ฝันที่ไม่กล้าฝันของ TangBadVoice | เมื่อ Street Photographer อยากพิสูจน์ฝีมือตัวเอง
- Writer: Montipa Virojpan
- Photographer: Rinrada Pornsombutsatien
หลายคนน่าจะทราบกันแล้วว่า TangBadVoice เจ้าของผลงานเพลง เปรตป่ะ ที่เป็นไวรัลหนักหน่วงเมื่อต้นปี คือคนเดียวกับ ตั้ง—ตะวันวาด วนวิทย์ street photographer มือรางวัลที่จัดแสดงงานในต่างประเทศมาแล้ว แต่แน่นอนว่านิตยสารดนตรีแบบ Fungjaizine จะไม่ถามเขาถึงเรื่องภาพถ่าย แต่จะชวนตั้งมาคุยในฐานะแร็ปเปอร์ กับเรื่องที่ไม่สามารถหาอ่านในบทสัมภาษณ์ไหนได้ แม้แต่ตัวตั้งเองก็ยังคาดไม่ถึง
ก่อนจะมาแร็ป ตั้งเคยทำเพลงป๊อป เล่นกีตาร์มาก่อน
เฮ้ย รู้ได้ไงเนี่ย! ก่อนมาแร็ปเราก็ฝึกกีตาร์เราอ่านโน้ตไม่ออก ไม่มีทฤษฎีดนตรีเลย วิธีทำของเราคือเราเปิดแท็บ แท็บเป็นตัวเลข นิ้วอยู่สายที่ 4 เลขอยู่ช่องที่ 5 เราก็ทำ แล้วก็จำ ระหว่างทางเราก็ลองมั่วว่าโน้ตตัวนี้เข้ากับตัวนี้ดีว่ะ เสียงมันไปด้วยกันได้ดี มั่วจนออกมาเป็นเพลงของตัวเอง
ตอนนั้น ม.ปลาย ฟัง Jack Johnson ชอบมาก เราแบบ คนอะไรวันทั้งวันอยู่แต่ทะเลอย่างเดียว ไม่ทำอย่างอื่นบ้างหรอวะ เราทำเพลงเก็บไว้เยอะ แต่ไม่ปล่อย เพลงเกี่ยวกับชีวิตที่สงบสุข เป็นภาษาอังกฤษ แต่ก็ไม่ได้จริงจังทำต่ออะไร เพราะจริง ๆ ชอบแร็ปมากกว่า เหมือนเราเล่นกีตาร์ต่ออีกนิดนึงก็สุด เพราะเราไม่มีทฤษฎีดนตรี มันก็ตันอะ พอเป็นแร็ปนี่กูพูดเหี้ยไรก็ได้โว้ยยย
แล้วแร็ปไม่ต้องมีทฤษฎีหรอ
เราไม่มีนะ เหมือนเราฟังไปเรื่อย ๆ แล้วจำได้ว่าคนนั้นแร็ปจังหวะนี้ แล้วเราก็ชอบ คนนี้เคยมีท่าแบบนี้ เอาอันนั้นมาผสมกัน ทุกอย่างคือมั่วหมดเลย
ตอน ป. 5 เราเข้าโรงเรียนอินเตอร์ แล้วเพื่อนกลุ่มแรก ๆ เราเป็นคนดำ แล้วก็แก๊งเม็กซิกัน แล้วมันเอาซีดี Best Hiphop of 2000s มาให้เรา ตอนนั้นมีเพลง To the window, to the wall ที่กำลังมา เพลงมันเก่ามาก แล้วมันเป็นเพลงที่พูดเรื่องเซ็กซ์ เรื่องตูดผู้หญิง เรื่องเงิน พวกนั้นเป็นเรื่องที่ใหม่มากสำหรับเรา เพราะก่อนเข้ามานี่คือเราฟังแต่เพลงไทย แล้วก็คิดว่า เฮ้ย เพลงแนวนี้พูดเรื่องอะไรก็ได้หรอวะ ทำไมมึงพูดเรื่องเหี้ย ๆ ได้วะ แล้วก็ไปเจอ Eminem ที่พูดเรื่องเหี้ย ๆ เหมือนกัน อัลบั้มแรกมันเลยนะ เป็นมันพูดเรื่องฆ่าเมียตัวเอง ก็แบบ เชี่ย อย่างนี้เอามาทำเพลงได้ด้วยหรอวะ คือจริง ๆ เราเป็นคนค่อนข้างนุ่มนิ่มในเนื้อหา คือเราจะไม่กล้าแต่งเนื้อเพลงที่ฆ่าเมียแน่นอน เพราะเราไม่เชื่อหรือทำอะไรแบบนั้น แต่สิ่งที่เราได้มาจากเพลงแร็ปคือ การเขียนเนื้อเกี่ยวกับอะไรก็ได้ ชอบที่มันพูดไปเรื่อยได้
