Interview

Varis ครบรอบ 5 ปีบนเส้นทางดนตรี ส่ง ‘supervillain’ อัลบั้มใหม่ และ V for VARIS คอนเสิร์ตฉลองส่งท้ายปี!

วายร้ายท่านใดจะสนุกเท่า Varis วิน–วริศ คงสุวรรณ เพราะ supervillain คืออัลบั้มที่เต็มไปด้วยเรื่องราวของการเจ็บปวด เรียนรู้และก้าวผ่านของเขาในวันนั้นจนเป็น Varis ในวันนี้ได้ดีที่สุด เราเลยชวนวินมาพูดคุยถึงเรื่องราวกว่าจะเป็นวายร้ายในอัลบั้มนี้ และพร้อมที่จะชวนทุกคนไปฉลองครบรอบ 5 ปีด้วยกันที่ V for VARIS คอนเสิร์​ตใหญ่ที่จะเป็นคอนเสิร์ตที่ดีที่สุดของเขา

supervillain

 

เราตามหาคอนเซปต์ที่มีความดาร์กขึ้นแต่ในเวลาเดียวกันสนุกขึ้น พยายามตามหาคำนี้มานานมาก เรานั่งฟัง Punisher ของ Phoebe Brigders แล้วค่อนข้างชอบตัวตน ความคิด เรื่องเล่า ของเขา ก็เลยเริ่มกลับมามองว่าตัวตนของเรา ณ ตอนนี้ เราจะใช้คำไหนแทนตัวตนได้มากที่สุด 

แล้วตอนนั้นทำเสื้อกับ KENGMAKLEON พอดี แล้วเขาได้คอนเซปต์ให้ Varis เป็นตัวร้าย เขาพูดว่าเรามีสองด้าน ชีวิตจริงนุ่ม ๆ แต่บนเวทีมันก้าวร้าว เขาก็เลยใช้ชื่อเสื้อตัวนั้น รุ่น Villain ถ้าจะหาคำสักคำนึงคำนี้ก็น่าจะเป็นคำที่ดี ก็เลยได้คำนี้มาก่อน แต่ทีนี้พอถัดมาเราจะก็ต้องคิดต่อว่าเราจะพูดอะไรในอัลบั้มนี้ ก็ไม่พ้นชีวิตเราในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เริ่มเป็นศิลปินจริงจังขึ้นออกมาเป็นศิลปินอิสระต่าง ๆ นานา มรสุมชีวิตหลังเรียนจบ ในฐานะที่ต้องโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ เหมือนเราต้องไปอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องเห็นตัวเองในด้านที่ด้านไม่ดีมันออกมามากขึ้น ซึ่งมันเป็นด้านที่เรารู้อยู่แล้วว่ามันไม่ดี ในเวลาเดียวกันก็รู้สึกแย่และจมดิ่งกับมัน ไปจนรู้สึกว่ามันมืดมนมาก ๆ แต่ในเวลาเดียวกันเราค่อนข้างเชื่อและพยายามหาหนทางที่เราจะเจอการรักตัวเองและยอมรับตัวเองในทุก ๆ ด้านของตัวเอง เรารู้สึกว่าถ้าคน ๆ หนึ่งรับด้านเหล่านั้นของตัวเองได้ มันน่าจะเป็นพลังวิเศษของคน ๆ นั้นแล้วกลายเป็น full potential ver. ของตัวเองได้ แล้วมันก็เลยกลายเป็น supervillain 

ซึ่งสำหรับอัลบั้มนี้วิธีการเล่าเรื่องของมัน เราคิดอยู่แล้วว่าบรรยากาศมันจะต้องเป็นกลางคืน เลยอยากเล่าเป็นตามชั่วโมงของกลางคืนที่ค่อย ๆ ตามหาตัวเอง รักตัวเอง และค่อยดีขึ้นในตอนเช้า เราเริ่มเขียนเพลงของอัลบั้มนี้ตอนอายุ 22 พร้อมกับเป็นปี 2022 และแทร็กสุดท้ายชื่อ V เพราะมันคือเลข 5 แล้วเราคิดไอเดียเพลงนี้ได้ตอนตี 5 ที่เราไปเที่ยวทะเลแล้วนอนไม่หลับ ตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นแล้วเริ่มคิดถึงชีวิตตัวเองว่าอยากปล่อยวางหลาย ๆ อย่างให้ได้มาก ๆ Run คือเที่ยงคืนพอดีเพราะว่ามันคือซินเดอเรลล่าที่หนีความจริงไม่พ้นแล้วต้องวิ่งเท่านั้น 

