เจาะลึก ‘แดงกับเขียว’ บทเพลงทรงพลังของวงดนตรีที่ขับเคลื่อนด้วยความจริงใจ Taitosmith
- Writer: Krit Promjairux
- Photos: Speakerbox
Taitosmith เคยคุยกับเราหนึ่งปีผ่านไปหลังจากที่เจอกัน พวกเขาก็กลายมาเป็นศิลปินที่ประสบความสำเร็จในเวลาอันรวดเร็วและเดบิวต์เพลงใหม่ล่าสุดภายใต้ค่าย Gene Lab ที่ทำให้พวกเขายิ่งดังระเบิด ในบทสัมภาษณ์นี้เราเลยอยากเจาะลึกถึงเพลง แดงกับเขียว และความเปลี่ยนแปลงของวงหลังจากจุดเริ่มต้นในสายดนตรีของพวกเขา
เลือดนักสู้พ่อมึงมี แต่ไม่ได้มีไว้ฆ่าแกง เลือดนักซิ่งแม่มึงไม่มี มึแต่ถุงข้าวแกง
สมาชิก
จ๋าย—อิชณน์กร พึ่งเกียรติรัศมี (ร้องนำ, กีตาร์)
โมส—ตฤณสิษฐ์ สิริพัชญาษานต์ (ร้องนำ, กีตาร์)
เจ—ธนกฤต สองเมือง (คีย์บอร์ด)
มีน—ปัณณสิทธิ์ สุขโหตุ (กีตาร์)
เจต—เจษฎา ปัญญา (เบส)
ตุ๊ก—พัฒนภูมิ ชอุ่มผล (กลอง)
เคยมีประสบการณ์ตรงอย่างในเพลง แดงกับเขียว บ้างไหม
จ๋าย: ผมว่าพวกเราเคยมีกันทุกคน คือจริง ๆ เวลาเราไปสัมภาษณ์ที่อื่นเราจะพยายามพูดแบบกว้าง ๆ ไว้ก่อน เพราะเราไม่อยากให้ทุกคนเข้าใจผิดว่าการใช้ความรุนแรงมันเป็นเรื่องที่เท่ เพราะยิ่งตอนนี้คนสนใจวงเราเยอะด้วย ถ้าเรายิ่งแชร์ประสบการณ์ตรงนี้ของเรา เดี๋ยวคนจะมองเป็นเรื่องเท่ไป
ถ้าให้เปรียบตัวเองเป็นตัวละคร ‘ไอ้แดง’ กับ ‘ไอ้เขียว’ ในเพลง พวกคุณเป็นใครกัน
เจต: เขียว เพราะผมเป็นนักซิ่ง
โมส: ผมเป็นแดง ผมเป็นนักสู้ ผมเป็นนักมวย ละก็ผมเคยโดนกระทืบโดยที่ผมจำยอม เคยเจอเรื่องคล้าย ๆ กับไอ้แดงในเพลง
จ๋าย: ผมว่าผมเป็นแม่งทั้งแดง ทั้งเขียวเลย คือมันเริ่มจากจุดที่เราเป็นแดงก่อน เริ่มจากที่เราโดนรังแกมา เราเลยต้องสู้ พอเราสู้ไปเรื่อย ๆ พอเวลามันผ่านไปนาน ๆ เข้า ไอ้เหี้ย รู้ตัวอีกที เรากลายเป็นเขียวตอนไหนก็ไม่รู้
ขยายความหน่อย
จ๋าย: เอาปืนไปยิงเขา อะไรแบบนี้ กระทืบแล้วบอกให้พ่อแม่เขากราบตีน คือมันหนักขนาดนั้น มันหนักตรงที่ตัวเองไม่มีสติและไม่รู้ตัวว่าเรากำลังทำในสิ่งที่ไม่ดีอยู่ ทั้งที่จุดเริ่มต้นมันเริ่มจากแค่เพียงว่า เราไม่อยากโดนรังแก แต่มันกลายเป็นว่าสุดท้ายเราไปรังแกคนอื่นได้ยังไงก็ไม่รู้