ตอนอยู่ ป.5 พอได้ยินเพลงแบบนั้นแล้วรู้สึกยังไง
คือเพลงฮิปฮอปมันเริ่มจากการแหกระบบอะ ที่เป็นแบบนั้นเพราะมันมีความต้องการที่จะรู้สึกเหนือระบบด้วยแหละ เนื้อหาพวกนี้มันเลยเข้าไปอยู่ได้พอดี อะไรก็ตามที่ระบบบอกว่ามึงห้ามพูดเรื่องนี้ กูจะพูด
ครั้งแรกที่ฟังรู้สึกมันผิดศีลธรรมมาก รับไม่ได้ทำกำลังฟังสิ่งนี้อยู่ เหมือนตอนนั้นมันเป็นเครื่องเล่นซีดี ขนาดตอนฟังเราต้องถอดหูข้างนึง แล้วทำให้สายอีกข้างมันห้อยใกล้ ๆ คอ ให้คนไม่รู้ว่าเรากำลังฟังอยู่ เพราะรู้สึกผิดที่ฟังเพลงที่มีเนื้อหาเหี้ยขนาดเนี้ย ไม่อยากให้คนจับได้ แต่ก็หยุดฟังไม่ได้ หลัง ๆ ก็เริ่มแบบ อะ กูชอบแหละ แล้วก็เริ่มฟังอย่างเปิดเผย เอามาแร็ปที่โรงเรียน (หัวเราะ)
ทำไมต้อง TangBadVoice
คือพวกศิลปินเพลงแร็ปจะมีชื่อตัวเองเท่ ๆ แบบ Ty Dolla $ign แล้วเราร้องเพลงได้ไม่ค่อยดี ก็เลยเป็น ‘แทงแบดวอยซ์’ ทำให้เหมือนฉลากยาละกัน ที่มันมีเหมือนคำเตือน ‘ห้ามดื่มเกินวันละสองขวด’ ‘การดื่มสุราทำให้ความสามารถในการขับขี่ยานพาหนะลดลง’ แบบ ถ้ามาฟังแล้ว อย่ามาด่ากูละกันว่าเสียงมันเหี้ย (หัวเราะ)
เสียงมีเอกลักษณ์แบบนี้เคยโดนจ้างไปลงเสียงโฆษณาไหม
ก็มี DTAC มีครีมอันนึง แล้วก็ Noc Noc เพจซื้อเฟอร์นิเจอร์ออนไลน์ เขาให้ทำเพลงแร็ปให้ อันนี้มาก่อนทำ TangBadVoice อีก ล่าสุดก็มีพัดลม Hatari ส่วนใหญ่เราจะได้พากย์เสียงสไตล์ไทยประกันชีวิตนะ ‘อยู่เคียงข้างเพื่อคุณ’ อะไรแบบนั้น แต่เราไม่ได้ทำซีเรียส นาน ๆ จะมีติดต่อมาที
อะไรทำให้เปลี่ยนมาทำเพลงแร็ปเต็มตัว
เราอยากเป็นแค่ 3 อย่างในชีวิตนี้… ตอนนี้ 4 ละ (หัวเราะ) เราอยากเป็นช่างภาพถ่ายหนัง แล้วก็ได้เป็น ตอนนั้นรู้สึกฟินมาก ได้เป็น DP แล้วก็อยากเป็นช่างภาพอิสระ ถ่ายภาพนิ่ง ก็ได้เป็นละ ฟินอีก อีกอันนึงคือเป็นแร็ปเปอร์ ชอบแร็ปมาก ตั้งแต่ขับรถเป็น ตอนนั้นมียุคที่ซีดีจะมีแต่บีตที่เราไปโหลดมาแบบผิดกฎหมาย เอามาเปิดตอนขับรถคนเดียว แฮปปี้เหี้ย ๆ เพราะเราจะแร็ปไปเรื่อย ๆ จากโรงเรียนไปบ้าน จากบ้านไปโรงเรียน ตื่นเช้ามาจะแบบ ‘เย่ ได้แร็ป’ แต่ก็ไม่เคยจริงจัง เราก็คิดว่า ‘เฮ้ย จริง ๆ เรามีความต้องการตรงนั้นอยู่ ทำไมไม่ทำวะ’ เลยลองทำเลย เพลงแรกของเราลงฟังใจด้วย (หัวเราะ) เป็นเพลงเลี่ยน ๆ ทดลองมาก ๆ เพลงรักเกี่ยวกับดาวตก อะไรแบบนั้น ยังจำชื่อเพลงไม่ได้เลย อันนั้นลองมิกซ์เอง ไม่ได้มีความรู้ด้านนี้เลย ใส่รีเวิร์บ 4 ชั้น ซ้อน ๆ เข้าไปให้มันก้องเข้าไปอีก อยากให้เพลงฟังไม่รู้เรื่อง ทำแล้วปล่อยเลย
เข้าไปฟังได้ที่นี่จ้ะ https://www.fungjai.com/artists/tang-tawanwad-wanavit/musics/falling-stars-journey