จริง ๆ ทุกเพลงมันเรียงเรื่องต่อกันได้หมด แต่ Run ค่อนข้างเมจิกมาก ๆ ที่ได้เป็นเที่ยงคืนพอดี คงมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์บางอย่างมาบอกให้เราได้ทำ (ขำ)

Track by Track

 

22

อย่างที่ว่ามันคือการเปิดเรื่องตอน 4 ทุ่ม (22:00) เรามีเมโลดี้หนึ่งอยู่ในหัวที่มันเป็นแอมเบียนซ์ พอเรารู้สึกว่าเรากำลังจะจมดิ่งในเวลากลางคืน เราจะได้ยินเสียงนี้ในหัวแบบว่าวายร้ายกำลังจะมาแล้ว หรืออะไรบางอย่างที่น่ากลัวกำลังจะมา เราอยากให้มันเป็นความรู้สึกนั้น การดีไซน์ซาวด์ดนตรีเราค่อนข้างอยากให้บรรยากาศมันเหมือนภาพยนตร์มาก ๆ ซึ่งเป้าหมายของอัลบั้มนี้เราอยากให้มันเล่าเรื่องเหมือนภาพยนตร์เลยตอนเราทำเลยทำให้มันดู cinematic มาก ๆ เราทำซาวด์กลองจำลองให้ฟังดูเหมือนทิมปานีขึ้นมาในเพลงนี้ เรียกว่าเป็นเพลงเปิดหนังเรื่องหนึ่งที่เซ็ตบรรยากาศของหนังเรื่องนี้ ซึ่งก็ตั้งใจแต่แรกเลยให้มันเป็น interlude ที่พาไปสู่ down down down 

 

down down down

เราเคยคุยกับพี่เจมส์ FORD TRIO เมื่อ 3-4 ปีที่แล้ว แล้วเขาพูดกับเราไว้ว่า เวลาอยากจะรู้ว่าเขาอยากเล่าอะไร ประโยคแรกกับประโยคสุดท้ายสำคัญที่สุด เราเลยเปิด down down down เพราะประโยคแรกมันคือ ‘I’d like to open up about’ เราเขียนมันในช่วงที่เรา down down down ที่สุด แล้วเราค่อนข้างไม่รู้ว่าจะมีใครรับฟังเราหรือเปล่า จริง ๆ เนื้อเรื่องมันต่อกับ will u? ประมาณหนึ่ง เราก็เลยได้ประโยคท่อนฮุกมา จริง ๆ ชื่อเพลงตอนแรก ‘you wouldn’t like me when i’m down’ 

Fun fact: ใครที่ไป Future Fest แล้วฟัง down down down ครั้งแรกแล้วได้ setlist ไป จะเห็นว่ามันเขียนว่า “ywlm”

ก็เลยเป็นการเซ็ตมู้ดจากจุดที่ดาร์กที่สุดในอัลบั้มเพื่อที่จะเรียนรู้เพื่อเข้าใจตัวเองไปเรื่อย ๆ 

 