โมส: ที่ผมบอกว่าผมเป็นแดงเพราะผมชอบตัวละครตัวนี้อยู่ประมาณนึง ตัวละครตัวนี้มีคาแร็กเตอร์ใกล้เคียงกับตัวผมในบางแง่มุม แต่ว่าในตอนที่เขียนเพลงนี้ ผมพยายามเขียนให้ของตัวละครสองตัวนี้มันเท่ากัน ไม่มีใครดีไปกว่ากัน ไม่มีใครแย่ไปกว่ากัน เพื่อให้มัน make sense ที่สุด ตอนจบมันก็ต้องตายทั้งคู่ (จ๋าย – พูดง่าย ๆ คือ พวกมันก็เหี้ยหมดนั่นแหละ !) ใช่ ๆ ก็เหี้ยหมดนั่นแหละ
เพลงของวง Taitosmith เขียนจากเรื่องจริงทั้งหมดเลยไหม
โมส: ก็ไม่ขนาดนั้น คือจากประสบการณ์จริงก็ด้วยครับ เพราะเพลงที่เขียนมันเกิดจากการสั่งสมประสบการณ์ จากสิ่งที่เจอมาอยู่แล้ว
จ๋าย: ผมเชื่อว่าศิลปินทุกคน ไม่ว่าจะผลิตงานออกมาในรูปแบบไหน เขาถ่ายถอดจากประสบการณ์ของตัวเองอยู่แล้ว แต่ว่าเรื่องบางเรื่องก็อาจจะไม่ใช่ประสบการณ์ตรง อาจจะผสมกับสิ่งทีเราเป็นเพียงผู้พบเห็นมาบ้าง หรือเป็นเรื่องของคนนี้แล้วมันทัชเราบ้าง ปน ๆ กันไป
โมส: ส่วนจะเอามาขยายความยังไง ผมเลือกที่จะขยายความจากสิ่งที่เราเห็นอยู่ และเรื่องที่ทุกคนก็น่าจะเห็นกันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นด้วยกับตาตัวเองจริง ๆ เห็นผ่านโซเชียล หรือผ่านอะไรก็แล้วแต่ เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นหลายสิบปีแล้วอะ ซึ่งทุกวันนี้มันยังมีอยู่เลย
ดูเหมือนว่าทุกคนจะมีประสบการณ์ตรงเกี่ยวกับเรื่องความรุนแรงอยู่บ้างไม่มากก็น้อย เราอยากทราบว่า ถ้าอย่างนั้น อะไรที่ทำให้เราเลิกทำตัวแบบนั้น หรือเลิกใช้ชีวิตแบบนั้น อะไรที่ทำให้เราอยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง
โมส: ของผมก็ดนตรีนี่แหละ อย่างช่วงมัธยมต้นผมก็จะติดเพื่อนกลุ่มนี้ แต่พอขึ้นมัธยมปลายปุ๊ปผมก็เริ่มเล่นดนตรีจริงจัง เริ่มทำวงกับเพื่อน ก็จะคลุกอยู่กับเพื่อนอีกกลุ่มนึง พอเล่นดนตรี ๆ เยอะ ๆ เข้า เริ่มเก๊ก (หัวเราะ) ได้มาทำดนตรีเยอะ ๆ มันก็พาชีวิตมาในอีกเส้นทางนึงละ คือหลุดจากตรงนั้นมาได้เพราะดนตรีเลย และรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมาก ๆ จริง ๆ
จ๋าย: ผมรู้สึกว่ามันไปต่อไม่ได้แล้ว คือตอนนั้นจำได้แค่ว่า กำลังขับมอเตอร์ไซค์อยู่ แล้วก็คิดได้ แล้วก็ขับมอเตอร์ไซค์กลับบ้านเลย
ตอนนั้นอายุเท่าไหร่
จ๋าย: ตอนนั้นช่วงอยู่ ปวช. 2 โดนไล่ออกจากโรงเรียน เลยต้องไปทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟ ตอนนั้นผมได้เดือนละ 4 พัน มันน้อยมาก เงินมันไม่พอเลยต้องไปหางานเพิ่ม เลยขับมอเตอร์ไซค์ไปสมัครเป็นพนักงานเดลิเวอรี่เชสเตอร์กริล จำได้ดีเลย แล้วตอนขับมอเตอร์ไซค์อยู่ดี ๆ ก็คิดได้ตอนนั้นเลยว่าแบบ กูทำแบบนี้ทำไมวะ แล้วก็รู้สึกว่า ถ้าไปต่อ ไม่ตายก็ติดคุก คือมันไม่มีทางเลือกอื่นให้เราแล้ว
