Wonderfruit ก้าวสู่ปีที่ 6 ชูคอนเซ็ปต์ ‘Pop-up City’ การสร้างเมืองในอุดมคติตามวิถีความยั่งยืน
Wonderfruit เฟสติวัลระดับโลกโดยคนไทย จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองงานศิลปะ ดนตรี อาหาร และไอเดียสร้างสรรค์ กลับมาอีกครั้งในเดือนธันวาคมนี้ ชูคอนเซ็ปต์ ‘pop-up city’ แนวคิดการสร้างเมืองในอุดมคติตามวิถีความยั่งยืน ด้วยการนำประสบการณ์และการเรียนรู้ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา รังสรรค์เมืองที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พร้อมสร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนอยากมีส่วนร่วม
พีท—ประณิธาน พรประภา ผู้ก่อตั้ง Wonderfruit กล่าวว่า “เราจำลองเมืองที่เราอยากจะเห็นขึ้น เมืองที่จะเชื่อมโยงผู้คนให้มาร่วมแสดงพลังในการสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ที่จะส่งผลต่อสังคมและโลกใบนี้ ทีมงานของเรามีความตั้งใจที่จะออกแบบทุกองค์ประกอบพื้นฐานของเมืองด้วยแนวคิดใหม่ๆ ที่ให้แรงบันดาลใจ และมีประสิทธิภาพ ด้วยความมุ่งมั่นที่อยากสร้างพื้นที่ที่ทุกคนสามารถเป็นส่วนหนึ่งของการทำสิ่งดี ๆ ร่วมกัน”
ภายใน “pop-up city” ที่ Wonderfruit สร้างขึ้น ผู้มาร่วมงานจะได้สัมผัสไลฟ์สไตล์ความยั่งยืนตั้งแต่เริ่มออกเดินทางเพื่อมาร่วมงาน ในปีนี้เหล่าวันเดอร์เรอร์จะสามารถคำนวณปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ที่จะเกิดขึ้นจากการเดินทางของตนเองได้บนเว็บไซต์ของ Wonderfruit โดยคำนวณจากระยะทาง ประเภทยานพาหนะ และจำนวนผู้โดยสาร เพื่อทราบปริมาณคาร์บอนที่คุณจะสร้างขึ้น ซึ่งสามารถทำการชดเชยคาร์บอนที่ผลิตขึ้นนี้ได้ ด้วยการสนับสนุนคาร์บอนเครดิตของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งจะเป็นกำลังสนับสนุนในการดูแลรักษาผืนป่าดอยตุง เพื่อให้คงสถานะแหล่งดูดซับคาร์บอน (carbon sink) ไปได้อีกอย่างน้อย 20 ปีข้างหน้า ซึ่งในระยะเวลาดังกล่าว ป่าต้นน้ำบนดอยตุงจะสามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนได้มากถึง 2 ล้านตันคาร์บอนเทียบเท่า
นอกจากนี้ Wonderfruit ยังคงมุ่งมั่นลดปริมาณขยะพลาสติกที่เกิดขึ้นภายในงาน โดยเป็นปีแรกที่ใช้นโยบายงดเว้นแก้วพลาสติกประเภทใช้ครั้งเดียวทิ้งอย่างเข้มงวด ให้เหล่าวันเดอร์เรอร์ผู้มาร่วมงานภาชนะบรรจุอาหารและเครื่องดื่มติดตัว โดยได้ระบุให้เป็นอีกหนึ่งระเบียบและข้อปฏิบัติที่จำเป็นต้องทำเมื่อมาวันเดอร์ฟรุ๊ต รวมไปถึงระบบการขายเครื่องดื่มในงาน ก็จะไม่มีการเสิร์ฟแบบใส่แก้วที่ใช้แล้วทิ้ง แต่บาร์หรือร้านค้าภายในงานจะรินใส่แก้วที่พกติดตัวมา นอกจากนี้ยังมีจุดเติมน้ำดื่มฟรีให้บริการ ตลอดจนจุดล้างทำความสะอาดภาชนะตั้งอยู่ทั่วงานอีกด้วย
