Article Interview

Welfare 6 สวัสดิการดนตรีที่อยากให้วงการเพลงไทยมีอะไรแปลกใหม่กว่าที่เคย

  • Writer: Montipa Virojpan
  • Photographer: Narawit Suksawat

ช่วงหลังมานี้เราอาจจะเห็นศิลปินอิสระทำกลุ่ม collective หรือค่ายเพลงเล็ก ๆ ออกมามากมายเพื่อกำหนดแนวทางดนตรีเฉพาะของตัวเอง หรือเพื่อทดลองการบริหารจัดการบางอย่าง เพื่อเปลี่ยนแปลงระบบผูกขาดในอุตสาหกรรมดนตรีของบ้านเรา เพราะพวกเขาเชื่อว่าการมีทางเลือกมากกว่าจะทำให้วงการดนตรีของเราสนุกขึ้น และนี่ก็เป็นอีกกลุ่มสร้างสรรค์ผลงานเพลงโดยมีเบื้องหลังเป็นยอดฝีมือของวงการ ทั้ง บิว Lemon Soup รัฐ Tattoo Colour และ ออฟ Rats Records เรามาฟังเหตุผลที่ทำให้พวกเขาสร้าง Welfare 6 ขึ้นมาเป็นตัวเติมเต็มระบบนิเวศน์ของวงการเพลงกัน

Welfare 6

ทำไมถึงเกิดเป็น Welfare 6 ขึ้นมา

บิว: เมื่อก่อนผมกับรัฐจะได้งานจากวงเพื่อน น้อง ที่รู้จักกันอยากให้ทำเพลงให้ หลัง เริ่มเข้ามาเยอะ ไหน ก็ไหน ก็เซ็ตเป็นทีมเลยแล้วกัน

รัฐ: แล้วก็ตอนที่ผมกับบิวเข้าไป Smallroom ใหม่ (บิว: เป็น gen เดียวกัน) ก็เคยคุยกันแล้วคลิกกัน ด้วยไลฟ์สไตล์อะไรด้วย ก็คิดว่าโตไปอยากจะมีค่ายของตัวเองบ้างนะ พอสักพักก็รู้ว่าทำค่ายเองมันเหนื่อย เห็นจากพี่รุ่งเอง หรือเห็นพี่ แต่ละคนก็ตาม ก็เลยคิดว่าถ้าทำเป็นโปรดักชันเพลงเฉย อาจจะไม่เครียดเท่าทำค่าย เลยมารวมตัวกัน แล้วบิวรู้จักออฟพอดี Welfare 6 เลยเหมือนเป็นโปรดักชันเฮาส์ทำเพลง

ออฟ: นอกจากเราทำ Rats Records ส่วนใหญ่จะทำงานเพลงองค์กร เพลงโฆษณา แล้วมีช่วงนึงมีงานโฆษณาเข้ามาแล้วต้องการทีมแต่งเพลง จากที่รู้จักบิวกับรัฐอยู่แล้ว ก็เลยโยนให้เขาแต่งเลย แล้วบิวก็จะโยนงานมิกซ์มาให้เราบ่อย อยู่แล้ว ก็เหมือนทำงานด้วยกันมาเรื่อย (บิว: ทำไงถึงจะมีคนมิกซ์ฟรีให้เรานะ) ก็เลยทำด้วยกันไปเลย

แล้วทำไมถึงเลือก curate วงน้อง เข้ามาทำเพลงให้ อย่างเช่น Mamakiss

บิว: ไม่ได้ curate มันเริ่มมาจากพอเรางานเริ่มโหลด จะมีน้องวินเข้ามาช่วยงาน ซึ่งเมื่อก่อนเจอที่บ้านพี่ซัน ก็เลยให้น้องลองทำดู แล้ววินก็ทำงานได้ (ออฟ: ก็คือวินเป็นมือปืนที่ไม่ได้เป็นประจำมาช่วยงานแรก ) จนตอนนี้ก็เป็นฟรีแลนซ์ประจำที่ Welfare 6 แล้วน้องก็บอกว่ามีวง เป็นมือกลอง เราก็เพิ่งรู้

รัฐ: เมื่อก่อนเราจะไปซ้อมที่ห้องพี่ซัน Sunny Trio เป็นอาจารย์สอนเปียโนอยู่ที่ศิลปากรน่ะครับ แล้วน้องวินจะประจำอยู่ที่นั่น Mamakiss ฟีลก็เหมือนเป็นวงน้องเราเอง บิวก็เลยบอกว่างั้นเดี๋ยวทำเพลงด้วยกันไปเลย แต่มันไม่ใช่ music label อะครับ เราแค่ช่วยทำเพลงให้ศิลปินเสร็จเป็นอัลบั้มได้ แล้วต่างคนต่างมีอิสระเป็นของตัวเอง

ออฟ: พวกเราก็จะเป็นเหมือนกลุ่ม Monotone อะไรมากกว่า แต่มันก็จะไม่ได้เป็นเชิงพาณิชย์ขนาดนั้น เพราะไม่ได้ขาย เราช่วยทำโปรดักชันอะไรให้ได้ แต่เราไม่มีทุนในการโปรโมตให้ขนาดนั้น แล้วเราก็ไม่ได้คิดว่าจะหาเงินจากวงด้วย แบบถ้าเกิดเขามีงานโชว์แล้วเราจะไปหักค่าตัวอะไรจากเขา สมมติอัลบั้มหน้าน้องเขาไปเจอค่ายใหญ่ก็ไปเซ็นสัญญาอะไรได้เลย เราเหมือนเข้ามาเติมเต็มให้เขาจบงานได้

บิว: ลิขสิทธิ์เพลงทั้งหมดก็เป็นของวง เพราะอย่างที่บอกเราไม่ใช่ค่ายเชิงพาณิชย์ ไม่มี PR ประจำ ไม่มี AE ไม่มีกราฟฟิก ไม่มีตัง (หัวเราะ) คือคนที่เดินเข้ามาหาเราจะบอกเงื่อนไขแรกอย่างเดียวคือ กูไม่มีทุนนะ (รัฐ: มีแค่เวลาในการช่วยทำเพลง) อาจจะมีบ้างนิดหน่อย เช่น mv สักตัวนึง

ไม่เหนื่อยหรอที่ออฟเองก็มีค่าย บิวกับรัฐเองก็มีวงที่ต้องทำ

ออฟ: ไม่หรอก มันก็เติมเต็มดี หนึ่งเลยคือความสนุกที่ได้เข้ามาเจอกัน ได้คุยกัน ได้อัพเดตกัน

บิว: เราทำเพลงตามโจทย์มาปีนึง ทำเพลงโฆษณา ทำเพลงให้ศิลปินที่เขาขอว่า ต้องฮิตนะ แต่ต้องเท่ด้วย (หัวเราะ) (รัฐ: ให้สัมภาษณ์อันนี้นี่เหมือนระบาย) แต่เราก็เข้าใจโจทย์ของเขา ก็เขามาจ้างแล้ว

ออฟ: อันนี้เป็นอีกประเด็นของโปรเจกต์นี้จริง เพราะเหมือนบิวกับรัฐจะโดนโจทย์มาบ่อย แต่โปรเจกต์นี้ที่ถือกำเนิดขึ้นมาเพราะเราอยากทำเพลงที่เราชอบฟัง (บิว: แบบที่เราชอบ แบบ Mamakiss เงี้ย) แล้วก็อยากมีฟีลทำเพลงที่สนุก แล้วไม่ต้องมานั่งคิดว่ามันจะฮิตมากหรือฮิตน้อย

มีศิลปินคนอื่นใน Welfare 6 อีกไหม

บิว: ทำปีละวง อย่างปีนี้ก็เป็น Mamakiss ปีหน้าก็มีจับจองตัวไว้หนึ่งคนละ งานน่าสนใจ แต่ยังไม่บอกละกัน ปีหน้าอาจจะมีออฟทำ ถ้ามีเวลา

