“ทุกคนร้องไห้ได้” สำรวจความลึกของบ่อน้ำตา ไปพร้อมกันกับ The Whitest Crow
- Writer: Donratcharat Phromsoonthornsakul
- Visual Designer: Fahsai Intharak
ฉันก็คนก็มีน้ำตา กาขาวอย่าง The Whitest Crow ก็มีน้ำตาไม่ต่างกับใคร ๆ เพียงแต่วิธีการแสดงความเสียใจของพวกเขามันแตกต่างออกไป เรื่องราวความเศร้าและจุดที่ก้าวผ่านของ ไตเติ้ล, อ๋อง, เบ็น และแบงค์ The Whitest Crow จะเป็นเช่นไร มาพูดคุยให้หายคิดถึงในนัดกระชับมิตรพร้อมเตรียมตลับเมตรวัดบ่อน้ำตาไปพร้อม ๆ กันได้เลยที่นี่
เป็นอย่างไรกันบ้างช่วงนี้
อ๋อง: ให้ทายว่าเป็นไงบ้าง (ขำ) ช่วงนี้ก็เพิ่งออกมาเป็นช่างภาพฟรีแลนซ์เต็มตัว แล้วก็เรียนโทด้วยด้าน web design กับ application design ครับ
ไตเติ้ล: จริง ๆ พวกเราก็ไม่น่ามีใครมีอะไรเปลี่ยน มีพี่อ๋องแหละที่เปลี่ยนไป เรียกว่าเขาอดทนทำงานเดิมมาเพื่อมีเวลาให้กับวงมาเกือบสิบปี
อ๋อง: ก็แทบจะเท่ากับอายุวงเลยเนอะ เพราะก็น่าจะ 8-9 ปีที่ทำงานเดิมมาตลอดตั้งแต่เรียนจบ เรียกว่าเป็นชีวิตใหม่เรา มิติใหม่เรา ไปมุ่งอะไรที่เราอยากทำดีกว่า วงก็ด้วย (ขำ)
เบ็น: ชีวิตก็ยังคล้าย ๆ เดิม เป็นอย่างเดิม แล้วก็งานหนักเหมือนเดิมด้วย
ไตเติ้ล: พวกเราก็ทำเดโม่ซิงเกิลต่อซิงเกิลไปเรื่อย ๆ แต่ว่าก็วางแผนไว้ว่าอยากทำอัลบั้มกัน แต่ปีนี้ถ้าไม่มีอะไรผิดแผนก็จะมีเพลงให้ฟังประมาณสี่เพลง รวมบ่อน้ำตาที่ปล่อยไปล่าสุดด้วย
Track by Track
ดอกไม้ในหนังสือหน้าที่ 75
ไตเติ้ล: ถือว่าเป็นเพลงแรกที่เราได้ทำงานกับ genie records เป็นอะไรที่ใหม่สำหรับพวกเราด้วยแหละ เราเคยทำเพลงไทยมาบ้างประปราย แต่ไม่ได้จริงจังขนาดนั้น ซึ่งการที่อยู่ดี ๆ พวกเราเทิร์นกลับมาทำเพลงไทย หลาย ๆ คนก็อาจจะคิดว่า เอ้ยจะไปแมสแล้วว่ะเลยทำเพลงไทย ซึ่งจริง ๆ แล้วการทำเพลงไทยของเรา ก็คือการที่เราแค่อยากลองอะไรใหม่ ๆ ที่เราไม่ถนัด ใช้คำว่าไม่ถนัดจนถึงคำว่าไม่ถนัดมาก ๆ โกงเมโลดี้ โกงวรรณยุกต์ ถ้าใครเคยฟัง The Whitest Crow จะรู้อยู่แล้วว่าบางคำมันเพี้ยนจนอาจไม่มีความหมายในภาษาไทยด้วยซ้ำ ก็เลยทำการทดลองอะไรใหม่ ๆ ไปเรื่อย ๆ แบบที่เมื่อก่อนไม่เคยทำกันซะส่วนใหญ่
