Interview

Valentina Ploy ศิลปินมากความสามารถที่อยากแชร์สิ่งดี ๆ ผ่านเพลงของเธอ

หลังจากที่เพลง See You In Life ของเธอมีผู้ฟังทั่วโลกให้การตอบรับที่ดีอย่างล้นหลาม วันนี้ Valentina Ploy ก็แวะเข้ามาแนะนำตัวที่ฟังใจ ให้เราได้รู้จักตัวตนของเธอมากขึ้น

เริ่มเขียนเพลงตั้งแต่เมื่อไหร่

ตั้งแต่ที่เริ่มรู้ว่าการเขียนคืออะไร ประมาณ 9 ขวบมั้ง ตอนเป็นเด็กขี้อายมาก ทุกคนจะรู้ว่าพลอยเป็นคนพูดไม่ค่อยเก่ง เวลาอยากจะสื่อสารอะไรก็จะใช้วิธีเขียน เป็นอะไรขึ้นมาก็เขียนไดอารี่ แล้วมันทำให้เรารู้สึกดีขึ้น พอเขียนออกมาบางทีก็เหมือนเป็นคำคล้องจอง ใส่ดนตรีเข้าไปก็กลายเป็นเพลง เพราะจริง แล้วก็เป็นคนที่ฟังดนตรีเยอะมากตั้งแต่เด็ก ฟังทุกแนว ฟังตลอดหลายชั่วโมง บวกกับเคยเรียนไวโอลินมาตอนเด็ก ประมาณ 5-6 ปี อันนั้นก็เป็นอีกอย่างที่ทำให้เราเข้าใกล้กับดนตรีมากขึ้น แต่จริง ชอบร้องเพลงมาตลอด แต่ขี้อายเลยแอบร้องในห้องน้ำ

แล้วทำไมไม่เล่นไวโอลินต่อ

ไอเดียจริง คืออยากไปเรียนร้องเพลง แต่ก็ไม่ได้เรียนเพราะเขิน (หัวเราะ) แต่บอกแม่บอกพ่อว่าไม่อยากเล่นไวโอลินแล้ว อยากเล่นกีตาร์ เพราะมันจะได้ร้องเพลงมากกว่า เลยไปยืมกีตาร์เขามาแล้วหัดเอง

เทปม้วนแรกที่ซื้อมาฟังคือ

M2M (หัวเราะ) ‘Oh my pretty, pretty boy I need you. Oh my…’ ชอบมากตอนเด็ก ซื้อที่เมืองไทย ใส่เครื่องเล่นแล้วเราก็กลับด้านฟังวน

Valentina Ploy

ทำไมไปถึงกล้าไปประกวดทั้งที่ขี้อาย

คือแพชชันของเรามีพลังมาก ก็เลยเหมือนเป็นแรงผลักดันไม่ให้ความขี้อายมาหยุดเรา ทำทุกอย่างที่จะทำให้ไม่ขี้อายแล้ว ก็เลยไปประกวดเลย ไม่มีประสบการณ์อะไรเลยตอนนั้น ไป X Factor อิตาลี ที่อยู่ดี ก็ไป แล้วก็เรียนการแสดง

ทำไมถึงเรียนการแสดง

เพิ่งเรียนที่เมืองไทยปีที่แล้ว The Voice Thailand นี่คือเวทีที่สามที่ประกวดแล้วก็ยังไม่หายขี้อายเลย กับรู้สึกว่ายังควบคุมเสียงตัวเองไม่ได้ คือเราชอบร้องเพลง อยากเป็นนักร้อง แต่ถ้ายังคุมเสียงตัวเอง หรือคุมอารมณ์ก่อนขึ้นแสดงไม่ได้ มันก็จะสั่น เหมือนเป็นคนบ้าคนนึงอยู่บนเวที (หัวเราะ) ก็เลยไปเรียนการแสดงให้มันหาย แล้วก็หายค่ะ (ยิ้ม)

ยังไง

มันช่วยให้เรารู้ความรู้สึกของตัวเองมากขึ้น แล้วเขาก็มีเคล็ดลับว่าเราควรทำยังไงกับอารมณ์ของเรา สาเหตุอะไรที่ทำให้เราขี้อาย เหมือนไปหานักจิตวิทยา พอได้เรียนรู้เกี่ยวกับตัวเองและคนอื่นมากขึ้นเราก็คุมมันได้ เพราะงั้นการแสดงมันไม่ใช่แค่การสวมบทบาท