อีกอย่างที่อยากเป็นคืออะไร
เริ่มอยากเป็นผู้กำกับแล้ว แต่เราเกลียดการยุ่งกับคนเยอะ ๆ ก็เลยไม่รู้ว่าจะเป็นได้ไหม เหมือนหลาย ๆ ทีที่เราถ่ายหนัง เราชอบมีความคิดว่า ‘ถ้าเป็นกู กูจะทำอย่างนี้’ เราดันชอบไปยุ่งกับเสื้อผ้า ยุ่งกับอาร์ต ยุ่งกับนักแสดง กับวิธีขยับตัวของเขา มันจะดีกว่าไหมวะถ้ามันเป็นแบบนี้ จนเราต้องหยุดตัวเองว่า ‘เริ่มเสือกละ เขาจ้างกูมาดูภาพ กูก็ต้องดูภาพ กลับไปที่นั่งตากล้องของมึง หยุดไปยุ่งกับเขา’ (หัวเราะ) แต่ถ้าบางทีแผนกไหนเหนื่อยแล้วเราก็จะแบบ ‘เฮ้ย มา เดี๋ยวทำให้’ แต่ตอนนี้ก็เริ่มมีโปรเจกต์ที่ทำเองคนเดียวบ้างเหมือนกัน
‘ตั้ง ตะวันวาด อยู่โรงเรียนยุพราช’ แบบในเพลง ตั้งอะไร จริงไหม
ไม่จริง (หัวเราะ) จริง ๆ เราเรียนที่เปรมติณสูลานนท์ กับ ปรินส์รอยแยลส์ แต่เราหาชื่อโรงเรียนที่คล้องจองกับ ตะวันวาด ไม่ได้ ถ้า ‘ตั้ง ตะวันวาด อยู่เปรม อยู่ปรินซ์’ มันไม่ได้ แล้วมันมีชื่อโรงเรียนนี้พอดี ก็ต้องเป็นอย่างนี้เท่านั้น แต่ยุพราชอย่าฟ้องละกัน มันจำเป็นครับ มันต้องให้คล้องจอง (หัวเราะ)
โดนบุลลี่บ่อยหรอทำไมแต่งเพลงแบบนี้เยอะ
เคยโดนไม่กี่ที แต่เราคิดว่ามันตลกดี จริง ๆ เป็นพลอตหนังคลีเช่ แบบเด็กเนิร์ด ๆ เดินเข้ามา ต้องใส่แว่นด้วยนะ ถ้าหนังเห่ย ๆ เลยคือต้องตัดหน้าม้า หน้าติ๋ม ๆ ด้วย แล้วก็มีพวกชอบบุลลี่เดินมาแกล้ง ก็เป็นอีก guilty pleasure ที่เราอยากเอาซีนเห่ย ๆ พวกนี้มาทำเพลง เพราะมันมักจะทำงานกับเรา การที่ underdog มันพลิกกลับมาชนะได้ ทั้งหมดนั้นเราแต่งมา แล้วใส่ในตอนจบแบบ ‘เชี่ย ที่พูดมาทั้งหมดมันจริงป่าว’ ก็ตอบว่า ‘ไม่จริงอะ’ ให้มัน plot twist กวน ๆ อีกที
Love Yellow ก็คล้ายกันหรือเปล่า
แค่ฟังบีตตอนขับรถไปทำงาน แล้วก็ชอบ เลยอยากแต่งเพลงกับบีตนี้ แล้วก็อัดโฟลวเข้ามือถือ แล้วหาคำไปใส่ให้มันลงกัน ก็ลองมัวจนได้คำที่ลงตัวที่สุด คือ ‘TangBadVoice yeah that’s me’ (หัวเราะ) แต่ช่างมัน เชื่อสัญชาตญาณแรก ทีแรกมันจะเป็นเพลง represent ตัวเอง แต่เขียนไปเขียนมา ไถเฟซบุ๊ก เจอเพื่อนที่เรียนโรงเรียนอินเตอร์ แล้วไอ้นี่ก็เหยียดคนเอเชีย เลยเปลี่ยนเนื้อหาเพลงที่เขียนไปได้แล้ว 1/3 เริ่มมีคำว่า ‘อย่ามาเหยียดคนเอเชีย เพราะกูโหดกว่ามึงไอสัส’ เนื้อหามันก็เลยเริ่มเปลี่ยนไปเป็นอย่างนั้น จนจบเพลง
เพลงของตั้งมักจะเล่าเรื่องไปเรื่อย ๆ เวลาคิดเพลงคือคิดแบบการเขียนบทหนังหรือเปล่า