ซึ่ง ดอกไม้ในหนังสือหน้าที่ 75 ไม่ได้อยู่ในลิสต์ของเดโม่ที่ส่งค่ายเลย เป็นเพลงที่ทำเก็บไว้ตั้งแต่ตอนที่พี่เบนไปเรียนต่อ ตอนนั้นเราทำ Feather Bureau ที่มี Feather Bureau, Last Little Piece ซึ่งจริง ๆ เพลงนี้ชื่อว่า Dried Flower Blue ส่งเดโม่มาส่งเดโม่ไปไม่ผ่าน พี่อ๊อฟเลยถามว่ามีเพลงภาษาอังกฤษที่ทำเก็บไว้บ้างไหมก็เลยเปิดเพลงนี้ให้ฟัง สรุปผ่าน เป็นเพลงที่ไม่ได้ตั้งใจส่งแต่พี่อ๊อฟก็ชอบ บอกให้ไปทำเนื้อไทยมาหน่อยก็เลยได้มาเป็นอันนี้
ส่วนที่มาก็เหมือนที่เคยเล่าไปว่าเราไปเจอดอกไม้ที่หลัง Voice Space ตอนนั้นเป็นงาน Crossplay 3 ที่ The Whitest Crow ไปเล่นอยู่ในเวทีเล็กตรงโรงอาหาร แล้วก็ไปพักอยู่ข้างหลังแล้วเห็นดอกไม้สีเหลือง ๆ ดอกเดียวที่อยู่ท่ามกลางวัชพืชเลยจะเด็ดกลับไปดีไหม แล้วก็มีชุดความคิดที่ว่าถ้าเด็ดไปก็ตายนะก็เลยปล่อยไว้ดีกว่า แต่พอกลับไปอีกครั้ง ณ ตรงนั้นดอกไม้ก็หายไปแล้ว เลยรู้สึกว่ารู้งี้เด็ดไปเองดีกว่าแต่สุดท้ายก็ไปเห็นอีกทีว่าดอกไม้มันโดนคนเหยียบจมไปอยู่ในกองวัชพืช เลยคิดว่าถ้าเราเด็ดไปเก็บไว้ของเราเองมันก็คงไม่โดนเหยียบแต่ว่ามันก็ตายเหมือนกัน ปล่อยไว้มันโดนเหยียบมันก็ตายเหมือนกัน เลยเป็นที่มาของเพลงนี้ว่าการที่เราให้อะไรสักอย่างกับสิ่งหนึ่ง การที่เราครอบครองมันแบบไหนถึงจะถูกต้อง
แล้วทำไมถึงต้องเป็นหน้าที่ 75 ก็คือเราไปเจอหนังสือของกฤษณมูรติมา ชื่อว่า ว่าด้วยธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ด้วยความที่ว่าเป็นคนไม่อ่านหนังสือเลยแต่พยายามจะลองอ่านหนังสือเผื่อจะนำมาเขียนเพลงได้ ก็เลยอ่านแค่บทสรุปข้างหลังของเล่ม แล้วก็โกงว่าอ่านเล่มนี้เรียบร้อยแล้ว บทสรุปในหนังสือบอกไว้ว่า “ถ้าคุณไม่เข้าใจธรรมชาติเลย ชีวิตนี้คุณก็ไม่สามารถครอบครองอะไรได้เลยแม้แต่คนรักของคุณ” เราที่เป็นคนไม่อ่านหนังสือ พยายามจะทำตัวว่าเข้าใจหนังสือเล่มนี้แล้วมันก็คงไม่ต่างอะไรกับที่คนหนึ่งจะพยายามทำความเข้าใจความรักหรือการครอบครองใครสักคนหนึ่งแหละ มันก็เลยอยู่ได้แค่ครึ่งเล่มของหนังสือเล่มนี้ ซึ่งมันมีทั้งหมด 150 หน้า ก็เลยเป็น 75 ครึ่งเล่มพอดี
เบ็น: ทุกคนจะมีความ freak out มากเวลาจะไปอัดเพลง ก็จะเอาแล้วเครียดแล้ว ตื่นเต้น จะทำได้ไหมวะ เหมือนเราก็มีการซ้อมหรือว่าฝึกอะไรต่าง ๆ มาเวลาเราซ้อมวง แต่อันนี้ต้องซ้อมและฟังและไปอัด มันก็จะมีกระบวนการที่ต่างกันความเครียดที่ต่างกันแต่มันทำให้คุณภาพของเสียงและเพลงที่ออกมามันคมมากขึ้น ก็เลยรู้สึกว่ามันเป็นการยกเครื่องใหม่
อ๋อง: มันไม่ใช่โฮมสตูดิโอแบบเดิมแล้ว