Run

จริง ๆ เป็นเพลงสุดท้ายที่ได้ในอัลบั้มนี้ มันเป็น slot ที่ว่าง เรารู้ว่าเราต้องทำเพลงที่สาม เพื่อต่อจาก down down down และก็ lead ไปหา Open Up ทุกวันที่เดดไลน์มันใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ได้ยินเสียงในหัวเป็นเสียงเคาะเตือนว่าต้องเสร็จ “อัลบั้ม มึง ต้อง เสร็จ แล้ว นะ!!!” เหมือนโดนฟาดเพื่อบอกเราว่า “ที่ผ่านมามึงทำอะไรอยู่ ทำไมไม่ขยันกว่านี้ มันต้องเสร็จได้แล้ว” เรากลับมาบ้านเปิดประตูถอดรองเท้าแล้วก็ได้ยินเสียงในหัวนี้ตลอด  ยิ่งเวลาที่กลับมาดึกเกินแล้วรู้ว่าจะไม่มีเวลาทำเพลงแล้ว ก็จะรู้สึกแบบนี้ เลยเปิดเพลง Run ด้วยกลองจังหวะเดียวกับเสียงในหัว ที่กำลังไล่ตามเราอยู่ ก็เลยเขียนเพลงนี้ให้กับตัวเองว่าคิดว่าตัวเองเก่งเจ๋งมากใช่ไหม มันคือการที่บอกว่าตื่นและใช้ชีวิตและหันมามองตัวเองบ้าง ตื่นและอยู่กับโลกความจริงและมึงหนีป้ญหาไม่ได้ อย่าเป็นคนหนีปัญหา สุดท้ายเราจะรู้ว่าเราหนีปัญหาไม่ได้ เพราะปัญหาวิ่งตามเราอยู่ แล้วก็อยากจบเพลงด้วยไลน์กีตาร์แบบวง muse สารภาพว่าชอบ muse มาก แล้วเพิ่งบินไปดูที่มาเลเซียมา อยากมีท่อนที่เล่นริฟฟ์กับเพื่อนแล้วกระโดดไปกระโดดมาได้ ก็เลยกลายเป็นเพลง Run แบบที่มันเป็น

 

Open Up

เป็นเพลงที่เราเรียกว่าปลดล็อกในการเขียนเนื้อของตัวเองมาก ๆ เหมือนเรากล้าเล่าเรื่องส่วนตัวมาก ๆ เรื่องความน้อยอกน้อยใจของเราที่เราอยากได้รับการรับฟังจริง ๆ หรือการที่เรารู้สึกว่าเราคาดหวังความสนใจจากคน ๆ หนึ่งที่เราไม่รู้ว่าเราจะได้รับความสนใจจากเขาหรือเปล่า เรื่องยากของเพลงนี้คือเพลงนี้ไม่มี tempo ตอนอัดเราจิ้มคีย์บอร์ดพร้อมอัดร้องเลย รวมถึงซาวด์ดีไซน์อื่น ๆ เป็นการเล่นสด อัดตามดนตรีอื่น ๆ ที่มีไว้แล้ว แต่ความต้องการของเราคือการที่เราอยากให้มันรู้สึกยืดยาวและสั้น ๆ ได้ในเวลาเดียวกัน ให้มันฟรีมาก ๆ เหมือนคนที่โอดครวญบางอย่าง และในเวลาเดียวกันเราก็รู้สึกว่าเมโลดี้เพลงนี้มันมีความเปิดไฟคริสต์มาสตอนกลางคืนบางอย่าง เหมือนอยู่ห้องที่มืดแต่มองไฟตกแต่งเล็กน้อยที่เรามีในห้องแล้วมันเหงา อยากให้มันออกมาเป็นแบบนั้น เราก็เลยเลือกที่จะจบเพลงนี้ด้วยโซโล่ทรัมเป็ตจากจารย์รอย

มันมีคำพูดฝังใจหนึ่งที่มีคนเคยพูดด้วยว่า โชว์ Varis มีแต่โซโล่กีตาร์ เราก็เลยอยากโซโล่ทรัมเป็ตให้ฟัง อีกอย่างคือเราชอบพี่รอย (ROYSENBERG) โซโล่ เวลาเล่นเยอะ ๆ ก็สนุกมาก ส่วนเวลาเล่นน้อย ๆ ก็เป่าได้กินใจมาก ซึ่งคนทั่วไปมักไม่ค่อยได้เห็นด้านนี้จากเขา เรารู้สึกว่าด้านอ่อนไหวของเขาที่เล่าผ่านดนตรีมันสื่อได้ดีมาก เลยอยากให้เป็นเขามาโซโล่ปิด

 

happy (?)

