Interview

การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของ Summer Stop ก้าวใหม่ที่จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

  • Writer: Montipa Virojpan
  • Photographer: Chavit Mayot

หลังจากอัลบั้มเต็ม Freeze ถูกปล่อยออกไป Summer Stop ก็เงียบหายไปเป็นเวลาเกือบสองปี เพราะส่วนหนึ่งมาจากการเปลี่ยนแปลงที่มีผลกับการทำงานในอนาคตของวงอยู่พอสมควร ทั้งการที่ เอย แยกตัวไป และ โดม ไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศ แต่ เอิง และ แมว (รวมถึงโดมที่แม้ตัวจะไกล แต่ยังส่งกำลังใจกลับมาห่าง ๆ) ก็ตัดสินใจที่จะสร้างสรรค์ผลงานกันต่อ เมื่อวันก่อนเราเลยได้ฟังเพลง ถ้าเรายังเป็นเด็ก ถือว่าเป็นการต้อนรับการกลับมาอย่างเป็นทางการของวงได้อย่างน่าตื่นเต้น

สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2562

Summer Stop

พูดถึงเพลง ถ้าเรายังเป็นเด็ก 

เอิง: ตอนแรกผมขับรถแล้วฟังเพลงฝรั่งเพลงนึงอยู่ จำไม่ได้ว่าเพลงอะไร แต่อยู่ดี มันก็มีเมโลดี้ลอยมาในหัวพร้อมกับคำว่าถ้าเรายังเป็นเด็กพอกลับถึงบ้านจะแต่งเพลงก็ลองคิดดูว่าถ้าเรายังเป็นเด็ก’ มันจะเป็นอะไรได้บ้าง ตอนนั้นอ่านคอนเทนต์เกี่ยวกับเด็กเยอะ เหมือนนิสัยคนเราจะคงที่ตอนอายุ 7 ขวบ มั้ง แล้วเราก็อินประมาณว่า สุดท้ายกูก็ยังเป็นกู มันอาจจะเปลี่ยนได้บ้างแต่ยังไงก็เปลี่ยนพื้นฐานตัวเองไม่ได้ เลยกลายมาเป็นเนื้อเพลงที่พูดถึงความรู้สึกเสียดายที่เราไปเจอกับคนคนนึง แล้วเรารู้ว่าเราเป็นคนอย่างนี้ แล้วเราไม่ใช่สำหรับเขา และเราก็ไม่อยากเปลี่ยน ถึงเปลี่ยนมันก็เปลี่ยนยาก สายไปแล้ว ดังนั้นการที่จะให้เขามาสนใจเราได้เราต้องกลายเป็นเด็กอีกครั้งนึง พอกลับไปตอน 5 ขวบ เธอก็ 5 ขวบเหมือนกัน (โดม: จะกลับไปพัฒนา IQ) (หัวเราะ) แล้วจะได้รู้ว่าเธอโตมาจะชอบคนแบบไหน เราจะได้เป็นคนแบบนั้นให้ (FJZ: ถ้ากลับไป 5 ขวบอาจจะไม่ชอบกันแล้วก็ได้) เออ มันก็เป็นไปไม่ได้ 

แปลกดีที่เอาเรื่องการย้อนกลับไปเป็นเด็กมาเกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์

แมว: เป็นเรื่องที่เราคุยกับพี่เอิงว่าทุกคนน่าจะเคยประสบ การที่เราไปเจอคนคนนึงแล้วรู้สึกว่าเขาน่ารักจัง แต่เขามีแฟนแล้ว เลยมีโมเมนต์ว่า ถ้าเราย้อนไปช่วงที่เจอกับเขา อาจจะไม่ต้องถึงกับเป็นเด็ก แต่ได้เป็นผู้ชายคนนั้นของเขา หรือรู้ว่าผู้ชายของเขาเป็นคนยังไง ถ้าเราเป็นได้มันก็น่าจะดีนะ

โดม: จริง ก็มีเพลงเนื้อหาคล้าย อย่างนี้แต่เล่าคนละแบบ ผมฟังเนื้อของที่พี่เอิงทำมาแล้วนึกถึงเพลง ลืมไปก่อน ผมรู้สึกว่ามันใกล้เคียงกัน ซึ่งคนก็น่าจะเข้าใจได้ไม่ยาก

