The Rebirth of The Passion of Anna
- Writer: Montipa Virojpan
- Photographer: Jarupong Jarana
The Passion of Anna อีกหนึ่งวงในตำนานที่สาวก shoegaze, dream pop เมืองไทยคุ้นเคยเป็นอย่างดี แต่หลังจากที่พวกเขาเงียบหายไป ก็ได้กลับมาเมื่อปีที่แล้วพร้อมไลน์อัพใหม่ สีสันดนตรีใหม่ ๆ แต่ยังคงสเน่ห์ของวงนั่นคือการสื่อสารเรื่องราวด้วยปรัชญาผ่านบทเพลงของพวกเขา เรามาทำความรู้จักสมาชิกใหม่ในปัจจุบันกัน
สมาชิก
ศุภฤกษ์ กานต์ศุภมิตร (เอก) กลอง
วฤชภน ไกรสีกาจ (เค) ร้องนำ
ภูริทัต ธีรเชษฐมงคล (ภู) กีตาร์
ธีรพงษ์ พรหมดี (เอก) เบส
เอก: เดิมที่ The Passion of Anna เป็นวงที่ก่อตั้งโดยพี่อ๊อด มือกีตาร์คนก่อนครับ แล้วเขามาเจอผมในช่วงอัลบั้ม Despair ก็ได้ไปตีกลองให้เขาบางงาน ได้เล่นพวกเพลง จินตนาการ หนึ่งวันที่แสนโหดร้าย ตอนนั้นผมรู้สึกว่าซาวด์ที่พี่อ๊อดเขาเล่นมันดูลอย ๆ เป็น shoegaze อังกฤษจริง ๆ จนเขาชวนผมไปทำอัลบั้มใหม่ แต่สไตล์กลองที่ผมตีมันเป็นร็อกมาตลอด แต่ว่าผมก็สนใจเลยลองมาเล่นด้วยกันดู ในสมัย Despair มีพี่อ๊อด พี่ต้น แล้วก็มือกีตาร์อีกคน กับนักร้องนำชื่อตุ๊กตา ช่วงนั้นอัลบั้มใหม่ ทำ mv เรียบร้อยแล้วแต่มามีปัญหากันในวงก่อน ก็เงียบไป จนสุดท้ายไม่มีใครเล่นแล้ว จนมาถึง Super Beau เป็นยุคที่ผมกับกู๊ด เพื่อนผมอีกคน อยากให้ The Passion of Anna มันยังอยู่ แต่คุยกันว่าใช้ชื่อนั้นแล้วมันไม่โอเคนะ เปลี่ยนชื่อเป็น Super Beau ไหม เราก็โอเค แล้วแต่ จนกระทั่งไปเล่นโชว์ แล้วคิดจะกลับมาทำเพลง แต่สุดท้ายแต่ละคนเวลาไม่ตรงกัน ก็เลย โอเค ไม่เป็นไร เหลือเราคนเดียว เราก็เลยหาผู้เล่นใหม่ ๆ ประกาศหานักร้องมาออดิชัน เราก็อยากได้อะไรหลาย ๆ แนว แปลกใหม่เข้ามาในวงบ้าง สุดท้ายแล้ว เราเป็นวงร็อก ผู้หญิงร็อกได้ไหม ร็อกได้ แต่มันขัดไปไหม สู้ผู้ชายที่สามารถทำอะไรได้เต็มที่ อย่าง ฉีกแข้งฉีกขา โดด ปีน แบบพี่ตูน บอดี้แสลม อะไรประมาณนั้นครับ ตอนนี้ก็เลยเปลี่ยนเป็นนักร้องผู้ชาย เป็นรุ่นน้องที่มหาลัย ผมกับมือกีตาร์ก็เล่นด้วยกัน รู้จักกันมาในระดับนึง ส่วนภูกับเอกมือเบสเขารู้จักกันอยู่แล้วก็เลยดึงกันมาเล่น ก็ซ้อมด้วยกันมาถึงปัจจุบัน เราก็พยายามเอา The Passion of Anna ตั้งแต่ในยุค Despairเช่น ทลายกำแพง จากลา มาเล่นในสไตล์ของพวกเราที่สุด จะไม่เป็น shoegaze dreampop grunge หรือ brit pop ที่เขาเคยทำกันมา
อะไรทำให้กลับมาอีกครั้งแต่ใช้ชื่อเดิม
