Interview

Valentina Ploy กับ ‘Satellite’ EP ที่เล่าถึงความสัมพันธ์ และการที่เธอเป็นเธอในทุกวันนี้

Valentina Ploy สาวเสียงดีคนล่าสุดจาก WhatTheDuck ที่ได้ปล่อย Satellite EP ชุดแรก กับดนตรีป๊อปหลากสไตล์ ที่เล่าถึงความสัมพันธ์ที่มีมาตลอดชีวิต ทั้งกับคนรัก ครอบครัว หรือแม้แต่ตัวของเธอเอง ไม่เพียงแต่เธอเล่าที่มาของแต่ละเพลงให้เราฟังแบบละเอียดยิบ เธอยังแชร์มุมมองต่อสิ่งต่าง ๆ รอบตัวกับเราได้น่าสนใจมาก ๆ ด้วย ลองมาอ่านแล้วจะหลงรักผู้หญิงคนนี้ยิ่งกว่าเดิมอีก

Satellite EP

เป็นชื่อจากเพลงใน EP ที่เล่าเรื่องราวในชีวิตของพลอย และเกี่ยวกับพลอยคนเดียวจริง เพราะสุดท้ายแล้ว EP นี้มันก็รวบรวมประสบการณ์ของพลอย เลยคิดว่าชื่อนี้เหมาะที่สุด ก็จะมีเพลง See You In Life, Wire, Let Go ที่ปล่อยไปแล้ว กับ Love You Better ที่เพิ่งปล่อยไป แล้วก็อีกสองเพลงใหม่คือ Satellite กับ More Than Gold ค่ะ

Love You Better

พูดเรื่องที่เปราะบางมาก ตอนนั้นพลอยก็อยู่ในความสัมพันธ์นึงที่ก็มีความสุขดี เราสามารถเป็นตัวของตัวเองได้ แต่บางทีเราคิดมากไป รู้สึกมากไป ซึ่งการที่เราอ่อนไหวเกินไปบางทีมันก็ส่งผลกระทบกับความสัมพันธ์เราได้ มันก็เกิดเป็นคำว่าฉันไม่ต้องรักเธอมากกว่านี้หรอก แต่ฉันอยากจะมีวิธีรักเธอให้ได้ดีกว่านี้’ เพราะตอนนั้นเหมือนกลับจากอินเดียแล้วมีเหตุการณ์ทำให้ทะเลาะกัน แล้วเราก็ไม่อยากเสียความสัมพันธ์นี้ไป พลอยเลยแต่งเพลงนั้นออกมา (FJZ: ตอนนี้ยังคบกับคนนั้นอยู่ไหม) ไม่แล้วค่ะ (หัวเราะ) ทุกครั้งที่มีเรื่องใหม่ ก็จะได้เพลงใหม่ ใช่มะ ‘ฉันเขียนเพลงเกี่ยวกับพวกผู้ชายดีกว่า’ (หัวเราะ)

ทำไมถึงกล้าให้ความรู้สึกทั้งหมดกับคนนั้น ไม่กลัวเจ็บหรอ

ถึงพลอยรู้ว่ามันจะเจ็บแต่ก็จะทำ พลอยคิดว่าการแสดงความรู้สึกทั้งหมดออกมามันเสี่ยงที่จะทำให้เราเสียใจแหละ แต่ในทางกลับกันการที่เราไม่กั๊กความรู้สึกกับอีกคน มันก็ทำให้เรารู้สึกได้ถึงความสุขที่แท้จริง ถ้าอยากมีอะไรดี ก็ต้องเสี่ยงนิดนึง

แล้วคิดยังไงกับคนที่บอกว่า ไม่ควรปล่อยใจ ให้เผื่อใจไว้บ้าง คิดดี ก่อนทุ่มใจให้ จะได้ไม่เจ็บ

พลอยจะเจอแต่คนที่บอกว่า ไม่อยากถลำไปมากเดี๋ยวเจ็บ แต่การไม่ยอมเปิดใจก็เหมือนทำร้ายตัวเองไปนิดนึงแล้ว มันเหมือนเป็นการสร้างเกราะให้ตัวเองรู้สึกปลอดภัยได้แค่ชั่วคราว แต่บางทีมันจะกันเราจากความสุขด้วย งั้นพลอยขอเสี่ยงที่จะเจ็บดีกว่า พลอยเป็นคนจะกระโดดลงหลุมรักไปเลยค่ะ กั๊กไม่เป็น อาจจะมีระวังนิดหน่อยแหละ แต่เลือกทำตามหัวใจมากกว่า

การได้เผชิญกับ toxic relationship ทำให้เราเติบโต?