เบ็น: ถามว่ามันมีข้อดีข้อเสียยังไง เราว่ามันก็มีแตกต่างกันนะ ตอนที่เราเป็นซาวด์ดิบ ๆ ก่อนหน้านี้เราชอบไหมเราก็ชอบมันก็เป็นความดิบความร็อกและจริตที่เราอยากแสดงออกไปจริง ๆ เพียงแต่พอมีค่าย มีแบรนด์ดิ้งมากขึ้นมันก็ทำให้เราต้องทำให้ทุกอย่างเป็นทางการมากขึ้น การที่จะปล่อยการที่จะส่งผ่านให้กับคนฟังต่าง ๆ ก็เหมือนได้ไปอีกก้าวหนึ่ง
ไตเติ้ล: ใช้เวลาอัดร้องไปสิบสองขวด (ขำ) โดนพี่อ๊อฟไล่ไปกินเบียร์ ไม่น่ามีใครอัดร้องนานเท่านี้แล้ว ครับ มันก็แสดงให้เห็นว่าพวกเราจริงจังเรื่องคุณภาพมากแค่ไหน (ขำ)
อ๋อง: มันก็กดดันระดับหนึ่งนะเราเคยซ้อมแบบนี้แล้วโอเค แต่พอเล่นจริง ๆ มันต้องคมกว่าอย่างที่เบนบอกว่ามันต้องให้คุณภาพมันไปอีกแบบ
ไตเติ้ล: เหมือนสิ่งที่คนอื่นเขาทำมากันตั้งนานแล้ว เราเพิ่งมาทำตอนสิบปี
อ๋อง: จริง ๆ มันคือเรื่องปกติของทุกคน แต่เราไม่ชินไง
เบ็น: คิดในแง่ดีดิ ขนาดเมื่อก่อนเราทำไม่ถึงเรายังสามารถภูมิใจกับมันได้ขนาดนี้ แล้วตอนนี้มันก็ยิ่งดีขึ้นไปอีก
สำเร็จความเศร้าด้วยตัวเอง
ไตเติ้ล: ถ้าไม่บอกว่าชื่อเพลงอะไร ก็ลืมไปแล้วนะ เพราะทุกคนเรียกชื่อเพลงนี้ว่า มีสัม (ขำ) เพลงนี้ก็ผ่านแบบงง ๆ เหมือนกัน ด้วยความที่ว่าเราทำเดโม่หว่านมาก ๆ ทั้งเพลงกลาง เพลงช้า แล้วเพลงนี้มันดันเป็นเพลงที่ไปเข้าตาพี่อ๊อฟ ซึ่งพี่อ๊อฟเป็น Executive Producer ใช่ไหมครับ แกจะไม่ได้มาแบบ “ไตเติ้ลไปทำเพลงแบบนี้ แบบนั้นมาให้ฟังหน่อย” ไม่มี แกไม่ได้มาจี้อะไรเลย เขาพยายามจะหยิบอะไรที่เป็นเรา เหมาะกับเราในช่วงเวลานั้นให้เราออกไปถ่ายทอดมาเป็นเพลง เป็นมิวสิกวิดีโอให้เราได้ฟังกัน ซึ่งเพลงนี้ก็เป็นเพลงที่เข้ารอบนั้น ทุกคนในวงก็งงนะประมาณว่า เห้ยพี่อ๊อฟอยากได้แซ่บ ๆ ว่ะ (ขำ)
จริง ๆ ทั้งเซ็ตเป็นเพลงช้าหมดเลย เป็นช่วงที่แม่เพิ่งเสียพอดีอารมณ์ในเพลงมันก็จะเศร้าไปเรื่อย ๆ แต่ดันมาฉุกคิดได้ว่า เวลาฟังเพลงกับแม่ แม่จะรำคาญเพลงช้า ไอเราก็ อุ๊ย ทำเพลงเร็วสิคะรออะไรล่ะ ก็เลยเป็นที่มาของเพลงนี้ เหมือนว่าเป็นเพลงที่กินความเศร้ามาจนหมดแล้ว เหมือนเดโม่ก่อนหน้านี้ที่เศร้ามาก ๆ ทุก ๆ เพลงเดโม่มันถูกกินโดยงูหนึ่งตัว ก็คือตัวเราเองที่กินตัวเองเข้าไปเรื่อย ๆ จนอยู่ในจุดที่เราเอ็นจอยกับมันแทนแล้วกัน คือหนึ่งในทางของการฝืนน้ำตาแบบ The Whitest Crow นี่แหละครับ