พาร์ตดนตรีมีรายละเอียดเยอะมาก เหมือนอั้นไว้นาน อยากปล่อยของ

แมว: เพลงมันก็คงเป็นแนวเดิมแหละ แต่เหมือนเราเข้าใจมันมากขึ้น ทีนี้จะมีเรื่องกีตาร์หายไปตัวนึง เราก็ต้องไปเล่นกีตาร์ด้วยเพื่อเพิ่มสีสัน แล้วในเพลงนี้ก็มีการเพิ่มซินธ์เบสเข้ามาด้วย

เอิง: ดนตรีมันอิงมาจากเพลงเต้นรำ (แมว: เป็นยุคดีเจทำเพลงเอง ไม่ใช่แค่มิกซ์เอง แล้วก็ออกทัวร์ บางทีเอาคนอื่นมา featuring) พวกโปรดิวเซอร์ บางทีเป็นวงเนี่ยแหละ แต่ทำเพลงออกแนวดีเจ อย่างวง Courtship. ซึ่งเรารู้สึกว่าแนวทางของ Summer Stop ตั้งแต่อัลบั้มแรกมันก็มีเวย์จะไปทางนี้ได้อยู่ ก็เลยลอง ดู

เหลือกันแค่สามคนแบบนี้ เพลงอื่น ในอัลบั้มจะเปลี่ยนสไตล์ไปด้วยไหม

เอิง: ความเป็นกีตาร์แบนด์น่าจะลดลงบ้าง อย่างเพลงนี้ซินธ์เยอะมาก แต่ความจริงแมวถือกีตาร์ด้วยนะ (หัวเราะ)

แมว: คือตอนนี้หัดเล่นกีตาร์เพื่อการนี้โดยเฉพาะ ก็ล่กพอสมควร

เอิง: ทิศทางที่จะเปลี่ยนก็คงเป็นเสียงกลอง (โดม: จะเปลี่ยนจากกลองสดเป็นอิเล็กทรอนิกมากขึ้น) แต่เวลาเล่นสดก็จะเป็นกลองสดอยู่ดี จะไม่เหมือนใน audio

Summer Stop

 

แล้วถ้าคนที่ไปดูสดคาดหวังจะได้ฟังกลองไฟฟ้าล่ะ

แมว: เราว่าไม่น่าต่างกันมาก แต่วิธีแก้ไขเราก็มองไว้อยู่บ้างว่าถ้าอยากได้ฟีลแบบนี้เลย มันก็มีเรื่องกลองต่อ trigger ออกมา เวลาตีลงไปแล้วจะส่งสัญญาณ midi ออกมา เหมือนตัวเปลี่ยนจากเสียงกลองสดเป็นอิเล็กทรอนิก

เอิง: จริง มันก็มีวงที่ออดิโอเป็นอิเล็กทรอนิกแล้วเล่นสดใช้กลองจริงอยู่นะ Phoenix อย่างนี้ Two Door Cinema Club ก็คิดว่าไม่น่าจะเป็นปัญหา

จากตอนแรกในอัลบั้ม Freeze ที่หายไปเกือบสองปี ตอนนั้นไปทำอะไรกันมา

เอิง: ทีแรกเรากะว่าเราจะปล่อยซิงเกิ้ลเรื่อย ทุก 3-4 เดือน พอถึงเวลาจริงมันเกิดเหตุการณ์ที่เอยกำลังจะออกจากวง จริง เอยจะออกตั้งแต่กลางปีที่แล้ว แต่เราคุยกับที่ค่ายว่ายังมีงานที่รับไว้อยู่ เราก็เลยกะจะอยู่ถึงสิ้นปี (โดม: เรามารู้ช่วงปลายปี ซึ่งก็ยังคงสภาพมา..) เลยดีลไว้ว่าเอยค่อยออกตอนธันวาละกัน แต่การที่เอยพูดไว้ตั้งแต่กลางปีแล้ว เราก็เลยตัดสินใจยังไม่ปล่อยซิงเกิ้ล