เอก: ที่เรากลับมาคือทุกคนในวงมีความฝันกันว่าเราอยากเล่นดนตรี เราอยากจะโชว์ อยากมีประสบการณ์บนเวทีหลาย ๆ ที่ ที่ใช้ชื่อ The Passion of Anna เพราะเรายังคงเพลงของเขาไว้อยู่ อันนี้เจ้าตัวโอเคไหมผมไม่รู้ แต่ผมขอใช้ในนามตรงนี้ก็แล้วกัน ไม่งั้นมันจะหายสาบสูญไปเลย
ทำไมกลับมาแบบเงียบ ๆ
เอก: เอาจริง ๆ นะ เรายังไม่รู้เลยว่าเป็นวงตำนาน หรือมีแฟนคลับที่คอยตามอยู่ แล้วเราก็อยากมีสื่อคอยโปรโมต เพราะจะได้รู้ว่า The Passion of Anna ยังไม่หายไปไหน แล้วอีกอย่างจะได้รู้ว่า ก่อนหน้านู้น สมัยพี่อ๊อด พี่อู Day Tripper ที่เขาทำเพลงกันเขามี feedback ยังไง แต่พอมาในปัจจุบันนี้ผมเพิ่งมารู้ว่ามีแฟนคลับติดตามระดับนึง แต่ที่อยากให้มีจริง ๆ คือได้โชว์ผลงานว่านี่คือ The Passion of Anna ยุคใหม่ จะได้ไม่ต้องไปหาฟังว่า เฮ้ย นี่เสียงผู้หญิง แล้วพอมาดูทำไมเป็นผู้ชาย สู้มีเวที เราออกสื่อ ให้รู้ว่านี่คือพวกเรา เราเปลี่ยนไลน์อัพใหม่หมด แต่เราก็ยังใช้คอนเซปต์ของ The Passion of Anna อยู่ เราจะอนุรักษ์เนื้อร้องของเขาไว้ อย่างพี่อ๊อดเป็นคนแต่งทำนอง เนื้อร้อง ทุกอย่างเป็นปรัชญา เราก็จะยังคงตรงนี้ของเขาไว้ในThe Passion of Anna อยู่
ภู: The Passion of Anna ยุคนี้มันไม่ใช่ shoegaze แบบนั้นแล้ว เพราะพวกผมเป็นร็อกอะ ซาวด์มันจะอเมริกันจ๋าเลย แล้วแต่ก่อน The Passion of Anna อาจจะพูดถึงความรักเป็นส่วนใหญ่ ดูขาว ๆ แต่ของพวกผมจะกลายเป็นสีดำ มืดมน เรามาสายร็อกด้วยกันหมด เราก็ทำตามที่ถนัดดีกว่า แล้วถ้าไม่ถนัด ถ้าไปฝืน มันจะเหมือนเราไปเล่นเพลงคนอื่นน่ะครับ
การกลับมาช่วงแรก ๆ เจอความทุลักทุเลยังไงบ้าง
ภู: อุปสรรคมันเป็นที่ผู้เล่น เหมือนเตะบอลอะ ผู้เล่นมันไม่ลงตัวซักที โค้ชอย่างคุณท็อป (เทพ ปิลันธน์ พงษ์พานิช เจ้าของค่าย Summer Disc) เขาก็พยายามหาผู้เล่นมาให้มันลงไลน์อัพก็ไม่เจอสักที แต่ตอนนี้ก็ลงตัวแล้ว คือเราไม่เหมือนหลาย ๆ วงที่เขาเป็นเพื่อนกันมานานแล้วมารวมตัวทำเพลงกัน พวกเราเหมือนมาจากต่างที่แล้วอยู่ ๆ มาเจอกัน ผมว่าไลฟ์สไตล์แต่ละคนมันไปด้วยกันได้
จุดมุ่งหมายในการทำเพลงยังเหมือนเดิมหรือเปล่า
เอก: ทุกสิ่งทุกอย่าง จุดหมายปลางทางคือเราอยากเล่นดนตรีกันจริง ๆ มันคือความฝันของแต่ละคน อย่างนักดนตรีมันมีความฝันอยู่แล้ว อยากมีเวที อยากมีสื่อมาโปรโมต คอยซัพพอร์ต ให้ได้เล่นหลาย ๆ เวทีมากกว่า
