10,​ วง,​ ออสเตรเลีย, รู้จัก

Quick Read Snacks

10 วง จากออสเตรเลียที่เราอยากให้คุณ ‘ฟัง’ เดี๋ยวนี้

  • Writer: Malaivee Swangpol

เราเชื่อว่าหลาย ๆ คนก็ยังคงอินกับซาวด์เร็กเก้ ไซคีเดลิก ฟิวชัน และการแสดงสดสุดสนุกจากวงออสเตรเลียอย่าง Sticky Fingers ที่ทำให้โดนตกกันไปหลายราย วันนี้เราเลยขอมาแนะนำวงจากออสเตรเลียหลากหลายแนวอีก 10 วง ที่ก็อาจจะตกทุกคนได้เช่นเดียวกัน ตามเรามาเลยจ้า

Dune Rats

แนวดนตรี: พังก์,​ กรันจ์, เซิร์ฟร็อก, การาจร็อก

พวกเขาคือวงสามชิ้นจากบริสเบน ควีนส์แลนด์ ที่เรียกตัวเองแบบขำ ๆ ว่าเล่นแนว ‘DUNECORE’ สมาชิกดั้งเดิมประกอบไปด้วย Danny Beusaraus (กีตาร์) และ BC Michaels (กลองชุด) โดยภายหลังก็มี Brett Jansch มาเล่นเบสให้ พวกเขาออกมา 3 EP ก่อนจะเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ด้วย Dune Rats อัลบั้มเต็มอัลบั้มแรกที่ออกจำหน่ายกับค่ายของพวกเขาเองที่ชื่อ Ratbag Records (ค่ายนี้ยังมีวง Skegss,​ Rat Boy และ MOLLY อยู่ด้วยจ้า) ซึ่งตั้งแต่ตอนนั้นพวกเขาก็ได้ไปทัวร์แอฟริกาใต้ ยุโรป​ เอเชีย รวมถึงทัวร์ทั่วประเทศออสเตรเลียกว่า 9 วัน โดยการแสดงสดสุดมันของพวกเขาก็ทำให้วงได้ใจแฟน ๆ ทั่วโลกไปเต็ม ๆ

อัลบั้มที่สองของพวกเขา The Kids Will Know It’s Bullshit ซึ่งอัลบั้มนี้โปรดิวซ์โดย Zac Carper จากวง FIDLAR โดยชื่ออัลบั้มได้มาจากคำพูดของ Courtney Taylor-Taylor นักร้องนำวง The Dandy Warhols ที่บอกกับวงตอนไปทัวร์ด้วยกันว่า “Y’know, you’ve gotta write your own record … or the kids will know it’s bullshit”

The Delta Riggs

แนวดนตรี: เรโทร-ฟังก์, ไซคีเดลิก,​ ร็อกแอนด์โรล

พวกเขาคือวงไซคีเดลิกร็อก จากเมลเบิร์น วิคตอเรีย ประกอบไปด้วย Elliott Hammond, Michael Tramonte, Alexander Markwell และ Simon McConnell พวกเขาดังเป็นพลุแตกจากอัลบั้มที่ 2 Dipz Zebazios ที่ทำให้พวกเขาได้ไปทัวร์ทั่วออสเตรเลีย​ ยุโรป แถมยังได้ไปทัวร์กับ Kasabian และ Jimmy Page ยิ่งไปกว่านั้น ตอนพวกเขาไปเล่นเฟสติวัลในสหรัฐอเมริกา ผู้จัดการของวง Foo Fighters ได้มาดูแล้วเกิดชอบวงนี้มาก ๆ จนทำให้พวกเขาได้รับเลือกให้เป็นวงเปิดให้กับทัวร์ของ Foo Fighters ทั่วออสเตรเลีย ภายในหนึ่งชั่วโมงให้หลัง!