แมว: hold ไว้เลย เพราะในอัลบั้มมีเพลงที่พี่เอิงแต่ง พี่เอยแต่ง พอเกิดเหตุการณ์ขึ้นมา อาจจะเป็นเรื่องลำบากที่ต้องมาจัดการ เลยคิดว่าเดี๋ยวเราเริ่มอัลบั้มใหม่เลยดีกว่า

ชุดก่อนหน้าเห็นว่าอินซาวด์วงออสเตรเลีย แล้วชุดนี้ล่ะ

เอิง: จริง อันนี้ก็เป็น (หัวเราะ) เป็นดีเจออสเตรเลีย

แมว: เราไม่เรียกออสเตรเลียละกัน ขอเรียกเป็นฝั่ง coast ละกัน มันจะมีทะเล ใช่ไหม แต่เรารู้สึกว่าฝรั่งแถบนั้นจะแบบ มีความหนาว แต่ก็ร้อนชื้น แก๊งพวกนั้นเขาจะมีท่วงทำนองที่มีความน่าสนใจมาก ลองฟังหนึ่งวงเป็นอย่างงี้ ฟังอีกหนึ่งวงก็เป็นแบบนี้ แต่มันจะมีจุดร่วมบางอย่างของการขึ้นลง มันทำให้เรารู้สึกแบบนั้น เรียกว่าก็ยังอินอยู่เหมือนเดิม

ก่อนหน้านี้กำลังหาทางตัวเอง ตอนนี้ชัดขึ้นหรือยัง

แมว: เราว่าคนที่ฟังเราตั้งแต่อัลบั้มแรก หมายถึงทั้งอัลบั้มเลยนะ แล้วก็มาฟังเพลงนี้ เราว่าเขาก็ยังจะเข้าใจความเป็น Summer Stop การที่ดนตรีมีบรรยากาศแบบนี้ เป็นอิเล็กทรอนิกแต่ก็ไม่ได้จ๋าขนาดนั้น หรือทำนองที่แต่งออกมา คนน่าจะเก็ต

เอิง: คืออัลบั้มสองมันไม่ได้เปลี่ยนแนวไปเลยเหมือน Polycat ว่าจะไป 80s เลย ของเรามันเหมือนพัฒนามาจากอัลบั้มแรกมากกว่า แค่มีอิเล็กทรอนิกมากขึ้น ซึ่งคิดว่าตัวเราเองก็รู้ตัวมากขึ้น แล้วถ้าเรารู้สึก คนฟังก็น่าจะรู้สึกเหมือนกันปะวะ

เราโตขึ้นในวงการในฐานะศิลปินยังไงบ้าง

แมว: แรก เราก็ยังใหม่ เราก็ต้องเรียนรู้หลาย อย่าง พอเวลาผ่านมาเหมือนมันนิ่งขึ้นมั้ง สภาวะอารมณ์ การทำงาน

โดม: แนวทางชัดเจนขึ้นแน่นอน เพราะว่าอย่างชุดแรกที่เราบอกในการณ์สัมภาษณ์ทุกครั้งว่ามันเป็นการทำไปด้วยและค้นหาตัวเองไปด้วย แต่อันนี้เหมือนเราเจอแล้ว แล้วก็เรื่องไปเล่นงานต่าง แน่นอนว่าชั่วโมงบินมากขึ้น เวลาเจอปัญหาต่าง ก็รับมือได้นิ่งขึ้นบนเวที

เอิง: คือเราเข้าค่ายมาด้วยความไม่เคยเป็นอะไรมาก่อนเลย อยู่ดี ก็ตั้งวง (โดม: ไม่ได้เป็นวงประกวด) ไม่ได้มาจากอะไรทั้งสิ้น แล้วก็ไม่เคยทำเพลง ไม่มีเพลงดังมาก่อน แค่เอาเพลงไปยื่น

แมว: เราแค่เป็นกลุ่มที่เล่นดนตรีด้วยกันในชมรมมหาลัย แล้วอยากทำเพลง ก็ลองดู แรก ทำโปรแกรมอะไรไม่เป็น มิกซ์ก็เบลอ ไปส่งกัน ก็ดีที่ผู้ใหญ่ให้โอกาส เหมือนเขาเห็นอะไรบางอย่างในเรา