ภู: ผมคิดว่าตอนนี้วงการดนตรีไทยต้องการอะไรที่แปลกใหม่นอกเหนือจากเพลงรักที่บอบช้ำอะ ตอนนี้หมุนคลื่นวิทยุมันก็มีแต่อะไรแบบนี้ ผมเข้าใจนะว่าทำไมการทำดนตรีถึงทำแต่เรื่องความรัก หนังทำไมทำแต่หนังรัก เพราะมันเป็นสิ่งที่สื่อได้ง่ายที่สุดในโลก แล้วไม่เบื่อกันบ้างหรอ อย่างเพลงสมัยก่อนยุค 80s ของฝรั่งเขาจะเล่าว่าชีวิตเขาลำเค็ญนะ นี่กูผ่านอันนี้มานะ มันไม่ได้มีความรักปนมากขนาดนี้ จริง ๆ แล้วผมคิดว่าการทำดนตรีไม่ต้องขายความรักหรอกครับ ขายเรื่องราวของคุณดีกว่า
ปรัชญาของ The Passion of Anna ยุคนี้จะออกมาเป็นยังไง
ภู: ดนตรีอาจจะดาร์ก แต่เนื้อร้องผมจะให้กำลังใจคุณ ว่าคุณทำของคุณต่อไป อย่าหยุดนะ เพราะถ้าคุณหยุดเท่ากับคุณแพ้ จะไปยอมทำในสิ่งที่คุณไม่ชอบ แล้วยอมให้คนอื่นมาดับฝันของคุณมันจะดีหรอ เดี๋ยวคุณก็ตายแล้ว มันเป็น passion น่ะ นี่ก็เป็น passion ของผมด้วย ผมไม่ต้องการเปลี่ยนสังคม ผมต้องการเล่น ถ้าคุณชอบก็ฟัง ไม่ได้บังคับให้คุณต้องมาชอบด้วย
ตอนแฟนเพลงยุคเก่ากลับมาดูมี feedback ยังไง
ภู: ตอนที่ผมมาเล่นไลน์อัพนี้ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทีแรกวงนี้เขามีแฟนเพลงด้วยซ้ำไป ผมตอบตามตรงนะ ผมยังไม่รู้ว่านี่คือวงอะไร ซึ่งพี่เอกก็มาชวน ตอนแรกผมเล่นเพลงร็อก เฮฟวี่เมทัล พี่เอกก็บอกว่ามึงต้องเบาซาวด์ลงหน่อยนะ ตอนนั้นผมไปเล่นที่สนามบอล แล้วแฟนเพลงเขาชอบในสไตล์ใหม่ พอเขาซื้อซีดี Despair ไป ก็บอก อ้าว ทำไมมันไม่เหมือนกับที่เล่นสด เขาก็อยากจะฟังอันใหม่ ที่ผมเจอไม่ใช่แฟนเพลงกลุ่มเก่า แต่เป็นกลุ่มใหม่ เป็นอย่างนี้มากกว่าที่ผมเจอ
เอก: ก็รู้สึกสนุกดี แฮปปี้ครับ เขาบอกว่ามันดี ไม่เหมือนยุคก่อน ๆ อย่างวง สิริพรไฟกิ่ง ก็บอกว่าชอบ จริง ๆ แล้วถ้ามีโอกาสเนี่ย ผมคุยกับท็อปไว้ว่าอยากให้ขายเป็นแพค อย่าง สิริพรไฟกิ่ง, Bleed, Counter Clockwise ไปด้วยกันยกเซตของ Summer Disc ดีกว่า คือเราจะได้แฟนคลับเพิ่มขึ้นจากแฟนคลับที่มาดูวงอื่น ๆ ด้วย ถ้าเขาชอบเขาก็จะได้ติดตามเราไปเรื่อย ๆ อยู่กันไปนาน ๆ
มีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน
เอก: สำหรับผมคิดว่าอาจจะเป็นไปได้ แต่ล้วนแล้วแต่คุณท็อปว่าจะยังไง ณ ตอนนี้ที่เราเป็นแบบนี้ เรายังไม่มีเดโม่ หรือมาสเตอร์ให้เขา เขาก็ยังไม่ปล่อยให้เราไปเล่น นอกเสียจากเรามีมาสเตอร์ เดโม่ อย่างน้อยก็ครึ่งเพลง ปล่อยที่เชียงใหม่ เราก็ยังไปแจมกับเขาได้ ไม่ซีเรียสมาก ขอเป็นวงแรกก็ได้
