7 ซีรีส์ดีตกสำรวจ พร้อม soundtrack เด็ด ที่ถ้าไม่ดูแล้วจะเสียใจ
- Writer: Montipa Virojpan
นอกจาก Game of Thrones, Gossip Girl หรือ American Horror Story ที่เป็นซีรีส์ยอดฮิตในดวงใจใครหลายคน เราขอแนะนำซีรีส์เด็ด ๆ หาดูได้ใน Netflix ที่อาจจะไม่ได้รับความนิยมเท่ากับเรื่องที่กล่าวมา แต่เนื้อหาสุดจะเข้มข้นน่าติดตาม แถมพ่วงมาด้วยเพลงประกอบที่ดู ๆ อยู่แล้วต้องกรี๊ดเพราะมีเพลงที่ชอบอยู่แทบทุกตอน แบบที่รับรู้ได้เลยว่าซีรีส์เดี๋ยวนี้เขาก็ใส่ใจกับเพลงประกอบเหมือนกันนะ มาดูกันเลยว่ามีเรื่องอะไรบ้าง
Misfits
ซีรีส์ป่วนจากเกาะอังกฤษที่เล่าเรื่องของวัยรุ่นที่ถูกทำทันฑ์บนโดยให้เก็บชั่วโมงบำเพ็ญประโยชน์ใน community center แห่งหนึ่ง ระหว่างที่พวกเขากำลังทำงานอยู่ก็เกิดฟ้าผ่ารุนแรงลงที่พวกเขาจนทุกคนหมดสติไป แต่พอฟื้นขึ้นมาก็พบว่าแต่ละคนได้รับพลังพิเศษที่แตกต่างกันออกไป เดี๋ยว ๆ อย่าคิดว่านี่คือหนังซูเปอร์ฮีโร่แบบ DC หรือ Marvel เพราะเด็กพวกนี้มีความแสบหนักยิ่งกว่า Suicide Squad อีก อุปส์
เพลงจากศิลปินที่เรากรี๊ดในเรื่องนี้ เรียกว่าตื้นเต้นกันตั้งแต่ opening credit ที่ได้เพลงของ The Rapture อย่าง Echo มาประกอบได้จี๊ดใจ และในตอนอื่น ๆ ก็มีงานของ The Cribs, The Velvet Underground, LCD Soundsystem, Kraftwerk, Joy Division, Yeah Yeah Yeahs, Underworld, The XX, แม้กระทั่ง Damien Rice ก็มีนาจา
How to Get Away with Murder
พีคจริงแบบไม่ยอมให้หายใจหายคอ และสร้างกิมมิกด้วยการเล่าสลับย้อนไปมาระหว่างปัจจุบันและอดีตต้นตอที่ทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ แถมมี plot twist แบบ โอ้วโน่ว เล่าไม่ได้จริง ๆ นี่เป็นเรื่องของบรรดานักเรียนกฎหมายคลาสหนึ่งของทนายความคนเก่งอย่างแอนนาลีส คีทติ้ง ที่นอกจากจะต้องแข่งกันทำคะแนนเพื่อให้แอนนาลีสดึงตัวมาช่วยว่าความในคดีต่าง ๆ แล้ว ดันต้องมาพัวพันกับปัญหาหนักหน่วงที่ต้องช่วยกันหาทางออก ปล ตะแม่ Viola Davis เล่นดีแบบเอาทั้งเรื่องได้อยู่หมัดไปหมด
เพลงจากศิลปินที่เรากรี๊ดในเรื่องนี้ Hot Chip, Mogwai, One Republic, Pale Blue, Jon Hopkins, Chelsea Wolfe, Chvrches, Perfume Genius, M83
Peaky Blinders
อีกเรื่องที่เราขอดันแบบลำเอียงสุด ๆ กับสตอรี่ของกลุ่มมาเฟียอังกฤษยุค 20s ในเมืองเบอร์มิงแฮม ที่นอกจากเนื้อเรื่องดราม่าบู๊เข้มข้นแล้ว พวกเขาก็ไม่ลืมที่จะใส่รายละเอียดของการถ่ายทำ ยิ่งมุมกล้องในซีซัน 1 คือวิจิตรประณีตสุด ส่วนซีซันอื่น ๆ ถึงจะมีความใส่ใจในงานภาพน้อยลงมาหน่อยแต่ถูกแทนที่ด้วยเนื้อเรื่องที่บีทชวนให้ติดตามตลอดเวลา แถมมันขึ้นกว่าตอนแรก ๆ อีก นี่ทำให้เรานึกถึงหนัง gangster อย่าง “Gangs of Newyork” หรือมาเฟียชั้นครูอย่าง “The Godfather” อยู่เหมือนกัน แต่ที่ต้องยอมตายถวายหัวเลยจริง ๆ คือความ classy ของตัวละครทุกคนที่ใส่สูท ตัดผมเนี้ยบ เท่ไรเบอร์นั้นอะ ผู้หญิงในเรื่องก็สวยเกิ๊น ไม่ดูไม่ได้จริง ๆ