แฮปปี้ที่แปลว่ามีความสุขมากไหมครับ (ขำ) ก็เป็นเพลงที่เริ่มเข้าช่วงดุดันของอัลบั้ม กล้าที่จะลุกมาเพื่อตัวเองมากขึ้น เป็นเพลงที่ดนตรีเราตั้งใจจะทำให้มันสว่างมาก ๆ แต่เนื้อเพลงดาร์ก มันเป็นจริตของวริศเองด้วยก็อยากให้มันอยู่ในเพลง และค่อนข้างเชื่อว่ามันยังมีคนแบบเราที่อินอะไรแบบนี้อยู่ ก็เลยยึดมั่นในเส้นทางนี้ ดนตรีมันเลยออกมาเป็น drum n bass จัด ๆ  เบสจะดิสโก้มาก ซาวด์กลองก็ดิสโก้ แบบที่ดีเจกดเปิดในปาร์ตี้ได้ ช่วงท้าย ๆ เพลงก็จบด้วยการ chanting ชวนร้องในปาร์ตี้ซ้ำ ๆ อยากให้มันเป็นความรู้สึกนั้น แม้เนื้อมันจะดาร์กมาก แต่ก็อยากให้มันเป็นการโลดแล่นในความทุกข์ เหมือนกับที่กล้าแสดงความรู้สึกและแสดงออกมันออกมาแบบนี้ 

 

OH NO?!

เป็นเพลงที่เราเขียนขึ้นมาภายในสองชั่วโมงพร้อมทำเดโม่ มันคือช่วงที่ดุเดือดที่สุดในอัลบั้ม เป็นอารมณ์โกรธและไม่ยอมที่สุดแล้วในอัลบั้ม เรียกว่าลุกมาเพื่อตัวเองแบบที่สุดแล้วในอัลบั้ม ถ้าหากพูดถึงความที่อยากให้อัลบั้มมัน cinematic เพลงนี้คือหนังเควนตินสำหรับเรา เหมือนหนัง dark commedy อยากให้ความรู้สึกมัน chaos จัด ๆ แล้วมันก็ไม่มีใครที่เราคิดว่าสนุกและกวนตีนได้เท่า FORD TRIO แล้ว ตอนที่ทำ mv ก็เลยชวนพวกเขามาเล่นด้วย เป็นกอง mv ที่สนุกที่สุดกองหนึ่งเลยที่เคยทำ เหมือนไปเที่ยวพูลวิลล่า แล้วมีคนเรียกให้เข้าฉาก มันสนุกจริง ๆ เป็นเพลงที่เมโลดี้ถี่มาก คำก็เยอะ เลยกลายเป็นเพลงที่สนุกที่สุดตอนทำอีกเพลงหนึ่ง ก็อยากให้รอฟังตอนเล่นสด มันสนุกมากแน่นอน เป็นเพลงที่บอกได้ว่าคือความกวนตีนของวริศร้อยเปอร์เซ็นต์

 

Don’t Know How

เป็นเพลงที่เราไม่เคยคิดเลยว่า Varis จะมีด้านนี้ได้ ที่จะใส่กีตาร์โปร่งโฟล์ก-ร็อกแบบนี้ เราได้ประโยคหนึ่งมาในช่วงเวลาหนึ่งในชีวิตว่า “I don’t know how not to lose you” มันคือความที่เรารู้แล้วว่าเราทำอะไรไม่ได้ที่เราจะรักษาบางอย่างที่ไม่ใช่ของเราไว้ในชีวิต เราก็เลือกที่จะยอมรับความจริงแล้วเดินหน้าต่อไปดีกว่า เราค่อนข้างภูมิใจกับเนื้อเพลงนี้จริง ๆ เขียนเพื่อเป็นการบอกลาที่เจ็บปวดแต่ว่าด้วยดีจริง ๆ ประโยคที่เราชอบที่สุดในเพลงนี้ “And when you’re out there looking back I hope you’re happy with all that has changed” นี่คือประโยคที่เราภูมิใจที่เขียนได้จริง ๆ มันคือสารที่เราอยากบอกจริง ๆ