โมส: ซึ่งนี่ก็คือคำพูดเดียวกับที่พ่อผมเคยบอกเหมือนกัน ว่ามันมีแค่สองทาง ระหว่าง ตาย กับ ติดคุก
จ๋าย: ใช่ แล้วคือเคยรู้สึกปะว่า กูไม่ควรจะต้องมาเจออะไรแบบนี้ กูรู้สึกว่ากูควรจะได้ชีวิตที่ดีกว่านี้ แต่กูเป็นคนทำเอง พอคิดได้เราเลยขับรถกลับบ้าน โทรหาพ่อกับแม่ว่าเราอยากเริ่มต้นชีวิตใหม่ แล้วก็มากรุงเทพ ฯ กลับมาเรียนหนังสือ
แล้วหันมาเอาดีด้านดนตรีตอนไหน
จ๋าย: อยู่ดี ๆ ก็เขียนเพลงได้ตอนที่กลับมาเรียนใหม่ตอน ม.4 แต่ว่าผมจะต่างจากน้อง ๆ เพื่อน ๆ ผมไม่ใช่นักดนตรี แค่ชอบเขียนเพลงอย่างเดียว อาจจะเป็นเพราะว่าเราโตมากับยาย เรามีแม่เป็นนักร้องที่ไม่ได้อยู่กับเรา เราก็เลยแอนตี้แม่ แอนตี้อาชีพนี้มาก ยังไงก็จะไม่เป็นนักร้องกลางคืนเด็ดขาด ก็เลยไม่มีโอกาสที่จะฟอร์มวง เล่นดนตรี หรือเป็นนักร้องกลางคืนมาก่อน ผมเลือกที่จะเขียนเพลงเก็บไว้เฉย ๆ จนมาเจอโมสนี่แหละ
เขียน แดงกับเขียว เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจคนฟังหรือเปล่า
จ๋าย: เราไม่เคยคิดจะเขียนเพลงเพื่อนสอนอะไรใครได้ เราจะคิดว่ามันเป็นการแชร์เรื่องราวของตัวเองให้คนอื่นเสมอ
โมส: เรากลัวมากเลยกับการสอน เพราะเราไม่ได้เก่ง เราไม่ได้แก่ เราไม่ได้เชี่ยวชาญขนาดนั้นที่จะมาสอนใครต่อใคร
จ๋าย: มันเป็นการแชร์มากกว่า อย่าง แดงกับเขียว คือเราจะไม่มีการไปเบรกแบบว่า อย่าไปทำนะ มันไม่ดี อย่าไปเสพยานะ อย่าไปตีกันนะ แต่เราจะเป็นแบบ มึงทำเลย ยังไม่พอใช่ไหม มึงไปทำอีกไป มึงเอาให้สุด แล้วมึงจะพอยัง อย่างงี้มากกว่า หลังจากนั้นเราก็เอาโศกนาฏกรรมมาให้เขาดู อะดู แล้วพูดต่อ มึงจะเอามั้ยชีวิตแบบนี้ เรื่องมันเป็นแบบนี้ ก็เลือกเอา แล้วแต่เลย
โมส และ จ๋าย เขียนเพลงด้วยกันเป็นหลัก แล้วสมาชิกคนอื่น ๆ มีส่วนร่วมยังไงบ้าง
จ๋าย: เนื้อเพลงมันเสร็จสมบูรณ์มาจากเรากับโมสอยู่แล้ว แต่เรื่องสัดส่วนต่างๆ บางทีมันก็จะถูกเปลี่ยนและปรับโดยน้อง ๆ ที่เหลือ เอ้ยพี่ ขยับท่อนนี้ไปตรงนี้ได้ไหม หยิบดนตรีมายัดตรงนี้ได้ไหม ในพาร์ตดนตรีทั้งหมดจะเป็นน้อง ๆ อีกสี่คน เป็นหลัก