พร้อมพบกับโซนใหม่ล่าสุด Living Village หมู่บ้านขนาดย่อมที่นำเอาประสาทสัมผัสต่าง ๆ ของร่างกายมนุษย์ มาเป็นคอนเซ็ปท์หลักในการออกแบบ โดยภายในโซนจะถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ประกอบด้วย หู มือ และลิ้น โดยส่วนของหู จะเป็นที่ตั้งของ Creature Stage with Indorama Ventures เวทีใหม่ของงานที่ใช้ผ้าทอจากเส้นใยรีไซเคิลของขวดพลาสติก PET มาประกอบโครงสร้างเพดานทั้งหมดของของเวที ในขณะที่บริเวณมือ เป็นที่ตั้งของเวิร์คช็อปต่าง ๆ ที่วันเดอเรอร์จะได้เรียนรู้และลงมือด้วยตนเอง เช่น การแปรรูปและรีไซเคิลพลาสติกเป็นข้าวของเครื่องใช้ และส่วนของลิ้น ซึ่งเป็นที่ตั้ง Ziggurat with Singha ลานเบียร์ที่สร้างขึ้นจากการอัพไซเคิลวัสดุลังไม้และขวดเบียร์ นอกจากนี้ พื้นที่ตรงกลางของ Living Village ยังเป็นที่ตั้งของ Woven House ผลงานที่ชนะการประกวดออกแบบพาวิลเลียนเพื่อใช้นำเสนอในนิทรรศการความเป็นมาของวันเดอร์ฟรุ๊ต ซึ่งสะท้อนถึงแนวคิดด้านความยั่งยืนอย่างครบถ้วนทุกองค์ประกอบ
สำหรับดนตรีในปีนี้ หลายเวทีนำเสนอในรูปแบบของการเปิดพื้นที่ให้กลุ่มศิลปินหรือค่ายเพลงเข้ามาสร้างสรรค์โปรแกรมความสนุกให้กับวันเดอร์เรอร์ได้แบบจัดเต็มต่อเนื่อง เริ่มที่ Forbidden Fruit นำทีมโดย GO GRRRLS CREW กลุ่มศิลปิน LGBTQ ที่จะชวนทุกคนออกมาแดนซ์ไปกับซาวด์ดนตรีสนุกๆ ที่ผสมผสานระหว่างเพลงแดนซ์ที่คลาสสิคตลอดกาลและเพลงฮิตร่วมสมัยเข้าไว้ด้วยกันอย่างครบรส มาพร้อมกับทวิสต์ให้คนฟังได้ตื่นเต้นไปกับทุกจังหวะ ต่อด้วยค่ายเพลง Ed Banger Records จากฝรั่งเศสที่ขนศิลปินและดีเจมาเทคโอเวอร์ และปิดท้ายกับมิวสิคเฟสติวัลจากโตเกียว Rainbow Disco Club ที่จะมาเปิดเฟสติวัลขนาดย่อมๆ ที่นี่อีกด้วย สำหรับเวที Neramit ค่ายเพลงสุดแรงม้า ยกทัพศิลปินและดีเจในค่าย มานำเสนอแนวเพลงที่หลากหลายสไตล์ฟิวชั่น ครอบคลุมตั้งแต่ฟังค์ แจ๊ซ เวิลด์มิวสิค ไปจนถึงดนตรีไซเคดิลิกสไตล์ไทยๆ อย่างลูกทุ่งหมอลำแบบให้ได้อินกันทุกแนว ขณะที่ SOT ก็ระดมดีเจผู้ชนะจากเวที Red Bull 3Style ทั่วโลก มาเปิดเพลงสร้างความสนุกแบบนันสตอป พร้อมพบกับศิลปินจากค่าย Def Jam Thailand ในคืนต่อมา ที่จะรวบรวมเพลงฮิปฮอปและดนตรีเออร์บันที่กระตุ้นโสตประสาท ชวนออกสเตปมานำเสนออย่างต่อเนื่อง