ตอนแรกดนตรีมันไม่ใช่แบบนี้เลย คือจังหวะมันเป็นแบบนี้แหละ แต่ดนตรีมัน hard rock ไม่มีกีตาร์โปร่ง กลองก็ฟาดแรง ๆ เพราะเรากลัวว่ามันจะไม่เข้ากับเพลงอื่น ๆ ของเรา กลัวว่ามันจะเบาไป แต่พอฟัง เดโม่แล้วรู้สึกว่ามันไม่เวิร์ก ก็เลยรู้สึกว่าต้องถอยออกจากตัวเองมาหน่อย แล้วมองว่าอะไรมันเหมาะกับเพลงนี้จริง ๆ เลยคิดว่ามันต้องเป็นสิ่งที่อ่อนโยนมาก ๆ ต้องเป็นด้านที่อ่อนโยนของอัลบั้มนี้ เราก็เลยทำให้มันออกมาเป็นดนตรีในแบบที่มันเป็นแล้วบรรยากาศต้องชัดที่สุด เป็นเพลงที่มิกซ์ร้องเบาที่สุดในอัลบั้มเพราะอยากให้คนอื่นได้ยินบรรยากาศดัง ๆ

มันมีโพสต์อิทอันนึงที่เขียนไว้ตอนทำอัลบั้มว่า “Don’t Know How ต้องโคตรไวบ์” เหมือนเป็นการเตือนตัวเอง เราภูมิใจที่ได้มีด้านนี้ออกมาให้ทุกคนได้เห็นแล้ว

 

V

บทสรุปของอัลบั้ม เวลาตี 5 ของเรา เพลงนี้คือเพลงที่เราได้จากความรู้สึกที่เรานอนไม่หลับ แล้วเราตื่นมาตอนตี 5 ออกไปนั่งดูพระอาทิตย์ขึ้น เหมือนในหนังมากเลยแต่มันคือชีวิตจริงนะ ก็เลยได้ประโยค “When the sun comes up I’ll be ready to grow” เราอยากโตขึ้นแล้วเราอยากเห็นพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว อยากปล่อยวางสิ่งที่เราเกลียด ความรู้สึกแย่ ๆ และรักตัวเองให้มาก ๆ เราก็เลยเขียนเพลงนี้ขึ้นมาได้เพื่้อเป็นการบอกกับคนที่เรารักทุกคนรวมถึงตัวเองด้วยว่าความรักมันอยู่รอบ ๆ ตัวเรานะ บางทีเราอาจจะแค่มองไม่เห็นมัน เชื่อสิว่าชีวิตมันมีอะไรที่ดีอยู่ ขอแค่สังเกตมันบ้าง

เป็นเพลงที่เขียนไปแล้วก็จะร้องไห้ไป เพราะรู้สึกว่าบางอย่างมันเป็นสิ่งที่เราอยากบอกคนอื่น แต่ในเวลาเดียวกันตัวเองก็ต้องการได้ยินสิ่งนี้มาก ๆ อย่าง pre-hook ที่สอง มันคือไม่เป็นไรนะถ้าจะร้องไห้ ร้องไห้ออกมาเถอะ จนกลายเป็นมหาสมุทรก็ได้ ดีกว่าเก็บไว้คนเดียว และเราก็อยากบอกคนที่เรารักแบบนั้นเหมือนกัน  เพลงนี้ทำให้เราปล่อยวางชีวิตได้จริง ๆ คือถ้าเราไม่เจอเรื่องแย่ ๆ หรือความผิดหวังทั้งหลายทั้งแหล่ที่ทำให้เกิดอัลบั้มนี้ขึ้นมาจนเกิดเป็นเพลงนี้ ก็คงไม่ทำให้เรารู้สึกตัวเบาได้ขนาดนี้

แล้วประโยคสุดท้ายของอัลบั้มมันคือ “Have we feel it enough” อะไรต่าง ๆ ที่เรารู้สึกตอนนี้ เราปล่อยมันไปได้แล้วแหละ ก็เลยเป็นปนะโยคจบอัลบั้มที่ปล่อยวางพร้อมเติบโต รับแสงแดดในตอนเช้า

ก็ขอบคุณทั้งเรื่องที่ดีและไม่ดีที่ทำให้เราโตขึ้นได้จริง ๆ 

เคยโดนคำถามว่าคิดว่า 5 ปีข้างหน้า Varis จะทำอะไรอยู่ไหม แล้วพอข้ามมาถึงตรงนี้จริง ๆ มันเป็นแบบที่เคยตอบไว้หรือเปล่า หรือชอบมันหรือยัง