ในอัลบั้มล่าสุดของพวกเขา Active Galactic ผสมไปด้วยแรงบันดาลใจจากวงร็อกรุ่นพ่อ ที่ทำให้เรานึกถึงซาวด์และ vibe ในอัลบั้ม Sandinista! ของ The Clash ผสมกับจังหวะชวนโยกและเสียงแซ็กโซโฟนเท่ ๆ ของ The Rolling Stones ซึ่งอัลบั้มนี้ก็เหมือนจะกำหนดแนวทางของวงต่อ ๆ มาให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ซิงเกิ้ลจากอัลบั้มนี้อย่าง Baddest Motherfucker In the Beehive ก็มียอดสตรีมกว่า 1.7 ล้านครั้งใน Spotify โดยสองซิงเกิ้ลล่าสุดที่พวกเขาปล่อยออกมา อย่าง Fake That และ Out of Place เน้นเรื่องความเรียลในสังคมปัจจุบัน โดยพวกเขาพูดเรื่องความสัมพันธ์ในโลกอินเตอร์เน็ต โลกแห่ง influencer ความดังปุบปับ #fakenews ซึ่งสองเพลงใหม่ก็พาพวกเขาไปทัวร์ทั่วประเทศได้อย่างยิ่งใหญ่อีกครั้ง

DMA’s

แนวดนตรี: อินดี้ร็อก, บริตป๊อป

วงทรีโอ้จากซิดนีย์, นิวเซาธ์เวลส์ ประกอบไปด้วย Tommy O’Dell, Matt Mason และ Johnny Took ชื่อวงมีที่มาจากชื่อเก่า ๆ ที่พวกเขาเคยคิดว่าจะเอาไว้ตั้งชื่อวง อย่าง Doesn’t Mean Anything, Drum Machine Anthems, Do More Acid ฯลฯ พวกเขาเติบโตมากับเพลงต่างแนวกัน เลยทำให้ส่วนผสมออกมาเป็น DMA’s แบบที่เห็น Johhny มือกีตาร์ฟังโฟล์กและคันทรี่ Tommy นักร้องและมือกลองฟังปริตป๊อบ ในขณะที่ Matt มือกีตาร์ฟังอินดี้ร็อกสายอเมริกันอย่าง Sonic Youth และ Pavement หลาย ๆ คนลงความเห็นว่าพวกเขามีความ Oasis และ the Stone Roses ยุคแรกมาก ๆ พวกเขาโด่งดังมาจากซิงเกิ้ลแรก Delete เพลงช้า ๆ กับเสียงแอมเบียนต์ ที่พูดเรื่องการเลิกกันแบบออนไลน์ แล้วก็ลบเฟรนด์กันไป ซึ่งแน่นอนว่าถูกใจวัยรุ่นมาก ๆ

DMA’s เคยเล่นเปิดให้กับ The Kooks, The Courteeners, Noel Gallagher’s High Flying Birds ในสหราชอาณาจักร โดยในปี 2018 และ 2019 ก็เป็นตาของพวกเขาที่ได้กลับมาเล่นที่สหราชอาณาจักรอีกครั้ง แต่ในฐานะ headliner ซึ่งพวกเขา sold out ทั้ง 10 โชว์! นอกจากผลงานของตัวเองแล้ว พวกเขาเคยคัฟเวอร์เพลง Believe ของ Cher ซึ่งได้รับความนิยมล้นหลาม จนใน Spotify มีคนฟังไปกว่า 10 ล้านครั้งแล้ว