Valentina Ploy

ตอนประกวด X Factor อิตาลีกับเวทีที่ไทยต่างกันยังไง

ที่อิตาลีมันจะมีความดราม่า วัฒนธรรมของเขาคือจะไม่แคร์ เขาจะด่าเราก็ด่าเลย ต่อหน้าทุกคน จะไม่มีความใจดีเหมือนที่นี่ที่มีวิธีน่ารักที่จะบอกเรา ตรงนี้แตกต่างกันมาก

ทำไมถึงเลือกรายการนี้

แค่อยากท้าทายตัวเอง อยากได้ประสบการณ์ใหม่ ลองดูว่าเราจะทำได้ไหม ไม่ได้คาดหวังว่าอยากได้อะไรกลับมา แต่ก็ผ่านถึงรอบที่สาม Judges’ House ตอนนั้นเขาให้บินไป Saint Tropez ด้วยได้ไปถ่าย 3-4 วัน สนุกมาก แล้วก็มีกรรมการสองคนนั่งดูเรา แล้วเราก็ร้องเพลงในวิลล่านี้ ตอนนั้นเขินมาก ตัวสั่น เป็นเด็กน้อย (หัวเราะ)

ใน The Voice ทำไมถึงเลือก In The End ของ Linkin Park ไปร้อง

เพราะ Linkin Park เป็นวงที่ชอบที่สุดในโลก ตำนานเลย ตอนนั้นเขาให้เลือกเพลงที่ทำให้คนอื่นเห็นความชอบหรือตัวตนจริง ของเรา แล้วเวลาพลอยร้องคัฟเวอร์ก็จะชอบเอาเพลงมาเปลี่ยนให้เป็นอะคูสติก ก็เลยลองทำเพลงนี้เพราะน่าสนใจ เป็นเพลงที่ดังมากของวง ตอนนั้น Chester Bennington ก็เพิ่งเสียชีวิตด้วย

เราจะได้ฟัง Valentina Ploy ร้องเพลงร็อกไหม

น่าจะไม่มีโอกาสค่ะ (หัวเราะ) คืออาจจะได้อิทธิพลมานิดหน่อย แต่เสียงเราไม่ได้ไปทางร็อกหนัก เลยมาทางนี้แทน ธรรมชาติของเราร้องออกมาก็เป็นแบบนี้แล้ว

Valentina Ploy

5 เพลง ล่าสุดที่ฟังใน Spotify

Hope is a Heartache ของ Leon, LanyThick & Thin, Maggie RogersSay It กับ Give a Little แล้วก็ Let Go เพลงตัวเอง ปั่นยอดฟัง (หัวเราะ)

ได้ยินว่ายอดฟังใน Spotify เยอะมาก แล้วได้อยู่ในเพลย์ลิสต์เดียวกับ Taylor Swift กับ Sam Smith ด้วย

ใช่ค่ะคนฟัง See You In Life เยอะมาก ตกใจมาก มันดูไม่น่าเชื่อเลย เราชินกับการใช้ Spotify แล้วอยู่ดี ก็มีชื่อเราขึ้นมา แบบ โอ้ มีความสุขมาก

ตอนทำเพลงกับปกป้อง และเพลง Plastic Plastic แล้วรู้สึกยังไงบ้าง

สนุกมากค่ะ เข้าใจกันง่ายทั้งสองคน พี่ป้องมีสิ่งดีอย่างนึงคือเขาเป็นโปรดิวเซอร์ที่ไม่มีอีโก้ บางทีเวลาทำงานกับโปรดิวเซอร์เขาก็จะมีสไตล์ของเขาที่มันจะมาขวางการเป็นตัวตนของศิลปิน แต่พี่ป้องนี่ไม่เลย เหมือนเขาเห็นว่าตัวเราเป็นยังไงแล้วเขาทำให้มันดีกว่าเดิมร้อยเท่า ดังนั้นก็คือเขาดีมาก ไม่ต้องอธิบายอะไรเลย อัจฉริยะ

แต่ละเพลงที่ออกมาส่วนใหญ่จะเล่าเรื่องความสัมพันธ์

(หัวเราะ) See You In Life คือเพลงที่พลอยแต่งเมื่อปีที่แล้วตอนกลับไปอิตาลีเพื่อเยี่ยมครอบครัว หลังจากที่ย้ายมาอยู่ที่นี่สักพัก แล้วก็ไปเจอแฟนเก่า (หัวเราะ) ช็อกนิดนึงเพราะไม่เจอนานมากหลังจากเลิกกัน ก็เป็นความรู้สึกแบบในเพลง เราก็เลิกกันแต่ก็เป็นเพื่อนกัน พอกลับบ้านมาก็แต่งเพลงเลย เป็นเพลงแรกที่ส่งเดโม่มาที่ Whattheduck นั่นคือจุดเริ่มต้นของการทำงาน พอเขาได้ฟังเดโม่ก็บอกว่าลุยเลยแล้วเพลงมันมาแบบธรรมชาติมาก เมโลดี้ก็ออกมาแบบนี้เลย ‘It took just one night’