ในช่วงเวลาเดียวกัน Sabai Sabai Radio ก็เข้ายืดพื้นที่เวที Ziggurat ด้วยดนตรีสุดล้ำผสานอารมณ์เพลงสบายๆ เข้ากับบรรยากาศลานเบียร์สุดชิลล์ Hamlet กลับมาพร้อมชื่อใหม่ Omelette ได้แบรนด์ไลฟ์สไตล์จากบาหลีซึ่งมีสาขาทั่วเอเชียอย่าง Potato Head มาทำหน้าที่มิวสิคคิวเรเตอร์คัดสรรไลน์อัพดีเจร่วมเทคโอเวอร์หนึ่งคืน นอกจากนี้ยังคงจัดเต็มกับโชว์และซาวด์ดนตรีเฉพาะตัวของแต่ละเวที ไล่เรียงตั้งแต่ Solar Stage ที่ยังคงเป็นไฮไลท์ในการชมแสงแรกของวันและดวงอาทิตย์ยามลับขอบฟ้า Polygon ที่จัดหนักกับไลน์อัพศิลปิน-ดีเจอิเล็คทรอนิกส์พร้อมระบบซาวด์ดนตรีและวิชวลรอบทิศทาง Molam Bus ไฮไลท์สปอตสำหรับผู้ที่ต้องเพลิดเพลินไปกับจังหวะสนุกๆ ของดนตรีที่มีกลิ่นอายพื้นบ้านของภาคอีสาน และอีกหนึ่งไฮไลท์ที่คอดนตรีไม่ควรพลาด คือการแสดงสดครั้งแรกของ Musicity โปรเจกต์ดนตรีระดับโลกที่นำเสนอเพลงซึ่งสะท้อนถึงแลนด์มาร์คสำคัญของเมืองต่างๆ ที่ Theatre Stage โดยศิลปินในสังกัด Erased Tapes จากอังกฤษ ร่วมกับศิลปินไทย สร้างสรรค์ผลงานเพลง ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจและสะท้อนถึงสถานที่สำคัญต่างๆ ของกรุงเทพ
นอกเหนือจากประสบการณ์ทางดนตรีที่อัดแน่นแล้ว ด้านอาหารซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญของงาน ในปีนี้เชฟและร้านอาหารที่ทำงานร่วมกับวันเดอร์ฟรุ๊ต ต่างร่วมกันคิดค้นเมนูอาหารที่นำเสนอเรื่องราวของความยั่งยืนในรูปแบบใหม่ๆ ที่แตกต่างกันออกไป ที่ Theatre of Feast วันเดอร์เรอร์จะได้พบกับโปรเจกต์พิเศษ ที่เป็นความร่วมมือระหว่าง bo.lan ร้านอาหารไทยโมเดิร์นคูซีนที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมในทุกขั้นตอน กับเชฟมิชลินสตาร์ Rishi Naleendra จะมาร่วมกันสร้างสรรค์คอร์สเมนูปิ้งย่างสไตล์อิซากายะที่ผสมผสานสูตรอาหารไทยและศรีลังกาเข้าด้วยกัน ขณะที่สองเชฟที่เพิ่งได้รับมิชลินสตาร์จากร้าน 80/20 ย่านเจริญกรุง ก็จะใช้วัตถุดิบท้องถิ่นของไทยในการครีเอทเมนูซีฟู้ดแบบยั่งยืน พร้อบพบกับสามแม่ครัวจากสามร้านดังที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ร้านโคอิตรัง ตรัง Tanya’s Homemade Eatery หัวหิน และ Blackitch เชียงใหม่ ที่จะนำสูตรก้นครัวของแต่ละบ้านที่สืบทอดจากรุ่นคุณย่ามาปรุงอาหารรสมือแม่ให้ได้อิ่มอร่อยกัน ในขณะที่เชฟ DK จากร้าน Haoma จะนำผักที่ปลูกเองแบบไร้สารพิษมารังสรรค์คอร์สอาหารมังสวิรัติที่แปลกใหม่และน่าสนใจ สำหรับ Wonder Kitchen เชฟหนุ่มจากร้านซาหมวย แอนด์ ซัน อุดรธานี จะนำเสนออาหารอีสานโมเดิร์นที่ประยุกต์ใช้ภูมิปัญญาพื้นบ้านกับวัตถุดิบตามฤดูกาล และเชฟแรนดี้จากร้าน Fillets หลังสวน จะมาจัดคอร์สโอมากาเสะโดยใช้ปลาจากท้องทะเลไทย เป็นการส่งเสริมและยกระดับวัตถุดิบจากภาคประมงของไทยไปอีกขั้น