 

ถ้าทำอัลบั้ม ตั้งใจให้เพลงทั้งหมดเกาะกันทางดนตรีหรือเนื้อหา

เอิง: ก็คงดนตรีแหละครับ เรื่องเนื้อเรารู้สึกว่ามันก็คือความเป็นตัวเราแหละมั้ง มันต้องเป็นอะไรที่เราร้องแล้วรู้สึกไม่เขินปาก จริง อัลบั้มแรกก็มีบางเพลงเหมือนกันนะที่กลับมาร้องแล้วรู้สึกว่า ตอนนั้นกูก็เขียนได้เนาะ (หัวเราะ) มันเพิ่งผ่านมาสองปีแต่ตอนนี้เราอาจจะไม่เขียนอย่างนั้นแล้วก็ได้ เราโตขึ้นอะ อย่างเพลง ตกตะกอน ท่อนฮุกจะร้องว่ารักเธอรู้หรือเปล่า รู้หรือเปล่าว่าฉันรัก’ คำว่ารักมันเยอะมากเลยเว่ย แต่ตอนนั้นเรายึดทางเมโลดี้มาก่อน แล้วก็หาคำที่คิดว่าจะอยู่ได้ เนื้อหามันก็โอเคนะ แต่รอบนี้จะมาให้มันเข้มข้นมากขึ้น ให้เป็นเราจริง มากขึ้น แบบที่เรารู้สึกว่าอยากจะพูดออกมา (FJZ: แล้วตอนนี้เป็นคนยังไง) เราเป็นคนยังไงวะ? (หัวเราะ) ก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงเหมือนกันนะ เอาเป็นว่า เนื้อเพลงมันก็ต้องคมคายมากขึ้นแหละมั้ง มันเป็นความท้าทายอย่างนึงของเราเหมือนกันที่อยากให้คนรู้สึกว่าเราเป็นนักแต่งเพลงมากขึ้น

ส่วนตัวชอบการเล่าอย่างตรงไปตรงมา หรือชอบเพลงที่เปรียบเทียบอุปมาอุปไมยมากกว่า

โดม: เป็นคนไม่ได้เลี่ยนอะไรอยู่แล้ว ถ้ามีคำว่ารักเต็มไปหมดเลย ส่วนตัวคิดว่าถ้าเล่าอ้อม แต่ไม่ได้ไปแตะประเด็นที่อยากเล่าเลยจนเรื่องมันอ่อนก็ไม่ได้ ถ้ามันสื่อถึงประเด็นที่เราเล่าจริง ก็โอเคหมดนะ ไม่คิดว่าจะต้องตรงหรือเปรียบเปรย

แมว: เราได้ทั้งสองมุม สมมติเราฟังเพลงคนที่เล่าตรง แล้ว touch มากโดยไม่ต้องคิดอะไร ถ้านี่คือเรื่องที่ทุกคนเจอ ทุกคนเข้าใจ เรานับถือเลยนะ เฮ้ย คุณเก่งมากที่คุณพูดเรื่องที่ทุกคนอยากฟัง และเรื่องที่เขาอยากจะเล่าเองด้วยให้มันง่าย คนฟังไม่ต้องย่อยอะไรเลย กับอีกมุมนึงที่เป็นเพลงอีกประเภทที่เราฟังแล้ว โห คุณเปรียบเทียบนั่นนี่มากมาย สุดท้ายตบมาทีเดียวเราตายเลย อันนี้เราก็นับถือ สุดท้ายแล้วเรื่องมันอยู่ที่ว่าคุณจะให้มันไปประสบความสำเร็จในแง่ไหน ต้องขาย หรือทำโดยไม่ต้องแคร์เรื่องขาย ทำได้ทั้งคู่ หรือจะคารมคมคายแต่สุดท้ายขายได้ด้วย นี่ก็สุดยอดมาก