คิดว่า แดงกับเขียว คือเพลงที่เปลี่ยนชีวิตของ Taitosmith เลยไหม
จ๋าย: สำหรับพวกเรา จุดเปลี่ยนมันมีเรื่อย ๆ ครับ เรียกได้ว่าเปลี่ยนแทบจะตลอดเวลา วงเราตอนนี้เพิ่งตั้งกันมาได้แค่ 1 ปี 4 เดือนเองนะ คือมันเร็วมาก พอมองย้อนกลับไปแล้วมันก็ดูน่าตกใจมากเลยนะ ทุกเดือนคือเปลี่ยนตลอด เรายังจำความรู้สึกตอนที่นั่งลุ้นหมื่นวิว จากเพลง Pattaya Lover ได้อยู่เลย (หัวเราะ) ไอ้เหี้ยย หมื่นวิวววว (โมส: แม่งค้าง 7 พัน อยู่สองเดือน ไอ้จ๋ายแม่งอยู่เงี้ย (ทำท่า)) ‘ไอ้เชี่ย ดัง กูดัง’ คือ ฮามาก วันนั้นยังอยู่หอพักห้องเล็ก ๆ สูบบุหรี่กันอยู่ระเบียง ละแบบ ‘เชี่ย กูดัง กูจะหยิ่งละ’ อะไรแบบนี้ (หัวเราะ) ยังแซวเล่นกันอยู่เลย คือถ้าจะให้เท้าความ มันเริ่มตั้งแต่ตอนปล่อยเพลง Pattaya Lover แล้ว นั่นถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนอยู่แล้ว เพราะว่า เราเริ่มจากศูนย์เลยจนเราเปิดด้วยเพลงนี้เพลงแรก แต่ที่มาชัด ๆ คือตอนที่ปล่อย เป็นตะลิโตน ไป กับการได้ไปออกรายการ ‘นักผจญเพลง’
ตุ๊ก: ผมเริ่มรู้สึกตั้งแต่รายการ ‘นักผจญเพลง’ ตอนนั้นยังคุยกับพี่เจตอยู่เลยว่า เรามาอยู่ตรงนี้กันได้ไงวะพี่ (เจต: เขาหลอกเราหรือเปล่า (หัวเราะ)) คือวงผมตอนจะไปอัดรายการคือโนเนมแบบสุด ๆ ละรายการเขามีแต่วงดัง ๆ มาออก เราก็ ‘กูมาอยู่ตรงนี้ได้ไงวะ’
จ๋าย: คืออย่างรุ่นพี่เราที่ดังตั้งแต่ที่ช่วงที่เราเริ่มทำเพลงมันก็เยอะ มีหลายวงเลยที่เราศรัทธาและติดตามผลของเขา แต่ทำไมถึงเป็นวงเราที่ได้มาตรงนี้ เราตกใจว่าแบบ ‘เขาหลอกเราปะวะ’ (หัวเราะ) นั่นคือจุดเปลี่ยน ละการที่โดนให้ไปเล่นในโชว์ต่าง ๆ ที่ไม่ได้เหมาะกับวงเราเลย เคยถูกให้ไปเล่นกับวง FOLK9, ปลานิลเต็มบ้าน ละคุณดูโชว์พวกเรา (หัวเราะ) แต่คนก็ดันฟังเรา จุดเปลี่ยนมันเกิดขึ้นเรื่อย ๆ พอปล่อย เป็นตะลิโตน หลังจาก ‘นักผจญเพลง’ ตอนแรกก็กระแสมันก็เริ่มซาลงแล้วนะ ยอดวิวมันหยุดอยู่ที่ล้านนึง แล้วอยู่ดี ๆ มันก็คลิปอะไรไม่รู้ ปั่น ๆ ไม่ได้คลิปคัฟเวอร์อะไร แล้วเป็นสักคนร้องเพลงเป็นตะลิโตนอยู่แล้วมีพ่อมาเต้นอยู่ข้างหลัง
คิดว่าอะไรทำให้หลาย ๆ คนอินกับเพลงของ Taitosmith ได้ขนาดนั้น
เจต: คิดว่าน่าจะเป็นเพราะเรานำเสนอเรื่องจริงครับ