ไม่ได้ตั้งใจขนาดนั้น แต่เวลาถ่ายหนังเราจะคิดนำไปก่อนว่า ช็อตนี้ต้องมา ช็อตนี้ต้องมา แล้วต่อด้วยช็อตนี้ เหมือนอันนี้เราก็เห็นภาพก่อนแล้วเขียนออกมา ไม่ได้คิดต้น กลาง จบ คิดแค่ตอนต้นเลย แล้วเรื่องจะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ตามคำที่คล้องจอง มันแต่งทีละท่อน คือพอคำนี้มา แล้วหาคำอื่นไม่ได้ สงสัยเรื่องมันต้องดำเนินไปแบบนี้แล้วว่ะ (หัวเราะ) มันซุยมาก
เปรตป่ะ เกิดจากความแรนด้อม
เออ มั่วมาก ‘สตาร์ทรถ ไม่มีน้ำมัน เข้าสูตรหนัง ทำไมมึงไม่พกยันต์’ มันแค่คล้องจองอย่างนั้นเลยต้องเดินเรื่องไปทางนั้น ส่วนมุขโบ๊ะบ๊ะมันมาจาก collective ช่างภาพถ่ายหนัง นาน ๆ จะเจอกัน แล้วพอเจอกันทีมันก็จะเล่นมุข ‘วันนี้แดดดีจังเลย’ ‘แดดดีที่เป็นเนื้อปะ?’ ‘นั่นมันแดดเดียว’ มุขพวกนี้มันถูกเล่นกันมานานแล้วโดยคนไทย แต่ด้วยความที่เป็นเด็กอินเตอร์กันหมด มันก็เพิ่งรู้จักสิ่งนี้กันเว่ย เล่นกันไม่หยุดเลย ด้วยความเห่อ และรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ใหม่มาก
ตอนนั้นแฟนไปประชุมอยู่ ไม่มีไรทำก็เลยแต่งเพลงรอ เปิดบีต มั่วท่อนแรกขึ้นมาว่า เป็นคนนึงเดินลุยป่ามืด ๆ เข้าไปคนเดียว ฉายไฟฉายลง แล้วก็พูดคนเดียว ตะเคียนนี่ที่กล้ามเนื้อมันล็อกปะ แล้วตอนที่ฟังในหูฟังคือบีตมันลง ตึง พอดี นั่นมันตะคริววว ก็แบบ เย้ดเข้ ตอนมันพักประชุม กลุ่มนึงไปดูดบุหรี่ อีกกลุ่มอยู่ในห้อง เราก็เลยวิ่งไปหา ‘กูต้องการตัวพวกมึง เพื่อฟังเพลงที่หนึ่งของกู’ ก็เปิดบีต แล้วแร็ปให้มันฟัง พวกนั้นก็แบบ ‘ไอ้เหี้ย เดือด’ โอเค เดือดก็เดือด
ส่วนอีกสองเพลงก็คือแต่งในเดือนเดียวกัน เดือนเดียวอัดสามเพลง แล้วก็มิกซ์เองด้วยความรู้ที่ไม่มีเลย ที่คิดก็คือทำยังไงก็ได้ให้มันชัด ให้เสียงมันดัง (หัวเราะ) คิดว่าทุกอันมีความพูดคนเดียวหมดเลย ก็เลยปล่อยแม่งเลยละกันสามเพลง แล้วแฟนเราบอกว่า มันจะดัง เราบอกว่า มันจะไม่ดัง เพราะว่าเพลงเหี้ยเนี่ย ใครจะฟัง มึงจะบ้าหรอ
บีตทำเองด้วยหรือเปล่า
ทำไม่เป็นเลย เคยลองทำบีตเองแล้วพังพินาศมาก พยายามเร่งเบสแล้วก็จะได้ยินแต่เบสอะ ก็เลยซื้อทุกอย่างเลย เพลงนึง 200 เหรียญ ต้องฟังแล้วชอบมาก ติดต่อไปขอซื้อขาดเลย เขาก็จะได้ลิขสิทธิ์ร่วมกับเรา
วิธีการเขียนเนื้อ ศึกษามาจากใคร
เยอะมาก ไม่มีต้นแบบเป๊ะ ๆ แต่ชอบหยิบอันนั้นของคนนี้ อันนี้ของคนนั้นมา อย่าง เปรตป่ะ หยิบของ Logic มาผสมกับ Lil Dicky ผสม Eminem ผสม Wu-Tang Clan เป็นพวกฮิปฮอปที่เราชอบอยู่แล้ว แค่รู้สึกว่ามันมีหลายตัวละคร เลยโอเคที่มันจะมีหลาย ๆ โฟลว
พวกดนตรีเราจะเซิร์สว่า DPR Live beat เราอยากได้บีตประมาณนั้น พวก chill hop แล้วเราก็เอาบีตแถว ๆ นั้นมาทำเพลงของเราเอง
EP No One Play With Me มาจากการที่ไม่ชอบยุ่งกับคนอื่น