E^ST

แนวดนตรี: อินดี้ป๊อป, อิเล็กทรอนิก้า

E^ST หรือ Melisa Bester ศิลปินสาวมากความสามารถ เธอเกิดที่แอฟริกาใต้ แต่มาอพยพมาที่ เซ็นทรัลโคสต์ นิวเซาธ์เวลส์ ออสเตรเลียตั้งแต่เด็ก ๆ โดยเธอและครอบครัวย้ายบ้านเกือบ 30 ครั้ง ซึ่งนั่นอาจทำให้เธออินกับดนตรีมาก ๆ เพราะเป็นสิ่งเดียวที่เธอยึดเหนี่ยวไว้ได้จริง ๆ เธอเคยได้รับโอกาสไปทำเพลงที่สวีเดนกับบริษัทเพลงชื่อ The Kennel ซึ่งเธอได้ไปสองครั้ง โดยแต่ละครั้งอยู่เป็นเดือน ๆ ประสบการณ์ในครั้งนั้นทำให้เธอได้เรียนรู้วิธีการทำงานเพลงอย่างสวีดิช ชาตินักสร้างเพลงป๊อปโดยสายเลือด ซึ่งทำให้เธอรู้โครงสร้างเพลงป๊อปที่ดี รวมถึงวิธีการเขียนเนื้อที่แตกต่างจากคนอื่น ทีมงานเชื่อมั่นในตัวเธอมาก ๆ และนั่นทำให้เธอเก่งขึ้นไปอีกขั้นหลังจากกลับมา เนื้อเพลงของเธอมักจะเกี่ยวกับอารมณ์ความรู้สึก ซึ่งนอกจากมันจะทำให้แฟน ๆ ของเธอรู้สึกเชื่อมโยงกับเพลงของเธอได้ง่ายขึ้น มันยังเป็นวิธีระบายความรู้สึกของเธอ เพราะเธอจะไม่ชอบพูดเรื่องแนวนี้กับคนอื่น

โดยตั้งแต่เปิดตัวด้วย EP Old Age คลื่นวิทยุและสื่อดนตรีของออสเตรเลียอย่าง Triple J ก็หยิบเธอมาแนะนำ จนทำให้ได้เซ็นสัญญากับ Fueled By Ramen ค่ายที่มีศิลปินอย่าง Twenty One Pilots, Paramore,​ Panic! at the Disco ฯลฯ ตั้งแต่อายุ 16 โดยอีกเอกลักษณ์หนึ่งของเธอคือการทำให้การแสดงสดของเธอออกมาสนุกที่สุด เพราะเธอเป็นคนพลังเหลือล้นและรักการเต้นมาก ๆ ยิ่งไปกว่านี้ E^ST เคยได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งใน 100 ศิลปินหญิงที่ปฏิวัติเพลงป๊อบ โดยนิตยสาร Paper Magazine

DOPE LEMON

แนวดนตรี: โล-ไฟ ร็อก

โปรเจคเดี่ยวของ Angus Stone จากวงอินดี้ป๊อป Angus & Julia Stone โดยโปรเจคนี้มีกลิ่นอายของเพลงร็อก 90s แตกต่างจากวงหลักของเขา ซึ่งอัลบั้ม Honey Bones มาจากการนั่งทำเพลงในฟาร์มที่บ้าน และก็แจมกับเพื่อน ๆ นักดนตรีในห้องอัด อย่าง Rohin Brown จาก the Walking Who และ Elliott Hammond จาก the Delta Riggs โดยซิงเกิ้ลแรกอย่าง Uptown Folks ก็มีการนิยามจาก Triple J ว่าเป็น ‘laidback costal rock’ (ดนตรีร็อกชิว ๆ แบบฉบับเมืองริมทะเล) และซิงเกิ้ลต่อมา Mariande ก็ติดชาร์ต Triple J Hottest 100 จนทำให้ทัวร์ทั่วประเทศก็ขายตั๋วหมดเกลี้ยง

ต่อมาในปี 2017 เขาปล่อย EP 4 เพลงชื่อ Hounds Tooth ที่มากับท่อนบรรเลงเพราะ ๆ และเมโลดี้สวย ๆ ซิงเกิ้ลแรกอย่าง Home Soon มากับซาวด์สนุก ๆ คู่มากับเสียงฮอร์นและซาวด์อเมริกันฟังก์ยุคเรโทร โดยเพลงนี้ได้แรงบันดาลใจจากเพลงที่เขาได้ฟังขณะเดินทาง ส่วนเพลงที่เหลือใน EP มาจากช่วงที่ซ้อมเพื่อไปทัวร์