ออฟ: ก็จะมีโปรเจกต์ทำกันเอง คือมันเป็นที่ได้ระบายมากกว่า ได้ทำอะไรตามใจ

รัฐ: ได้ใช้เวลาว่างแทนที่จะกินเหล้าเมาแล้วกลับบ้านไป มากินเหล้าแล้วคุยงานกันบ้าง

แล้ววงที่เข้ามานอกจากจะเป็นน้อง ที่รู้จักแล้วใช้อะไรเป็นเกณฑ์เลือกอีก มีแนวเพลงมาเกี่ยวข้องไหม

ออฟ: เหมือนคุยกันถูกคอ คุยกันรู้เรื่อง ง่าย เลยเหมือนสามคนฟังแล้วรู้สึกว่าเท่ดี ลองทำดูไหม ไม่ถึงขั้นว่าจะขายได้ปะวะ (บิว: เป็นเพลงแบบที่เราชอบ)

รัฐ: เพราะว่าพอเราไม่ใช่ค่ายเพลงอะครับ เราก็ไม่ต้องกังวลเรื่อง feedback ขนาดนั้น ก็ทำที่เราชอบ ศิลปินก็แฮปปี้ที่จะทำงาน เราก็เลยทำโปรดักชันชื่อ Pop in the Box มา แต่พอมี Welfare 6 ก็เหมือนมีจุดรวมเป็นที่ที่นึงเป็นหลักแหล่ง (บิว: จริง อยากจะใช้ชื่อเดิม แต่มีเพื่อนคนนึงเขาขอไว้ ไม่ให้ใช้ชื่อเป็น genre) ก็เลยทำออฟฟิศขึ้นมา อาจจะมีค่าใช้จ่ายในการเช่าที่ ซื้อของ แต่มันก็มีความสุขในการทำ แล้วก็มีประโยชน์กับเราสามคน เราอยากจะทำอะไร จะนัดเจอใคร ลูกค้า หรือให้สัมภาษณ์ ก็ใช้เป็นจุดนัดพบ มันก็เลยดูแข็งแรง แต่ความรู้สึกตอนแรกยังเหมือนเดิม

ออฟ: เหมือนตั้งมาเป็นส่วนกลางแหละ อย่างรัฐ ทำ Tattoo Colour จะเข้ามาแต่งเพลงก็ได้ บิวแต่งเนื้อก็เข้ามาทำที่นี่ไม่ต้องทำอยู่บ้าน (บิว: บ้านมึงมันไกล!) อย่างเราบางทีก็ทำที่ Rats Records บ้าง แต่บางทีอยากนัดใครเข้ามา อย่าง ภูมิ วิภูริศ บางเพลงก็มาอัดที่นี่

บิว: เมื่อก่อนเวลาไปทำงานเพลงข้างนอกบางทีก็ไปที่บ้านออฟ บ้านรัฐบ้าง อันนี้ก็ทำให้ง่ายที่สุด นัดน้องศิลปินก็ให้มาที่นี่ มีที่จอดรถ กินข้าวได้ วงใหม่คุณ Rocket Man ก็นัดกันตรงกลางที่พื้นที่ส่วนกลางตรงนี้ แต่คำว่า music label ที่ใช้แปะ มันง่ายต่อการสื่อสารเฉย

ออฟ: หรือวงน้องอย่าง Mamakiss เนี่ย ที่ทำไปบางทีก็ควักเงินของออฟฟิศออกไปด้วยนะ ไม่ได้ไปตามเก็บเงินน้องฝ่ายเดียวเพื่อมาทำ mv เราก็ช่วยกัน (รัฐ: เหมือนพอพี่พอมีก็แบ่งให้น้อง) หรือเด็กเรียนจบฟิล์มก็อยากทำ mv มาขอทำให้ เราก็ส่งให้ไปทำเลย (บิว: แก้เลี่ยน) มันมีเรื่องก่อนหน้านี้ด้วยคือเราทำค่าย Rats Records ใช่ไหม แล้วก็คุยกับบิวไว้นานแล้ว คือ Rats ส่วนใหญ่มันเป็นเพลงสากล เราก็อยากทำเพลงภาษาไทยบ้าง บิวบอกว่าถ้าทำ Thai Rats มันจะตีกันไปมา ก็เลยถือโอกาสมาทำตรงนี้ดีกว่า

รัฐ: จริง แล้วการทำงานและวิธีคิด ระบบของมันก็เป็นโปรดักชันเฮาส์ธรรมดา (บิว: และถ้าใครชอบ Mamakiss ค่ายไหนสนใจ) ก็เอาไปเลย! (หัวเราะ) เอาไปเร็ว ด้วย

บิว: แล้วก็บริหารยังไงให้ไม่เจ็บตัว เหมือนโปรดักชันเราไม่ได้ออกตังแล้วเสียฟรี คือขอให้ทุกคนเท่าทุนหมด แต่มีเพลงออกไป จริง โครงสร้างมันคล้าย Rats Records แหละ

ซึ่งตอนนี้ถือว่าโอเคอยู่ไหม

บิว: ยังไม่รู้ เพราะอัลบั้ม Mamakiss ต้องลองขายดู แต่คิดว่าน่าจะไม่เจ็บ น่าจะสบาย แล้วถามว่าหวังว่าจะได้กำไรไหม ถ้าได้กำไรก็ให้น้องมันหมดเลย

ออฟ: ที่นี่ก็จะแบ่งเป็นสองพาร์ต มี commercial music เพลงโฆษณา เพลงองค์กร อันนี้มันก็เหมือนเป็นพอร์ตของเราด้วย

บิว: มันจะมีพวกเพลงโฆษณาใช่ไหมครับ ซึ่งเราหาตังจากตรงนั้นได้แหละ

แต่ละคนแบ่งพาร์ตกันทำงานใน Welfare 6 ยังไงบ้าง

บิว: ถ้าตอนนี้คือ รัฐเขายังมีวงเขาอยู่ ออฟก็ต้องดู Rats ผมอาจจะเป็นคนหลักที่เข้ามาบ่อยที่สุด แต่ถ้ามีงานก็ใช้กระจายงาน ใครถนัดท่าไหน สมมติงานนี้ อะ รัฐช่วงนี้ว่างหรือเปล่า เอางานอะเรนจ์ไป

ออฟ: อย่างบางเพลงถ้าเกิดคิดเนื้อทำนองกับน้องมาแล้ว รัฐมาตบเนื้ออีกรอบ ช่วงไหนเราว่างอาจจะช่วยมิกซ์บ้าง เพราะว่าก่อนหน้านี้เราก็ทำโปรดักชันโฆษณามา แต่อย่างที่เข้าใจกัน โปรดักชันโฆษณาบางทีมันใช้เวลา 3-4 วัน แต่มิกซ์ มาสเตอร์ บางทีจบวันสองวันได้ เราก็เลยเจียดเวลามาทำตรงนี้ดีกว่า แล้วก็อะเรนจ์ให้บิวคุมน้อง เด็ก ทำได้ รัฐอะเรนจ์ก็เร็วอยู่แล้ว นิดเดียว เหมือนทดแทนกัน ใครมีโปรเจกต์ไหนมาก็ช่วย กัน แล้วเราจบนิเทศศิลป์ออกแบบมาก็อาจจะถ่าย mv ให้

รัฐ: ค่อนข้างชอบนะครับ เพราะผมทำ mv ไม่ได้ มิกซ์ก็ไม่ได้ ทำได้แค่เขียนเนื้อ ทำนอง อะเรนจ์ สามอย่าง บิวก็เป็นเนื้อกับทำนองเป็นหลัก (บิว: แล้วก็ managing เป็นโปรดิวเซอร์ ดูภาพรวม นั่นนี่) เหมือนมีคนสามคนที่ทดแทนกันได้ตลอดเวลา ทำมาแล้วแฮปปี้