เป็นคนชอบทำอะไรคนเดียว เพราะไม่ชอบไปเปลี่ยนคนอื่น จริง ๆ ตอนแรกจะหาคนมา featuring ด้วย มันต้องมีบางอย่างที่เราต้องขอให้เขาเปลี่ยนแน่เลย แล้วเราเป็นคนขี้เกรงใจมาก ถ้าจะเอาคนที่แร็ปได้เขาก็จะอยากแร็ปของเขา แล้วถ้าเรารู้สึกว่าท่อนนี้ไม่ใช่ เราจะไม่อยากไปบอกเขาขอให้เป็นอย่างงั้น เลยทำคนเดียวก็ได้ แต่กลายเป็นว่าอยากให้ในเพลงมันเป็นการคุยกันสองคนอะ ก็ดัดเสียง สกิลโฆษก เป็นเองแม่งทุกคนเลย (หัวเราะ) No One Play With Me คือเหงาเหี้ย ๆ แล้วทุกคนคิดว่าเราว่างแล้วทำ แต่จริง ๆ คือเวลานอนจะไม่มีอยู่แล้ว ทุกครั้งที่เรามาทำเพลงคือเราต้องเอาเวลาที่เหลืออันน้อยนิด ที่ควรไปนอนอะ กลับเอาพลังงานทั้งหมดที่เหลือ เลือดหยดสุดท้าย มาทำเพลง เพราะเราถ่ายหนังและประชุมตลอดเวลา เนี่ย อยากทำอะไรที่ชอบ ต้องแลกด้วยเลือด และสุขภาพ เลยใช้เงินแก้ปัญหา ใช้เงินซื้อบีต
ทำไมถึงชอบหยิบสถานการณ์ปัจจุบันมาเล่า อย่าง หวัดหรือหวิด กับ หมากแพง
หวัดหรือหวิด นี่เราแต่งก็ไม่ได้ชอบขนาดนั้น แค่อยากทำให้เหมือนไดอารี จะไม่มีทางกลับไปฟังอีกแน่นอน แค่อยากมีเพลงคล้าย ๆ ก่อนหน้านี้เวลาเราถ่ายรูป ก็จะใช้เวลาสถานการณ์ช่วงนี้น่าสนใจ เราก็เก็บภาพนั้นไว้เพื่อจะได้บันทึกว่าครั้งนึงชีวิตเราเป็นประมาณนี้ แล้วเรารู้สึกว่าโควิดเป็นช่วงที่น่าสนใจมาก เพราะสภาวะเราตอนนี้พารานอยจัดมาก ก็เลยเขียน ๆๆๆ ความรู้สึกนั้นเข้าไปทั้งที่ไม่ได้ชอบขนาดนั้น แล้วก็ปล่อย
แต่อย่าง หมากแพง อันนั้นเราชอบ เกิดจากความที่แฟนเรา ชาวนิเทศศาสตร์อะ จะชินกับทวิตเตอร์ ถูกปลูกฝังให้เล่นตั้งแต่เข้ามหาลัย มันก็จะมีภูมิต้านทานต่อโลกทวิตเตอร์ แต่เราไม่เคยเล่นทวิตเตอร์เลย เราเพิ่งมาเล่น Instagram ได้ไม่นานด้วย แล้วแฟนก็แนะนำให้มารู้จักกับทวิตเตอร์ เจอเรื่องกักตุนหมาก โห อินมาก แล้วเราเป็นมนุษย์ที่ใหม่กับทวิตเตอร์ก็ไม่กรองอะไรเลย รับทุกอย่าง แบบ คลั่งอะ เลยแต่งเพลงออกมา อัดทีเดียวจบ แต่แล้วก็ไม่เล่นทวิตเตอร์อีกเลย อยู่แต่ในไอจี เพราะทวิตเตอร์ทุกคนคือแอคหลุมอะ เขาจะพูดไรก็ได้ สู้ด้วยความไม่มีตัวตน
พอเพลงหลัง ๆ ปล่อยมากระแสไม่ปังเท่าเพลงแรก รู้สึกยังไง
เราชอบมาก ๆ เลยที่กลายเป็นว่า ยิ่งทำไปเรายิ่งได้ค้นหาตัวเองผ่านเพลง เหมือนภาพถ่ายเลย ของภาพถ่ายเราเชื่อในกราฟนี้ มันจะบอกว่า ตอนแรกเราจะถ่ายรูปให้คนอื่นดู แต่พอเราถ่าย ๆ ไป เราจะอยากถ่ายภาพให้ตัวเองดู ซึ่งของภาพถ่ายเราใกล้ตรงนั้นละ คือเราหลุดจากจุดที่ภาพต้องพีคเหี้ย ๆ กูต้องไปแสดงงานที่อิตาลี ที่ลอนดอนอีกครั้ง มันผ่านมาหมดแล้ว กลายเป็นว่ามันเจอความฟินเวลาเจอภาพที่ตัวเองชอบ แต่รู้เลยนะว่าคนอื่นจะไม่ชอบ แต่กูชอบ!