เพลงจากศิลปินที่เรากรี๊ดในเรื่องนี้ เท่ตั้งแต่ theme song ที่ใช้ Red Right Hand ของ Nick Cave & The Bad Seeds และขอเดาว่าคนเลือกเพลงมาใช้กับเรื่องนี้จะต้องติ่ง Alex Turner แน่ ๆ เพราะอย่างในซีซัน 3 เราลองนับเล่น ๆ ก็มีเพลงของ Arctic Monkeys ไปแล้ว 4 ตอน The Last Shadow Puppets อีก 1 ตอน ส่วนเพลงอื่น ๆ ก็มีของ The White Stripes, PJ Harvey, Laura Marling, Royal Blood, Radiohead, The Killsและ Black Rebel Motorcycle Club สังเกตอีกความเท่ของเรื่องนี้มั้ยล่ะว่าถึงเรื่องจะย้อนยุค แต่เลือกใช้เพลงร่วมสมัยแบบที่เท่สุด ๆ
Stranger Things
โอ้โห เรียกว่าเป็นปรากฏการณ์เลยดีกว่าสำหรับเรื่องนี้ คือคนรอบตัวเราติดกันงอมแงมไปหมด และพอซีรีส์จบก็ยังมีคนพูดถึงแบบไม่หยุดปาก เอาง่าย ๆ คือแค่ตอนแรกก็ทำให้เราติดงอมแงมแบบต้องดูยาว ๆ จนจบ 8 ตอนรวดกันไปเลย มันคือซีรีส์เอเลี่ยนพลังจิต ประหนึ่งได้อ่านหนังสือของ Stephen King ผสมกับหนัง “Super 8” โดยเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นในยุค 80s ไม่ต้องบอกเลยว่ากลิ่นอายความเก๋แบบคลาสสิกของยุคนั้นมันดีงามขนาดไหน สนุกและครบรสมากจริง ๆ ที่สำคัญคือเรื่องนี้เป็นการกลับมาของ Winona Ryder นักแสดงขวัญใจมหาชนยุค 90s ที่มารับบทเป็นแม่หัวใจสลายที่ลูกชายหายตัวไปอย่างลึกลับ เสน่ห์สวยไม่สร่างของเธอทำให้เราละสายตาไปจากจอไม่ได้จริง ๆ ไม่แปลกใจสักนิดที่นิตยสารนอกหลายเล่มต่อยอดประเด็นจากเรื่องนี้และจับกระแสวิโนนาฟีเวอร์มาเล่นกันยั้วเยี้ย
เพลงจากศิลปินที่เรากรี๊ดในเรื่องนี้ มันดีงามพระรามแปดขนาดว่าบางคนทำเพลย์ลิสต์ซาวด์แทร็กของเรื่องนี้ใน Apple Music และ Spotify มาแจกจ่ายกันทั่ว จนทีมงานผู้สร้างเองตระหนักได้ถึงความปังก็จัดทำเพลย์ลิสต์กับซีดีซาวด์แทร็กออกมาขายเองซะเลย เราจะได้พบกับเพลงเด็ดยุค 60s-80s ทั้ง New Order, Jefferson Airplane, The Seeds, The Clash, Echo & the Bunnymen, Tangerine Dream หรือเพลงของ Davie Bowie อย่าง Heroes ที่ถูกจับมาทำใหม่โดย Peter Gabriel นี่ทำเราขนลุกมาก ๆ เพลง score อื่น ๆ ก็สร้างบรรยากาศได้ดีเชียวล่ะ แม้กระทั่ง theme song ของเรื่องก็ทำได้ขลังทีเดียว
Scrotal Recall (Sick in Love, Lovesick)
เปลี่ยนมาที่แนวสดใสเบาสมองกันบ้าง กับซีรีส์รักกุ๊กกิ๊กของชายหนุ่มที่พบว่าตัวเองน่าจะได้รับเชื้อติดต่อทางเพศสัมพันธ์จาก one night stand แล้วเขาต้องไล่ชื่อติดต่อกลับไปยังสาวที่เขาเคยนอนด้วยเพื่อสอบถามข้อมูลว่าเขาติดมาจากหนึ่งในพวกเธอหรือเปล่า แต่จะเรียกมาช่วยกันรักษาหรือสานต่อความสัมพันธ์อันนี้ต้องติดตามกันนะฮะ ซึ่งเรื่องมันซ้ำซ้อนไปอีกที่มีการแอบรักเพื่อนสนิทไรงี้ด้วย เขาจะหาทางออกให้กับหัวใจของตัวเองอย่างไร และจะรักษาอาการได้หรือไม่ อันนี้ยังไม่รู้นะเพราะซีรีส์เพิ่งออกมาแค่ซีซันเดียวเอง