เอิง: เราชอบทั้งสองแบบ แต่ว่าที่รู้สึกว่ามันควรจะเป็นคือ ไม่ว่าจะเปรียบเทียบหรือตรงไปตรงมา มันไม่ควรจะซ้ำกับสิ่งที่มีอยู่แล้ว และรู้สึกว่าแค่ในไทยมันมีเพลงมาตั้งแต่ .. ไหนแล้ว และพูดเรื่องเดิม มาตลอด คือมันพูดเรื่องเดิมได้ รัก โลภ โกรธ หลง มันก็มนุษย์อะ แต่วิธีการเล่า หลัง เราตั้งใจฟังเพลง สังเกตดู อ๋อ วิธีนี้เคยได้ยินมาจากเพลงนี้แล้ว ก็รู้สึกว่ามันไม่ควรซ้ำ

สมัยก่อนวงอินดี้จะมีความเชื่อว่า ‘อยากเขียนเพลงที่เข้าใจยาก อิม ๆ อะ’ 

เอิง: เราว่าช่วงแรก เราก็เป็นนะ คือมันไม่รู้ว่าเราต้องทำตัวยังไง เอาขมุกขมัวไว้ก่อน ให้มีคำว่าทุกสิ่ง’บางสิ่ง’ (หัวเราะ) จะมีความอะไรบางอย่างอยู่

ส่วนตัวตอนนี้ชอบวิธีเขียนเพลงของใครที่สุด

โดม: พี่รัฐ Tattoo Colour ละกัน ผมรู้สึกว่าเขาเล่าได้เรียบง่ายแต่ตรงประเด็น ไม่เลี่ยน คำไม่ได้หวือหวาแต่ว่ามันใช่ ในเรื่องที่เขาเล่าและใช้คำแบบนี้ ไม่ต้องพยายามให้คำมันต้องทิ่มแทงในเรื่องที่เขาเล่า

เอิง: จริง ชอบหลายคนมาก แต่พี่เจ Penguin Villa นี่ชอบที่สุดละ เขามีลายเซ็นของเขา แล้วมันไม่เหมือนคนอื่นตรงที่มันมีทุกแบบผสมกันอยู่ในนั้น อย่างถ้าเป็นคนที่เราชอบคนอื่น อย่างพี่แสตมป์ก็เปรียบเทียบเก่งมาก นะ Polycat ก็ชอบ เป็นคนที่ใส่ใจรายละเอียดมาก แต่ไม่ต้องเปรียบเทียบมากก็ได้ คอนเซ็ปต์แข็งแรงมาก แล้วพี่ป๊อด Moderndog ก็ชอบมาก จะมีความคล้าย พี่เจอยู่เหมือนกัน แต่ละเพลงก็จะไม่เหมือนกันด้วย

แมว: เราชอบแก๊งยุคเก่า ของไทย พี่แจ้ ดนุพล เวลาเราฟังของเขาแล้วรู้สึกว่าเขากล้าเล่า การเล่าของเขาเหมือนจะมีความเลี่ยน แต่พอฟังแล้วไม่ได้รู้สึกอะไรขนาดนั้น ไม่รู้ว่าเด็กยุคใหม่ที่ไม่ได้เกิดทันเขายุคนี้เลยจะรู้สึกยังไง แต่ของเราเหมือนมีวัฒนธรรมร่วมมั้ง ผู้ใหญ่เวลาเขาจีบกันมันน่ารัก คำพูดของเขาหลาย อย่างมันไม่มีในยุคนี้ ก็ชอบฟีลนั้น

พอโดมไม่อยู่แล้วจะทำยังไง

เอิง: ก็รับงานเหมือนเดิมครับ จ้างได้ (หัวเราะ) ปกติเราไปเล่นสดที่ผ่านมา เราก็อยู่บนเวทีกันสี่คน อีกคนเป็นมือเบสชื่อแม็ก จริง เขาเข้าวงมาก่อนโดมอีก ก็คือเพื่อนกันแหละ แต่ทำงานประจำ เขาเลยบอกกูขอไม่ออกหน้าในวงละกันแต่ไปเล่นสดด้วยตลอด เพราะงั้นที่หายไปก็จะเป็นโดม แล้วก็แค่หาใครก็ได้มาตีแทนโดมภายในสองปี