สำหรับโปรแกรม Scratch Talks วันเดอร์ฟรุ๊ตได้รวบรวมเหล่าผู้นำทางความคิดจากทั่วโลก มาร่วมแชร์เรื่องราวและประสบการณ์ที่จะจุดประกายไอเดีย พร้อมเปิดมุมองใหม่ๆ ให้กับเหล่าวันเดอเรอร์ โดยในปีนี้ก็ยังคงจัดขึ้นใน Eco Pavilion ภายใต้ธีมหัวข้อ LIVE, LOVE และ WONDER พบกับพาเนลเสวนาเกี่ยวกับนวัตกรรมพลาสติกที่จะชวนเรามาหาทางออกร่วมกัน พร้อมฟังเรื่องราวของนักบินที่มีข้อบกพร่องทางสายตาแต่สามารถก้าวข้ามอุปสรรคในชีวิตได้ ไปจนถึงการจัดการความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนให้เป็นความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนโดยเลิฟกูรู และร่วมถกประเด็นเกี่ยวกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในวงจรการผลิตของอุตสาหกรรมแฟชั่น
สำหรับผู้ที่ต้องการปรับสมดุลให้กับร่างกายและจิตใจ Wonderness คือพื้นที่ที่จะเปิดโอกาสให้ได้สำรวจและค้นพบตนเอง ผ่านการทำเวิร์คช็อป กิจกรรม และการรักษาในรูปแบบต่างๆ โดยในปีนี้ จะมีกิจกรรมที่นำเอาภูมิปัญญาไทยเข้ามาผสมผสาน ให้วันเดอเรอร์ได้รับพลัง พร้อมฟื้นฟูร่างกายและจิตใจตามวิถีดั้งเดิมที่ถูกนำมาตีความและนำเสนอในรูปแบบใหม่ เช่น การฟื้นฟูร่างกายและจิตใจด้วยคลื่นเสียงจากการตีฆ้อง (sound bath) ที่ผสมผสานเข้ากับการเจริญสติแบบพุทธ หรือ ย่ำขาง ศาสตร์บำบัดล้านนาที่ใช้ไฟในการนวดรักษา
พร้อมพบกับกิจกรรมสำหรับเด็กและครอบครัวใน Camp Wonder ที่เด็ก ๆ จะได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติ ตั้งแต่การเข้าไปในฟาร์มเพื่อเก็บไข่ไก่มาทำอาหาร ไปจนถึงเรียนรู้ชีวิตของแมลงตัวน้อยที่ Bug Hotel และเวิร์กช็อปสนุกๆ ที่ได้ใช้จินตนาการไม่ว่าจะเป็นการวาดภาพระบายสี การทำสีจากวัสดุธรรมชาติที่หาได้รอบตัว ไปจนถึงการฝึกแอโครโยคะแบบครอบครัว ให้พ่อแม่ลูกได้มาช่วยกันพยุงตัว กับโยคะที่ผสมผสานกายกรรมและการนวดแผนไทยเข้าไว้ด้วยกัน
#Wonderfruit2019 จะจัดขึ้นในวันที่ 12-16 ธันวาคม ณ เดอะฟิลด์ แอท สยามคันทรีคลับ พัทยา ราคาบัตรเฟสที่ 3 เริ่มต้นที่ราคา 3,700 บาท สำหรับบัตรวันอาทิตย์ 6,900 บาท สำหรับบัตรวันหยุดเสาร์อาทิตย์ และ 8,100 บาท สำหรับทุกวัน สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับงาน และที่พักประเภทต่างๆ ได้ที่ เว็บไซต์ Wonderfruit : www.wonderfuit.co หรือเฟซบุ๊คที่ www.facebook.com/wonderfruitfest