นึกตอนนี้แล้วตลกดี ตอบอะไรไปก็ตลกมาก เพราะเราเด็กมาก แต่ก็เข้าใจว่ามันเป็นความคิดของเด็กปีสองที่ยังไม่เคยขึ้นเวทียังไม่เคยทำงานในวงการหรือเจอโลกแห่งความจริงเลยด้วยซ้ำ มันโอเคนะ เรารู้สึกว่าเราโอเคกับการโตขึ้น และมันไม่น่ากลัวขนาดที่คิดตราบใดที่เรารู้ว่าเราไม่ได้อยู่คนเดียว สุดท้ายเราแค่ต้องรู้ว่าเรามีคนที่รักจริง ๆ เรื่องยากมันก็ไม่หายไปจากชีวิตหรอกแค่มันจะง่ายขึ้นหน่อย 

ถามว่าชอบไหมมันก็มีช่วงขึ้นช่วงลงอยู่แล้ว แต่เรารู้สึกว่าเราไม่เคยเสียดายเลย ดีใจที่มีปัจจุบัน ดีใจที่มีเราตอนนี้และก็มีคนที่ซัพพอร์ตเรา ตอนนี้ เพราะเราดีใจที่เราดีใจกับปัจจุบันได้มากกว่าตัวเองคนก่อน

 

V for VARIS

 

ซื้อบัตรได้ที่นี่ แล้วไปเจอกัน 24 พฤศจิกายนนี้

ที่ LIDO CONNECT HALL 2 เวลา 1 ทุ่มตรงเป็นต้นไป!

ความพิเศษ

พูดแบบจริง ๆ เลยนะ มันจะเป็นโชว์ที่ดีที่สุดของ Varis หมายถึงในแง่ความตั้งใจของเรา ที่อยากทำให้มันออกมาได้แบบนี้จริง ๆ และมันจะเป็นครั้งเดียวที่เราจะเล่นคอนเสิร์ตเวลา 2 ชั่วโมงครึ่ง และทำทุกอย่างที่เราอยากทำจริง ๆ ได้ปลดปล่อยทุกอย่างที่เรายังไม่เคยได้ทำ และในขณะเดียวกันก็ทำบางอย่างที่เราทำกันเป็นปกติ แต่มาในรูปแบบของสเกลที่มันไม่เคยได้ intimate ขนาดนี้มาก่อน 

เราอยากได้ยินทุกคนใน Lido Connect Hall 2 ร้อง “แต่เธอก็ไม่ได้รักฉันอยู่ดี” พร้อมกัน เราอยากได้ยินคนร้องเพลงเราและคิดว่าคงไม่มีที่ไหนที่คนจะร้องเพลง Varis ดังเท่าที่คอนเสิร์ต Varis แล้วแหละ และนี่คือสิ่งที่หาไม่ได้จากการดูที่อื่นจริง ๆ ถ้าหากไม่เคยดู Varis นี่จะเป็นครั้งแรกที่ดีที่สุดของ Varis แต่ถ้าเคยดู Varis อยู่แล้ว นี่คือครั้งที่ดีที่สุดของ Varis!

เราจะไม่กั๊ก เราจะพูดแบบนี้เลยจริง ๆ และเราก็จะพยายามอย่างสุดความสามารถให้มันเป็นอย่างนั้น

 

ทิ้งท้าย

ขอฝาก supervillain ด้วยครับ เพราะมันคือ Varis ในแบบที่เราอยากให้มันเป็น คุณฟังทั้ง 8 เพลงแล้วคุณจะเข้าใจวริศมากขึ้น และก็ฝาก V for VARIS ด้วย เพราะว่าพวกเราทุก ๆ คนตั้งใจที่จะทำให้มันออกมาเป็นโชว์ที่ดีที่สุดของ Varis จริง ๆ แล้วถ้าคุณชอบวริศอยู่แล้ว วันนั้นมันจะเป็นวันที่ดีของคุณ ผมสัญญาเลย อยากให้มากันเยอะ ๆ มันจะเป็นวันของพวกเรา

คุยกับวริศในรอบ 2 ปี ที่พร้อมยอมรับความเศร้าในใจ และรู้จักที่จะรักตัวเองมากขึ้น

Facebook Comments

Next:


Donratcharat

นัท มีหมาน่ารักสองตัวชื่อหมูตุ๋นกับหมูปิ้ง กาแฟดำยังจำเป็นต่อชีวิต และยกให้กาแฟใส่นมเป็นรางวัล