แมว: แค่ไม่ได้ ก็ต้องดูเยอะแหละว่าใครจะมาตีให้ ก็ใจนึงอยากได้คนที่อยากตีให้เรา ไม่ใช่ใครก็ได้ขนาดนั้น ก็ต้องมาคุยกันประมาณนึง มันเป็นเรื่องความเข้าใจในเพลง ถ้าได้คนที่เข้าใจกันเยอะ มันน่าจะดีกว่า เราเชื่อว่ามีแบ็กอัพเก่ง หลายคน เราเองก็ไปเล่นมาหลายวง เวลาเจอคนที่เขาเป็นแบ็กอัพ เขาเก่งนะ แต่เขาก็จะมีทางที่ถนัดของเขาอยู่ดี บางทีเราไม่ได้ต้องการคนตีเก่ง แค่ต้องการคนที่อินและสนุกกับเรา

โดมเฟสที่ผ่านมาเป็นยังไงบ้าง

แมว: แฟนคลับก็เดินมาหาว่า วงอย่าเพิ่งแตกน้า (หัวเราะ) จริง เราวางแผนมากเลยนะว่าเราจะพูดยังไงให้ดูเหมาะสมที่สุด (โดม: ผ่านการคิดและวางแผนมากว่าครึ่งปี) วิธีการก็ไม่ได้อะไรมาก ก็บอกในเพจตรง ว่าเกิดอะไรขึ้น

เอิง: ก็ทำให้ได้รู้ว่ามีคนตามเราอยู่เยอะกว่าที่เราคิดพอเราบอกอย่างงั้นออกไป ส่วนโดมเฟสเนี่ย ช่วงต้นปีเราตัดสินใจจะไม่รับงานเลยนอกจากงานใหญ่ของ Smallroom เพราะมันยังไม่มีอะไรชัดเจน ซิงเกิ้ลก็ยังไม่ปล่อย ยังไม่ได้ประกาศการเปลี่ยนแปลง เราก็เลยไม่มีงานเลย (หัวเราะ) แล้วคิดว่า ก่อนโดมจะไป กูอยากมีงานให้โดมเล่นก่อนว่ะ เหตุผลคือแค่นี้เลย ไม่มีใครจ้าง กูจัดเอง

แมว: ก็ต้องขอบคุณเพื่อน ที่เราชวนมา Somkiat, Two Pills After Meal, Telerama ทีมซาวด์เอ็นจิเนียร์ คือก็เข้าใจแหละการจัดงานนึงมันใช้เงินเยอะ แล้วทีมที่มาช่วยคือเรื่องเงินพูดทีหลัง ได้เท่าไหร่ว่ากัน จัดมาเลย

เอิง: วงที่มาช่วยคือคุยกันเป็นเบียร์กี่แก้วแล้วอะ เราก็ขอบคุณ สุดท้ายก็แฮปปี้มากนะ

แมว: Two Pills After Meal เขาก็เตรียมเพลงใหม่มาในโชว์ด้วย เราอินมาก เคยคุยกับพี่เติ้ลว่า รับสมัครเทคนิเชียนประจำวงไหม ด้วยความที่อินไลน์ซินธ์ของแกมากอยู่แล้ว เราเชียร์วงนี้นะ ลองฟังแนวทางใหม่ของวงดู มันเป็นอะไรที่ชัดขึ้นกว่าเดิมเยอะ ส่วน Somkiat เขาก็มาว่ะ เพลงใหม่เขา ดาวกระพริบ อะ มันเพราะมาก

โดม: ส่วนวงเปิดคือ Telerama เป็นวงยังไม่มีสังกัด ทำเองทุกอย่าง ไหน ก็มีงานแล้วเราก็อยากจะให้มีพื้นที่ให้คนได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของวงนี้ เหมือนแบ่งแฟนเพลงวงอื่นให้ไปรู้จักบ้าง