เราจะเติบโตขึ้นถ้าเราออกมาจาก toxic relationship ได้ ถ้าเราไม่ได้เฉลียวใจว่าสิ่งนั้นมัน toxic และทนอยู่ต่อ มันไม่ได้เกิดการเปลี่ยนแปลง ก็ไม่ได้ทำให้เราเติบโต หรือบางทีเราอาจจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าความสัมพันธ์นั้นมัน toxic และเราปล่อยให้มันเกิดซ้ำ นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่เราต้องยอมเปิดใจ ลุยกับมันไปเลย จะได้รู้ว่ามันเวิร์กไหม การระวังมันทำให้ยืดเวลาไปเฉย กว่าจะได้รู้ว่าจริง เป็นยังไง สู้ลุยไปเลยดีกว่าไปรอดไม่รอด ถ้าไม่รอดจะได้ไม่เสียเวลาด้วย แต่บางคนเขาอาจจะยอมรับความจริงไม่ได้

หลายครั้ง การที่ไม่ออกมาจากความสัมพันธ์นั้นเกิดจากการหลอกตัวเองว่าเรามีความสุข ว่าเราโอเค แล้วอะไรคือสิ่งที่ทำให้ตระหนักได้ว่ามัน toxic และตัดสินใจออกมา

อาจจะเพราะการที่มันสะสมมานาน พลอยเป็นคนที่อดทนมาก ในความสัมพันธ์ พลอยจะให้เวลากับทุกคน เพราะคิดว่ามันก็คงจะมีบางอย่างในคนนั้นที่เราไม่ชอบ และต้องใช้เวลามันถึงจะแก้ไขได้ แต่บางครั้งถ้ามันสะสมไว้มากเข้า ๆๆๆ แล้วเราก็ระเบิด เหมือนเรารู้ว่าถึงจุดที่ไม่โอเคแล้วจริง แล้วมันทำให้เราคิดวนแต่เรื่องเดิม สมองไม่พัฒนาไปไหนแล้ว ฉันไม่อยากได้สิ่งนี้ในชีวิตอะ ก็ตัดได้เลย แต่มันก็ขึ้นอยู่กับแต่ละสถานการณ์นะ

แล้วอะไรถึงจะเป็นความสัมพันธ์ที่ healthy สำหรับพลอย

การที่ความสัมพันธ์นั้นมีความสมดุลกัน ระหว่างความสบายใจ กับความท้าทายมั้ง คือเราสามารถเป็นตัวของตัวเองได้เต็มร้อย แต่ขณะเดียวกัน เราต้องมีคนที่ผลักดันให้เราอยากพัฒนาตัวเอง อยากเรียนรู้อะไรมากขึ้น เพราะบางทีการเป็นตัวของตัวเองมันก็ไม่ได้ถูกต้องเสมอไป บางครั้งเราอาจจะทำอะไรที่ผิดแล้วไม่รู้ตัว ก็คือถ้าเราสามารถมีความสัมพันธ์ที่ให้แรงบันดาลใจกับเรา ช่วยกันผลักกันขึ้นไป มันจะดีมาก ขณะเดียวกันเรารู้สึกอบอุ่น สบายใจ เหมือนเขาเป็นบ้าน และเราเป็นตัวเองได้ด้วย มันก็จะเป็นความสมดุลในความสัมพันธ์ที่ดี

มันไม่มีความสัมพันธ์ที่สมบูรณ์แบบหรอก เป็นไปไม่ได้ที่มันจะโรยไปด้วยกลีบกุหลาบ หรือมีความสุขด้วยกันตลอดไป มันต้องมีตะโกนใส่กัน ทะเลาะกันบ้าง

More Than Gold

แต่งให้แม่กับปะป๊า ปีที่แล้วตอนพลอยกลับไปอิตาลี บ้านพลอยที่โซเรนโตจะมีห้องใต้หลังคา พลอยเล่นเปียโนไม่เก่ง แต่เล่นได้ 4-6 คอร์ด ก็มั่วอยู่ตอนนั้น แล้วมีโน้ตหลายอย่างที่เขียนไว้เพราะรู้สึกคิดถึงบ้าน เราอยู่เมืองไทยมาเกือบปี แต่ก็ไม่เคยอยู่นานขนาดนั้นในที่ที่ไม่ใช่อิตาลี พอเราได้กลับไปบ้าน เห็นแม่กับปะป๊าที่บ้านก็ทำให้นึกถึงความทรงจำมากมาย แล้วก็ร้องออกมาเป็นเพลง มันเล่าไปถึงความรู้สึกทุกอย่างในระหว่างการเติบโตของเรา แม้เราจะโตแล้วแต่ก็ยังรู้สึกว่าเป็นเด็กที่เปลี่ยนที่อยู่ มาอยู่บ้านหลังใหม่ เรายังมีความกลัว การได้เรียนรู้ที่จะลองปล่อยอะไรไป แล้วเรานึกถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่พ่อแม่สอนเรา ทุกอย่างมันจริงหมดเลย ก็รู้สึกว่า ถึงเราจะเจอเรื่องโชคร้ายยังไง ชีวิตนี้เราก็โชคดีที่มีพ่อกับแม่

ถ้าอ่านเนื้อเพลงทั้งหมดจะรู้เลยว่ามันพูดเรื่องที่พ่อแม่สอนมา มันมีในท่อนฮุกที่อยู่ในช่วงชีวิตที่ทุกอย่างมันมีความตื่นเต้นก็จริง ทุกอย่างเปลี่ยนไปตลอด ไม่มีอะไรมั่นใจได้ ปีนั้นอยู่นี่ ปีนี้อยู่นี่ อยู่ดี ก็มาเป็นศิลปิน เรารู้สึกว่ามันไม่มีอะไรแน่นอนเลย แต่บางทีเราก็ต้องการความนิ่งด้วย แต่เราก็พยายามคิดในแง่บวกว่า ‘But when you think you have something to lose, there’s a new dawn, so it’s something good’ มันไม่ใช่อะไรที่แย่นี่ (FJZ: มาทำงานที่ไทยคนเดียว?) ใช่ ตอนนี้อยู่คนเดียวค่ะ