เพลงสอง Wire แต่งที่เมืองไทย เป็นอีกความสัมพันธ์นึง สื่อถึงความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยแน่นอน มันมีความเสี่ยงนิดนึง เรารู้สึกว่ากำลังเต้นอยู่บนเชือก คือมันสนุก แต่ก็อันตรายด้วย เพราะเราจะตกลงมาตอนไหนก็ไม่รู้

Let Go เพลงล่าสุด แต่งได้ไม่นานก่อนไปสิงคโปร์ มันอะคูสติกมาก ไม่มีอะไร กลับไปเป็นแค่พลอยร้องเพลงกับกีตาร์ คือเราเล่นกับคำว่า ‘let go’ ที่มองได้สองอย่าง เวลาเราทะเลาะกับใคร เราก็อยากจะเลิกรา ปล่อยความสัมพันธ์นี้ไป แต่อีกท่อนร้องประมาณว่าถึงเราจะทะเลาะกันหนักแค่ไหน สุดท้ายเราก็เลือกที่จะลืมสิ่งที่ไม่ดีไป

ทำไมในเพลง Wire ถึงมีอิเล็กทรอนิกนิดนึงด้วย

คือจินตนาการโปรดักชันของเพลงนั้นตั้งแต่ตอนแต่งก็อยากได้แบบนั้นเลย ก็ลองทดลองดูหลังจากเพลงแรกที่ชิลกว่า แล้วลองมาทำแบบนี้ในเพลงสอง แล้วค่อยกลับไปแบบเดิมในเพลงที่สาม

ที่สิงคโปร์ไปเล่นงานไหนมา

Music Matters เป็น festival showcase ที่มี deligates จากทั่วโลกมาดูศิลปินหลาย คน ไป 3 วัน เล่น 3 ที่ ก็เป็นประสบการณ์ที่ดีมากเลย ทำให้เราโตขึ้น เพราะมันมีอุปสรรคมากมาย เวลาไปเมืองนอกการทำงานทุกอย่างต้องเร็ว ต้องมืออาชีพ ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้ยินอะไรเลยเราก็ต้องร้อง the show must go on อันนี้คือบทเรียนใหญ่ที่สุดที่ได้เรียนรู้จากงานครั้งนี้ มันท้าทายแต่สนุกมาก ได้เจอหลายคนมาก แล้วก็ได้ไปปาร์ตี้ Universal Music Party ไปเจอ Oh Wonder, Jeremy Zucker ได้คุยกัน ดีมาก

ตอนเล่น Bangkok Music City เป็นยังไงบ้าง

คิดว่าเป็นโชว์ที่ทำมาดีที่สุดที่เคยเล่นมาเลย คือตอนไปที่สิงคโปร์แล้วเหมือนกลัวนิดหน่อย แต่พอตอนกลับมาเราก็จะแบบลุย ต้องทำให้ดีกว่านี้สิแล้วในงานก็จะมีชาร์ตให้ delegates โหวตว่า ศิลปินคนไหน จากร้อยกว่าคน เลือกมา 20 คน ว่าใครที่มีศักยภาพที่จะไปเล่นต่างประเทศ หรือใครที่เป็นศิลปินที่เขาชอบ หรือคนที่เขาอยากจะจ้างที่สุด แล้วพลอยติด top 3 ทั้งสามอันเลย yes! พลอยก็ดีใจมาก

อะไรคือสิ่งที่ท้าทายที่สุดที่เคยเจอ

ทุกครั้งมันคือความท้าทายของพลอย แม้มันจะเหมือนเดิมทุกครั้งคือ ขึ้นเวทีแล้วร้องเพลง วนไป แต่เพราะเราเป็นเด็กขี้อายมาก โกหกตัวเองไม่ได้ว่าเราจะสบ๊าย ขึ้นไปบนเวทีแล้วจะรอด มีเพลงนึงที่พลอยแต่งชื่อ Satellite แล้วมันอธิบายสิ่งนี้ว่า ทุกครั้งที่ขึ้นไปบนเวทีมันคือความท้าทายของพลอย เพราะเราเป็นเป็นเหมือนดาวเทียม อยู่ในอวกาศ ไม่มีใครสนใจ แต่เราส่งสัญญาณบางอย่างไปให้คนอื่นได้ และตอนนี้ก็มีคนมาสนใจเรา แล้วเรื่องดนตรี ตอนนี้ก็เตรียมปล่อย EP แรก จะชิล กีตาร์เยอะ แต่ EP ที่สอง อาจจะปีนี้ ก็มีการเปลี่ยนแปลง รอดูว่าผลจะออกมาเป็นยังไง