Vance Joy

แนวดนตรี: อินดี้โฟล์ก, ป๊อป

สำหรับใครที่มี Daily Mix ใน Spotify เป็นวงอย่าง Mumford and Sons, Bon Iver น่าจะเคยเจอเพลงของเขาในเพลย์ลิสต์แน่นอน Vance Joy หรือ James Gabriel Keogh คือศิลปินจากค่าย Atlantic Records เจ้าของเพลง Riptide เพลงโฟล์กป๊อปชิว ๆ ที่เป็นซิงเกิ้ลเปิดตัวของเขา ซึ่งเพลงนี้ติดอันดับ 1 ในชาร์ต Triple J hottest 100 และยังติด Top 30 ในชาร์ต Billboard Hot 100 อีกด้วย ต่อมาเขาปล่อยอัลบั้มแรก Dream Your Life Away ในปี 2014 และได้ไปทัวร์กับ Taylor Swift ใน 1989 World Tour ทั้งที่อเมริกาเหนือ สหราชอาณาจักรและออสเตรเลีย โดยซึ่งในทัวร์ headline ล่าสุดของเขาในปี 2018 ก็ไปมาทั้งทวีปอเมริกา​ ยุโรป ออสเตรเลีย และ นิวซีแลนด์

เขาโตมากับการเล่นกีตาร์กับเพลงของ Metallica โดยเขาเคยเป็นศิลปินเปิดหมวกในเมลเบิร์น บ้านเกิดของเขามาก่อน โดยก่อนที่เขาจะมาเป็นนักดนตรี เขาเคยเล่นฟุตบอลอาชีพกับทีม Coburg Football Club ในปี 2008-2009 แต่หลังจากนั้นก็ได้ลาออกมาเพื่อตามความฝันด้านดนตรี ทำให้เพลง Riptide ของเขากลายเป็นเพลงประจำสนามเวลาที่ทีมมีแข่งในสนามของตัวเอง โดยชื่อ Vance Joy มาจากตัวละครในนิยายเรื่อง ‘Bliss’ โดยนักเขียน Peter Carey ซึ่งตัวละคร Vance Joy คือคุณปู่บ๊อง ๆ ที่เป็นนักเล่าเรื่อง เขาเลยคิดว่าน่าจะเป็นชื่อที่เหมาะกับเขา

Vance Joy เคยร่วมกับผู้ผลิตอูคูเลเล่ Kala บริจาคอูคูเลเล่พลาสติกให้กับเด็กที่ป่วยด้วยโรคมะเร็งอยู่ในโรงพยาบาล โดย MyMusicRx ก็มาช่วยจัดทำวิดีโอสอนเล่นอูคูเลเล่เพลง Riptide และ Saturday Sun ของเขา เพื่อให้เด็ก ๆ ได้หัดเล่นดนตรี และให้กำลังใจเด็ก ๆ ติดตามรายละเอียดของโครงการได้ที่ Vance Joy Ukeleles for Kids

Verge Collection

แนวดนตรี: การาจร็อก, ป๊อป, ร็อก, อัลเทอร์เนทีฟ, โฟล์ก

พวกเขาคือวงร็อกจากเพิร์ธ เวสเทิร์น ออสเตรเลีย Verge Collection นิยามตัวเองว่า ‘feel good dudes making feel good music’ พวกเขามากับซาวด์อินดี้ป๊อป, ริฟฟ์ป๊อปร็อกง่าย ๆ , เพลงชวนร้องตาม และบางเพลงก็มี Mac Demarco vibe แทรกอยู่จาง ๆ ซึ่งตั้งแต่ปล่อยเพลง Postcodes มาเมื่อปี 2016 พวกเขาก็ได้ไปทัวร์ทั่วประเทศโดยมี Skeggs เป็นวงเปิด และได้เล่นเฟสติวัลหลายงาน โดยในปี 2017 พวกเขาชนะกิจกรรม Tapped by Otherside โดยเบียร์ยี่ห้อ Otherside ซึ่งจะสนับสนุนเงินค่าทัวร์ทั่วประเทศให้กับวงจากเวสเทิร์น ออสเตรเลีย ซึ่งก็ทำให้วงได้เงินสนับสนุนมา aud $5000 หรือประมาณ​หนึ่งแสนบาท​ ทำให้พวกเขาได้ไปทัวร์​ทั่วประเทศมา 5 เมือง (ซึ่งช่วยซัพพอร์ตค่าใช้จ่ายได้เยอะ โดยการที่วงจากเพิร์ธจะไปทัวร์ฝั่งตะวันออกของประเทศต้องใช้เงินจำนวนมากเนื่องจากแต่ละเมืองห่างไกลกันสุด ๆ ) และที่สำคัญ โชว์นี้ sold out!