เราว่าเพลงของ The Whitest Crow มันไม่หนีเรื่องของการที่ผู้ชายคนหนึ่งร้องไห้หรอก แต่มันอยู่ที่ว่าเราจะแสดงออกสิ่งเหล่านี้ออกมาแบบไหนมากกว่า จะโกรธ จะเศร้า สุดท้ายมันก็พูดถึงความเศร้าและความเสียใจที่แตกต่างกันออกไปอยู่ดี
บ่อน้ำตา
ไตเติ้ล: เวลาคนปกติเห็นคนร้องไห้ ก็จะชอบบอกว่าทำไมบ่อน้ำตาตื้นจังวะ แต่อย่างคาแรคเตอร์พวกเรามันดูเป็นคนที่แบบไม่ร้องไห้ ดูเป็นคนที่สนุกตลอดเวลา เข้ม ๆ แต่ทุกคนก็มีจุดที่ไม่ได้ร้องไห้เห็น ไม่ได้แปลว่าไม่รู้สึกอะไรนะ แต่แค่ไม่อยากจะแสดงความเสียใจให้ใครเห็นมากกว่า มันก็อิงจากความเป็นตัวตนของเรากับวงด้วยแหละที่เป็นคนประมาณนี้
เพลงนี้เลยเกิดจากการที่ว่าเราเจอเรื่องที่สะเทือนใจมาก ๆ ประมาณนึงแล้วพยายามจะไม่ร้องกับสิ่งนี้ก็เลยเป็นที่มาของประโยค “ไอเหี้ย ไม่เอาดิ ไม่ร้อง” เป็นประโยคที่พูดกับตัวเองไปเรื่อย ๆ เวลาที่เจอเรื่องพวกนี้แล้วรู้สึกไม่ไหว จะปล่อยโฮแล้ว เหมือนเป็นคนที่พยายามเก็บน้ำตาไว้ข้างในเรื่อย ๆ จนสุดท้ายไม่ว่าจะบ่อน้ำตาลึกแค่ไหนก็ต้องระบายออกมาอยู่ดี เพลงมันก็เลยมีความตรง ๆ มาก ๆ ไม่ซับซ้อนเลยพูดตรง ๆ ทั้งหมด ก็เสียใจ ให้ทำไง ก็คน ประมาณนี้เลยตามคำในเพลง ดนตรีเองก็จะมีกลิ่น 2000s จัด ๆ ที่ไม่ได้ซับซ้อนอะไร ง่าย ๆ
เบ็น: ง่ายจริงไหมครับ
อ๋อง: เล่นจริงไม่ง่ายเลย (ขำ)
เบ็น: วางยากันอยู่เหมือนกันแหละ (ขำ)
แบงค์: มันยากตอนอัดเลยอะเพลงนี้ คุมไดนามิกยาก เทคนิคเรื่องความเร็วไม่เท่าไร แต่เล่นยังไงให้มันลงตัวเนี่ยน่าจะเป็นส่วนที่ยากที่สุดในเพลงแล้ว แต่ถ้าเทียบที่ผ่านมาตั้งแต่ซิงเกิลแรกมาจนอันนี้ ก็รู้สึกว่าเพลงนี้เป็นเพลงที่ให้เวลาซ้อมกับมันมากที่สุดแล้วแหละ ไม่ใช่ว่าเพลงแรกไม่ตั้งใจนะ (ขำ) แบงค์พยายามทำให้มันเป็นลองเทค แต่ก็รู้นะว่ามันอาจจะยาก แต่ก็ออกมาแฮปปี้มีความยากบนความง่าย
อ๋อง: เราว่า บ่อน้ำตา อัดยากเหมือนกัน ส่วนของเราก็ยากเลย ไลน์มันไม่ได้ออกมาหวือหวานะแต่รายละเอียดมันเยอะเลย อย่างท่อนโซโล่หรือการเลือกซาวด์มันยากไปหมดเลย รู้สึกว่าสองซิงเกิลแรกลงตัวกันง่ายกว่า
ไตเติ้ล: แต่พี่อ๋องบอกว่าเพลงนี้เป็นเพลงที่วงเล่นดีที่สุดเลยนะครับ เขาชม
อ๋อง: ใช่ จริง ๆ เรารู้สึกว่า บ่อน้ำตา เล่นสดโคตรดี อยากให้ดู เราภูมิใจสุดแล้ว