ของเพลงเราคิดว่าจริง ๆ นั่นคือความตั้งใจแรกเลยนะ การทำเพลงคือกูต้องได้เพลงที่กูชอบ ซึ่งเรารู้สึกดีที่เพลงที่เราทำช่วงหลัง ๆ เป็นเพลงรัก ที่เราชอบมาก แล้วมันยังมีคนกลุ่มนึงที่ชอบอยู่ ก็ดีใจในคอนเทนต์ที่เราชอบจริง ๆ คือเพลงเลี่ยน ๆ แล้วคนพวกนั้นดันชอบเพลงเลี่ยน ๆ ที่เราทำอีก
แต่ตอนแรกเรากลัวนะ ว่ามันจะเข้าลูปแบบตอนถ่ายภาพ ตอนนั้นเรามีช่วงล่าภาพ ถ้าไม่ได้ภาพที่พีคเหี้ย ๆ จะนอนไม่หลับ ทรมาณมาก หวังว่าจะไม่เข้าลูปนั้นอีกตอนทำดนตรี พอผ่านช่วงนั้นไป มุมมองเปลี่ยนไป รู้สึกว่าเราไม่ต้องพิสูจน์อะไรแล้ว ทำอะไรก็ได้แล้ว ทีนี้จะทดลองให้ยับเลย เดี๋ยวจะปล่อยไปเรื่อย ๆ แต่ให้มีเวลาอัดก่อน
เอาจริง เพลงแร็ปกวน ๆ แบบแรกที่ทำมันยากกว่า U Sick Achoo หรือ Jealous King เขียนชั่วโมง สองชั่วโมง เสร็จเลย มันง่ายมาก เพราะรู้สึกยังไงเขียนอย่างนั้น มันมาเองไม่หยุด Jealous King สามารถแตกได้เป็น 4 เวอร์ชันเพราะคำมันเยอะมาก (หัวเราะ) ขี้หึงมาก แต่งได้เรื่อย ๆ บีตเดิม เนื้อหาเดิม ๆ แต่ได้หลายแบบ คือเพลงกวน ๆ มันต้องมีความ make sense แล้วก็ต้องมีความต่อเนื่องบางอย่าง ได้ประโยคนี้ คำมันลงแบบนี้ มัน make sense กับตอนแรกปะวะ U Sick Achoo กับ Jealous King ไม่ต้องหาเหตุผลเลย ฟีลล้วน ๆ ชอบมาก มีความสุข
ตอนแรกเคยจะติดต่อให้มาเล่นไลฟ์ที่ฟังใจ บอกว่าเล่นไม่ได้ ตอนนี้เล่นได้หรือยัง
โห คือล่าสุดไป featuring กับพี่มอร์ วสุ แล้วเขาเอาเราไปถ่าย mv ท่อนเดียว ประมาณ 20 วิในเพลงเขา เกือบตาย อยู่หลังกล้องมาตลอดชีวิต พอมาอยู่หน้ากล้อง ข้างหลังเป็น green screen นี่คือหายใจไม่ออก แล้วเป็นคนตาเหล่อยู่แล้วใช่ปะ ยิ่งเครียดตายิ่งเหล่เว่ย จำเนื้อไม่ได้ ขยับตัวไม่ได้ ทุกอย่างล็อกไปหมด ไม่เหมาะกับการอยู่บนเวทีหรือหน้ากล้องจริง ๆ ทำไม่ได้
รู้สึกยังไงที่คนชอบจับ TangBadVoice ไปคู่กับ คนนท์ ชาญคลีเช่ หรือดาจิม
ไม่เหมือนนะ ส่วนตัวเรา ถ้าบอกว่าเราเหมือนใคร เราว่าเราเหมือน Lil Dicky เพราะโฟลวเราก็คล้าย ๆ เขา เราชอบแบบนั้นมาก ๆ ส่วน คนนท์ ชาญคลีเช่ เราฟังเราชอบนะ ทั้งเพลง วิธีการแร็ป บีตที่มินิมัลมาก และ mv เรารู้สึกว่าคนนี้มาเอกลักษณ์มาก แร็ปส่วนใหญ่มันมีเนื้อหาที่ซ้ำเยอะ แล้วบังเอิญที่เรากับคนนท์ไปพูดเรื่องอื่น แต่ถ้าไปเทียบกับดาจิม ถึงเราจะชอบฟังเขาแต่เราก็รู้สึกว่าเราแร็ปไม่เหมือนเขา และที่คนเทียบเรากับเขาก็เพราะดาจิมก็พูดเรื่องอื่น
ทำไม trap ถึงดัง
เราเพิ่งมาฟังเพลงไทยมากขึ้นเมื่อปีที่แล้ว ถ้าที่ฟังก็คือ YOUNGOHM แล้วก็รู้สึกว่ามันมีปรากฏการณ์เอคโค่ ที่เราคิดขึ้นมาเองนะ ว่าพอเมืองนอกมันมีแนวนี้ ที่พูดเนื้อหานี้ มันจะเอคโค่มาหาเรา ซึ่งเราจะช้ากว่าเขา แล้วพอมันมีเทรนด์ใหม่มาที่อเมริกา เราก็จะค่อย ๆ ตามมาแบบนั้นเป๊ะเลย บีต เนื้อหา สไตล์แต่งตัว การสัก แบบนั้นเลย แต่มันจะมาช้ากว่าเขาครึ่งปี มันจะดีเลย์ ใช้เวลาดู แล้วทำตาม ในการ process โปรดิวเซอร์ก็ต้องใช้เวลาทำความเข้าใจว่าทรงใหม่มันทำงานยังไง ซึ่งสิ่งเหล่านั้นมันค่อนข้างการันตีแล้วว่า มึงเท่แน่ แต่ความเดือดคือ สิ่งเหล่านั้นถูกบัญญัติมาแต่แรกว่าเป็นฮิปฮอปแนวใหม่ ซึ่งการที่เราเอามาทำต่อ เราสามารถพูดได้ว่า นี่คือฮิปฮอปแนวใหม่ เพราะงั้นมันจะมีตัวแทนของความใหม่ และความพิเศษอยู่
