varis-2021

Interview

คุยกับ Varis ถึงเรื่องราวของความพอดี ที่ควร ‘โทษตัวเองให้เป็น’

การพูดคุยครั้งแรกของ ฟังใจ และ Varis วิน – วริศ คงสุวรรณ  ถึงจุดเริ่มต้นการเป็นศิลปินที่ใช้ความขี้เบื่อขับเคลื่อนการสร้างสรรค์เพลงใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา และมุมมองของนักเรียนดนตรีถึงปัญหาการเรียนดนตรีในประเทศไทย ไปจนความพอดีที่คน ‘โทษตัวเองไม่เป็น’ ควรได้อ่าน มารู้จักเขาให้มากขึ้นผ่านเรื่องราวชีวิต ความชอบ ความไม่ชอบ ได้แล้วที่นี่

จุดเริ่มต้นการเป็นศิลปิน และ ปัญหาในการเรียนดนตรีในประเทศไทยจากมุมมองของ Varis

Varis: จริง ๆ ก็คือตั้งแต่เด็กเลย เพราะว่าเราโตมาในบ้านที่มีคุณพ่อเป็นนักดนตรี และเราก็จะได้คลุกคลีกับความเป็นวงการดนตรีมาตลอด เพราะพ่อก็จะทำงานที่บ้าน มีคนแวะเวียนเข้ามาตลอด เราก็จะได้เห็นเรื่องของโปรดักชั่นเพลงต่าง ๆ ว่ามีความเป็นมาเป็นไปอย่างไร พอเราได้เห็นสิ่งเหล่านั้นมาตั้งแต่เด็ก เราก็รู้สึกหลงใหลในตัวมัน พอโตขึ้นมาอีกหน่อยช่วงมัธยมต้น ก็เริ่มเล่นดนตรีเองจริงจัง คิดว่าความสนใจมันมาตอนนั้น น่าจะเพราะว่าพอถึงวัยมัธยมมันได้ตั้งวงกับเพื่อนมั้งฮะเลยทำให้เราฝึกเล่นดนตรีจริงจัง  แล้วเราก็เริ่มมีไอดอลที่เราชอบบ้างแล้วสมัยนั้นชอบ Green Day มากชอบ Blink-182 ชอบพวกแบบสาย pop-punk ต่าง ๆ ก็เลยฝึกเล่นกีตาร์พร้อมฝึกร้องเพลงไปด้วย และอีกสิ่งที่ทำให้อยากจริงจังขึ้นไปอีกก็คือตอนเราประมาณม.ปลาย ช่วง ม.5 ได้ไปแลกเปลี่ยนที่สหรัฐอเมริกา ตอนนั้นไปแค่ปีเดียวก็ได้เห็นหลาย ๆ อย่างที่โรงเรียน คือในโรงเรียนก็มีเรื่องดนตรีพวกmusic program ของเขาที่จริงจังมาก ๆ เลย มีวงหลาย ๆ แบบ พวกวง symphonic วงที่เล่นเพลงประมาณออเคสตร้าหน่อย ๆ หรือวงที่เล่นตามงานกีฬาโรงเรียนแบบ marching band ด้วย ไอเราก็เข้าไปจอยทุกแบนด์เลย เพราะว่าเราว้าวมากในแง่ของความจริงจังด้านดนตรีที่เราไม่เคยเห็นจากโรงเรียนในไทย เหมือนเราก็สปาร์คจอยตรงนั้นมาแล้ว พอกลับมาก็เลยขอพ่อแม่ว่าตอนมหา’ลัยอยากเรียนดนตรี ใช้เวลาโน้มน้าวใจพ่อแม่อยู่พักหนึ่ง ก็เลยได้มาเข้าที่สาขาวิชาดนตรีเชิงพาณิชย์ – คณะ ดุริยางคศาสตร์ มหาวิทยาลัย ศิลปากร เป็นสาขาที่เรียนเกี่ยวกับเพลง เพื่อนำไปใช้สำหรับ commercial ครับ หลัก ๆ มันก็จะเรียนเรื่องการเขียนเพลง การ compose ดนตรี หรือว่าอะไรที่มันจะเป็นการที่นำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ได้ แต่ว่าในเวลาเดียวกันมันสาขานี้มันทำให้เราได้เรียนกว้างมาก ๆ ว่าในด้านของการทำงานเพลงทุกด้านเราก็จะได้เรียนจากที่นี่ทั้งหมด แล้วพอเราได้อยู่ในสาขานี้ คนที่เราได้พบเจอก็จะเป็นคนในแวดวง รุ่นพี่ หรืออาจารย์  ก็จะเป็นเหล่าคนที่ทำเพลง ทำวงอิสระของตัวเองกันอยู่ เราเห็นแล้วก็สนใจและคิดว่าเราก็น่าจะทำได้บ้างนี่หว่า 