แมว: อย่างในโชว์เราก็เล่นสนุกกัน มีโดมออกไปร้องจริงจัง ไปโซโล่ซินธ์ด้วย ผลัดกันไปเล่นเครื่องดนตรีคนอื่น มีการโซโล่เสร็จ ไอโดมลืมว่าต้องกลับมาร้องต่อ โดมพูดกลางเวทีว่าถึงไหนแล้ววะ’ (หัวเราะ) บรรยากาศงานน่ารักมาก

โดม: เหมือนงานนี้จัดมาเป็นปาร์ตี้ ไม่ได้เป็นคอนเสิร์ตขนาดนั้น (เอิง: ไม่ได้อยากขายแพงเลย เราอยากให้คนมาจริง ) แค่ต้องการให้ cover ต้นทุนจริง ไม่ได้จะเอากำไรอะไรเลย แล้วก็คิดว่าบรรยากาศควรจะมีแต่คนกันเอง คน Smallroom มาอยู่แล้ว แต่ว่าอยากให้แฟนเพลงที่เป็นเพื่อน ของเรามาสนุกเฮฮากัน ศิลปินมาเดินเพ่นพ่านอยู่ในนั้นแหละ (แมว: ซึ่งคนที่มาเขาก็ตั้งใจมาจริง เพราะเราขายบัตรช่องทางเดียว คือทักมาในเพจเลย) เพราะตอนโปรโมตก็บอกว่าเป็นงาน farewell ผมเลย มาเจอ มาสนุกกัน

เอิง: และคนตั้งชื่อโดมเฟสก็คือไอ้โดมเองนะ (หัวเราะ)

ตอนแรกได้ยินชื่อนึกว่างานของธรรมศาสตร์

แมว: ใช่ มีคนมาถามที่ค่าย ทีมงานงงเลย จริง มีอีกชื่อนึง ปาร์ตี้โดม โดมปาร์ตี้ มันก็มีความ มธ. อยู่ดี ขนาดทีมงานยังทักว่า ผมว่ามีความ มธ. นะ แต่เราก็ยืนยันจะใช้ชื่อนี้ กวนดี

เอิง: มีเรื่องฮา เขาทักเข้ามาขายของในเพจ 2-3 คน ถามว่า เฟสติวัลนี้รับเปิดบูธขายของไหมคะ (หัวเราะ) ยิ่งใหญ่มาก

โดม: แล้วก็มีวงกากด้วย คือใครที่ยังเหลือรอดของแต่ละวง คือยังไม่เมาอะ ก็สามารถขึ้นมาเล่นได้

เอิง: ส่วนมากก็มี พี่เอี่ยว The Richman Toy พี่เย่ Slur เพียว Polycat แมว The Jukks เปอร์ติ๊ด หรือใครก็ได้แถวนั้น