เราคิดว่าสาเหตุที่มันเวิร์กเพราะมันผสมระหว่างการที่เต้นได้ โยกได้ แสดงว่าคนที่ชอบฟังและโยกไปเรื่อย ๆ ก็ฟังด้วยได้ แล้วแทร็ปมันไม่ได้วัดกันที่สกิลแบบยุคแรกเลย ยุคแรกมันเกี่ยวกับสกิลว่าใครสามารถทำเนื้อหาที่หนักกว่ากันได้ มันจะมียุคนึงที่เป็นแบบนั้นได้ อีกยุคนึงจะเป็นใครโฟลว ฟลิป ได้เท่กว่ากัน แต่ยุคใหม่นี่ไม่เอาสกิล ไม่เอาเนื้อหาแล้ว กูแค่อยากปาร์ตี้ ที่เริ่มมามันค่อนข้างเพียวนะ กูแค่อยากทำอะไรก็ได้ ไม่มีสาระก็ได้ อยากใช้ชีวิตให้สนุก มันก็เริ่มสักหน้า ทำเพลงที่ร้องซ้ำ ๆ วน ๆ อยู่อย่างนั้น ที่มันกลายมาเป็นเพลงได้เพราะมีคนคิดแบบนั้นเยอะ ในคัลเจอร์ฮิปฮอปไทยมันก็เลยค่อนข้างดังแล้วก็ประสบความสำเร็จชัวร์ เลยกลายเป็นเพลงสูตรของสมัยนี้
เรายังเชื่ออยู่ว่าเพลงทำอะไรก็ได้ ไม่ผิด แต่ส่วนตัวเราไม่ได้ชอบออโต้จูนมาก เพราะเราอยากฟังรู้เรื่อง อยากรู้ว่ามึงพูดว่าอะไร นั่นแค่อย่างเดียวที่ไม่อิน แต่พอ YOUNGOHM ทำแล้วฟังรู้เรื่อง ก็โอ เราชอบโอมเพราะว่ามันเขียนเพลงจากใจประมาณนึง บางเพลงฮิปฮอปจะเป็นแบบ เซ็กซ์ เงิน โอมมันเป็น ‘ทำมาด้วยตัวเองกูทำให้แม่ภูมิใจ’ ก็จริงนะ มันดูจากใจอะ แล้วก็มีความเป็นเด็กบ้าน ๆ นิด ๆ มันดีที่มันไม่อายที่จะเอาสิ่งที่รู้สึกจริง ๆ มาเขียน
ทำไมถึงมีการลอกบีตเกิดขึ้นเยอะมาก
เราเป็นคนไม่มีสิทธิ์พูดเรื่องนี้ เพราะเราไม่ได้อยู่ในฝั่งผลิตเพลง เพราะเราเป็นคนซื้อบีตตลอดเลย กูชอบ กดซื้อเลย จนตอนหลังมีดราม่าเล็ก ๆ ใน U Sick Achoo เพราะว่าเราไปซื้อบีตนั้นมาเลย แต่มารู้ทีหลังว่ามันเป็นบีตยอดฮิตของเว็บชื่อ BeatStar แล้วเราซื้อมันมาจากโปรดิวเซอร์ดาวรุ่งของเว็บนั้น แล้วคนก็เริ่มมาเรื่อย ๆ ว่าเหมือนอันนั้นของคนนี้ เหมือนอันนี้ของคนนั้น แล้วพอเราไปกดฟัง มันไม่ใช่แค่คล้ายอะ มันบีตเดียวกันเลย คือเราทำเสร็จไปแล้วปล่อยไปแล้วเพิ่งมารู้ ทีนี้ตอนแรกคิดว่าจ่ายตังแล้วจบ แต่มันเหมือนแบบเวลาทำหนังอะ เท่ากับว่าเหมือนเราใช้ stock footage เหมือนกับทุกคน แค่เอาไปเกรดสีคนละแบบ (หัวเราะ)
ถ้าถามความเห็นของเรา พูดแทนฝั่งโปรดิวเซอร์ ถ้ามันแต่งออกมาด้วยความรู้สึกที่จริงใจกับมันตอนนั้น แล้วมันดันไปใกล้กับอีกอัน จะมีแค่เขาคนเดียวที่รู้ว่ามึงจริงใจหรือมึงก็อป ถ้าจริงใจ ก็โดนด่าหน่อยนึงไม่เป็นไร
แบบนี้จะสร้าง originality ยังไง