แต่ถ้าถามจริง ๆ ว่าเกิดขึ้นมาตอนไหน ก็คือตอนที่ปี 1 เทอม 1 ผมต้องทำงานส่งอาจารย์ จะมีงานวิชาหนึ่งที่เราเขียนเพลงส่ง ทำเพลง ทำดนตรีกันคนละ 1 เพลง เราก็ใช้เวลาอยู่สักพักเลยครับว่าจะทำอะไรดี สุดท้าย ด้วยเหตุการณ์ช่วงนั้นในชีวิต หรือความชอบในช่วงนั้น เราก็ทำเพลงชื่อว่า N. ไปส่งอาจารย์ แล้วมันเริ่มจากเพลง นี้นี่แหละ สักพักเราก็เอาเพลงนี้ไปลง Soundcloud ของตัวเอง ก็มีคนที่เริ่มชอบเพลงขึ้นมาบ้าง มีคนเข้ามาคุย มาบอกชอบเพลงเรา ก็เลยคิดได้ว่า เฮ้ย มันก็มีลู่ทางของมันนี่หว่า ทีนี้ต่อมาคุณเมย์ซึ่งเป็นผู้จัดการเขาก็โน้มน้าวผมให้ลองเอาเพลงลงฟังใจดู  ตอนนั้นเราก็ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย ก็คิดแค่ว่าลองดู เผื่อเป็นทางที่ทำให้เพลงนี้ถึงหูคนฟังได้มากขึ้น ก็กลายเป็นว่าได้รับความนิยมขึ้นมาอย่างน่าตกใจ ตอนนั้นรู้สึกจะติดชาร์ตอยู่อันดับ 3 เราก็เลยว้าวมาก ๆ มันเหมือนกับเป็นการเติมไฟให้ตัวเองมาเรื่อย ๆ ว่ามีกลุ่มคนที่เขาฟังเพลงของเราอยู่ งานของเรามันก็มีที่ยืนเหมือนกันนะ ก็เป็นการจุดประกายให้เราทำต่อ มันก็เลยมีเพลงต่อ ๆ มาเรื่อย ๆ 

FJZ: ด้วยความที่เรียนดนตรีมา คิดว่าปัญหาในการเรียนดนตรีในประเทศไทยสำหรับวินคืออะไร

Varis: คือมันก็มีปัญหาหลายอย่างเลยในการเรียนดนตรีในประเทศไทย เรารู้สึกว่าจริง ๆ แล้วพื้นที่ที่จะรองรับบุคลากรที่เรียนจบดนตรีโดยตรงในประเทศไทยยังไม่มากพอสำหรับจำนวนบุคลากรที่เรียนมาจริง ๆ ในประเทศไทย ปัญหาในเชิงโครงสร้างในประเทศเราโดยรวมยังไม่เอื้อต่อคนทำงานศิลปะทุกแขนงเลย ไม่ใช่แค่ดนตรี คนที่เรียนจบสายตรงมาก็ไม่มีพื้นที่รองรับให้กับงานที่เขาอยากทำจริง ๆ ปัญหาอยู่ตรงนั้นจริงครับ ไอเรื่องหลักสูตรก็คงแล้วแต่สถานที่เรียน ผมก็ตอบแทนที่อื่น ๆ ไม่ได้

 

Track by Track เพลงที่ Varis ชอบและอยากให้คุณได้ฟัง

will u?