การอยู่กับพ่อแม่เป็นเรื่องปกติของเด็กไทย แต่เด็กนอกส่วนใหญ่พอโตแล้วก็ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่

เราต้องการความเป็นส่วนตัวสูงมาก ชอบการอยู่คนเดียวด้วย เพราะต้องการความเงียบเวลาอยู่บ้าน ต้องมีสมาธิในการแต่งเพลง ทีวีอะไรก็ไม่ดู บางทีเวลาอยู่กับพ่อแม่ก็จะยังมีเสียงคนพูดตลอดเวลาแบบ โอ้ พระเจ้า! แต่เวลาพอเขาไม่อยู่ด้วยเราก็รู้สึกอยากมีเขาอยู่นะ ก็เหงา คือพอโตขึ้นเราต้องทำทุกอย่างเอง ทำกับข้าวเอง ถูบ้าน ซักผ้า รีดผ้า เป็นแม่บ้านของตัวเอง ลึก ทุกคนก็ยังมีความเป็นเด็กที่อยากได้รับความรัก มีคนมาดูแลแหละ

แต่ถ้าให้เลือกได้ว่าจะอยู่กับพ่อแม่ หรืออยู่คนเดียว

ตอนนี้หรอ? อยู่คนเดียว (หัวเราะ) คือตอนนี้มันเป็นแผนที่จะอยู่คนเดียวละ มันไม่เชิงว่าไม่เป็นธรรมชาติหรอก แต่อาจจะนิดนึง ว่าโตขึ้นแล้วเราต้องมาอยู่กับพ่อแม่ มันไม่ได้ เราต้องคอยบอกหรอว่าจะออกไปไหน หรือเขาต้องมากังวลเวลาเรากลับบ้านดึก มันเป็นสิ่งที่เราต้องหาทางออกด้วยตัวเอง แล้วเราก็ได้เรียนรู้เยอะขึ้นถ้าได้อยู่คนเดียว อยู่กับพ่อแม่ตลอดมันไม่ได้เรียนรู้หรอกว่าต้องทำแต่ละสิ่งแต่ละอย่างยังไง การกวาดบ้าน ถูบ้าน รีดผ้า (FJZ: แต่มันก็เป็นเรื่องวัฒนธรรมแหละ) ใช่ แม่พลอยก็เป็น คือจะเป็นคนขี้เป็นห่วงมาก บางทีพลอยไปข้างนอก เขาก็จะบอกว่าอย่ากลับดึกนะโห ปีนี้พลอยอายุจะ 27 แล้ว!

ก็เข้าใจแหละว่าเขาเป็นห่วง แต่แยกกันอยู่มันถูกแล้ว เขาจะได้ไม่ต้องกังวลด้วย อันที่จริงมันไม่มีเรื่องอะไรที่จะต้องกังวล แต่พ่อแม่เขาคิดไปทั่ว เราก็เห็นใจเขานะ แต่ก็ไม่ควรเยอะไป และบางทีการแยกกันอยู่มันทำให้ความสัมพันธ์ดีขึ้นด้วย อาจจะสนิทกันขึ้นด้วย คือเราไม่ต้องทะเลาะกับพ่อแม่ ไม่ว่าจะกับใคร พ่อ แม่ พี่ น้อง เพื่อน ถ้าเราอยู่ด้วยกันตลอดเวลามันต้องมีตีกันอยู่แล้ว พอไม่อยู่ด้วยกันมันจะมีความคิดถึงจังตลอดเวลา จะเห็นแต่ด้านดีกันตลอด นั่นน่าจะเป็นธรรมชาติที่ชีวิตควรจะเป็น

สิ่งที่พ่อแม่สอนคืออะไร

‘Mama used to say when I was 12 years old, ‘It’s nice to be a child don’t rush to grow old. With time to realize that nothing worth comes easy.’ ไม่ต้องรีบโตหรอก โตมาแล้วชีวิตมันมีอีกหลายอย่างมากเลยนะ ตอนเด็ก อย่าคิดมาก ใช้เวลาตอนเป็นเด็กให้สนุกเถอะ แล้วทุกอย่างมันไม่ได้ได้มาง่าย ต้องทำงานหนัก แล้วมันจริงมาก แม่สอนให้เราเห็นคุณค่าของสิ่งต่าง หรือผู้คนที่ดี ถ้าเจอแล้วให้เก็บมันไว้ดี

แล้วพ่อก็จะสอนตลอดว่า ให้เป็นตัวของตัวเอง และอย่ายอมแพ้ ‘Daddy used to say when I was 15 years old ‘You’ve got the card in your pocket and the strenght in your soul.’ ปะป๊าชอบพูดให้ซึ้งตลอดเวลาว่า ยูอาจจะดูยิ้มแย้มแจ่มใสแต่ก็ผ่านอะไรมาเยอะ คือปกติปะป๊าแสดงอารมณ์ยากมาก แต่เดี๋ยวนี้ดีขึ้นแล้ว ด้วยอายุ ด้วยหลาย อย่าง แกคงกลัวความที่ชีวิตไม่แน่นอนแล้ว ตอนนี้น่าจะอายุ 75 …โห พ่อแก่มาก เขาก็เลยเปิดมากขึ้น บอกรักพลอยมากขึ้น แล้วพ่อก็เตือนว่าคนไม่ดีเยอะนะ ‘Mama used to bring me with her everywhere. I’m lucky I have someone that knows how to care’ ตอนเด็ก ไปไหนคุณแม่จะพาไปด้วยตลอดเวลา เลยรู้สึกโชคดีมาก

