋งเช่นเคย กีตาร์จากปิงก็ยังชวนฟังไม่แพ้เพลงอื่น ๆ ก่อนหน้านี้ รวมไปถึงกลองจากแม็คที่ลงตัวจนอดขยับตามไม่ได้ เสียงสแนร์ทะลุเข้าหูแบบต้องยิ้มตาม เรียกได้ว่าลวดลายและความขี้เล่นของวงถูกถ่ายทอดออกมาในเพลงได้ลงตัวตามแบบฉบับของสี่หนุ่มจริง ๆ
Hold Me Close
เพลงหวานหูจนชุบชูหัวใจคนฟังเพลงได้เป็นอย่างดีในช่วงเวลาที่ทุกอย่างถูกแช่แข็งเอาไว้ ช่วงอินโทรหวนให้เราคิดถึง Be Your Man มีกลิ่นอายความเป็น H 3 F ที่สูงมากเช่นกันในแง่ของเพลงหวาน ๆ จากพวกเขา เป็นเพลงที่ฟังแล้วอยากฟังซ้ำ จนไม่แปลกใจที่ยอดฟังจะกระเตื้องตามมาติด ๆ กับทั้งสามซิงเกิลที่ปล่อยออกมาให้ฟังกันก่อนหน้านี้ ด้านเนื้อเพลงแน่นอนว่าต้องหวานอยู่แล้ว! พูดถึงความรักที่เราจะไม่ทำให้ผิดหวัง
เหมือนเป็นภาคอ้อนต่อจาก It’s Alright ว่าเราจะไม่ทำให้เธอต้องเสียใจอีก แค่ให้เราอยู่ข้าง ๆ ด้วยกันไปเช่นนี้ จะคิดถึง จะกอดไว้ จะมอบความรัก และจะทำสิ่งเหล่านั้นซ้ำ ๆ ได้โดยที่ไม่มีอะไรให้ลังเล ตามมาด้วยเครื่องเป่าที่เข้ามาโอบอุ้มเราไว้เหมือนตกอยู่ในห้วงภวังค์ความรักดี ๆ นี่เอง ส่วนการดีไซน์เสียงร้องและคอรัสที่เพราะจนย้วยตามตั้งแต่ครั้งแรกที่ฟัง ก็เป็นอีกจุดที่ต้องทำให้เรากลับมาฟังซ้ำจริง ๆ
Clapton
เพียงได้ยินอินโทรก็รู้ทันทีว่าต้องชอบเพลงนี้ เป็นอีกเพลงที่รู้สึกว่าพลาดไม่ได้จริง ๆ สำหรับอัลบัมนี้ เหมือนจะน้อยแต่เอาเข้าจริง เพลงทำงานกับใจเราได้มากกว่าที่คิด เครื่องเป่ากับเครื่องสายอยู่ด้วยกันแบบที่ออกมาสมบูรณ์ต่อหูมาก ๆ ยิ่งช่วงที่ตบเข้าโซโล่ทางบลูส์ ๆ แถมมาด้วยลูกเล่นจากออร์แกนที่โผล่มาทีละน้อย ใจคนรักเพลงนี่น้าฟูขึ้นมาเหมือนได้เจอเพื่อนเก่าผ่านเสียงดนตรี แต่ถ้าให้พูดถึงภาพในหัว ฟีลคงจะเหมือนกับเพลงที่พ่อเคยเปิดให้ฟังบนรถระหว่างทางไปโรงเรียนตอนเด็ก ๆ ละมั้ง
เป็นเพลงที่มีความยาวมากที่สุดในอัลบั้มนี้ แต่สำหรับเรามันไม่น่าเบื่อเลย อีกอย่างที่อยากให้ทุกคนได้สัมผัสคือ การเดินเบสที่ดึบดับยุบยับคิดว่าคงจะถูกใจใครหลายคนเป็นแน่ และหากได้ฟังในวันฟ้าครึ้มคงทำให้หัวใจได้ปลดปล่อยความรู้สึกออกมาได้เป็นอย่างดี
Interlude
ซึมกันต่อกับ Interlude ที่ถูกจัดวางไว้เกือบแทร็กสุดท้ายในอัลบั้ม ปล่อยให้หัวใจและสมองได้ทิ้งตัวไปพร้อมกับเครื่องดนตรีต่าง ๆ ที่ตั้งใจเรียบเรียงมาเป็นอย่างดี กีตาร์ขยี้หัวใจ เครื่องเป่าสะท้อนความรู้สึก เครื่องสายที่ทำหน้าที่โหมเรื่องราวในใจ ไม่ร้อนไม่เย็นจนเกินไป แต่เป็นช่วงที่ทำให้เราได้สะท้อนอะไรบางอย่างในหัวใจออกมาจริง ๆ ก่อนที่จะค่อย ๆ จบทุกอย่างด้วยการเฟด เพื่อไปต่อในเพลงสุดท้ายที่เราจะได้ฟังกัน
Make Believe World
แทร็กสุดท้าย ลำดับที่ 7 ที่ปิดอัลบั้ม UNEMPLOYMENT ได้อย่างสวยงาม ประทับใจ และผ่อนคลายหัวใจได้ในเวลาเดียวกัน เป็นเพลงที่ทำให้เราได้ใช้เวลา 5 นาทีได้อย่างคุ้มค่าและเป็นสุขหูที่สุด เพลงค่อย ๆ ปล่อยซาวด์กีตาร์มาแบบเบา ๆ และเริ่มไล่ไดนามิกขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อยอย่างช้า ๆ แทรกเสียงเครื่องเป่าแบบเข้าไปได้อย่างแนบเนียน ก่อนที่จะตามด้วยเครื่องสายที่มาแบบเนิบ ๆ แต่ในขณะเดียวกันก็ได้พาเราเข้าช่วงพีคของโซโล่ได้แบบไม่ทันตั้งตัว ทั้งความเซ็กซี่และความเท่ทั้งหมดในเพลงนี้มาอยู่รวมกันอย่างกลมกลืนโดยไม่รู้สึกว่ากำลังมีใครมาขโมยซีนใคร
เหมือนกำลังได้จิบไวน์ก้นแก้วที่ใกล้จะหมด ค่อย ๆ ดม วน และจรดริมฝีปากลงบนแก้วอย่างช้า ๆ ก่อนที่จะดื่มด่ำรสชาติสุดท้ายที่เข้มข้นอย่างละเมียดละไม ก่อนกลืนลงไปและทิ้ง Aftertaste ของไวน์แก้วนี้ไว้ ก่อนที่จะค่อย ๆ จางหายไป ปิดท้ายด้วยท่อนกินใจ กับบทสรุปของเพลงนี้ที่รวบรัดและเข้าใจง่ายภายในท่อนเดียวอย่าง “so hard to feel so hard to see in this make believe world”
Make Believe World เลยถือเป็นแทร็กสุดท้ายที่รวบรวมใจความสำคัญของอัลบั้มคนว่างงานนี้ได้เป็นอย่างดี รวมไปถึงพาร์ทดนตรีที่ปล่อยตูม อย่างกับระเบิดความรู้สึกที่ผ่านมาทั้งหมด ความอัดอั้นที่เก็บเอาไว้ในใจได้พรั่งพรูออกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สมกับเป็นเพลงสุดท้ายปิดอัลบั้ม จริง ๆ
แอบกระซิบว่าวันอาทิตย์นี้ เวลาสองทุ่ม พบกับพวกเขาได้ที่ Fung With U บน Fungjai Application อย่าลืมมาเจอกันนะ!