Varis: เป็น bonus track ในอัลบัม will u? live ครับ ไม่ใช่เพลงที่อยู่ในอัลบั้ม will u? จริง ๆ มันเป็นเพลงที่เมื่อประมาณช่วงต้นปีเราทำโปรเจกต์ที่ชื่อว่า will u? Live เพื่อเป็นการปิดอัลบั้มนี้ เราจะต้องหาเพลงหนึ่งมาเป็น end credit ให้กับ live session นั้น แล้วทีนี้เราก็เลยคิดไอเดียขึ้นมาว่า แต่งเพลงเปียโน ballad สักเพลงนึงเพื่อเป็นการสรุปอัลบั้ม ก็เลยแต่งเพลง will u? ขึ้นมา ซึ่งมันจะมีกิมมิกของมันคือการที่รวมเนื้อเพลงทุกเพลงในอัลบัมเข้ามาอยู่ในแต่ละท่อน ซึ่งเนื้อเพลงของเพลงนี้มันก็มาจากเนื้อเพลงของเพลงอื่น ๆ ในอัลบัมจริง ๆ  แต่ว่าให้มันอยู่ภายใต้คอนเซ็ปต์เดียวกัน ให้มันเล่าเรื่องเดียวกัน คอนเซ็ปต์ของ will u? คือคำว่า “แต่เธอจะยอมรับฟังฉันรึเปล่า”แล้วเรารู้สึกว่าเพลงนี้เป็นเพลงที่สำเร็จตามความตั้งใจเราจริง ๆ ให้มัน capture ทุกอย่างที่เป็นอารมณ์ของอัลบัมนี้และสิ่งที่เราต้องการจะสื่อออกมาได้จริง ๆ ครับ ก็เลยเกิดเป็นเพลง will u? ที่อยากให้ลองฟังกัน 

4:25

Varis: เป็นอีกเพลงในอัลบัมที่ไม่ได้ปล่อยเป็นซิงเกิลออกไป แต่ว่ามันมีความ pure มาก ๆ บางอย่างอยู่เกี่ยวกับเพลงนี้ที่เราอยากให้คนที่ยังไม่เคยฟังลองฟังกันดู เป็นเพลงที่แต่งไว้นานมาก ๆ แต่งมาก่อนเพลง N. อีก แต่งก่อน รอๆๆๆๆๆ อีก คือเราเคยพูดไว้ว่า รอๆๆๆๆๆ เป็นเพลงที่เรามีไอเดียไว้ก่อนเพลง N. อีก แต่ 4:25 อยู่มาก่อนนั้น เพราะว่าเราแต่งตั้งแต่ช่วงม.6 ที่ยังไม่ได้ขึ้นปี 1 เลย ซึ่งเพลงนี้เกี่ยวกับการที่เราคิดถึงคนที่เรารักคนหนึ่งในตอนดึก ในตอนที่เขาไม่อยู่แล้ว มันก็เลยเป็นเวลาตีสี่ยี่สิบห้า (4.25) หลายคนก็จะเข้าใจว่ามันคือเวลาเพลงซึ่งจริง ๆ มันไม่ใช่ครับ มันคือเวลา 4:25 ซึ่งสำหรับผม มันคือเวลาที่อยู่ระหว่างคำว่า โคตรดึก กับ ใกล้จะเช้า แบบว่าจะนอนดีไหมนะ หรือจะทำอะไรดี มันเป็นเวลาที่อยู่ตรงกลางสำหรับเรา ซึ่งเป็นวลาที่เรานอนไม่หลับตอนนั้นจริง ๆ เลยเอามาเป็นชื่อเพลง จริง ๆ เพลงนี้ดนตรีมันจะต่างจากทุกเพลงของ Varis มาก ๆ ด้วยฮะ เพราะเป็นเพลงที่ดนตรีน้อยมาก ๆ มีแค่กีตาร์โปร่งแทบจะทั้งหมด ซึ่งเป็นความตั้งใจที่เวลาฟังแล้วรู้สึกเหมือนกับเราได้ใกล้ชิดกับตัวเนื้อทำนองนั้นจริง ๆ อยากให้ลองฟังกันดูนะฮะ 

No Matter What I Do 

Varis:  No Matter What I Do เป็นอีกเพลงที่ไม่ได้โปรโมต แต่เป็นเพลงที่เราชอบดนตรีและเนื้อหาของมันมาก ๆ ถ้าหากว่าเพลงในอัลบัม will u? เป็นเพลงที่ค่อนข้างให้ความรู้สึกถึง ความงมงายและการคิดอยู่ในหัวตัวเองจนจมอยู่ตรงนั้น No Matter What I Do มันก็คือเพลงที่เราเล่าเรื่องประมาณว่า เราจะไปให้ความรักกับคนที่เขาไม่ได้เห็นค่าในตัวเราทำไม ซึ่งมันก็แต่งมาจากประสบการณ์จริง ๆ และในอารมณ์โกรธของเพลงนี้ก็มีความ positive บางอย่างอยู่ในตัวเนื้อเพลงที่อยากให้ลองได้ฟังกัน ขายอีกนิดนึงว่าเวอร์ชั่นเล่นสดมันส์มาก ฟังใน will u? live ได้ด้วยครับ!