เพลงพูดถึงความสัมพันธ์บ่อยมาก เป็นคนสังเกตเรื่องพวกนี้อยู่แล้วใช่ไหม

ใช่ เป็นคนหลงใหลความเป็นมนุษย์มาก การพยายามเข้าใจนิสัยของคน ความรู้สึก อารมณ์ คือบางทีคนคิดว่ามันไม่สำคัญ แต่จริง มันสำคัญมาก แล้วเราก็เป็นคนที่ชอบร้องไห้ รู้สึกอะไรเยอะมาก คนชอบมองว่าเราเป็นคนไม่เข้มแข็ง แต่พลอยคิดว่าคนอย่างพวกเราเป็นพวกที่แกร่งที่สุดแล้ว เพราะเรายอมให้ตัวเองรู้สึกกับอะไรก็ตามมาก ได้ เราไม่สนใจด้วยซ้ำว่าตัวเองจะต้องเจ็บ นั่นเป็นสิ่งที่กล้าหาญที่สุดที่คนคนนึงจะทำได้

มันมีรายการใน Netflix ของ Brené Brown ชื่อ ‘The Call to Courage’ เขาเป็นนักวิจัย เป็นนักเขียน แล้วพูดเรื่องความอ่อนแอ และความละอายเยอะมาก เขาเก่ง พูดไป น้ำตาไหลไป พลอยดูแล้วร้องไห้ (หัวเราะ) แล้วเขาก็พูดถึงว่าเวลาทำงานอยู่ในจุดที่มีสปอตไลต์ ทุกคนจับจ้องมาที่เรา แล้วเขาก็จะวิจารณ์เราตลอดเวลา เขาก็พูดดีมาก บอกว่าถึงอย่างนั้นแล้ว สิ่งที่เราทำมันก็ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกับคนที่มาวิจารณ์เราหรอก คนที่ทำต่างหากที่จะได้เครดิตนั้นเต็ม ๆ’ ถ้าเกิดเราอยากทำอะไรที่เรารู้สึกกับมันมาก แล้วเรากล้าออกมาทำแล้ว ถึงคนอื่นเขาจะไม่ชอบ เราก็ไม่ต้องไปสนใจ.. เออ พลอยชอบการทำความเข้าใจมนุษย์ และอารมณ์มาก มันสำคัญมากการที่เราจะมี human connections ในชีวิต มันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดเพราะมันจะอยู่กับเราไปตลอดในชีวิต

คือช่วงนึงดูรายการ Brené Brown เยอะมาก เพราะรู้สึกพังอะ น่าจะเป็นช่วงล็อกดาวน์อันนี้ขอแชร์เลย ตอนแรกพลอยกระตือรือร้น มองโลกในแง่บวก มีความคิดสร้างสรรค์เยอะมาก อยู่ดี ก็ดาวน์ แล้วอยู่ดี ทุกสิ่งทุกอย่างที่เตรียมมามันหยุดชะงัก เราไม่ได้ปล่อยเพลงนานมาก ก็เครียดนิดนึง พออยู่บ้านก็พูดกับตัวเอง เป็นคนบ้าอยู่หน้ากระจกว่าโอเค วาเลนติน่า ตอนนี้เธอกำลังทำร้ายตัวเองอยู่นะ เราต้องทำอะไรสักอย่างละ เป็นแบบนี้ไม่ได้!’ ก็เปิดดู Brené Brown ทุกอัน

มันมีคลิปแรกที่ทำให้เขาดัง คือเขามี Ted Talk ด้วย เราก็นั่งดู เป็นพอดแคสต์ด้วย แล้วใน YouTube ก็ดูอะไรแบบนี้ ส่วนหนังสืออ่านอิคิไก’ มันเหมือนเป็นเคล็ดลับของคนญี่ปุ่น ไปสู่ความสุข แล้วก็คนที่มีอายุยืนเขาใช้ชีวิตยังไง แล้วก็ถามความเห็นของคนที่อาศัยอยู่ในที่ต่าง ในโลกที่คนมีอายุยืนที่สุดว่าทำยังไง มีสองที่จำได้คือ โอกินาว่า กับ อิตาลี ที่นึงเขาบอกว่า ไม่ว่าจะทำอะไร สิ่งนั้นควรทำให้เรารู้สึกว่าทำต่อได้เรื่อย แล้วไม่นึกถึงอย่างอื่นเลย แล้วพลอยก็ดีใจที่มีดนตรี มันทำให้พลอยมี flow นี้ ที่เวลาเราทำเพลงแล้วไม่นึกถึงอะไรอย่างอื่นเลย

พอดูอะไรพวกนั้นมันทำให้พลอยดีขึ้นนะ คือพลอยเป็นคนคิดบวก แต่บางทีมันก็มีเหนื่อย มีเมื่อยนะ คิดบวกตลอดมันก็ดีแหละแต่มันทำให้ล้าเหมือนกัน แล้วพลอยก็ร้องไห้เยอะมากที่บ้าน เป็นบ้า  ร้องไม่มีเหตุผล ปกติพลอยชอบให้แรงบันดาลใจคนอื่น แต่พอกลับมาอยู่กับตัวเอง พลอยถึงจุดที่แบบ เอื้ออออ พอละ ก็จะขอเวลา 1-2 วันที่จะปิดทุกอย่าง ตัดทุกอย่าง ก็ได้เข้าใจว่าเราก็เป็นมนุษย์เหมือนคนอื่น มันปกติแหละที่จะมีช่วงแบบนี้ พอได้กลับมาก็เจอเพื่อน เจอพอแม่ ก็แฮปปี้