เพลงจากศิลปินที่เรากรี๊ดในเรื่องนี้ ดูท่าคนเลือกเพลงจะเป็นสายเมาสายย่องอยู่ประมาณนึงจากเซตลิสต์เหล่านี้ Wild Beasts, The Horrors, Alt-J, Metronomy, Jessie Ware, Foals, London Grammar, Temples, Jungle, Tame Impala
Vinyl’
เรื่องนี้แม้จะไม่มีใน Netflix แต่หาดูได้ใน HBO นะ กับมิติใหม่ของวงการเพลงที่บิ๊กเนมอย่าง Mick Jagger, Martin Scorsese, Rich Cohen (contributor editor แห่ง Vanity Fair และ Rolling Stone) และ Terence Winter มือเขียนบทคู่บุญของสกอร์เซซี ที่สร้างสรรค์เรื่องราวของอุตสาหกรรมดนตรีในยุค 70s ออกมาได้อย่างคาวสมจริง การขับเคี่ยวแข่งขันกันระหว่างค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ รวมถึงการสะท้อนบทบาทสังคมวงกว้างในยุคนั้น และแน่นอน sex, drugs, rock n’ roll คือสีสันของยุคนั้นที่ Vinyl ก็ไม่พลาดที่จะต้องนำเสนอออกมา ใครที่อินกับแฟชันและสเน่ห์ของยุคดิสโก้ ร็อกแอนด์โรลนี่ห้ามพลาดจริง ๆ
เพลงจากศิลปินที่เรากรี๊ดในเรื่องนี้ ตัวพ่อแห่งวงการนั้นจะพลาดได้ยังไงกับการผสมผสานระหว่างยุคเก่าและความร่วมสมัย ทั้ง Led Zeppelin, Abba, The Rolling Stones, Stevie Wonder, Jackson 5, The Temptations, Black Sabbath, Otis Redding, Chuck Berry แม้แต่Julian Casablancas ก็มา แต่เอาเพลงของ The Velvet Undergroundอย่าง Venus In Furs มาทำใหม่ซะดุและดาร์กกว่าเดิม
Luther
คอซีรีส์ดราม่า สืบสวน ทริลเลอร์ ขอให้มาเจอเรื่องนี้เลย เรื่องของพนักงานสืบสวนฝีมือดีนามจอห์น ลูเธอร์ที่มีปัญหากับการควมคุมอารมณ์ตัวเองคนเกือบทำให้จำเลยเสียชีวิตระหว่างการสอบสวน และเขาต้องไปพัวพันกับคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง ที่เด็ดสุดคือเนื้อเรื่องเข้มข้น ตื่นเต้น อาชญากรโรคจิตฝีมือร้ายกาจท้าทายความสามารถพระเอกของเรา และล้อเล่นกับความรู้สึกคนดูแทบทุกตอน โดยเฉพาะตอนแรก ๆ ในซีซัน 1 ก็ทำเอาเครียดแบบหายใจหายคอไม่ออกกันแล้ว แม้ในซีซัน 4 จะน่าผิดหวังไปหน่อยเพราะออกมาในรูปแบบหนังสั้นจำนวนสองตอน แต่ก็นะ ซีซันอื่นเขาทำมาดีก็ต้องพูดถึงเขาหน่อย
เพลงจากศิลปินที่เรากรี๊ดในเรื่องนี้ Massive Attack ,Suede, Muse, Beck, Tears For Fears, Sia, Nina Simone, Marilyn Manson, Robert Plant, The Black Keys
จริง ๆ ยังมีอีกหลายเรื่องเลยนะที่เป็นซีรีส์คุณภาพ อาจจะโดดเด่นในเรื่องการเลือกเพลงมาใช้น้อยหน่อยแต่อยากให้ลองไปหาดูกัน ไม่ว่าจะเป็น Spotless (Dexter ภาคฝรั่งเศส-อังกฤษที่ทำได้เนียนกว่า สนุกกว่า เครียดกว่าเยอะ), House, Broadchurch และมีเรื่องที่เพิ่งเข้าใหม่ใน Netflix อย่าง The Get Down ที่ยังไม่มีเวลาไปดู แต่ได้กลิ่นมานิดนึงว่าเพลงน่าจะดีเหมือนกัน หรือใครมีอะไรดี ๆ มาแบ่งกันดูก็ทิ้งไว้ที่คอมเมนต์ได้เลยนะ