“โทษตัวเองไม่เป็น”

Varis: โทษตัวเองไม่เป็น เป็นเพลงที่ตั้งใจจะทำให้แตกต่างจากทุกอย่างที่เคยทำมาทั้งหมด ตั้งแต่ self-titled ถึง will u? อัลบัมเล่นสดเลย  เป็นเพลงที่เราเขียนขึ้นมาได้ในช่วงประมาณกลาง ๆ ปีที่ผ่านมา ก็คือช่วงที่โควิดมันอาการหนักมาก ๆ เราค่อนข้างเห็นความไม่เป็นธรรมหลาย ๆ อย่างจากคนที่มีอำนาจในการเปลี่ยนแปลงประเทศได้ แต่เขาเลือกที่จะไม่ทำ เขาเลือกที่จะไม่ยอมรับผิดหรืออะไรต่าง ๆ เลยครับ แเป็นอะไรที่เราไม่พอจริง ๆ ในช่วงเวลาหนึ่ง ก็เลยไปถูกตาต้องใจกับคำว่า “โทษตัวเองไม่เป็น” เพราะโดยปกติเราก็ไม่ชอบนิสัยคนแบบนี้ เราไม่ชอบนิสัยคนที่ไม่ชอบโทษตัวเอง ไม่ยอมรับผิด ไม่รู้ตัวเองว่าตัวเองทำอะไรไม่ดี ไม่ชอบมาก ๆ อยู่แล้ว พอเรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นในสเกลที่กระทบคนหลายคนมาก ๆ เราก็เลยคิดว่าเออ น่าเอามาเล่าเป็นเพลงนะ มันก็เลยได้ไอเดียเพลงนี้ขึ้นมา และก็รู้สึกว่านี่แหละสิ่งที่ต้องทำต่อไป ก็เลยเขียนเนื้อ โทษตัวเองไม่เป็น ขึ้นมา ในพาร์ตดนตรีก็พยายามจะทำให้แตกต่างจากที่เคยทำมาจริง ๆ เพราะปกติเวลาทำเพลงเราจะเป็นคนเริ่มจากพวก sampler เริ่มจากพวกกลองไฟฟ้าหมดเลย เพลงนี้ก็ดิบเลย หยิบกลองสแนร์มาจ่อไมค์แล้วก็ตี ก็คือให้มันแตกต่างจากทุกอย่างที่ผ่านมา ถ้าคนที่เคยฟังเพลงที่ผ่านมา ก็จะรู้สึกจริง ๆ ว่ามันคนละเรื่องกันเลย ซึ่งเวลาเดียวกันมันก็เป็นวิธีแก้เบื่อของเราเหมือนกัน เราขี้เบื่อกับงานตัวเอง ก็จะหาอะไรใหม่ ๆ อยู่ตลอด ซึ่งก็เลยออกมาเป็น โทษตัวเองไม่เป็น แบบนี้ครับ 

FJZ: ก็คือเพลงนี้ได้เมโลดี้ตรงท่อนฮุกก่อนถูกไหม ที่บอกว่า “โทษตัวเองไม่เป็นเอาแต่โทษคนที่ดีกว่า” 

Varis: ใช่ ๆ คือเราทำไรอยู่สักอย่าง พอเราคิดถึงคำว่า โทษตัวเองไม่เป็น เราก็ได้ประโยค “โทษตัวเองไม่เป็นเอาแต่โทษคนที่ดีกว่า โทษตัวเองไม่เป็นมันก็คงไม่พัฒนา” ขึ้นมา แล้วพอได้สองประโยคนี้มาปุ๊บมันก็ทำให้รู้สึกว่า เฮ้ย มันไปต่อได้ว่ะ ก็เลยกลายเป็นท่อนฮุก แล้วถึงไปแต่งท่อนอื่น ๆ ตามมาทีหลัง 