แต่สิ่งที่น่าสนใจมากคือช่วงล็อกดาวน์มันทำให้เราคิดได้ว่า เราอยากจะทำอะไรถ้าเกิดไม่มีสิ่งที่เราเคยมีแบบแต่ก่อน อะไรมันจะเป็นสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขได้อย่างแท้จริง คือถ้าอยู่บ้านแล้วไม่มีภาระอะไร โดนบังคับให้อยู่แต่ในบ้านอะ เราจะทำอะไร อะไรที่เราชอบที่สุด อาจจะเล่นโทรศัพท์ อาจจะมีเวลามากขึ้นจะได้ดูหนังที่ไม่เคยดู ส่วนพลอยก็คงจะทำเพลง (หัวเราะ) ตลอดเวลา

พอมีอินเทอร์เน็ตแล้วคนก็เข้าใกล้กันมากขึ้น แต่คิดว่าการเชื่อมต่อในความเป็นมนุษย์มันน้อยลง

มาก น่าเศร้านะ พลอยไม่กลัว แต่ก็สงสัยว่าในอนาคตไม่รู้อีกกี่ปี human connections มันจะยังมีอยู่หรือเปล่า หรือคนจะไปแต่งงานกับคอมพิวเตอร์แล้ว ไม่รู้อะ พลอยชอบเทคโนโลยีที่มันทำให้หลายสิ่งหลายอย่างง่ายขึ้นมากขึ้น แล้วก็ทำให้คนที่อยู่ไกลกันอยู่ใกล้กันได้ แต่ในขณะเดียวกันมันก็ทำให้คนที่อยู่ใกล้กันต้องไกลกัน บางครั้งกินข้าวโต๊ะเดียวกันแต่ทุกคนเล่นมือถือ พลอยก็ทำเหมือนกันบางที แล้วก็ไม่ชอบเลย ตอนล็อกดาวน์พลอยพยายามหยุด โยนมือถือทิ้ง เปิด airplane mode พยายามสังเกตตัวเองแล้วไม่ชอบเลย

เมื่อกี้พูดถึงคนในสปอตไลต์ สืบเนื่องจากกรณี BLM หลายคนพยายามเรียกร้องให้คนดังออกมาสนับสนุน หรือเรียกร้องสิทธิ์ด้วย พอไม่ทำก็จะโดนวิจารณ์ ส่วนตัวพลอยรู้สึกยังไง

เวลาพูดอะไรก็จะมีคนจ้องอยู่ดี พอพูดสีแดง คนจะบอกให้พูดสีฟ้า พอพูดสีฟ้า คนจะจะถามว่าทำไมไม่พูดว่าสีแดง ตลอด เว ลา ถ้าเขาอยากจะจี้เวลายูทำอะไรไม่ดี เขาจะทำได้ตลอด ก็ขึ้นอยู่กับว่าเรามองสิ่งนั้นยังไง ถ้าเราอยากจะมองว่ามันไม่ดีมันก็ไม่ดี

ได้ค้นพบอะไรเกี่ยวกับตัวเองอีก

ได้รู้ว่าสอนภาษาได้ เริ่มคิดว่าถ้าคอนเสิร์ตเล่นไม่ได้ จะทำงานจากที่บ้านยังไงให้มีรายได้ พลอยก็เลย โอเค เป็นครูละกัน แต่ก็ไม่รู้ว่าจะสอนได้ไหม ถึงจะพูดได้ 5 ภาษา แต่การสอนคนอื่นมันไม่เหมือนกับพูดเอง บางคนพูดได้แต่สอนไม่เป็น สุดท้ายก็พบว่าสอนได้ และภูมิใจลูกศิษย์มาก เพราะฝรั่งบางคนพูดไทยได้แล้ว (หัวเราะ) ‘สวัสดีครับผมชื่อแมตครับ’ หรือเราสอนภาษาอิตาเลียนให้คนญี่ปุ่น มันท้าทายมาก มันก็ดีนะที่พลอยหาเงินจากที่บ้านได้ แล้วก็ได้เปิดโอกาสให้ตัวเองลองอะไรใหม่

พลอยเป็นคนอยู่เฉย ไม่ได้ ถ้าเกิดมีอะไรมาทำให้เครียด พลอยจะเครียดถ้ารู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า แบบ มัวทำอะไรอยู่เนี่ย อยู่บ้านเฉย ไม่มีอะไรที่มีประโยชน์ทำ เล่นโทรศัพท์มากไป ไม่ได้อะ ต้องหาอะไรทำให้ไม่ว่าง ก็เลยลองสอนใน Preply มันเหมือนแพลตฟอร์มสอนภาษาที่สมัครเป็นครูได้ แค่เรามี certificate ว่าเราพูดภาษานั้นได้จริง แล้วก็ลงวิดิโอ ตอนนั้นคือเหมือนลองทำอะไรที่ใหม่มาก แล้วพลอยก็ลงวิดิโอไปว่าเฮลโล ฉันช่วยคุณให้พูดภาษาอังกฤษได้นะพอทำแล้วก็ค้นพบว่าการสอนอันนี้เราได้เรียนรู้จากเขาด้วย ทั้งภาษา ทั้งวัฒนธรรม แล้วพลอยก็ชอบเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว มีนักเรียน 7-8 คน แล้วมันเหมือนมาเรื่อย ตอนนี้เหลือ 3-4 คน มีเด็กน้อยลูกครึ่งจีน อิตาเลียน อเมริกัน อยู่ที่ฮาวาย อายุ 6 ขวบ ‘Hi, my name is Adrean’ น่ารักมากกกก แต่ตอนนี้น่าจะเปิดเทอมแล้ว