ไตเติ้ล: ถ้าพูดถึงความรู้สึกตอนทำ ก็เหมือนว่าเราอยากทำเพลงที่เราอยากฟัง เพลงนี้เลยพาเราย้อนกลับไปหาเพลงที่เราโตมาด้วยกัน Big Ass อัลบั้ม Seven อะไรประมาณนั้นเลย มีกลิ่นเพลงร็อคยุค 2000s เป็นเพลงที่เราเปิดมาเล่นกีตาร์โปร่งในวงเหล้าก็ได้ ไปร้องคาราโอเกะกันกับเพื่อนก็ได้ ร้อง-เล่นด้วยสนุกง่าย ๆ นึกถึงเวลาเพื่อนมาร้องเพลงนี้ด้วยกันกระโดดถอดเสื้อตะโกนด้วยกัน
เบ็น: มีสิ่งหนึ่งที่อยากจะเสริม ถ้านับแค่สามซิงเกิลนี้ เรารู้สึกว่าเราทำเพลงออกมาให้สมกับความเป็นจริตพวกเรา และมันเข้าถึงได้ง่ายมากขึ้นในแต่ละเพลงเรียงกันมาเลย แต่สำหรับพวกเรามันยากขึ้นในทุก ๆ เพลงเหมือนกัน ท้าทายมากขึ้น ได้ใช้เวลาทำและคิดกับมันเยอะมากขึ้น เรามองว่ามันเป็นสิ่งกระบวนการที่ดีจริง ๆ
ไตเติ้ล: มันก็เป็นอีกเพลงที่พวกเราภูมิใจ เราตั้งใจทำกันทุกเพลงแหละมันคือความรู้สึกและอารมณ์อะไรสักอย่าง ณ ช่วงเวลานั้น ที่เราอยากถ่ายทอดออกมาจริง ๆ
จริง ๆ แล้วทางวงเองตั้งใจให้หลาย ๆ เพลงมาอยู่เป็นเพื่อนคนฟังตั้งแต่แรกหรือเปล่า
ไตเติ้ล: จริง ๆ แล้วเราไม่ได้กำหนดไว้เลยว่าเพลงเราจะทำงานแบบไหน อันนี้จากมุมที่เราขึ้นเพลงเอง มันมาจากการที่เราอยากเล่าเรื่องนี้ มันก็เลยออกมาเป็นแบบนี้ จะไม่ได้เป็นการที่เริ่มคิดเองว่า เฮ้ยเรามาทำเพลงที่จะมาอยู่เป็นเพื่อนคุณเวลาร้องไห้ดีกว่า อันนั้นไม่ได้อยู่ในจุดประสงค์ของการทำเพลงของเราเลย เราเป็นกันแบบนี้ The Whitest Crow เป็นกันแบบนี้ นิสัยแบบนี้จริง ๆ เล่าเรื่องแบบนี้จริง ๆ ก็แทบจะไม่ต่างกับสิ่งที่เราพูดหรือสนทนากันในชีวิตประจำวันเลย มันคือภาษาพูดเรา วิธีพูดเรา แนวคิดเรา สิ่งที่เราอยากพูด สิ่งที่เราเข้าใจ หรือสุดท้ายมันก็คือสิ่งที่เรารู้สึกมาก ๆ แหละ ถ้าเราไม่รู้สึกอะไรเราก็คงไม่มานั่งพูดให้ทุกคนฟัง
ถ้าวงเราอิน Bitcoin มาก ๆ เพลงเราก็อาจจะพูดถึง itcoin ก็ได้ (ขำ) แต่เรื่องที่เราพูดในชีวิตประจำวันแล้วเรารู้สึกเฉย ๆ กับมันก็มี สมมติว่าเมื่อคืนกินเหล้าสนุกมาก ๆ เราก็ไม่ได้อยากหยิบเรื่องนี้มาเป็นประเด็นสำคัญในการทำเพลง เพราะมันพูดกับใครก็ได้จริง ๆ เราอยากพูดแค่กับเรื่องที่มันทัชเราจริง ๆ ส่วนใหญ่ก็เลยเป็นเรื่องความเศร้านี่แหละเพราะมันสัมผัสได้มากกว่า ส่วนหนึ่งก็อาจเพราะว่าใช้ชีวิตกันอย่างแฮปปี้ในทุก ๆ วัน พอมันมาเจอเรื่องเศร้าเลยกลายเป็นจุดด่างพร้อยจุดหนึ่งที่เราอยากหยิบมาเล่าผ่านเพลงเรามากกว่า
ถ้าไม่ร้องไห้ เวลาเสียใจแต่ละคนผ่านมันมาได้ด้วยอะไร