จ๋าย: ผมว่ามันคือความจริงใจ และเราจะไม่ขอรับปากแล้วกันว่ามันจะเป็นแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน แต่ผมรู้สึกว่าความจริงใจคือสิ่งที่ขับเคลื่อนให้วงไปต่อได้เรื่อย ๆ ทำให้มีคนพร้อมที่จะช่วยผลักดันวงเราไปข้างหน้าจากความจริงใจที่พวกเราเป็นแบบนี้ เราตรงไปตรงมา เราไม่เสแสร้ง รอดูเลยก็ได้ ถ้าวันนึงวงเราไม่จริงใจ ไม่ตรงไปตรงมา เสแสร้งเมื่อไหร่ ผมว่าวันนั้นคือจุดจบของ Taitosmith
จากวันแรกที่ก่อตั้งวง เรามองว่าจะไปไกลขนาดไหน
จ๋าย: ผมคุยกับโมสตั้งแต่แรกเลย ตั้งแต่มีกัน 2 คนว่า เราจะไปให้ได้ไกลที่สุด เท่าที่วงไหนก็แล้วแต่ เคยทำไว้ ผมเชื่อว่าถ้าเราทำทุกวัน เราทำได้ ถ้าไม่ตายก่อนนะ เราทำได้ เราจะไปให้ไกลที่สุดเพื่อสื่อสารกับคนให้ได้มากที่สุด
แล้วพอเรามาถึงวันนั้นจริง ๆ วันที่คนเป็นพันเป็นหมื่นร้องเพลงของเราได้ มันเหมือนที่พวกเราฝันกันไว้ไหม
จ๋าย: สำหรับผมมันไม่ได้เรียกว่าฝัน สำหรับผมมันคือเป็นการวางแผนแล้วมันได้ผลลัพธ์ตามที่เราตั้งเป้าไว้ในขั้นแรก เพราะอย่างที่บอกว่าเราตั้งเป้าไว้ไกลมาก ตรงนี้เป็นแค่จุดเริ่มต้น และก่อนที่จะมาถึงตรงนี้ได้ เราก็พยายามหลายอย่าง เยอะมากกว่าที่จะมาถึงตรงนี้ ขั้นต่อไปเราก็ต้องตั้งสติว่า อะไรที่เราควรเก็บรักษาไว้ อะไรที่ควรพัฒนามากกว่าเดิม และอะไรที่ควรตัดออก
ถ้าให้พูดถึงเรื่องที่คิดว่าพวกเรายังต้องปรับปรุงอยู่ คืออะไร
มีน: จริง ๆ เรื่องคุณภาพ ทุกคนในวงก็พัฒนากันเรื่อย ๆ อยู่แล้ว ผมจะไม่ค่อยห่วงตรงนั้นเท่าไหร่ ส่วนตัวผมห่วงการเสิร์ฟเพลงมากกว่า ว่าสเต็ปต่อไป เราจะทำยังไงต่อ
เรานิยามตัวเองว่าแนวอะไร
ทั้งวง: เพื่อชีวิตครับ
ก้าวต่อไปของ Taitosmith
จ๋าย: คือตอนแรกที่เราวางแผนสำหรับปีนี้ว่าจะต้องได้ไปเล่นในทุกเทศกาลดนตรีหลักของประเทศไทย แล้วตอนนี้มันได้อย่างที่วางแผนไว้แล้ว เอาจริง ๆ เรายังไม่ทันได้คิดเลยว่าสเต็ปต่อไปเราต้องไปตรงไหน เพราะตอนนี้มันใหญ่กว่าที่คิดไว้เยอะมาก แต่ว่ามันจะได้ feedback จากคนฟังอยู่แล้วว่าคนฟังเรามากขึ้นแค่ไหน เพราะอย่างทัวร์เดือนล่าสุด พวกเราเองก็เซอร์ไพรส์ แต่ละงานคนดูพันอัพหมด มันก็เกินคาดจากตอนที่เราเริ่มทัวร์ ไม่คิดว่าคนจะสนใจพวกเราเยอะขนาดนี้
มีน: อย่างตอนที่ไปเล่นที่มหานิยม รอบแรกนี่คือคนน้อยมาก แต่พอเราได้กลับไปอีกรอบคือคนมาประมาณพันห้า
จ๋าย: ก็คืออัดอะครับ ร้านระเบิด เดินไม่ได้ (โมส: บนเวทีเหมือนนรก คือร้อนมาก ) ผมหายใจไม่ออกจะเป็นลม