ถ้าหายล็อกดาวน์แล้วจะทำอะไร

จะกลับไปอิตาลีค่ะ บินไปหาแม่กับปะป๊า สนามบินยังไม่เปิด แต่แม่เพิ่งกลับไปอิตาลีเมือสามอาทิตย์ที่แล้ว สถานฑูตอิตาลีที่เมืองไทยเขาจัดไฟลต์พิเศษกับการบินไทย ก็เลยกลับได้ แต่พลอยไม่ได้เจอครอบครัวนานมาก ไม่ได้กลับอิตาลีมาเป็นปีแล้ว รู้สึกคิดถึงบ้านมาก ต้องการอะไรแบบนั้น ทุกคนรวมถึงพี่ชายของพลอยอยู่ที่อิตาลีแล้วก็ได้กินอาหารกลางวันกับแดดดี พลอยแบบหนูติดอยู่นี่คนเดียว กระเสือกกระสนกับชีวิตช่วง covid-19 ฉันมาทำอะไรอยู่ที่นี่’ ต้องการเวลาของครอบครัวนิดนึง ถ้าได้อยู่นู่นก็คงจะรู้สึกดีขึ้น

ทำเพลงเกี่ยวกับความสัมพันธ์ไปเยอะแล้ว ในอนาคตจะพูดเรื่องอะไรอีก

ก็ยังเป็นเรื่องความสัมพันธ์นี่แหละค่ะ คือเราเจอคนหลากหลาย แล้วมันเป็นเรื่องที่พูดได้ทุกสมัย แม้จะพูดถึงแค่คนเดียวเราก็สามารถเขียนถึงเขาได้หลายเรื่องมาก เพราะมนุษย์มีหลายด้าน หลายอารมณ์ พลอยรู้สึกว่าสามารถหาแรงบันดาลใจได้จากความสัมพันธ์ แล้วมันออกมาเป็นธรรมชาติมาก การเขียนถึงผู้ชายเนี่ย (หัวเราะ) ความสัมพันธ์มันเกี่ยวข้องกับชีวิตของเราอยู่แล้ว

เคยได้ยินเรื่อง Club 27 ไหม ที่ศิลปินหลายคนที่เป็นตำนานมักจะเสียชีวิตตอนอายุเท่านี้ ถ้าพลอยอายุ 27 แต่ไม่ตาย คิดว่าตัวเองจะทำอะไร

หวังว่าชีวิตจะดีขึ้นแบบก้าวกระโดดค่ะ ปีนี้มันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ทั้งโลกเลย เหมือนธรรมชาติประท้วง ธรรมชาติเกลียดเราแล้ว มันทำให้เครียดนะ ขนาดพลอยสตรองระดับนึงก็พัง ลองคิดดูคนที่เขา depressed หรือมี anxiety เขาจะเป็นยังไง หรือคนที่ไม่มีอะไรให้ทำ เรายังมีงาน เขียนนั่นนี่ได้ ถ้าพลอยไม่ได้แต่งเพลงที่บ้าน นั่งอยู่เฉย คงแย่มาก

ปีนี้เป็นปีที่แปลก ทุกอย่างโดนหยุด โดนเลื่อน เพิ่งมาได้ปล่อยเพลงตอนนี้ จริง มันต้องออกมาเมื่อสองเดือนก่อน มันเป็นการรอคอยที่ยาวนานมาก แต่ศิลปินคนอื่น ก็คงจะเป็นเหมือนเรานี่แหละ ก็หวังว่าปีที่ 27 นี้จะดีขึ้น ข้างบนได้ยินมั้ยคะ ขอดี นะ (หัวเราะ) แต่ธรรมชาติดีขึ้นมากเลยนะ คลองใสมากเลย อากาศที่กรุงเทพ ก็ไม่มี PM 2.5 แล้ว

ที่ผ่านมามีผู้เข้าประกวดเวทีนางงามหลายคนเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมือง ทั้ง เอ๋ ปารีณา, บุ๋ม ปนัดดา และ ปู ไปรยา ล่าสุดก็มารีญาก็พูดเรื่องคนโดนอุ้มหาย

เพิ่งคุยกับมารีญาไปเอง เขามายินดีที่พลอยปล่อยเพลงใหม่ เขาชอบมาก ดีใจมาก เขาชนะ Miss Universe ปีก่อนที่พลอยประกวด มีคนบอกว่าเขาเคยเป็นนักร้อง แล้วพลอยน่าจะเคยฟังเพลงเขาที่ร้องซ้ำ ด้วย เขาเป็นคนที่น่าสนใจมาก