Fungjai: แล้ว Varis คิดว่าคนโทษตัวเองไม่เป็น ส่งผลเสียต่อคนรอบข้างอย่างไร

Varis: จริง ๆ เรื่องอะไรก็ตามในชีวิต มันก็ต้องหา balance ตรงกลางให้ได้นะ คือ โทษตัวเองให้ดี แต่ว่ารักตัวเองก็ต้องทำด้วย เรารู้สึกว่ามันสำคัญนะ เราเองก็เคยเจอคนที่โทษตัวเองโคตรเก่งเลยเหมือนกัน ในใจก็คิดว่ามันต้องมีจุดที่พอดีบ้างสิวะ และในเวลาเดียวกันเราก็เจอคนที่ยังโทษตัวเองไม่เป็นเลย ไม่เคยยอมรับผิดอะไรเลย จริง ๆ ก็คือต้องหาความตรงกลางว่าอะไรเป็นสิ่งที่พอดี แต่ถ้าอย่างเพลงนี้ เราก็จะพูดถึงคนที่โทษตัวเองไม่เป็นจริง ๆ ซึ่งคนที่ไม่ยอมรับผิด ด้วยความโทษตัวเองไม่เป็นของเขาทำให้สร้างความเดือดร้อนให้กับคนรอบข้าง ซึ่งจริง ๆ ยังย้ำคำเดิมมันสำคัญทั้งสองอย่างไม่ว่าจะโทษตัวเองให้เป็น หรือรักตัวเองให้เป็นก็ตาม

คิดว่าในอนาคตพฤติกรรมการฟังเพลงของคนจะเปลี่ยนไปจากเดิมไหม ในโลกที่ genre แทบจะไม่มีอยู่จริง

Varis: คือถ้าเราจะพูดเรื่องป็อป เรื่องอินดี้ ทุกวันนี้เราแทบจะจัดการอะไรพวกนี้ไม่ได้แล้วนะ เพราะว่าจุดประสงค์ที่คำว่าป็อปและอินดี้มีขึ้นมาจริง ๆ มันก็คือคำว่า popular แต่ว่าสิ่งที่มาจำกัดมัน ไม่ได้มาจากตัวเนื้องานเพลงใดเพลงนึงแต่มันคือกระแส สิ่งที่คำว่าป็อปจำกัดไว้คือกระแส ยิ่งคำว่าอินดี้ทุกวันนี้ก็ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ เพราะมันก็เริ่มมากจากคำว่า independent มันคือยุคสมัยหนึ่งที่ดนตรีที่ถูกปล่อยออกมาหลาย ๆ อย่างผ่านระบบอุตสาหกรรมค่ายเพลงที่มีนักแต่งเพลง มีโปรดิวเซอร์เข้ามา หรืออะไรที่ค่อนข้างเป็นระบบมาก ๆ กว่างานชิ้นหนึ่งจะถูกปล่อยออกมา คำว่าอินดี้มันเลยมาเพื่อจำกัดความศิลปินที่ในยุคค่ายเพลงบูมนั้น เขาเลือกทำงานแบบอิสระ ร่วมหัวจมท้ายกันเองไม่มีเงินหนุนจากนายทุน 

ซึ่งมันกลับกลายเป็นว่าสมัยนี้ต่อให้เป็นวงที่อยู่ค่ายเพลงก็ตาม ก็ทำงานแบบอินดี้กันน่าเกินครึ่งแล้วเช่นกัน เราว่าระบบมันกลายเป็นแบบนั้นไป มันเริ่มจำกัดความยากแล้วล่ะ ว่าอะไรคือป็อป อะไรคืออินดี้ เพราะหลาย ๆ วงที่เพลงดังติดชาร์ตขนาดที่เรียกว่าป็อปได้ เขาก็ยังทำกันแบบอินดี้ด้วยซ้ำ เราว่าด้วยยุคสมัยด้วยครับ ทุกวันนี้ทุกคนมีพื้นที่ ทุก ๆ คนมีเครื่องมือ ทำอะไรก็ได้ขอแค่มีไอเดีย มันง่ายกว่าแต่ก่อนมาก ๆ การจำกัดความมันเลยใช้ระบบเดียวกับแต่ก่อนไม่ได้แล้วจริง ๆ ศิลปินหลาย ๆ คนก็ค่อนข้างทำงานกันแบบ genreless มาก ๆ แล้ว 

ถ้าสมมติว่าใครจะถามว่าเพลงของผมเป็นแนวเพลงอะไร เราเองก็ตอบไม่ได้จริง ๆ เราคงตอบไปเลยว่า R&B, Rock, Soul, Hip-hop ไหนจะอิเล็กทรอนิกส์รวมกัน มันค่อนข้างจำกัดความยากแล้วสมัยนี้ แล้วมันก็ไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องไม่ดีนะ เราว่ามันเป็นเรื่องของยุคสมัยมากกว่า พอจากเดิมที่ดนตรีในยุคหนึ่งคุณสามารถจำกัดความมันได้แบบหนึ่ง แต่พอเวลามันผ่านไป มนุษย์ก็พัฒนาทำเพลงด้วยตัวเองขึ้นมา คำจำกัดความมันก็ยากขึ้นจริง ๆ เราเลยมองว่าวันหนึ่งการจำกัด genre อาจจะหายไปเลยก็ได้ แต่ถ้าสมมติวันหนึ่งทุกอย่างมันพัฒนาให้เราสามารถจำกัดความเพลงได้แบบที่ถูกต้อง หรือ ซื่อตรงต่อชิ้นงานตามเพลงจริง ๆ มันก็อาจจะมีวันนั้นก็ได้นะ แต่มันยาก 