บิว: ก็เลยไม่ต้องจ้างพนักงานเพิ่มด้วย เช่น ปกทั้งหมดของวงที่จะทำเนี่ย ผมดู mv ออฟก็ดู รัฐ มึง เพลงนี้ดูเนื้อให้มันหน่อย

รัฐ: ความที่มันเป็นเพื่อนกัน นอกจากกินเหล้ากันก็ได้งานด้วย (บิว: จะได้มีเงินมากินเหล้ากันเท่านั้นแหละ ที่เนี่ย (หัวเราะ)) คำถามคือตั้งแต่ตั้งมาได้กำไรหรือยัง ขอยังไม่ตอบละกัน อายเขา (หัวเราะ)

ออฟ: ตอนแรกเริ่มก็มีการหารค่าเช่ากันด้วยนะ (บิว: นอกจากไม่มีเงินเดือนแล้วยังต้องควักเงินจ่ายค่าเช่าด้วย (หัวเราะ)) ก็เป็นค่าที่ส่วนกลางไง อันนี้เหมือนห้องคนโดของเราแล้วหารค่าเช่ากันอยู่

มองว่าการที่มี collective หรือมีค่ายเล็ก เกิดขึ้นมากในทุกวันนี้เป็นผลดีหรือผลเสียกับศิลปิน

ออฟ: ตอนแรก เราเคยคิดว่าค่ายเยอะมันจะโน่นนี่ ยุ่งยาก ทุกวันนี้คิดว่ายิ่งของมีมาเยอะ ยิ่งแข่งขันสูงอะ ความหลากหลายก็ยิ่งเยอะ เหมือนประเทศไหนที่มีนักกีฬาเยอะ มันก็ต้องแข่งกันว่าใครเก่งกว่ากัน ไม่งั้นก็ติดทีมชาติไม่ได้

บิว: ถ้าสังคมไหนมีการแข่งขันสูงจะเป็นสังคมคุณภาพ แนวเพลงจะหลากหลายขึ้น (ออฟ: มันจะไม่เฉื่อย) เพราะถ้าเกิดทุกคนมามัวคิดว่า ตายละ แนวนี้มันไม่ขายว่ะ เพลงก็จะอยู่ในเชิงที่ว่า คิดเพื่อขายได้ไหม มากกว่า ล่าสุดผมรู้จักอีกแก๊งนึงทำเหมือนกัน เต๊นท์ Summer Dress ก็ทำ Tomato Love Records ก็คล้าย กันในเรื่องระบบ ไอ้นี่เพื่อนกัน มาทำด้วยกัน

รัฐ: ผมชอบที่ว่า พอตัวไม่ได้ใหญ่มาก การเข้าถึงก็ไม่ได้ยากมาก ทำให้เรารวมกันง่ายขึ้น ไม่ว่าฟังใจหรืออะไรก็ตาม เราเจอกันง่ายขึ้น สุดท้ายคนที่ได้รับประโยชน์ที่สุดก็คือคนฟัง

ออฟ: แล้วผมไม่ชอบมุมมองอย่างนึงตั้งแต่เริ่มทำ Rats แล้ว คือไม่ชอบมองคนอื่นเป็นศัตรู เราไม่ได้พาดพิงใครนะ แต่บางค่ายเพลงอาจจะมองว่า เอ๊ย ค่ายนี้เป็นคู่แข่งกับเรา เราว่ามันไม่ดีอะ มองว่าเป็นเพื่อนกันแล้วทำเพื่อผลงานออกมาให้มันหลากหลายดีกว่า

รัฐ: คือความจำเป็นของค่ายอาจจะต้องมีวิธีคิดในการแข่งขัน เขาต้องดูแลคนเยอะไง แต่ของเรา (บิว: คนมันน้อย ก็แมเนจง่าย) เราก็ทำเพลงเพื่อเป็นอีกทางเลือกนึงสำหรับตัวเอง

บิว: ทุกวันนี้จ้างเราได้นะเพราะเราไม่ใช่ค่ายเพลง (หัวเราะ) ก็ยังรับงานเบื้องหลังศิลปินคนอื่น ในนาม Welfare 6 นี่แหละครับ อย่างล่าสุด ฝ้าย ปัถยา ที่ทำ ก็ produced by Welfare 6 เสมอ (ออฟ: รัฐก็ยังได้ทำ Palmy หรือค่ายนั้นค่ายนี้มาให้เราช่วย) สุดท้ายแล้วสิ่งที่เราทำไม่ใช่เพื่อจะมาแข่งพี่ น้อง อยู่แล้ว อย่าง Clutch-Type Pencil วงของพวกเราสามคน ไอ้นี่ (ออฟ) ก็อยู่ค่าย ผมก็มีวง รัฐก็มีวง แล้วรู้อยู่แล้วว่าเป็นแนวเพลงที่โคตรแบบไม่ขาย แต่ก็มีตรงนี้ให้เราได้ทำสิ่งที่ชอบจริง ขายไม่ได้ไม่เป็นไร มันเหมือนขับมอเตอร์ไซค์เล่นอะ หลายคนมันมีงานอดิเรกของตัวเองแหละในทุกวันศุกร์ ส่วนเราก็เอาเงินที่จะไปใช้ตรงนั้น เอาเวลาตรงนั้นมาทำเพลง หรืออย่าง The Caption ก็ไม่ได้สังกัด Welfare 6 แต่ทั้งหมดมันก็ทำด้วยกัน

รู้สึกยังไงที่คนเขียนเพลงรุ่นใหม่หลายคนยึดรัฐ บิว เป็นไอดอล

บิว: ห้ามยึดนะ เราต้องวิ่งแข่งกันตลอดเวลา

ออฟ: เรามองว่าเด็กสมัยนี้เก่งกว่าเราด้วยซ้ำ แต่เราแค่เข้ามาแนะแนวให้มันไปถูกที่ถูกทางมากกว่า

รัฐ: ถ้าจะให้บอกอะไร จะบอกว่าให้หาเพื่อนที่ดีทำเพลงด้วยกัน บางทีสมมติเรามีเพลงของเราหรือมีค่ายของเรา แล้วเราถูกกดดันบางอย่างที่ก็เคยเจอมาก่อน แต่พอมาเจออะไรแบบนี้ก็ได้มาแชร์ไอเดียกับเพื่อนเราเองเนี่ยแหละด้วยความรู้สึกใหม่ สิ่งที่เกิดขึ้นก็ไม่รู้ว่าความฮิตจะเกิดไหม แต่สิ่งที่เราชอบแต่แรกคือความสนุกในการทำเพลงมันจะกลับมาเสมอ เวลาเรามาเจอคนที่แอคทิฟเหมือนกับเรา อยากทำเหมือนกับเรา อย่างน้อยคนทำเพลง คนฟังเพลงเอง ไม่ได้คิดว่าฉันต้องดีกว่าเธอ เธอดีกว่าฉัน เราก็อยากจะฟังเพลงไม่ใช่หรอ (บิว: เพลงที่แปลกใหม่หน่อย)

ออฟ: เรารู้สึกว่าช่วงวัยที่เราเกิดมา โตมาในยุค 90s เพลงยุคนั้นมันมีค่ายเล็ก ผุดขึ้นมาเยอะแล้วมันสนุก เราก็รู้สึกอยากให้มันมีฟีลแบบนั้นเกิดขึ้นอีก มีวงใหม่ หน้าใหม่ จะเจ๊งไม่เจ๊งช่างมัน