อ๋อง: เรารู้สึกว่าเราเป็นคนฮึบเก่งเหมือนกัน เราเจอเรื่องราวผิดหวังมารัว ๆ เลยพยายามที่จะเข้าใจมันแต่ก็ยังอยู่ในระยะที่ไม่ได้เสียใจมากขนาดนั้น มันน่าจะเป็นนิสัยส่วนตัวเราด้วยแหละ ถ้าไม่ร้องไห้เราก็ผ่านไปได้ด้วยการที่เรามีเพื่อนในวง เราต้องเล่าออกมาพอเล่าแล้วมันดีขึ้นก็จบ
ไตเติ้ล: แต่พี่อ๋องเป็นคนที่เห็นได้ชัดเลยว่าแกพยายามอมความเศร้าเอาไว้ แกจะแบกตัวเองที่อมเรื่องแบบนี้ไว้ออกมาข้างนอกบ่อย
อ๋อง: เออเพื่อนจะรู้เลยว่าวันนี้มู้ดไม่ดีจริง ๆ
เบ็น: เราเป็นคนที่เหมือนพอเริ่มเครียด ก็จะเริ่มหาเวลาที่นั่งอยู่กับตัวเองเฉย ๆ คิดไปเรื่อย ๆ แล้วถ้าเริ่มรู้สึกว่ามันมีความเศร้าเราก็จะเริ่มใช้ตรรกะเข้ามาคิดจะไม่ใช่อารมณ์แล้ว นั่งคิดว่าทำไม เหตุผลคืออะไร เรารู้สึกว่าถ้าเราใช้ตรรกะช่วยเราจะไม่เศร้ามันก็อาจจะเป็นอีกวิธีหนึ่ง แต่เราว่ามันก็แล้วแต่คนนะ มันคนละฟังก์ชันกันเลยมันเอามารวมกันไม่ได้ มันก็ช่วยได้บางครั้งถ้าเราหาเหตุผลกับมันได้เข้าใจได้แล้วยอมรับได้มันก็จะไม่เศร้า
อ๋อง: อันนี้เรายืนยันเลย เวลาเรามีเรื่องทุกข์ใจเราก็เคยปรึกษาเบ็นบ้าง เบ็นเป็นคนที่ค่อนข้างจะมีเหตุและผลที่ต่างกับเรา เราอีโมพอสมควรเลยแต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นที่เสียใจ ร้องไห้ ฟูมฟาย เบ็นพูดอะไรที่ทำให้เราฉุกคิดได้เยอะ ไตเติ้ลก็ด้วย
แบงค์: เมื่อกี้พี่อ๋องบอกว่าปรึกษาพี่เบ็นพี่เติ้ล พี่อ๋องว่ากูไม่มีสาระเหรอ (ขำ) น้อยใจว่ะ
อ๋อง: เอ้ยเอาจริง ๆ เพื่อนสนิทที่เป็นผู้ชายเรามีอยู่แค่สามคน ไตเติ้ล, เบ็น, แบงค์ จริง ๆ เป็นคนที่เรามีปัญหาและปรึกษาได้เสมอ อันนี้เราพูดจากใจเลยว่ามีอยู่แค่นี้จริง ๆ ครอบครัวพี่น้องเพื่อนเรามีแค่นี้เลยครับ
แบงค์: เมื่อกี้ล้อเล่นนะ (ขำ) จริง ๆ สำหรับแบงค์ถ้าพูดถึงความเศร้ามันก็คือความรู้สึก คิดว่าร้องไห้น่าจะเป็นพาร์ตหลัก แต่ร้องที่ไหน เมื่อไร กับใครมันก็แล้วแต่ปัจจัย ไอเรื่องประเด็นที่เราเศร้ามันก็คือส่วนหนึ่งที่เรามองว่ามันถูกต้องหรือผิด เมื่อเราโตขึ้นแล้วเราก็เข้าใจความเป็นไป เราแยกได้ ร้องไห้เป็นทางออกที่ช่วยให้ผ่านวันแต่ละวันไปได้ครับ