ส่วนเรื่องนั้นพลอยก็เห็น พอได้ยินข่าวพลอยก็รู้สึกว่ามันน่ากลัวที่ต้องอยู่ในประเทศที่การพูดสิ่งที่ตัวเองคิดมันไม่ปลอดภัยอีกต่อไป พลอยเลยถามแม่เรื่องการเมืองไทยว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะเอาจริง พลอยไม่ค่อยรู้เรื่องเชิงลึกเท่าไหร่ ไม่ได้อยู่เมืองไทยนานขนาดนั้น แล้วพลอยจะถามทุกคนว่าเขามีความเห็นยังไง มันก็น่าสนใจตรงที่แต่ละคนมีความเห็นที่ไม่เหมือนกัน เลยไม่รู้ว่าจริง แล้วการเมืองไทยเป็นยังไง

ความคิดเห็นส่วนตัวของพลอยก็ไม่รู้ว่าถูกผิดขนาดไหน เราไม่ take side เพราะเราไม่รู้ว่าคนที่เขาโดนอุ้มเป็นคนดีหรือไม่ดี หรือเคยทำอะไรมา แต่ในฐานะของความเป็นมนุษย์ มันไม่ปกติกับประเทศนึง ที่อยู่ดี คนพูดอะไรออกไปแล้วโดนลักพาตัว แต่เรื่องนี้ ในเชิงมนุษยธรรม ทุกคนควรมีสิทธิที่จะพูดอะไรก็ได้ที่ตัวเองคิด โดยที่ยังมีความเคารพคนอื่น ที่อิตาลีขนาดแร็ปเปอร์เขาคิดจะด่าใครก็ด่าได้ มันไม่ดีหรอก แต่อย่างน้อยที่สุดเขามี freedom of speech แต่มันจะไม่ผิดเลยถ้าเราทำโดยคำนึงถึงการให้เกียรติคนอื่นด้วย

ในฐานะผู้ร่วมประกวดนางงาม ผู้เข้าประกวดควรเอาตัวเองไปข้องเกี่ยว หรือพูดเรื่องการเมืองไหม

พูดได้นะถ้าอยากพูด ทำไมจะพูดไม่ได้ล่ะ คนธรรมดากับนางงามก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน แต่อย่างนึงคือการเป็นนางงามมีเสียงที่ดังกว่า ถ้าเราอยากเปลี่ยนแปลงอะไรก็ตาม จะเกี่ยวข้องกับการเมืองหรือไม่ ถ้าเรารู้ว่าเสียงของเรามีคนฟัง ก็พูดออกมาเถอะ ถ้ามันเป็นสิ่งที่เขารัก เขาเชื่อ และอยากจะทำให้เกิดบางอย่างขึ้น โดยที่เวลาพูดออกมาก็ต้องมีความเข้าใจและรู้ในสิ่งที่พูดจริง ไม่ใช่พูดมั่ว เพราะในขณะเดียวกัน การเป็นคนดังมันก็เสี่ยงแหละ ถ้าพูดอะไรไม่ถูกใจก็จะมีคนด่าเยอะมาก การเป็นคนที่มีคนรู้จักเยอะก็ต้องมีความรับผิดชอบต่อส่วนรวมด้วย

ได้เล่นงาน Sounded Online ที่ฟิลิปปินส์ เป็นยังไงบ้าง

เล่นสดเลย เป็น online festival ผ่าน Zoom แล้วมันก็น่าตื่นเต้นนะที่ได้สัมผัสคนฟังดนตรีที่ฟิลิปปินส์ผ่านจอ แล้วเขาก็ถามคำถามเรา มันจะมีสัมภาษณ์นิดหน่อยหลังเล่นเพลงที่สอง เราก็ทำตัวตื่นเต้น สนุก ตลกดี เอาจริงการคุยผ่านจอมันเหนื่อยกว่าคุยกับคนอยู่ตรงหน้า มันต้องใช้ความทุ่มเทมากขึ้นที่จะคุยกับเขา เพราะเรามีจอกั้นไว้แบบนี้ แล้วมันจะเขวง่ายมาก เสียสมาธิง่ายมาก แถมยังดีเลย์ไปนิดนึงด้วย แต่ก็แฮปปี้ค่ะ ดีใจที่ได้ร้องเพลงตัวเองให้กับคนฟังประเทศอื่น ด้วย เมื่อวันเสาร์ก็ได้เล่นของFête de la Musique ออนไลน์ ฉายทั่วโลกเลย

คิดว่าตอนนี้ใกล้เป้าหมายที่ตั้งไว้ทีแรกหรือยัง

ถึงแล้ว แล้วก็ยังไม่ถึง ที่บอกว่าถึงแล้วเนี่ย มันก็น่าจะเป็นแบบ ตัวเราตอนอายุ 11 คงภูมิใจพลอยตอนนี้มาก เพราะเราได้ร้องเพลงของเราเองหมดเลย มีอัลบั้ม เป็นผลงานชิ้นแรกจริงจังออกมา มันเป็นเป้าหมายอันนึงของพลอยที่เหมือนฝันที่เป็นจริงแล้วแหละ (หัวเราะ) แต่พลอยก็รู้สึกว่ากับเรื่องทั่ว ไปด้วยนะ พลอยทำได้ดีกว่านี้อีก ถ้าเรามี passion ที่จะทำอะไรบางอย่าง เราสามารถทำได้ดีขึ้นเรื่อย และสามารถขยายมันไปเป็นอย่างอื่นที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ได้ เป้าหมายทางดนตรีของพลอยตอนนี้ก็คือสามารถทำเพลงที่ไปถึงคนได้เยอะ เท่าที่จะเป็นไปได้ ยิ่งคนฟังเยอะขึ้นก็จะยิ่งแฮปปี้ขึ้น