บิว: เลือกไม่เลือกไม่เป็นไรนะ แต่ให้มันมีสักหน่อย ระบบนิเวศน์มันจะได้กลม แล้วถ้ามีใครสักคนคิดว่า เฮ้ย ยังไงดี ขาย ไม่ขาย ก็จะบอกกันว่า มึงช่วยเอาไม้หน้าสามมาฟาดด้วยนะ (หัวเราะ) ใครบอกเรื่องยอดวิวนี่เดี๋ยวจะตีเลยนะ ไอ้ Mamakissเนี่ย พี่ ไม่เดินเลยว่ะ’ ‘เฮ้ย จำวันแรกที่เราคุยกันได้ไหมจะถามมันเสมอเวลาเราคุยกันเรื่องนี้แต่ถ้าซีเรียสเรื่องนั้น เดี๋ยวกูมีค่ายที่กูรู้จัก สามารถส่งให้มึงไปต่อยอดทางนั้นได้

ออฟ: ไม่ได้ไปคำนึงแบบคนสมัยนี้ว่ายอดวิวต้องเท่าไหร่เราว่าวันนึงก็จะโอเคถ้าชัดเจนในแนวทางแล้ว อย่างตอนทำภูมิยอดวิวหลักพันหลักหมื่น ไม่ได้คิดว่าจะมาไกลขนาดนี้ รู้สึกว่าแค่เริ่มก่อน แล้วรักในงานที่ทำไปเรื่อย เดี๋ยวมันก็มีคนติดตามเอง

บิว: ซึ่งแฟนร้อยคน ซื้อร้อยแผ่น มันก็คัฟเวอร์ทุกอย่างที่เราลงโปรดักชันไปหมดแล้ว แล้วสบายใจ ได้ทำเพลงที่ชอบ ไม่เจ๊งด้วย มีความสุข (ออฟ: ไม่ต้องมีแฟนเพลงเป็นล้าน) แต่ถ้าได้แบบนั้นก็ดี เรายินดี

แต่ยุค 90s สมัยนั้นมีค่ายใหญ่คุมบังเหียนอยู่ด้วยไม่ใช่หรอ ค่ายอัลเทอร์เนทิฟก็เฉพาะกลุ่มมาก

รัฐ: ผมมองว่ายุคอัลเทอร์ตอนนั้นค่ายใหญ่ก็ไม่ได้คอนโทรลน้า Grammy RS แต่ไอ้ตัวที่เราชอบกันอะ มันไม่ได้มีสังกัดในค่ายใหญ่

ออฟ: อย่าลืมว่า Modern Dog เกิดขึ้นมาจากค่าย Bakery Music เป็นเบอร์แรกของค่าย แล้วก็ขายได้ล้านตลับ เฉย (รัฐ: หรือ Smile Buffalo ก็ตาม สังคมยังเป็นอย่างนั้นอยู่ มันสนุกดี) เรากลับมองว่ายุคนี้ค่ายใหญ่คอนโทรลเยอะกว่า 90s อีกนะ ตัวที่ออกมาจากค่ายใหญ่ยอดวิวระดับ 10-20 ล้านขึ้น เขาคุมสื่ออะไรทั้งหมด

บิว: แต่ถ้าใครบอกว่ากูจะเป็น Bakery ใหม่กูจะเอาไม้หน้าสามฟาด (หัวเราะ) พราว หรืออะไรพวกนี้ น่าจะเกิดจากคนทำเพลงแหละ หรือจะไม่มีสังกัดก็ได้นะ แล้วก็ดัง เราก็ยังสนับสนุน การมีเพลงทางเลือกเหมือนเราแค่มาเติมระบบนิเวศน์ใหม่ เพราะระบบนิเวศน์มันค่อนข้างแห้ง เขาให้โจทย์มาว่าขอฮิต ขอดัง เท่ ปัญหาคือเราก็อยากทำให้ทุกคนดังแหละ พองานมาถึงมือเราเราก็อยากให้เขาประสบความสำเร็จก็เพราะเขาฝากฝังแล้ว แต่ว่าเราคอนโทรลไม่ได้จริง

ออฟ: เพลงดังของเขาคือขอยอดวิวสิบล้านขึ้น ซึ่งเราก็รู้สึกว่า มันจะไปคาดเดาได้ไงวะว่ามันจะสิบล้าน เราจะไปรับปากเขาว่าถ้าไม่ถึงสิบล้านแล้วไม่เอาตังก็ไม่ได้

แล้วเคยเจอปัญหาว่ารับงานมาแล้วติดลายเซ็นเราลงไปในงานบ้างไหม

ออฟ: อันนั้นแก้ไม่ได้

บิว: รัฐอาจจะมีบ้าง แต่บอกเลยว่า ปัญหาคือคนรู้ว่ารัฐทำ มันรู้จากการอ่านก่อนเว่ยเนี่ย พี่รัฐทำอีกละเพราะถ้าไม่อ่าน หรือถ้างานไหนรัฐไม่ขึ้นเครดิต มันก็ไม่รู้หรอก ไอ้นี่ก็เซ็งแบบแหม่ ทำเป็นรู้ดีว่ากันตามตรงลายเซ็นโปรดิวเซอร์มีกันทุกคน แต่ก็พยายามให้เป็นตัวของศิลปินมากที่สุดแหละ

ออฟ: อีกเรื่องที่เรามอง ในมุมมองของเด็กยุคนี้เราว่าแง่คิดเก่า แบบค่ายใหญ่ก็เริ่มจะไปแล้ว เราบอกน้อง ที่มาช่วยทำว่า ถ้าแต่งเพลงเองไม่เป็น อยู่ยากแล้วทุกวันนี้ หนึ่งคือหาลายเซ็นตัวเองไม่เจอ สองคือคนก็จะไม่เชื่อ

รัฐ: ใช่ ผมว่าตอนนี้คนฉลาดขึ้น คำว่าเชื่อไม่เชื่อเนี่ยสำคัญ คนที่ไม่ได้แต่งเพลงเอง ถ้าเกิดเราไม่ได้ร้องเพลงแบบเพราะ หรือมีเอกลักษณ์ ยุคนี้มันก็ลำบาก เพราะคนเก่งขึ้นเยอะ ทุกคนทำเพลงในห้องนอนได้ แล้วซาวด์ก็ดีขึ้นแล้ว โหลดซอฟต์แวร์ฟรีบางทีก็มี วัดกันที่สกิลแล้วแหละครับ คนที่ไม่ใช่ตัวจริงก็ลำบากขึ้นหน่อย

ออฟ: ไม่ได้ว่านะ แต่ค่ายใหญ่บางทียังมองศิลปินบางคนเป็นแค่นักร้อง แล้วเอาโปรดิวเซอร์มาแต่งเพลงให้ ตอนนี้อาจจะยังโอเคอยู่แต่อีกหน่อยจะยาก เพราะว่าหนึ่งเลยลายเซ็นไม่มี แล้วก็ให้ใครก็ไม่รู้แต่งเพลงในอัลบั้มนึงให้เยอะไปหมด แล้วคนก็จะมองด้วยความไม่เชื่อว่าคนนี้เป็นศิลปิน อย่างเราแยกแยะตลอด ศิลปินกับนักร้อง ระบบค่ายใหญ่ทำให้บางคนเป็นแค่นักร้องหรือ entertainer

บิว: หลัง เวลาเราทำ Welfare 6 คอนเทนต์ต่าง หรือแม้แต่แนวเพลง สิ่งที่มันต้องการต้องถามมันเลยว่ะ ไม่ใช่แบบ จัดนี่ให้หน่อย ขอดัง เริ่มไม่มีแล้วนะ (ออฟ: มันไม่ใช่ยุคที่แบบ พี่เบิร์ดร้องเพลงเพราะ แต่งเพลงให้พี่เบิร์ดซิ) ครูเพลงมันหมดไปแล้ว เราแต่งมั่วซั่วแล้วให้ไอ้นั่นไปร้องไม่ได้แล้ว