ไตเติ้ล: เราไม่ได้เป็นคนเศร้าบ่อยด้วยมั้ง อันนี้เป็นเราในเวอร์ชันปัจจุบันแล้วกัน ส่วนใหญ่มันจะเกิดจากความผิดหวังมากกว่าไอความรู้สึกที่มันลบ สิ่งต่าง ๆ ที่มันไม่ได้ดั่งใจ แต่ถ้าเศร้าจริง ๆ เท่าที่สังเกตเราก็ไม่ได้ไปนั่งร้องไห้ให้ใครเห็นเลย มันก็เป็นเหมือนในเพลงนี้มั้งถึงเศร้าจริง ๆ ก็ไม่ได้ออกไปหาใคร แต่ถ้าออกไปก็จะสลับให้เป็นอีกแบบ เพราะเรารู้สึกว่าเรารายล้อมไปด้วยคนที่อยู่กับเรา เราไม่อยากไปเป็นก้อนเมฆดำ ๆ สักที่หนึ่งที่เขาเอ็นจอยกันอยู่ เราก็จะกลายเป็นคนที่สนุกอัตโนมัติไป แต่เราเป็นคนที่สุดโต่งประมาณนึงสนุกก็สนุกสุด ๆ ไปเลย เศร้าก็เศร้าสุด ๆ ไปเลย ถ้าเศร้าก็ร้องไห้เลยอัตโนมัติแต่แค่ไม่ได้ไปร้องไห้ข้างนอก ส่วนใหญ่ก็อยู่คนเดียวเสียใจคนเดียวมากกว่าแล้วมันก็จบไป ที่เราเล่าเรื่องเพลงบ่อน้ำตา แบบนี้ก็เพราะว่าเราเข้าใจแบบนี้ด้วยแหละ แค่อยากหาทางที่มันระบายความเศร้าเราออกไป และก็พยายามใช้ชีวิตให้ไม่เจออะไรแบบนี้อีกต่อไปด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งแล้วแต่สถานการณ์ของมันก็อาจจะเป็นทางออกสำหรับเรามากกว่า
คร่ำหวอดในวงการมาเกินทศวรรษแล้ว ต่อจากนี้ The Whitest Crow มีความคาดหวังหรือจุดหมายปลายทางความฝันในอนาคตบนเส้นทางดนตรีกันหรือเปล่า
ไตเติ้ล: สำหรับเราเองเราว่ามันก็ยังเหมือนเดิมนะ หมายถึงว่าสุดท้ายแล้วเราว่านักดนตรีทุกคนหรือคนที่ทำเพลงส่วนใหญ่มีความคาดหวังกับผลงานตัวเองอยู่แล้วแหละ เราแค่อยากให้เพลงของเราเป็นที่ยอมรับในกลุ่มสักกลุ่ม เพราะเพลงที่เราทำมันคือความชอบของเราแหละแล้ววันหนึ่งถ้ามันมีคนที่แชร์ความชอบกับเรามันน่าจะเป็นอะไรที่มีความสุขมาก ๆ เลยแหละ แต่ถามว่าเราวางแผนอะไรไหมก็ไม่มีขนาดที่จะเรียงเป็น หนึ่ง สอง สาม สี่ นะ แต่เรายังเอ็นจอยกับมัน ทำยังไงก็ได้ให้การเล่นดนตรีหรือการที่เป็น The Whitest Crow มันยังมีความสุขอยู่กันได้ทุกคนในทุกวัน
สุดท้ายแล้วการที่เพลงดัง ประสบความสำเร็จ หรือได้เล่นเฟสติวัลเมืองนอกมันก็เป็นความต้องการพื้นฐานอยู่แล้วแหละการที่จะได้ไปเล่น Glastonbury, Coachella, Summer Sonic ต่าง ๆ แต่ถามว่าเราต้องปักเป้าหมายไว้ไหม ก็ไม่ถึงขนาดนั้น ถ้าเป้าหมายที่ใกล้สุดก็คือการที่จะทำเพลงภาษาไทยไปเรื่อย ๆ ก่อน ท้าทายตัวเองไปเรื่อย ๆ ว่าเราจะทำแบบนี้ไปได้ไกลแค่ไหนในเส้นทางที่เรากำลังทดลองกันอยู่
อ๋อง: จริง ๆ เราเห็นด้วยกับไตเติ้ล ตั้งแต่วันที่เราไปซ้อมกับไตเติ้ลวันแรกตอนมหา’ลัยจวบจนวันนี้เรารู้สึกว่าเราก็ยังคงความรู้สึกนั้นอยู่ เราสนุกที่เราเป็นแบบนี้ไม่ว่าเราจะไปเจออะไร ก็ปล่อยให้มันพาไปเจอเอง ก็ยังคงสนุกอยู่ทุกสถานการณ์ไม่ว่าเราจะเคยผ่านอะไรมาบ้าง ทุกวันนี้ไม่ได้คาดหวังว่าต้องไปแบบไหนหรือกดดันอะไร ยังสนุกเหมือนเดิม