เราว่าสิ่งที่จะจำกัดแนวเพลงได้จริง ๆ ก็คือ ชอบกับไม่ชอบก็ใช่ แต่มันก็จะมีเคยกับไม่เคยฟังด้วยเหมือนกัน เราจำแนกงานศิลปะไม่ได้อะครับ สุดท้ายงานนั้นมันก็คือ It is what it is แค่นั้นเลยผมว่า เพลงดีไม่ดีไม่มีจริง เลิกบอกว่าเพลงดีไม่ดีคืออะไร เราจะจำกัดความได้ว่า เมโลดี้เพลงนี้มันมีความติดหูหรือว่าอะไรก็ว่าไป หรือคำว่าติดหูยังพูดยากเลยเพราะหูแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน จริง ๆ มันจำกัดความยาก สุดท้ายมันก็คือชอบไม่ชอบ

อนาคตที่แฟนเพลงจะได้เห็นจาก Varis 

Varis: มีอะไรสนุก ๆ และตื่นเต้นแน่นอนครับ อย่างที่ได้กล่าวไปก่อนหน้านี้ว่าเราเป็นคนขี้เบื่อ และเราก็จะเบื่อสิ่งเดิม ๆ ที่เคยทำ เราเป็นคนหาอะไรใหม่ ๆ ทำตลอดเวลาเพื่อแก้เบื่อตัวเอง เพลงหรืออะไรก็ตามที่จะออกมาจากผมหลังจากนี้ เราก็ตอบไม่ได้ว่ามันจะเป็นอะไร แต่ว่ามันจะไม่เหมือนเดิมแน่นอน ต่อให้แพลนไว้แล้วก็เปลี่ยนเพราะว่าที่ผ่านมามันก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ สิ่งที่จะคาดหวังได้จาก Varis จริง ๆ ก็คือการเปลี่ยนแปลง แต่สิ่งเดียวที่จะไม่เปลี่ยนแน่นอนคือผมจะไม่หยุดทำเพลงครับ 

ขอฝากเพลงล่าสุดด้วยนะครับ เป็นซิงเกิลแรกหลักจากห่างหายไปประมาณ 9 เดือนได้ ชื่อเพลงว่า โทษตัวเองไม่เป็น (TTEMP) เป็นเพลงที่ตั้งใจทำมาก ๆ แล้วก็พูดถึงเรื่องถึงเรื่องที่หลาย ๆ คนน่าจะอินกันแน่นอน ถ้าหากใครที่ยังไม่เคยฟังเพลงจากผม ก็อยากให้ลองฟังเพลงนี้ดู อาจจะทำให้อยากไปฟังเพลงอื่น ๆ ในอัลบัมตามได้ครับ เป็นเพลงที่ตั้งใจทำมาก ๆ ในช่วงเวลาที่โควิดมันเป็นแบบนี้แล้วมันทำให้วงการดนตรีมันซบเซา หวังเพลงนี้มันจะช่วยสร้างความสุขให้ใครบางคนได้ หรือสร้างความสบาย หรือว่าสะใจบางอย่างให้กับใครบางคนครับผม ขอฝากมิวสิควิดีโอด้วยเช่นกันครับ พวกเราทำกันอย่างตั้งใจมาก ๆ เต็มไปด้วย easter egg หลายอย่าง ที่อยากให้ทุกคนได้ดูกัน น่าจะโดนใจหลาย ๆ คนแน่นอนครับ!

 

ฟังทุกเพลงจากเขาได้แล้วที่นี่

อ่านบทความอื่น ๆ ได้ที่นี่

Facebook Comments

Next:


Donratcharat

นัท มีหมาน่ารักสองตัวชื่อหมูตุ๋นกับหมูปิ้ง กาแฟดำยังจำเป็นต่อชีวิต และยกให้กาแฟใส่นมเป็นรางวัล