รัฐ: ก็เลยต้องเค้นจากเขาให้เยอะที่สุด ก็จะมีทางเลือกเหมือนกัน คนที่เขาไม่อยากร้องเพลง อยากเป็นนักแต่งเพลง ก็สามารถทำได้ แต่ว่าก็ต้องเหนื่อยขึ้น ไม่ใช่ว่าฉันแต่งเพลง เอาเพลงฉันไปร้องเถอะ รับรองดัง อาจจะไม่การันตีแล้ว ต้องทำงานร่วมกันมากขึ้น นักแต่งเพลงต้องเก่งขึ้น นักร้องก็ต้องเก่งขึ้น

บิว: นักร้องต้องมีของมาให้นักแต่งเพลง เช่นว่า ผมชอบแบบนี้ ผมอยากเล่าคอนเทนต์นี้ หลัง นักแต่งเพลงอาจจะเป็นแค่ ghostwriter แล้วว่ะ แต่ว่าต้องเป็น ghostwriter ที่เก่งมาก ต้องเดามันให้ออก เพราะบางคนมันแต่งเพลงไม่เป็น คนแต่งไม่เป็นก็คือแต่งไม่เป็นนะเว่ย แต่คือทำยังไงให้คนแต่งเพลงไม่เป็นเล่าเรื่องให้เป็นเขาที่สุด นั่นคือสิ่งที่เราทำอยู่

ออฟ: อย่างน้อง Mamakiss เขาก็มีของของเขา มีเพลงแต่งเรื่องเขาเล่ามา (บิว: มันแค่ขาดคนชี้นำนิดนึง ตบ ไปทางนี้หน่อยจะดีขึ้น)

แปลว่าสมัยนี้อัตลักษณ์ในงานของศิลปินสำคัญ

บิว: สำคัญมาก

ออฟ: คนฉลาดขึ้นมันไม่ใช่ว่าแค่เต้นเก่งก็ดัง มันเป็นยุคที่ Bruno Mars ก็แต่งเพลงเอง Taylor Swift ก็แต่งเพลงเอง Ed Sheeran เงี้ย คนเฮด ระดับโลก แล้วในจังหวะที่เราทำให้ Mamakiss กันเราก็คะยั้นคะยอให้มันแต่งเองด้วย

บิว: จะมาโยนว่า พี่จัดไปเลย ไม่ได้ เดี๋ยว มึง (หัวเราะ) หรือเวลาจะแต่งให้มัน ต้องตอบให้ได้ก่อนว่าวงมึงเป็นแบบไหน ไม่งั้นก็แต่งให้มันไม่ได้

รัฐ: ทุกวันนี้ก็มีพี่คนนึงบอกว่า สังคมแออัดของเพลง (บิว: เพลงเพราะ เพลงดีไปหมด) ใช่ คนที่จะโผล่มาได้ก็ต้องมีบางอย่าง ถ้าไม่เพราะล้ำเหลือเหลือเกิน ก็ต้องมีสไตล์โดดเด้ง หรือมีอะไรบางอย่างที่คนฟังน่าจะชอบมาก เราไม่รู้ว่า Welfare 6 จะทำได้ไหม (บิว: แต่มันคือปณิธาณของเรา)

แล้วตอนนี้พอจะมีใครเป็นตำนานแบบพี่เบิร์ดได้ไหม

บิว: เริ่มยากแล้ว เพราะสังคมเพลงกว้างเกินไปแล้วที่จะมีหนึ่งคนโดดขึ้นมา

รัฐ: แล้วยุคนี้เขาอาจจะดังจริง พุ่งจริง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะอยู่นานแค่ไหน ผมว่าคนไหนก็ตามที่ดังแล้ว เขาต้องเลี้ยงงานเขาตลอดเวลา เป็นยุคของคนที่ต้องมีความครีเอทิฟแล้วก็ความขยัน ผมว่าไม่ใช่แค่วงการเพลงนะ ทุกอันเลย สื่อเองก็ตามก็ต้องขยัน ไม่ได้วัดแค่พรสวรรค์และความเก่งกาจ มันก็ต้องมีแหละ แต่ถ้าเก่งแล้วไม่ขยันก็ลำบาก แต่ legend เนี่ยตอบยาก ต้องมองกันยาว แล้วก็คนตัดสินคงไม่ใช่เราหรอก ต้องคนฟังหลาย คน

บิว: สรุปคือต้องทำงานต่อเนื่อง อะสมมติภูมิดังแล้ว สบายแล้วดิภูมิไม่ได้ สุดท้ายหลังจากทัวร์เขาก็ต้องทำงานอยู่ดี ถ้าผมเป็น The Toys ในยุคก่อน มีเพลง ก่อนฤดูฝน เพลงเดียว ผมจบแล้ว แต่ไม่ ทอยก็ยังไม่จบ ก็ต้องทำอะไรของมันออกมาเรื่อย เพจดัง เพจนึงถ้าได้คอนเทนต์นึงแล้วลง ปั้ง! แล้วก็ไม่ลงต่อ

ออฟ: เดี๋ยวนี้ก็มีเพจอะไรไม่รู้คนไลค์เป็นแสน ผุดขึ้นมาเต็มไปหมด คนที่ทำต่อเนื่อง คนขยัน คือคนอยู่รอด อย่าหยุด ยังไงก็มา จริง อย่าง The Toys ภูมิ วิภูริศ หรือแม็กซ์ เจนมานะ เขาก็ทำการบ้านเยอะนะ ต้องให้เครดิตเขา แม้แต่ภูมิเองก็ไม่เชื่อว่า Lover Boy จะอยู่ได้ ก็ต้องทำเพลงใหม่ ระหว่างทัวร์เองก็เอาเพลงมาให้ฟังกันตลอด ตอนนี้เขาทำอัลบั้มใหม่อยู่

บิว: ก็อยากให้กำลังใจน้อง ละกัน วงอินดี้อะ ทำไมชุดนี้ไม่มา เพลงนี้ไม่มา เฮ้ย ทำต่อเนื่อง ผมว่ามา ถ้าเห็นคนเพลงเดียวดังแล้วก็อย่าไปอิจฉาเขา เพราะคนเพลงเดียวดังมันก็เหนื่อย (หัวเราะ) แล้วก็ต้องมีความกลัวตลอดว่า ชิบหาย เด็กแม่งเก่งขึ้นมาเรื่อย แล้วต้องพูดว่าอย่าง Smallroom แต่ละวง Somkiat Polycat เงี้ย

รัฐ: ต่อให้เป็น Tattoo Colour ก็ต้อง work hard เราวงเป็นสิบปีแล้ว เด็กตามมาแล้ว ยิ่งต้องทำงานหนัก ทำแล้วหา ทำแล้วคิดอะครับ อย่าท้อ

ออฟ: เมื่อกี้เพิ่งคุยกันสนุก กับรัฐกับบิวว่า Boy Pablo อายุเท่าไหร่ เขาอายุ 19! ชิบหายแล้วเด็ก 19 ขึ้นมาแล้วมึง (รัฐ: แต่มองเป็นเรื่องสนุกนะครับ กระตุ้นให้คนแก่อย่างเรามีไฟ (หัวเราะ)) ก็ย้อนกลับมาที่ออฟฟิศเราที่ก็ได้เจอเด็กรุ่นใหม่ เด็กมันก็ให้อะไรบางอย่างกับเรา บางทีเด็กก็เอาเพลงวงใหม่ ให้เราฟัง เราเหมือนศึกษาจากมันเรื่อย เหมือนเราเป็นอาจารย์ฝึกสอน เวลาเจอเด็กก็ได้เรียนรู้จากมัน