เบ็น: เรามองว่าการทำวงกับคนแก๊งนี้ก็เป็นสิ่งที่เรารักมาตลอด และเราก็รู้สึกว่าเรามีงานประจำ เรามีนู่นมีนี่ เราเลยไม่ได้มองว่าการทำวงรูปแบบมันจะต้องออกมาแบบไหน จะต้องทำกำไร จะต้องดังเวอร์ ๆ หรือเป็นวงที่ระดับท้อปของประเทศ เรารู้สึกว่าถ้าเราหวังแบบนั้นเราจะเครียดเกินไป อาจจะไม่ได้ตั้งเป้าหมาย แต่ก็มีความคาดหวังว่าอยากจะไป เหมือนที่ไตเติ้ลบอกว่าถ้าได้เล่นเฟสติวัลเมืองนอกมันดีแน่นอนอยู่แล้ว หรือว่าเราสามารถทำเพลงที่เรารักและชอบฟังได้ และยังเข้าถึงคนหมู่มากได้มากขึ้นเรื่อย ๆ มันก็เป็นอีกเป้าหนึ่งที่เราอยากจะไป แต่ถามว่าเราตั้งเป็นโกลเลยไหมว่าถ้าเราไปไม่ถึงเราจะเฟลไหม มันก็ไม่ใช่ขนาดนั้น ต่อให้มันเฟลมันก็คือเส้นทางที่เราจะยังเดินต่ออยู่ดี เราไม่ได้เลิกล้มอยู่แล้วและก็จะทำไปเรื่อย ๆ มากกว่า
แบงค์: จริง ๆ เหมือนกันเลยนะ ไม่ได้คิดว่าต้องไปให้ได้แต่ถ้าได้ไปก็แฮปปี้ แต่อันหนึ่งที่คาดหวังก็คืออยากเห็นตัวเองอยู่บนเวทีจนแก่เหมือน RHCP อยากรู้สึกว่าไหวไปเรื่อย ๆ กลัวความรู้สึกตัวเองว่าเรื่องอายุจะมาบั่นทอน จริง ๆ มันก็คือทุกเรื่องแหละเรื่องงาน เรื่องชีวิตและอื่น ๆ ก็เหมือนกัน
เร็ว ๆ นี้เรามีโอกาสที่จะได้เจอ The Whitest Crow ที่ไหนอีกบ้าง
ไตเติ้ล: ถ้าเป็นพี่อ๋องก็จะดอนเมืองครับ ส่วนพี่เบนก็จะเจอแถวไม่หมอชิตก็แคราย แบงค์ก็เจอลาดพร้าว ส่วนเราเจอได้ทุกที่ที่มีขายแอลกอฮอล์ (ขำ) ก็ The Whitest Crow ก็เจอกันได้ ช่วงนี้ก็เจอกันทางโซเชียลมีเดียก่อนเนอะ
อ๋อง: ตอนนี้เรามี Facebook, Instagram, Twitter แล้วก็ TikTok แต่ว่ามีใหม่กว่า TikTok แล้ว คือ Line Open Chat จริง ๆ ถ้าอยากเจอพวกเราไลน์นี่แหละอัพเดตที่สุดแล้ว
ไตเติ้ล: พยายามคีพลุคอยู่ใน Open Chat ว่าควรจะเป็นวงดนตรีที่มีภาพลักษณ์แบบไหนดี แต่ก็ยังไม่ดีเท่าไร (ขำ) ก็ติดตามกันได้ครับเร็ว ๆ นี้ก็จะมีเพลงให้ฟังกันเรื่อย ๆ ส่วนการแสดงสดก็ยังไม่ได้มีออกไปเล่นมากครับ ติดต่องานจ้างได้ครับที่เบอร์ด้านล่างเลยนะครับ หรือว่า dm มาก็ได้ครับ ติดตามทุกอย่างได้ที่เพจ The Whitest Crow นะครับ แล้วก็เพลงที่เป็นเวอร์ชันอื่น ๆ ก็ติดตามได้ที่ YouTube The Whitest Crow Official นะครับ