ด้วยความที่จ๋ายเป็นคนที่เติบโตที่ภาคอีสาน และได้มีโอกาสทัวร์คอนเสิร์ตในหลาย ๆ จังหวัด อยากรู้ว่าคิดยังไงกับซีนดนตรีฝั่งอีสานตอนนี้
จ๋าย: ผมว่าเรื่องกระแสเพลงอินดี้ หรือคนฟังดนตรีนอกกระแสมันวิ่งอยู่แถบอีสานหรือภาคเหนืออยู่แล้ว เหมือนคนที่อยู่ทางอีสานหรือเหนือเขาจะได้ฟังเพลงนอกกระแสก่อนที่คนกรุงเทพ ฯ จะได้ฟังอีกด้วยซ้ำ คือฟังเพลงลึกว่า เพราะฉะนั้นความกว้างขวางหรือการเปิดรับมันเลยมีมากกว่าภาคอื่น ๆ ซึ่งมันตรงกับแผนของเราตอนแรก คือใช้ยุทธวิธี ‘ป่าล้อมเมือง’ เราก็ไปตีซีนทางนู้นก่อน เพื่อที่จะตีกลับเข้ามาในกรุงเทพ ฯ ถ้าพูดถึงเรื่องการตีตลาด ช้อยส์ต่อไปเรามองไปที่ภาคใต้ ซึ่งเป็นซีนที่เรายังเอาไม่อยู่ เพราะเขามีทางดนตรีและเป็นวัฒนธรรมซีนดนตรีของตัวเองค่อนข้างสูง
จากเล่นคนดูหลุกพันเกือบทุกคืน การได้กลับมาเล่นในร้านเล็ก ๆ รู้สึกยังไงบ้าง
จ๋าย: เป็นสิ่งที่เราจะคุยกันตลอด มันมีอยู่โชว์นึงที่ผมรู้สึกประทับใจที่สุดคือตอนไปเล่นที่นครปฐม มีคนดูอยู่ 10 คนนะ เป็นเพื่อนเราแล้ว 7 มีคนที่ตามมาฟังจริง ๆ 3 คน แต่ที่แย่กว่านั้นคือ ไม่ใช่ว่างานมันมีคนมาแค่นั้นนะ มีคนมาเป็นร้อยเลย แต่อยู่ข้างนอก รอฟัง Zweed n’ Roll ไม่เข้ามาดูเรา เข้ามาแค่ 3 คน ซึ่งทุกคนในวงก็ใจแป้ว เราก็เลยบอกกับทุกว่า เฮ้ย แต่ถ้าเราเล่นไม่เต็มที่ มันหมายความว่าเรากำลังดูถูกคนฟังทั้ง 3 คนนี้นะ ซึ่งวันนั้นมันก็ผ่านมาด้วยดีก็คือเราจัดเต็ม ฉะนั้นเราผ่านจัดที่ยากที่สุดมาแล้ว เราก็แค่จำความรู้สึกตรงนั้นไว้ คือความตั้งใจที่จะไม่ดูถูกคนฟัง เท่านั้นเอง
เป้าหมายสูงสุดของ Taitosmith
มีน: ของผมคงจะเป็นการได้ไปเล่นในเทศกาลดนตรีต่างประเทศ แต่จริง ๆ มันไม่ได้ตายตัวเลย ผมไม่ได้โฟกัสกับเรื่องความฝันอะไรขนาดนั้น แค่ทำทุกวันให้แบบเต็มที่ก็พอ
จ๋าย: ถ้าเอาแบบฝันเฟื่องเลยนะ จุดไหนที่วงคาราบาว เคยไปเหยียบ พวกผมก็จะไปเหยียบ
เจต: ถ้าแบบเวอร์ ๆ ก็อยากจะเป็นวงระดับโลก
ตุ๊ก: คือผมไม่เคยคาดหวังอะไรกับการมาทำตรงนี้อยู่แล้ว คือถ้ามันจะพาไปถึงไหนก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามนั้นเลย ถ้าไปได้ไกล เราก็ดีใจ แต่ผมสำหรับผมที่มาถึงจุดที่มันเกินฝันไปไกลจากที่คิดไว้ตั้งแต่แรกแล้วครับ
ติดตามผลงานของ Taitosmith ได้ ที่นี่