บิว: อย่างปีนี้เราตั้งใจจะออก Mamakiss อย่างเดียว ก็รู้สึกว่า เฮ้ย ออก Clutch-Type Pencil ซักหน่อยด้วยดีกว่าว่ะ อยากทำอะ อย่าไปอายว่า… (รัฐ: พี่ รู้จักวงนี้ไหมครับ ถ้าไม่รู้ก็อย่าไปแอ็คว่ารู้ วงมีเป็นแสนเป็นล้านใครจะไปฟังครบหมด) ไม่ทันก็บอกว่าไม่ทัน หรือถ้ามีเพลงยุคเราก็แลกกับเขาฟัง บางทีมันอาจจะพูดบางอย่างถูกก็ได้ บอกว่าวงนี้จะมา เอ้า แม่งมาจริง

แล้ว Clutch-Type Pencil มาได้ยังไง

บิว: ก่อนหน้านี้ออฟก็จะทำด้วย แต่ดันไม่อยู่ ไปทัวร์กับภูมิ ผิดแผนนิดนึง

รัฐ: พอภูมิมาเลยไม่ได้มิกซ์เลย เหลือสอง

ออฟ: แต่ก็เอาใจช่วยตลอด (หัวเราะ) สมัยก่อนสองคนนี้เขานัดกันอาทิตย์ละวันมานั่งแต่งเพลงแต่งเนื้อร้องกัน เฮ้ย ขยันว่ะ ทำไมไม่ทำเพลง

บิว: พอมันเริ่มเข้ากระแสว่าทำเพลงต้องตามยุคสมัย แต่เมื่อก่อนเราอยากทำเพลงแบบนี้ ทำฟังเองก็ได้วะ เหมือนลับสมอง ลองทำหนุก เห็นน้องมันทำก็อยากทำบ้าง ไอ้โปรเจกต์นี้เป็น side project ปลอมอีก เพราะเดี๋ยวคุณรัฐเขาก็จะมี side project ของเขา รอว่าง มันก็จะทำของมัน เราก็จะทำของเราอีกอันเหมือนกัน ส่วนอันนี้เป็นสัดส่วนของเรา 60% รัฐ 40%

แล้วทำไมถึงตั้งชื่อว่าดินสอกด

บิว: ดินสอกดมันคือสิ่งที่อยากได้มาก ตอนเด็กแล้วมันแพงมาก สมัยก่อนไม่มีตังซื้อ ก็เหมือนเป็นสิ่งที่เราอยากทำแต่ไม่ได้ทำมานาน (ออฟ: เป็นสัญลักษณ์ของการเขียนด้วย อย่างบิวมันเป็นคนเขียนเนื้อร้องมาแต่ไหนแต่ไรด้วย) แล้วมันเปลี่ยนไส้ได้ด้วยเพราะกูขี้เกียจร้องเอง บางเพลงมีคนอื่นมาร้องให้ แล้วหนึ่งดินสอมีไส้หลายแบบ เพลงในอัลบั้มก็จะไม่ใช่โทนเดียวกันทั้งหมด เพลงนี้ชอบแบบนี้ ไอ้รัฐชอบแบบนี้ ผมชอบอย่างนี้ มันเลยตอบโจทย์ หลังแทร็คมันจะไม่ได้เขียนเป็น 1 2 3 แต่จะเป็นเบอร์ความเข้มของไส้ดินสอ H 2H 3H (รัฐ: คิดว่าเท่หรอ) เฮ้ย ถนัดทำเป็นคอนเซ็ปต์อยู่แล้ว อย่างผมชอบเสียงร้องพี่ป๊อป ไพรัช ที่ร้องให้ Mr. Z วันนี้ไม่มีพี่ชาย เรื่องที่ผ่านมาแล้ว ผมอยากฟังพี่ป๊อปร้องเพลงผม เป็นสิ่งที่อยากทำมานาน

ออฟ: จริง มันก็สนุกดี ทุกคนก็เคยมีวงกันหมดแหละ เมื่อก่อนก็มีวงเป็นพังก์ เลย ก่อนหน้านี้มีโปรเจกต์ที่ออกในนาม Welfare Production เป็น compilation โยนไป รัฐ แต่งมาเลยหนึ่งเพลง ออฟไปแต่งมาหนึ่งเพลง มีเวลาให้เท่าไหร่ สามอาทิตย์! แล้วจริง ตอนแรกเราก็จะทำด้วยแหละ แต่เวลาไม่ทัน ก็เนี่ย จนมันห่างหายไปนาน ไปทำโปรดักชันอะไรสักพัก ก็อยากกลับมาทำเพลงของตัวเองสนุก บ้าง

บิว: ออฟมันก็มี side project ของมันเป็นเพลงแบบที่มันชอบ รัฐก็มีสิ่งที่มันชอบ เนี่ย เดี๋ยวปีหน้าออฟมันทำ Green Tambourine ด้วย เพราะอยากให้ทุกคนได้ทำเพลงลับสมองฮา หรืออย่าง Lemon Soup มันก็ต้องแชร์ไอเดียกับเพื่อน กัน แต่อันนี้ระหว่างรอเพื่อนก็ทำของตัวเอง ซึ่งยอดวิวกระจอกมาก หลักพัน แต่เราไม่สนใจ เพราะมันสนุก หนึ่งในเหตุผลที่เขาชอบงานแบบนี้เพราะมัน nostalgic บางคนไม่ชอบเพราะอาจจะไม่เข้ายุคสมัย แต่เราว่าอย่าไปเชื่อเยอะเลยยอดวิวอะ เราว่างาน Cat Expo ยังขายได้อยู่ เหมือนเขียนหนังสืออะ

รัฐ: เราสนตอนทำ ฟังเพลงแล้วชอบไหม ก่อนนอนก็ (บิว: ชอบอยู่คนเดียว) บางทีก็พอแล้ว เพลงเราก็สนุกดี

บิว: อันนี้ก็คือจะปล่อยเป็นอัลบั้มเลย มี 8 เพลง ถ้าใครชอบก็ซื้อไป แล้วเรื่องในเพลงนี้เขียนให้วงก็ไม่ได้ ซึ่งบางเรื่องมันเขียนในเชิงพาณิชย์ไม่ได้ ยอดวิวมันอาจจะน้อยนิดนึง เรื่องส่วนตัวเนี่ย

รัฐ: ผมชอบตรงนี้ โปรเจกต์อิสระมาก อยากเขียนอะไรก็เขียนเลย จะมีสามอย่างในการเขียนเพลง ของผมนะ เขียนให้วง เขียนให้งาน แล้วก็เขียนให้ตัวเอง

ออฟ: กลับไปฟังนะครับ เพลงที่รัฐเขียนให้ตัวเองส่วนใหญ่จะพูดถึงเรื่องเหี้ย (หัวเราะ) แล้วมันจะดูเรียลมาก

บิว: แล้วไม่มีอินไซด์คนอื่นนะ เรื่องพวกเรากันเองเนี่ยแหละ ยิ่งรู้จักกันมานานแล้วแบบ จริงสัสเลย (รัฐ: จริง ถ้าได้ฟังก็จะรู้แบบ อ๋อ พวกมึงเป็นคนอย่างนี้กันหรอกหรอ) ฟังแล้วเหมือนแก๊งสามช่าล้อกันอะ (หัวเราะ)

รัฐ: ไม่เชิงเรื่องชู้สาว แต่จะเป็นเรื่องแบบ บางทีบิวชอบดองหนังสือ ผมคิดว่าตัวเองเป็นสุภาพบุรุษแต่จริง ผมไม่ได้เป็น gentleman หรอก ไรเงี้ย (บิว: แล้วก็หลอกพี่ป๊อปมาร้อง (หัวเราะ))