ทำไมรีบออก EP

เพราะมีเพลงเยอะค่ะ (หัวเราะ) มีเยอะมาก แต่งเพลงไม่หยุดเลย เดี๋ยว EP แรกปล่อยช่วงมีนา จะได้ไปทำเพลงต่อที่เมืองนอกแล้วจะได้มีเพลงมาเล่นโชว์ได้เยอะขึ้น ตอนนี้ก็เริ่มทำงานกับโปรดิวเซอร์ที่ LA แล้วตั้งแต่ช่วงก่อนปีใหม่ ก็ได้เพลงมาอีกสามเพลง (ยิ้ม) ชุดใหม่จะมีความสนุกขึ้น เปรี้ยวขึ้น ซึ่งมันจะมีอยู่ในตัวพลอยอยู่แล้ว ไม่รู้ทำไมเวลาแต่งเพลงเศร้าแล้วมันง่ายกว่า แต่บางครั้งก็รู้สึกว่าคงจะดีถ้าเราทำเพลงที่แฮปปี้ขึ้น คอร์ดสดใสขึ้น จะไม่มีแต่เพลงที่เล่นกีตาร์เศร้า ละ

Valentina Ploy

ทำไมถึงพูดได้ตั้ง 5 ภาษา

เพิ่งพูดกับเพื่อนเมื่อวานเลย คือพลอยชอบภาษาเพราะมันทำให้ทุกคนเชื่อมต่อกันได้ อย่างเมื่อวานพลอยไปเจอคนนึงเป็นคนโคลัมเบียน พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ เราเจอกันแล้วเขาก็เขิน พอพูด Hi ก็รู้ว่าสำเนียงไม่ใช่อังกฤษ เลยถามว่า ¿Hablas español? พูดสเปนได้ไหม แล้วเขาก็ Si! (ใช่) แล้วเข้ามากอด ดูดีใจมาก พลอยพูดภาษาสเปนได้ก็เป็นคนคอยแปลทุกอย่างให้ คือทุกคนรู้สึกอุ่นใจจังเวลามีคนพูดภาษาเราได้ เหมือนคนไทยไปเมืองนอกแล้วมีคนไทยเหมือนกัน ก็รู้สึกไม่เหงา แล้วมันก็เหมือนพาสปอร์ตให้เราได้ท่องโลก ตอนเรียนเมืองนอกพลอยก็เรียนภาษา มีอิตาเลียนเป็นภาษาหลัก ฝันเป็นอิตาเลียน (หัวเราะ) แล้วก็ ไทย อังกฤษ ฝรั่งเศส สเปน

คนชอบคิดว่าเป็นลูกครึ่งแล้วมีสิทธิพิเศษกว่าคนอื่น แต่จริง แล้วไม่ใช่แบบนั้น

เหมือนตอนเด็ก เราเป็นคนเอเชียที่นู่น พลอยดูหน้าไทยกว่านี้มั้ง ในสายตาฝรั่งเขาก็จะมองว่าเป็นคนจีนหรอ แล้วก็แซวเรา มีแต่คนคิดว่าเราขี้เหร่ เราเลยเกิดความไม่มั่นใจในตัวเอง (หัวเราะ) เด็กน้อย

เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในโรงเรียนไทยเหมือนกัน ทำยังไงให้หมดไป

มันเป็นสิ่งที่ควรสอนก่อนทุกสิ่งทุกอย่างในโรงเรียนคือ เราจะปฏิบัติกับคนอื่นยังไง และการเห็นอกเห็นใจคนอื่น หรือถ้าเด็กมี EQ ที่ดี เขาจะไม่ทำแบบนั้น เวลาความฉลาดทางอารมณ์ของเขาไม่โอเคเขาอาจจะไปทำไม่ดีกับคนอื่น ถ้ามีสอนในทุกโรงเรียนมันจะทำให้เด็กคุ้นเคย แล้วปัญหาที่เจอในสังคมทุกวันนี้ก็จะน้อยลง เอาจริงเราควรทรีตคนอื่นด้วยความเคารพในความเป็นมนุษย์เหมือนกัน แต่คงปฏิบัติเหมือนกันทุกคนมันคงไม่ได้หรอก เพราะมนุษย์มีความละเอียดอ่อนที่ต่างกัน บางทีทำแบบนี้กับบางคนมันโอเค แต่กับบางคนต้องใช้อีกวิธี ดังนั้นคือเราควรเอาใจเขามาใส่ใจเรา แล้วทุกคนจะแฮปปี้กับสิ่งที่เขาเป็น และเติบโตอย่างงดงาม