เค: ขอแค่ได้เล่นครับ จริง ๆ ถ้าปล่อยเพลงไปก็น่าจะมีแฟนคลับบ้าง เพราะคิดอยู่เหมือนกันว่าอะไร ๆ มันไม่ค่อยชัดเจน ถ้ามันชัดเจนขึ้นก็อาจจะไปได้ไกลกว่านี้ คือในแบบฉบับเก่ามันไม่ใช่เราเลย แต่ตรงนี้มันเป็นแบบใหม่ของเรา คนในแฟนคลับกลุ่มเก่าเขาก็ยังไม่รู้ว่าพวกเราแบบใหม่เป็นยังไง ถ้าเราได้เล่นสดก็คงจะได้รู้มากขึ้นแล้วถ้าตอบโจทย์ก็คงจะได้งานเพิ่มเข้ามาเรื่อย ๆ
คิดว่าวงการเพลงตอนนี้เป็นยังไง
ภู: ผมว่าตอนนี้มันน่าจะดีขึ้นแล้วนะ มันมีพวกวงใต้ดินอย่าง กล้วยไทยที่มา featuring กับพี่แมว จิรศักดิ์ ปานพุ่ม ใน Degree of Freedom เมื่อก่อนมันจะแบ่งโซนไปเลย ดนตรีพวกผมจะอยู่กับพวกกล้วยไทย แต่ตอนนี้มันกำลังเปลี่ยนมากกว่า พวกเพลงช้าเริ่มทำเป็น dubstep, disco เข้ามาผสม ผมว่าช่วงนี้มันเป็นช่วงที่พวกผมกำลังจะทยานได้ แต่ที่น่าเบื่อก็คือบางวงดัง ๆ ทำเพลงใหม่ออกมา ก็เป็นแพตเทิร์นเดิม ก็เข้าใจว่า content มันทำออกมาเพื่อปลอบประโลมคนที่อกหัก แต่จริง ๆ มันทำให้คนฆ่าตัวตายหรือเปล่า ไม่รู้นะ นี่ความคิดส่วนตัว คือคนมันเศร้าอยู่แล้ว คุณจะไปตอกย้ำเขาทำไมให้เศร้ากว่าเดิม ให้กำลังใจดีกว่า
อีก 5 ปี The Passion of Anna จะไปอยู่จุดไหนของวงการเพลง
เอก: ไม่คาดหวัง เพราะว่าอยู่อย่างนี้เราแฮปปี้ที่สุดแล้ว อย่างน้อยมี Summer Disc คอยซัพพอร์ต คอยจ่ายงาน คอยหางานให้เราเล่น เราก็แฮปปี้
ภู: แต่แอบคาดหวังให้คลื่นวิทยุเขาเปิดเหมือนกันนะ คนเราทำอะไรจะไม่หวังกับมันเลยก็ไม่ได้ ต้องมีลึก ๆ แหละ แต่หวังกับมันมากไหม ก็ไม่ขนาดนั้น เพราะแต่ละคนก็มีงานของตัวเอง แต่ที่จุดนี้เรามาทำ เราไม่ได้ต้องการเล่นแล้วแบบ เฮ้ย เท่ว่ะ ตรงนั้นมันผ่านไปแล้ว ตรงนี้คือเราขาดมันไม่ได้ เราเคยเลิกเล่นไปแล้วนะ แล้วเราก็กลับมา เพราะเราเลิกไม่ได้
เพลงใหม่จะออกมาเมื่อไหร่
ภู: สิ้นปีนี้ได้ฟังแน่นอน มีสองเพลงที่เป็นเพลงใหม่ครับ แล้วก็จะได้ฟังเพลงเก่าด้วย แต่เป็นการ re-arrange
เอก: เพลงเก่าจะมี ทลายกำแพง จากลา กำลังจะเพิ่ม หนึ่งวันที่แสนโหดร้าย เป็นสามเพลงที่จะทำใหม่เป็นสไตล์ของพวกเรา
เอกเบส: จะมีเล่นที่ Rock and Roll Come Back วันที่ 26 พฤศจิกายน 2559 เขื่อนกระเสียว ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี แล้วก็จะมีซิงเกิ้ลใหม่ไปเล่นที่นู่นด้วย
ตั้งใจทำอัลบั้มเลยหรือเปล่า