อัลบั้มแรกของพวกเขา Flâneur ออกจำหน่ายในปี 2018 โดยความหมายของชื่อ Flâneur คือ คนที่เดินช้า ๆ แล้วก็คอยสำรวจคนอื่น อารมณ์ประมาณป้าข้างบ้านขี้เมาท์​ ซึ่งก็ถูกต้องกับเนื้อหาในอัลบั้มนี้ที่พูดถึงชีวิตชาวออสเตรเลียยุคปัจจุบัน ทั้งเรื่องความรู้สึก, mental health, ​existentialism หรือบางเพลงก็มีสำเนียงการแซวคนยุคนี้บ้าง โดยตั้งแต่ซิงเกิ้ลแรก For The Story ก็ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากทั้งจากแฟน ๆ และนักวิจารณ์

 Art vs. Science

แนวดนตรี: อิเล็กโทรเฮาส์,​ แดนซ์พังก์, เฟรนช์อิเล็กทรอนิก

วงอิเล็กทรอกนิกแดนซ์จากซิดนีย์,​ นิวเซาธ์เวลส์ ประกอบไปด้วย Jim, Dan Mac และ Dan W. ซึ่งเล่นวงพังก์ร็อกมาด้วยกันมาตั้งแต่มัธยม  จุดเริ่มต้นของวงคือเมื่อ Dan Mac ไปดูคอนเสิร์ต Daft Punk แล้วเลยชวนเพื่อน ๆ มาเล่น พวกเขาคือวงอิเล็กทรอนิกที่เล่นดนตรีสดจริง ๆ โดยไม่ใช้ backing track สมาชิกทั้งสามเล่นคีย์บอร์ด,​ กลองชุด และอะไรก็ตามที่พวกเขาสามคนจะเสกขึ้นมาได้ Art vs. Science คือวงที่สร้างความแปลกใหม่ให้กับซีนดนตรีคลับในออสเตรเลีย โดยวิธีทำงานของพวกเขาคือ ‘jamming only policy’ ที่จะทำเพลงจากสิ่งที่เกิดขึ้นตอนแจมในห้องซ้อมเท่านั้น นอกจากนี้พวกเขาชนะรางวัลจาก Triple J unearthed ทำให้ได้ไปเล่นที่งาน Splendour in the Grass ปี 2008 ซึ่งหลังจากนั้นก็ทำให้พวกเขาดังเป็นพลุแตก จนทำให้ทัวร์ทั่วประเทศครั้งแรกของพวกเขาในปีต่อมาขายบัตรหมดเกลี้ยง

ในปี 2010 วงปล่อยเพลง Parlez Vous Francais? ที่ติดอันดับ 2 ในชาร์ต Triple J Hottest 100 นอกจากนี้ ในปีนั้นยังได้ไปเล่นเปิดให้กับ La Roux และ Groove Armada ในสหราชอาณาจักร โดยในปีต่อมาก็ได้เล่นเปิดให้กับทัวร์ของ The Chemical Brothers ในทัวร์ออสเตรเลีย รวมถึงได้เซ็นสัญญากับ Kobalt Music Australia ซึ่งการแสดงสดก็คืออีกหนึ่งหัวใจในการทำอาชีพนักดนตรีของพวกเขา โดยความคาดหวังคือ ตอนจบโชว์ทุกคนจะต้องเต้นจนเป็นบ้า ทำให้พวกเขาเรียงเซ็ตลิสต์มาไม่เหมือนกันสำหรับโชว์ในแต่ละช่วงเวลา โดยถ้าหากขึ้นเล่นดึกมาก ๆ จะไม่มีเพลงให้หยุดพักเลย ต้องเต้นต่อเท่านั้น! โดยอีกคตินึงที่พวกเขายึดถือก็คือ การแสดงสดควรเป็นโมเมนต์ที่ทั้งคนดูและศิลปินแลก engergy ให้แก่กันละกัน