ออฟ: หรืออย่างคราวที่แล้ว รัฐทำเพลงเกี่ยวกับไปสังสรรค์กับเพื่อนแล้วแฟนตามกลับไม่อยากกลับโว้ย แดกเหล้าอยู่เหมือนเพลงด่าเมีย แต่ช่วงหลังนี่โดนกดดัน สองทุ่มต้องเข้าบ้านแล้ว แต่มันสนุก ขนาดเราเป็นคนในแล้วถอยไปฟังก็รู้สึกว่ามันเรียล ฟังแล้วเชื่อ

บิว: ไม่ใช่เรื่องซีเรียสมหรรพภาคด้วยนะ ส่วนใหญ่จะจุลภาค (หัวเราะ) หรือ Mamakiss มีเพลง Flashback แสดงว่ามึงเล่าเรื่องของมึงแน่นอน เฟียตนักร้องนำเขาไปเจอ ดิม Tattoo Colour ที่คอนเสิร์ต เมาเละเลย ไปกัดแขนดิม ทั้งที่ไม่รู้จักกันเลย

รัฐ: แล้ว flashback มาแบบเฮ้ย ผมทำแบบนั้นเลยหรอพี่ ขอโทษครับพี่หรือ ดาวพลูโต เป็นพวกผมคุยกันสองคนในไลน์ว่าอะไรเนี่ย มึงไปรู้จักดาวพลูโตกันตั้งแต่เมื่อไหร่วะ’ (ออฟ: เนื้อร้องเหมือนแบบทำไมทุกคนต้องเอาดาวพลูโตมาขยี้) เมื่อก่อนมึงไม่สนใจดาวพลูโตกันหรอก (ออฟ: อยู่ดี พอหลุดวงโคจรไป อะไรวะ) (บิว: ส่วนใหญ่งานที่นี่ถ้าไม่ใช่ commercial ก็จะเป็นสายแซะ) บางส่วนก็แซะ บางส่วนก็เล่าตัวเอง แต่พยายามเล่าเป็นเพลง เพราะเวลาเคลียร์กับที่บ้านจะได้ง่ายหน่อย (หัวเราะ)

ออฟ: อย่างตอนนั้นมีช่วงเศร้า เฮิร์ต ก็แต่งเรื่องแบบนอนดูทีวีจนหลับ

แล้ว Good Hope Music Academy ที่ไปช่วยเขาทำ ทำอะไรบ้าง

บิว: ช่วยเขาดูภาพรวมเพราะว่า บาส ZAAP อยากทำความหวัง เรียกว่าเป็น welfare บางอย่างเหมือนกัน เพราะเขาอยากให้ อยากทำโปรเจกต์อะไรที่มันไม่แข่งขัน

ออฟ: เออ มันไม่ได้เป็นประกวดอะ เหมือนเข้ามาแล้วเราเป็นทนายประชาชนอะ มีคนในประเทศนี้ที่อยากแต่งเพลงเก่งขึ้นเยอะแยะ บางทีเขาไม่ได้มีโอกาสมานั่งกินเหล้าหน้า Welfare 6 (บิว: ทำไงก็ได้ให้รู้สึกว่าเขาได้ความรู้สุด) ก็คือให้คนส่งเพลงมา แล้วเราคอมเมนต์กลับ

บิว: แล้วมันก็ต้องมีบั้นปลายถูกปะ ก็ให้วงเขามีความสุข อาจจะไม่สมบูรณ์แบบ แล้วก็บอกเขาทุกครั้งนะว่าโปรเจกต์นี้พี่ไม่การันตีนะว่าน้องออกไปแล้วจะมีค่าย จะดัง แต่ล่าสุด 2-3 วงที่ส่งมาเราก็หาค่ายให้ (ออฟ: ก็มีเข้า Rats Records วงนึง น่าจะออกปีหน้า) ซึ่งเราทำราคามันนับมูลค่าไม่ได้เลย แล้วมันถูกมากเลยนะที่เรารับจ้าง ZAAP ทำ เพราะโครงการมันน่ารักจริง แล้วไม่มีสปอนเซอร์ด้วย คือปกติ ZAAP เขาจะมีงานที่เป็น commercial เข้ามาตลอด ดังนั้นทุกปีจะมีโปรเจกต์นึงหรือสองที่ต้องทำให้คืนบ้าง มันเป็นเทรนด์ของบริษัทโลกด้วย social enterprise มันจะได้เท่าไหร่ช่างมันเถอะ อย่างน้อยก็ได้ให้

รัฐ: แทนที่บาสจะเอาเงิน 3-4 ล้านไปซื้อเฟอร์รารีขับ มันเอามาลงตรงนี้ ก็นับถือมัน แล้วเราอยากทำอะไรแบบนี้อยู่แล้ว

โปรเจกต์ส่วนตัวของแต่ละคนเป็นยังไงบ้าง

ออฟ: ตอนนี้ผมก็โปรดิวซ์อัลบั้มใหม่ของ ภูมิ วิภูริศ อย่างเข้มข้น แล้วก็ไปทัวร์ยุโรปอเมริกามา เริ่มมีความคิดว่า คือไปที่นู่น มันก็ได้เจอดนตรีหลาย แนวที่ไม่ใช่ดนตรีแมส แล้วอยู่ดี มันแว้บเข้ามาในหัวว่าเราอยากทำดนตรีของตัวเองบ้างโดยไม่ต้องออกหน้า คือเป็นในเชิงทำเพลงเนี่ยแหละ อย่าง Lemon Soup ของบิว คือทุกคนโตแล้ว บางคนมีลูกมีอะไร อันนี้ก็ยังรักในการแต่งเพลงอยู่ก็เว้นวรรค ทำ Clutch-Type Pencil รอมัน ทุกคนก็ยังอยากมีอัลบั้ม เราก็อยากทำอัลบั้ม

บิว: รัฐก็อยากมี แต่ยังไม่ว่าง วงก็ยังต้องทำ

รู้สึกยังไงที่ได้เป็นเบื้องหลังความสำเร็จของศิลปินหลาย คน

ออฟ: บางทีเราก็ไม่ทันคิดว่านี่สำเร็จแล้วหรือเปล่า แต่ว่ามันต้องทำต่อเรื่อย และส่วนตัวเรารู้สึกว่าคนที่คิดว่าตัวเองสำเร็จแล้วอะ มักจะยังไม่สำเร็จ

บิว: มันจะหยุด พวกผมกลัวมากเลยนะ กลัวเด็กรุ่นใหม่ มันเก่งมาก ถ้าเราไม่วิ่งต่อก็ชิบหายเลยนะ พี่เจ Penguin Villa พี่รุ่ง เนี่ย ตัวอัพเดตเด็กตลอดเวลาเลย

รัฐ: เราอยากให้เป็นบรรยากาศแบบนี้ตลอด มีความคิดแบบนี้ เราเป็นผู้ใหญ่ก็อย่า settle ตัวเอง แล้วบอกว่า เพลงรุ่นใหม่นี่มันเป็นอย่างนี้นะ หรือมองว่าเพลงสมัยนี้ฟังยากขึ้น เราไม่อยากเป็นอย่างนั้น อยากจะอัพเดตเรื่อย แต่อาจจะไม่เก่งเท่าเด็กยุคที่มาพร้อมกับเพลงยุคนี้ แต่ถ้าเราทำได้ก็รู้สึกว่าแฮปปี้แล้ว

ออฟ: อย่างทำภูมินี่เราไม่เคยคิดว่าประสบความสำเร็จเลยนะ มันยังเป็นก้าวแรกอยู่ตลอดเวลา คือมันก็ต้องก้าวต่อ