ได้ยินว่าชอบอ่านหนังสือ

ใช่ค่ะ แล้วตอนนี้ก็กำลังเขียนหนังสือ เป็นอีกอย่างที่พลอยอยากทำ แต่ก็ชิล ไม่ได้เป็นเป้าหมายหลัก ตอนนี้ตั้งใจทำเพลงค่ะ แต่ก็เป็นคนชอบเขียน ก็คิดว่ามีหลายอย่างที่เราคิดแล้วอาจจะช่วยใครได้ หรืออาจจะน่าสนใจสำหรับบางคน ก็คงดีถ้าได้แชร์กับคนอื่น

คิดว่าชีวิตตอนนี้เหมือนหนังสือเล่มไหน

เหมือน ‘The Alchemist’ ของ Paulo Coelho หนังสือเล่มโปรดของพลอย พูดถึงเรื่องความหวัง ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะมีเหตุปัจจัยบางอย่าง จักรวาลจะให้สัญญาณกับเรา แล้วเราจะเห็นได้ว่าจะต้องไปเส้นทางไหน แล้วใจความสำคัญมันก็เหมือนบอกว่าให้ทำตามหัวใจ ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ตอนนี้ก็อยู่ในช่วงแบบนั้น (ยิ้ม)

ไปประกวด Miss Universe เพราะอยากช่วยเหลือคน ตอนนี้ได้ช่วยอะไรไปแล้วบ้าง

คิดว่าเป็นโอกาสที่ดี สุดท้ายมันคือแพลตฟอร์มนึงที่จะทำให้คนฟังเราได้ พอเราไปที่นั่นแล้วมีสิ่งดี ที่อยากจะสื่อสาร คนก็จะฟังเยอะขึ้น แล้วเราก็ได้พิสูจน์ว่านางงามไม่จำเป็นที่จะต้องสวยตามขนบ ทุกคนเป็นนางงามได้ ฉันตัวเตี้ยที่สุดในโลก ความมั่นใจก็ไม่มี เดินก็ไม่เป็น คิดว่าหลังจากนั้นก็มีคนไปประกวดมากขึ้น สิ่งที่เราต้องการจะสื่อคือเราสร้างความมั่นใจจากการเป็นเด็กขี้อาย ไปจนถึงการสนับสนุนการทำงานอาสาสมัครด้วย

Valentina Ploy

เราเอาเพลงไปใช้กับงานอาสาสมัครยังไง

เริ่มจากสิ่งเล็ก บางที่พลอยไปเยี่ยมบ้านเด็กน้อยก็คือไปร้องเพลงกับเขา แค่เขานั่งฟังก็มีความสุข ยิ้มกันแล้ว หรือวันนึงก็หวังว่าถ้าคนได้ฟังเพลงเยอะขึ้น ก็อยากจะจัดคอนเสิร์ต แล้วก็ให้เงินช่วยเหลือมูลนิธีต่าง

จะได้ไปเล่นที่ไหนอีกเร็ว นี้

Bangkok Design Week ที่ 33 Space ประดิพัทธิ์ มีสองวีค 1-2 กับ 8-9 กุมภาพันธ์ Whattheduck เป็นหนึ่งใน creative hub ของงาน

ฝากถึงผู้ฟังทุกคน

ขอบคุณมาก เลยนะคะ ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ถ้าได้ฟังเพลงของพลอยแล้วมีความสุข หรือเพลงพวกนั้นทำให้คุณรู้สึกอะไรบางอย่าง หรือได้อะไรกลับไป พลอยก็แฮปปี้แล้ว ขอบคุณที่สนับสนุนกัน แล้วก็ ติดตามได้ที่นี่นะคะ

อ่านต่อ

Valentina Ploy กับบทบาทศิลปินเต็มตัวและซิงเกิ้ลเปิดตัวของเธอ ‘See you in life’

Facebook Comments

Next:


Montipa Virojpan

อิ๊ก เนิร์ดดนตรีที่เพิ่งกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนตอนอายุ 25 ชอบเดินเร็ว นอกจากขนมปังกับกาแฟดำแล้วก็สามารถกินไอศกรีมกับคราฟต์เบียร์แทนมื้อเช้าได้