King Gizzard & The Lizard Wizard

แนวดนตรี: ไซคีเดลิคร็อก, การาจร็อก, เอ็กซเพอริเมนทัล,​ โปรเกรสซีฟ

พวกเขารวมตัวกันในปี 2010 ที่เมลเบิร์น, วิคตอเรีย สมาชิกเจ็ดคนประกอบไปด้วย Stu Mackenzie, Ambrose Kenny Smith, Joey Walker, Cook Craig, Lucas Skinner, Michael Cavanagh และ Eric Moore เวลาเล่นสดก็มีกลองสองชุด กีตาร์สามตัว เบสหนึ่งตัว และอื่น ๆ อีกมากมายที่เป็นไปได้ โดยถึงแม้จะเพิ่งตั้งวงมาในปี 2010 แต่ถึงปัจจุบันพวกเขาก็มี 13 อัลบั้มแล้ว! โดยออกผลงานกับค่าย Flightless ค่ายของ Moore มือกลอง ในสองอัลบั้มแรกพวกเขามากับซาวด์เซิร์ฟร็อก, การาจร็อก ที่ผสมความไซคีเดลิก ในอัลบั้มหลัง ๆ ก็เริ่มมีซาวด์ โปรเกรสซีฟ, แจ๊ส, โซล,​โฟล์ก,​ ซาวด์แทร็ และ เฮฟวี เมทัล เข้ามาด้วย

ในปี 2017 พวกเขาสัญญาว่าจะออก 5 อัลบั้มติดกัน แล้วพวกเขาก็ทำจริง ๆ ! ไล่ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์,​ มิถุนายน, สิงหาคม, พฤศจิกายน และธันวาคม ในปี 2018 พวกเขาก็ได้ไปทัวร์สหรัฐอเมริกา,​ สหราชอาณาจักร ที่ขายตั๋วหมดเกลี้ยงทั้งคู่ นอกจากนี้ยังได้ไปเล่นไกลถึงรัสเซียและอิสตันบูล โดยในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาหลังจากพักจากการทำเพลงไปเกือบปี  พวกเขาก็ปล่อย Cyboogie เพลงแนวอิเล็กทรอนิกชัฟเฟิลออกมา ซึ่งวิธีการทำงานของพวกเขาคือการกำหนดคอนเซปต์คร่าว ๆ ก่อนที่จะเริ่มทำอัลบั้ม ซึ่งจะทำให้เพลงออกมาในทางเดียวกัน นอกจากนี้ ที่วงมีอะไรแปลก ๆ มาเพิ่มขึ้นตลอด เพราะ Mackenzie นักร้องนำ ปฏิญาณว่าจะหัดเล่นเครื่องดนตรีใหม่ ๆ ทุกปี อย่างในอัลบั้ม I’m in Your Mind Fuzz (2014) เขาก็หัดเล่นฟลุ๊ต ซึ่งนอกจากจะขยันทำเพลงแล้ว พวกเขาก็ยังขยันจัดงาน Gizzfest เฟสติวัลร็อก/ไซคีเดลิกที่พาศิลปินมาเล่น พร้อมกับวิชวลสุดตระกานตา ซึ่งปี 2018 ก็จัดมาเป็นปีที่ 4 แล้ว