บิว: อย่าหาว่าพวกผมพูดเหมือนพวกไลฟ์โค้ชนะ แต่รู้สึกอย่างนั้นจริง (หัวเราะ) แต่เอาจริง รัฐนี่โคตรสำเร็จเลยนะ แต่ถ้ามันหยุดตอนนี้ก็ตายห่าเหมือนกัน

ออฟ: ทุกวันนี้มานั่งปรึกษากัน รัฐถามว่าภูมิจะทำอัลบั้มเมื่อไหร่ เราก็บอกว่ามกราเนี่ยต้องทำแล้ว เดินตลอด ไม่ได้ตัวลอย ใครหยุดทำงานก็ตาย หรือคุยกันว่าโชว์ที่นู่นเป็นยังไง ที่อเมริกาก็ดี แต่ที่ยุโรปมา 40 คน บางเมือง โบโลนญ่า เงี้ย ตูรินมา 25-30 คน ซึ่งในยุโรปก็ยังเป็นลับแลอยู่ คนอิตาลีก็ใช้ภาษาอิตาลีเป็นหลัก (บิว: เหมือนคนไทยแหละที่ยังใช้ภาษาไทยอยู่) มันก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จตลอด แต่เราก็ต้องเรียนรู้จากตรงนั้นว่ามันมีอะไรที่เรายังไม่เห็น เอามาเล่าแลกเปลี่ยนกันเป็นชุมชนตรงนี้ หรือตอนไปเล่นต้องเซ็ตเองหมด เขาไม่ขนให้ ไม่มีสเตจ ผมแบกกระเดื่อง ภูมิแบกสแนร์ เดินต๊อกแต๊กเข้าไป ตู้แอมป์ก็ต้องยกเอง ก็ยังเป็นเหมือนวงอินดี้เล็ก นั่นแหละ แต่ว่าเรื่องนี้เราก็มี Tattoo Colour เป็นไอดอลนะ คือขยัน คนบ้าอะไรปีสองปีออกอัลบั้มอีกแล้ว มึงเอาเวลาที่ไหนไปแต่ง

บิว: หรือจริง ไม่ต้องหาซาวด์ใหม่ Tattoo Colour ก็อยู่ได้แล้ว แต่สุดท้ายก็ต้องหาไปเรื่อย

ออฟ: แล้วเราก็ได้เห็นอะไรใหม่ อย่างต้นปีนี้ก็ออกเพลงใหม่ มาชวนเราไปทำ mv ก็สนุกดี เหมือนระบบเพื่อนไปลุยกัน คอยกระตุ้นกัน

เชื่อว่าการทัวร์ช่วยศิลปินมากกว่าสตูดิโออัลบั้มไหม

รัฐ: ผมว่าสตูดิโอสำคัญกว่าทัวร์ครับ แต่ว่าการทัวร์สำคัญเพราะว่ามันทำให้คนเห็นความแอคทิฟของเรา เพราะตอนนี้คนไทยจะมองเราอย่างงี้ครับ ยอดวิวเป็นจุดกำหนดความสำเร็จ แต่การทัวร์ก็สำคัญ ถ้าเรานอนมองยอดวิวอยู่บ้าน อาจจะมีงานสองงาน แต่เราอาศัยการทำทัวร์ด้วย มันเจอคน เจออะไรหลายอย่าง การทำทัวร์ปีที่ผ่านมาทำให้หลายคนเห็น ทั้งร้าน โปรดักชันต่าง มีคนมาขอซื้อทัวร์ Tattoo Colour 15 ทัวร์ การที่เราขยันทำอะไรบางอย่างมันสำคัญที่สุดแล้วครับ แต่สตูดิโอสำคัญสุด เพราะเพลงสำคัญสุด พอทัวร์เสร็จแล้วหลังจากนั้นเราก็ต้องทำการบ้านต่อ

บิว: ไม่งั้นรัฐก็นั่งกระดิกตีนอยู่บ้าน เฮ้ย อัลบั้มเสร็จแล้วเว่ย

ออฟ: เสริมหน่อยว่า เรามองสตูดิโอเป็นเหมือนหนังสือ แล้วทัวร์เหมือนการเอาหนังสือไปทำหนัง อย่าง Harry Potter เขียนออกมามันดีมาก ถ้าเราไม่ได้ไปทัวร์ ก็ไม่ได้แสดงสดให้เขาเห็น แต่ถ้าเราไปแสดงได้ดี ก็เหมือนเป็นการต่อยอดเพลงเราไปอีก ถ้าเกิดใครเพลงดังมากแต่ไม่ได้ไปทัวร์ไปอะไร คนเขาก็ไม่อิน ไม่เชื่ออยู่ดี ว่ามันจะเล่นได้หรือเปล่า

บิว: เหมือน Cornelius อะ ฟังเฉย ก็เพราะดี เท่ดี แต่พอเจอโชว์เข้าไป ไอ้บ้า! …เฮ้ย Clutch-Type Pencil ก็รับงานนะ

ออฟ: แล้วสุดท้ายเอาจริงนะ นักดนตรี 70-80% ก็อยากเล่นดนตรี ไม่มีใครอยากนั่งอยู่หน้าคอมหรอก เราก็อยากให้เด็กสมัยนี้มีความคิดว่า ถ้าเป็นนักดนตรีก็ต้องไปเล่นดิว้า ถ้านักดนตรีที่มี passion ต้องคิดว่าการเล่นสดคือการออกกำลัง มันจะแฮปปี้ (รัฐ: ถ้าเราไปเจอพวกแฟนคลับไปเล่นสดกับนั่งหน้าคอมอันไหนสนุกกว่ากัน

บิว: อย่างรัฐเล่นบ่อยอะ มันสนุกไหม หรือว่าเริ่มเบื่อละ

รัฐ: บางครั้งหน้าคอมมันกว่า บางครั้งเล่นสดมันกว่า อยู่ที่ว่าห่างจากหน้าคอมมานานละ กลับไปทำงานดีกว่า หรือบางทีอยู่หน้าคอมนานเกิน ไปเล่นเถอะ อยู่ที่เราบาลานซ์มันยังไง แต่ไม่ใช่ว่าวันนี้นอนรอหน้าคอมเพื่อจะไปเล่นสด ถ้าวันไหนเล่นสดเริ่มหายเราต้องไปไฟต์มา

ฝากผลงาน

บิว: ตอนนี้ก็มี Mamakiss อัลบั้มเต็ม 9 เพลง พี่หนึ่ง ETC โปรเจกต์เดี่ยว เป็นคนขยันอีกคนนึง (ออฟ: ร้องเพลงรักเบื่อแล้วอยากทำเพลงดิสโก้) ก็ 9 เพลง กับ The Caption ที่โปรดิวซ์โดย Welfare 6 มี Clutch-Type Pencil อัลบั้มเต็ม นี่ไม่เคยโพสต์เพลงในเพจ Lemon Soup เลยนะ ก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามสิ่งที่มันเป็น

สุดท้ายแล้ว รู้สึกยังไงที่วง ฉิบาแดง ป๊าดป๊าด ยังเป็นตำนานจนถึงทุกวันนี้

รัฐ: อย่างแรกนะ ก็ดีใจแทนต้นด้วย เราเป็นเพื่อนกันหมดเลย แค่นี้ก็พอครับ วงนี้อินดี้มาก ห้ามพูดอะไรเป็นสาระเลย ใครชอบวงนี้ก็ไว้อาลัยให้ต้นด้วย

บิว: สรุปเลย เพราะทำแล้วสนุก ขอบคุณแทนต้นด้วย

Facebook Comments

Next:


Montipa Virojpan

อิ๊ก เนิร์ดดนตรีที่เพิ่งกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนตอนอายุ 25 ชอบเดินเร็ว นอกจากขนมปังกับกาแฟดำแล้วก็สามารถกินไอศกรีมกับคราฟต์เบียร์แทนมื้อเช้าได้