เอก: มีอัลบั้มครับ แต่ตอนนี้ขอเป็นซิงเกิ้ลก่อน เพราะเราอยากรู้ด้วยว่า feedback เป็นยังไงทั้งที่กรุงเทพ ฯ และเชียงใหม่ เพราะค่าย En Passion Music โดย Summer Disc ทำโปรโมตและจัดจำหน่ายงานให้อยู่ที่นู่น คือผมไม่รู้ว่าแนวอย่างที่พวกเราเล่นมันจะไปคลิกกับที่นู่นหรือเปล่า เพราะเขาก็มีสไตล์ garage grunge อังกฤษจ๋า เขามีตัวตนของเขาชัดเจนที่เชียงใหม่ แต่เราพยายามจะทำให้เป็นของเราเพื่อพรีเซนต์ที่นู่นว่า นี่คือรูปแบบใหม่ของ The Passion of Anna
ภู: อัลบั้มใหม่จะชื่อว่า Reborn เราเกิดใหม่แล้ว
ฝากผลงาน
ภู: ถ้าฝากผลงาน เราขอฝากว่า บางทีต้องเปิดใจฟังอะไรใหม่ ๆ ดู เพราะว่าผมไม่ได้คาดหวังจะให้คนเปลี่ยน แต่ที่ผมคาดหวังคืออยากจะให้กำลังใจคนที่เลือกเดินสายนี้ ให้เขาทำต่อ ไม่ให้เขาหยุด ซึ่งมีคนเคยถามผมว่าถ้ามีงอยากย้อนอดีต จะกลับไปแก้ไขอะไร ผมตอบเลยว่าผมไม่ย้อยนอะ แบบนี้มันดีแล้ว เพราะอดีตมันทำให้เราเป็นแบบนี้
เค: ทุกวันนี้แนวเพลงหลาย ๆ อย่างมันหาฟังได้ง่ายแล้วอะ การจะทำเพลงเพลงนึงมันค่อนข้างที่จะทำกันง่าย และค่อนข้างที่จะมีแนวทางที่คล้าย ๆ กัน แต่ผมเชื่อลึก ๆ ว่าแนวทางของ The Passion of Anna ในปัจจุบัน มันก็อาจจะมีแนวใกล้ ๆ กันแหละ แต่เราก็มีความเป็นตัวเองอยู่แล้ว และความเป็นตัวเองที่จะออกไปสู่ทุกคน เราเชื่อว่าเราทำไ้ด้ว่ะ เราไม่ได้ขี้เหร่ การเล่นดนตรีหรือการร้องเพลงมันต้องมีคนเก่งอยู่แล้ว มีวงร็อกเยอะ แนวที่ออกมาคัฟเวอร์ก็เยอะ เราก็พยายามจะตีตลาด แต่อยากให้คนรู้สึกว่า เฮ้ย วงนี้แปลกว่ะ ต้องไม่ทิ้งตัวของเรา ส่วนตัวผมก็ไม่ได้ร็อกจ๋ามาก เรามารวมวงกัน ณ ตรงนี้เพราะผมเชื่อว่าคนหลาย ๆ แนวมารวมกัน มันมีสกิลเยอะกว่าร็อกที่เป็นก้อนก้อนเดียว มันน่าจะมีความแตกฉานในความแปลกใหม่มากกว่า พวกเราน่าจะไปได้ แล้วก็อยู่ที่โอกาสด้วยว่าจะพาเราไปตรงไหนต่อไป งานวันที่ 26 ก็ไปดูกันหน่อยครับ จะได้รู้จักพวกเรามากขึ้น
เอก: ที่เรามาอยู่ 4 คนตรงนี้ได้เพราะรักดนตรีจริง ๆ ที่ผ่านมามันมีปัญหากันหลายอย่าง จนต้องเปลี่ยนอยู่เรื่อย ๆ จนปัจจุบันนี้เราคิดว่าจะไม่เปลียนแล้ว ใครเปลี่ยนก็อาจจะมีระเบิดไปปาบ้าน (หัวเราะ) ตรงนี้มันดีอยู่แล้ว คาดหวังอะไรกับอนาคตไหม ผมคงไม่หวังมาก ก็ปล่อยไปตามท้องเรื่องไป อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด อยู่ที่เราจะกลับมาคุยกันไหม เพื่อทุกสิ่งทุกอย่างจะเหมือนเดิม
อย่าลืมไปดูโชว์ของพวกเขาที่งานRock and Roll Come Back วันที่ 26 พฤศจิกายน 2559 ณ เขื่อนกระเสียว ด่านช้างจ.สุพรรณบุรี ดูรายละเอียด ที่นี่ และติดตามความเคลื่อนไหวของวงได้ที่ https://www.facebook.com/annatheband และ https://www.facebook.com/summerdisc/