Amyl and the Sniffers

แนวดนตรี: พังก์, ร็อกแอนด์โรล

วงพังก์ที่มีจิตวิญญาณของออสเตรเลียนร็อกยุค 70s สมาชิกประกอบไปด้วย Amy Taylor, Bryce Wilson และ Dec Martens อดีตเพื่อนร่วมบ้านพักจากเมลเบิร์น, วิคตอเรีย ที่อยู่ดี ๆ ก็ตัดสินใจมาทำวงกัน และได้ออกมาเป็น EP. แรก Giddy Up ความยาว 4 เพลง โดยใช้เวลาทำเพลงทั้งหมดภายในเวลาไม่ถึง 12 ชั่วโมง! ซึ่งหลังจากนั้นวงก็ได้ Gus Romer มาร่วมเล่นเบส พวกเขาได้แรงบันดาลใจจากวงรุ่นใหญ่อย่าง AC/DC, Cosmic Psychos, Dolly Parton และ Die Antwoord โดย EP ที่สอง Big Attraction ที่ตามมาในปี 2017 ก็ส่งให้พวกเขาได้ไปเล่นตามเฟสติวัลต่าง ๆ โดยคอนเสิร์ตส่งท้ายปีของพวกเขาที่เล่นที่บ้านเกิดก็ขายตั๋วหมดเกลี้ยง

ปี 2018 วงได้เซ็นสัญญากับค่าย Rough Trade Records ของสหราชอาณาจักร โดยเป็นปีแรกที่วงได้ไปทัวร์ headline ทั่วประเทศในเมษา ต่อด้วยทัวร์สหราชอาณาจักรครั้งแรกในเดือนพฤษภาคม ซึ่งเริ่มต้นด้วยงาน The Great Escape ที่ไบรท์ตัน และตามด้วยทัวร์สหรัฐอเมริกาในเดือนมิถุนายนที่ไปกับเพื่อนร่วมเมืองและเจ้าของค่ายอย่าง King Gizzard & The Lizard Wizard โดยล่าสุดเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา วงก็เพิ่งได้รับเงินสนับสนุนจาก Levi’s Music Prize เป็นเงิน $30,000 aud เพื่อช่วยเหลือเงินในการเดินทางไปเล่นที่ SXSW และทัวร์สหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ อัลบั้มใหม่ของพวกเขาก็จะออกในเดือนพฤษภาคมนี้แล้ว! รอติดตามกันได้จ้า


โดยวงออสเตรเลียซาวด์สนุก ๆ ทั้ง Dune Rats, Hockey Dad, Verge Collection, Beddy Rays (และอาจจะมีอีก!) ก็จะเดินทางมาเล่นงาน Pink Cloud Festival ที่ปทุมธานีในเดือนพฤษภาคมนี้ด้วยจ้า ติดตามรายละเอียดได้ที่ fb.com/pinkcloudfestival

 

อ้างอิง
Dune Rats Debut Album And National Tour Announced INTERVIEW: DUNE RATS Dune RatsThe Kids Will Know It’s BullshitThe Delta Riggs The Delta Riggs Announce ‘Active Galactic’ Album + Tour THE DELTA RIGGS share invigorating new single ‘OUT OF PLACE DMA’s: Things You Should Know DMA’S: ‘OUR DRUMMER TRIED TO RACK SOME BOOZE FROM NOEL GALLAGHER’S GREEN ROOM’ e^st Dope Lemon Angus Stone Dope Lemon / Hounds Tooth Dope Lemon VANCE JOY TO BE COBURG’S NUMBER ONE TICKET-HOLDER 19 Things You Never Knew About Vance Joy Vance Joy Listen to Postcodes, another charmer from Perth rockers Verge Collection Verge Collection taking new single “Feelin’ Old” on the road this April AN INTERVIEW WITH VERGE COLLECTION AHEAD OF THEIR ‘FOR THE STORY’ TOUR Out on the Verge VERGE COLLECTION’S debut album ‘FLANEUR’ out now! Art vs. Science Art vs. Science King Gizzard and the Lizard Wizard: album more than a procession of songs King Gizzard & The Lizard Wizard King Gizzard & the Lizard Wizard Amyl and the Sniffers AMYL AND THE SNIFFERS Win Levi’s® Music Prize
Facebook Comments

Next:


Malaivee Swangpol

มิว (เรียกลัยก็ได้)​ โตมาข้าง ๆ วงมอชแต่ตอนนี้ฟังทุกแนว ชอบอ่านหนังสือ ตามหาของกินอร่อย ๆ และตอนนี้ก็คงกำลังวางแผนเที่ยวรอบโลกอยู่