แต่ตอนนี้เหมือนยอดฟังทุกอย่างลดลง

เออ นึกว่าคนอยู่บ้านจะฟังดนตรีเยอะขึ้น ที่ไหนได้ Spotify ตกลงมาเลยจ้ะ ตอนล็อกดาวน์ คนฟังหายไปหมดเลย แล้วมันก็มีบทความ Billboard มีคนแชร์มาบอกว่า covid-19 มีผลกระทบกับอุตสาหกรรมดนตรีมาก เพราะเทรนด์ที่กำลังมาตอนนี้คือดนตรีที่สนุก และมีเสียงผู้หญิงร้อง มันจะทำให้เขารู้สึกดีขึ้นจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ คนที่ทำเพลง upbeat มาก จะได้เปรียบมาก อ้างอิงจากบทความอันนี้นะ เพื่อทำให้ความว่างเปล่าระกว่างล็อกดาวน์นั้นหายไป

พลอยจะเปลี่ยนไปทำเพลงแบบนั้นบ้างไหม

เอาจริง พลอยมีเพลงเยอะมาก จริง พลอยก็ไม่ได้เปลี่ยนนะ เป็นคน upbeat มาก แล้วใน EP Satellite อันนี้เราก็มีความสุขกับมัน มันแค่เป็นดนตรีอะคูสติกเยอะหน่อย ยังมีดนตรีจริงอยู่ในโลกที่ทุกอย่างเป็นซาวด์เทคโนโลยี เสียงดัง ตึงตัง ๆๆ ซึ่งก็ชอบมาก (หัวเราะ) พลอยฟังเพลงพวกนั้นเหมือนกัน แต่ในขณะเดียวกันพลอยก็รู้สึกดีที่งานชุดแรกออกมาทางนี้ หลังจากนั้นพลอยอาจจะมีเพลงเร็วเยอะขึ้น

วางแผนว่า EP ต่อไปจะออกมาสิ้นปีนี้ มันน่าจะมีเพลงช้าที่เพลงเดียว งานต่อไปก็น่าจะนำเสนอความเป็นพลอยในอีกด้านออกมาให้คนได้เห็นมุมดีด ด้วย ชุดแรกพลอยเขียนเนื้อเองหมดเลย แต่อันนี้จะมีโปรดิวเซอร์จาก LA มาทำสองเพลง เราช่วยกันแต่ง อินเตอร์มาก ดีมาก มันเหมือนเราได้เปลี่ยนซาวด์ ทำงานกับเมืองนอก มี input ที่ไม่เหมือนเดิม

คือโปรดิวเซอร์เขาก็ช่วยเกลาสิ่งที่อยู่ในหัวเราให้ออกมาได้ แบบบางทีเราใช้โปรแกรม Logic ไม่เป็น แล้วมันก็เปลี่ยนวิธีการทำงานของเราไปด้วย ปกติจะไม่ใช่นั่งแล้วบอกว่าฉันจะตั้งใจเขียนเพลงนะจ๊ะ’ ไม่ คือพลอยรู้สึกอะไรจะเขียนออกมาเลย ธรรมชาติมาก แต่รอบนี้มันเหมือนมานั่งในห้อง คิดว่าจะเขียนเพลงยังไง ใช้สมอง 3 สมอง แต่ก็สนุกนะคะ มันเหมือนเรามาแบ่งปันประสบการณ์กัน พวกเขาเป็นเหมือนตัวกรองที่ช่วยเอาสิ่งที่พลอยเล่ามาใส่เมโลดี้ น่าสนใจมากนะ

วันแรกที่ไปถึงนี่ตื่นเต้นมาก ไม่รู้จะเริ่มยังไง พลอยก็ถามว่าต้องทำอะไรบ้าง โปรดิวเซอร์เขาก็บอกว่าเฮ้ย เธอเป็นเจ้าของโปรเจกต์ บอกพวกเรามาเลยว่าอยากให้ทำอะไรพลอยก็ โอเค ทำเพลงกัน (หัวเราะ) มันก็แปลกนะเหมือนเราต้องเปิดใจแล้วเล่าเรื่องส่วนตัวของเรา ต้องเล่าว่าชีวิตเจออะไรมาบ้าง มีแฟนไหม อกหักเป็นยังไง หรือเคยสูญเสียใครไหม เราต้องแชร์เรื่องในชีวิตกับคนแปลกหน้าอะ แต่เขาก็แชร์กลับมันเลยดี สุดท้ายเราก็แจมกัน คุยกัน เป็นการทำงานที่ใหม่มากของพลอย สนุกดีค่ะ แต่สุดท้าย ถึงเราจะไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่เราต่างเคยอกหัก ทุกคนก็น่าจะรู้สึกถึงกันได้ แต่เพลงของพลอยที่ทำเองก็ชอบนะ (หัวเราะ)

อ่านต่อ

Valentina Ploy ศิลปินมากความสามารถที่อยากแชร์สิ่งดี ๆ ผ่านเพลงของเธอ

Facebook Comments

Next:


Montipa Virojpan

อิ๊ก เนิร์ดดนตรีที่เพิ่งกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนตอนอายุ 25 ชอบเดินเร็ว นอกจากขนมปังกับกาแฟดำแล้วก็สามารถกินไอศกรีมกับคราฟต์เบียร์แทนมื้อเช้าได้