ส่วนตัวเราใช้วิธีเหมือนภาพถ่ายเลย ต้องเลิกคิดความ original ไปเลย เพราะเราคือผลผลิตของหลาย ๆ งานมารวมกัน เหมือนเอางานที่เราชอบ ๆ งานที่เราเสพมารวมกัน ใส่เครื่องปั่น น้ำที่ออกมาจะเป็นงานของเรา อันนี้คือวิธีของเราทั้งภาพถ่ายและการทำเพลง ถ้าเกิดว่าเราทำในสิ่งที่เราอยากทำตอนนี้จริง ๆ เช่น ตอนนี้กูอยากแต่งเพลงด่าคน ก็ไปทำเพลงด่าคน ตามที่รู้สึก พอถึงจุดนั้นไม่ต้องคิดถึงความออริจินัล เพราะเดี๋ยวมันก็ออกมาเองทางนึงไม่มากก็น้อย หรือตอนนี้อยากแต่งเพลงรักที่เลี่ยนเหี้ย ๆ จะพูดถึงการให้ดอกไม้สีแดงผู้หญิงที่โต๊ะอาหาร คุกเข่าขอแต่งงาน เอาคลีเช่เบอร์นั้นเลย ถ้าอยากทำจริง ๆ ยังไงความเป็นตัวเองจะออก เลิกคิดไปเลยว่าอยากแตกต่าง ทำแค่ที่อยาก
จะบอกยังไงว่าอันไหนคือฮิปฮอปที่ดี หรือไม่ดี
เราไม่รู้ทฤษฎีดนตรีเลย เรามั่วไปเรื่อย ๆ ดังนั้นสำหรับเราเองแล้ว ฮิปฮอปที่ดี มันจะพูดเรื่องที่มันสนใจและรู้สึกจริง ๆ นี่คือฮิปฮอปที่ดี แล้วอันที่ไม่ดีคือพูดเรื่องที่มันรู้ว่าจะทำให้มันดูเท่ นี่คือเส้นของเรา มันอาจจะฟังออกในเพลง อย่างอันนึงของเกาหลี แร็ปเป็นภาษาเกาหลีของ Keith Ape ชื่อเพลง It G Ma แปลว่า อย่าลืมกู จงจำเอาไว้ อย่าลืมนะ ทั้งเพลงมันเล่าประมาณว่า อย่าลืมนะว่ากูเป็นใคร กูว่ายน้ำหาเงินอยู่ในทะเลแห่งนี้ นี่คือแหล่งเงินของกู เนื้อหาเป็น standard hip hop มาก แต่พอฟังแล้วรู้สึกว่ามันเชื่อแบบนั้นจริง ๆ
พอไม่ทำเมนสตรีมแล้วรู้สึกว่าเป็นคนนอกซีนหรือเปล่า มีคนมาชวนไปร่วมงานไหม
มีค่ายติดต่อมา มีศิลปินมาขอแจม แต่เรารู้สึกว่าเรามาเล่น เราไม่ได้มาจริงจัง เราเลยไม่ได้อยากให้มันเป็นอาชีพ เพราะพอมันเป็นอาชีพ กูจะเพิ่มภาระให้ตัวเองทำไมวะ มันจะเกิดอะไรขึ้นกับความรู้สึกที่ว่ากูอยากเป็นอิสระ กูมาเพื่อทำอะไรก็ได้ ไม่ได้มาอยู่ในกรอบ
เร็ว ๆ นี้จะปล่อยงานอีกไหม
มี ตอนนั้นอยากแร็ปให้มันยาก ทำให้มันดูพูดยาก ๆ ทำให้มันเร็ว เพราะมีความต้องการอยากรู้สึกว่าตัวเองแร็ปเก่ง ก็เลยเขียนเพลงให้มันยากจนตอนแรกนึกว่ากูไม่มีทางอัดสิ่งนี้ได้ละ ตอนวันอัดก็เหมือนได้ เลยปล่อย แต่ก็คงเป็นเพลงที่ฟังทีเดียว แต่จะไม่กลับไปฟังอีก เพราะทำเพื่อให้ได้พิสูจน์ตัวเองว่าทำได้ ก็เลยคิดว่าตอนนี้จะทำแอนิเมชัน mv ใช้เงินต่อ (หัวเราะ) ยังไม่รู้พลอตจะเป็นไง
จะกลับไปทำเพลงแบบตอนแรก ๆ อีกไหม
ก็เป็นไปได้นะ ที่เราคิดตอนแรกว่าจะเรียกตัวเองเป็นแร็ปเปอร์ได้ไหม เพราะเราไม่ได้อยากทำแค่เพลงแร็ป เราแค่ชอบความง่ายของมันตรงที่จังหวะมันไม่ได้ซับซ้อน ส่วนใหญ่มันมาแค่เสียงหลัก มีจังหวะ แล้วก็เบสหนัก ๆ สักอัน มันเป็นสิ่งที่เราเข้าใจง่ายเพราะเราไม่ได้เข้าใจดนตรีอะไรลึกซึ้ง แต่เนื้อหาหรือสไตล์เราไม่ได้อยากทำแค่ฮิปฮอปอย่างเดียว อันนี้เป็น guilty pleasure คือเราชอบเพลงรักเหี้ย ๆ แต่งเพลงรักทีนึงจะรู้สึกฟิน จริง ๆ เพลงของเราเองที่ชอบที่สุดจะเป็นเพลงรัก เพราะว่าชอบความโรแมนติกมาก ๆ เราเลยคิดว่าไม่ควรจำกัดสไตล์
ติดตามตอนต่อไปได้ที่ Instagram @_TangTawanwad ส่วนเพลงก็ไปฟังใน streaming ต่าง ๆ ได้เลย
อ่านต่อ
Rhymekhamhaeng แร็ปเปอร์หน้าใหม่ไรห์มไฟลุก โหมทุกหูฮิปฮอปให้เหลียวหลัง
Kanont Charncliche (คนนท์ ชาญคลีเช่) นี่แหละ แร็ปเปอร์คนโปรดของเรา
Bang Sue Electrix เมื่อการแร็ปและความคิดสร้างสรรค์มาผนวกกันแบบไร้ที่สิ้นสุด