บางคนในนี้ก็ไปเป็นแบ็คอัพ ชีวิตแบ็คอัพต่างจากการทำวงของตัวเองยังไง

แมว: มีผมเล่นให้พี่จีน กษิดิศ แล้วก็เพิ่งได้ไปเล่นแทนมาร์ช มือคีย์บอร์ดของ อิ้งค์ วรันธร คนนี้ก็ตัวจริงอยู่ บางทีไปเฟสติวัลพวก Big Mountain เขาจะแซวว่าเป็น ‘มาร์ชเฟสติวัล’ เล่นวงนี้เสร็จวิ่งไปเล่นวงนี้ต่อ (หัวเราะ) ทีนี้มาร์ชไม่ว่างเลยได้แทน กับ Superbaker เราค่อนข้างสนุกนะวงนี้ ไม่ต้องมีเรื่องเงินก็ได้ อยากไปเล่นให้ ส่วนความแตกต่าง มันก็กดดันทั้งคู่ แต่เล่นในนามวงตัวเองมันต้องเนี้ยบ บางทีจะเกร็งมาก คนเหลือน้อยแล้วผมพยายามทำตัวเป็นฟรอนต์แมนเพื่อซัพพอร์ต บางทีก็พลาดบ้าง ถ้าเป็นแบ็คอัพเราจะกดดันอีกแบบ คือตัวเจ้าของวงให้เรามามีส่วนร่วมแล้วเราก็อยากทำให้ดีที่สุด จะซ้อมเยอะมาก บางทีเยอะกว่าวงเพราะวงเขาเล่นได้อยู่แล้ว ซ้อม ๆๆๆ เพื่อให้เราพลาดน้อยสุด แต่สิ่งที่ไม่ต้องกังวลคือเราไม่ต้องพยายามเป็นฟรอนต์แมนไง เราเลยสามารถโฟกัส ก้มหน้าก้มตาเล่นได้ ถ้าสนุกก็โยกได้โดยไม่ต้องแคร์มาก บางทีเราก็คิดผิดก็ได้นะ อาจจะควรปล่อยไปเลย แต่ก็กลัวมันมาก โยกจนคนไม่ดูฟรอนต์แมนของวงนั้นแล้วมาดูเราแทน ก็ไม่อยากให้แย่งซีน เราก็จะต้องรู้หน้าที่ของเราว่าทำส่วนแบ็กอัพให้ดีที่สุด ก็เป็นประสบการณ์ที่ดี เราได้ความรู้ด้วย มีครั้งนึงไปเล่นแทนโต้ง Polycat งานนั้นเล่นเปิด Phoenix ด้วย แล้วดันเป็นงานใหญ่มาก เรากดดันมาก รายละเอียดเยอะ การดูเทคนิคอะไรของวงเยอะมาก เล่นเสร็จแล้ววันนั้นก็รู้ความรู้จากโต้ง จากวงเขา เราก็เอามาปรับใช้กับวงเรา เช่นกันกับหลาย วง ช่วยได้เยอะมาก

เอิง: หลักจริง ก็ Slur เพราะเฮาส์มีธุรกิจที่ต้องบินไปเมืองนอกซื้อเสื้อผ้ามาขาย มันจะไปทุกต้นปีมั้ง อาจจะมีกลางปีไปเที่ยวด้วย ตอนมันไปไม่มีงานรับไว้ แต่งานดันติดต่อเข้ามาตอนจองตั๋วเครื่องไปแล้ว เราก็จะเป็นตัวแทนมันเสมอเพราะสนิทกับพี่เย่อยู่แล้ว โทรมาก็เสียงพี่เย่อะ เออ วันที่ 19 ว่างไหม (หัวเราะ) ไปเล่นกับ Slur ก็ดึงความเป็นวัยรุ่นของเราออกมาเหมือนกันนะ ตอนเด็กเราชอบเพลงร็อกไง พวกอัลบั้ม Slur เก่า สองชุดแรกฟีลจะมา ปกติเราเล่นกีตาร์ Fender เดี๋ยวนี้ถ้าเล่น Slur ก็จะเอา SG ไปด้วย เป็นอีกฟีลนึง ได้อะไรมาเยอะเหมือนกัน อันดับหนึ่งเราไม่ต้องร้องก็ค่อนข้างฟรี ไม่ต้องมานั่ง concentrate ว่าจะพูดอะไรกับคนดู ไม่ต้องกังวลว่าจะร้องเพี้ยน เราเล่นดนตรีอย่างเดียว เรียนรู้ระบบวงของเขา การทำงาน การเล่นบนเวที เซ็ตนั่นนี่ด้วย คือแต่ละวงมันไม่เหมือนกันเลย ไม่ได้แปลว่าแบบไหนดีกว่ากัน แค่แบบไหนเวิร์กกับวงนั้น ก็ปรับ กันไป

เห็นว่าตอน Slur ทำเพลง ช่วงเวลา คือกวักมือเรียกให้เอิงเข้าไปช่วยอัดเลยจริง หรอ

เอิง: ใช่ คือ Smallroom มันมีความเป็นค่ายที่ศิลปินสนิทกันประมาณนึง เราก็เข้าค่ายไปนั่งเล่น คนนั้นไปซ้อม คนนี้ไปคุยเรื่อง mv เจอกันก็คือ ไหนต่ออะ หรือบางทีมีเบียร์ฟรีในตู้เย็น วันนั้นเราเข้าสมอลไปซ้อม พี่เย่เปิดประตูออกมาเจอเรานั่งกินข้าวอยู่ แล้วพี่เย่รู้ว่าเราคอรัสได้ คิดคอรัสเป็น พี่เย่ก็ไม่ค่อยถนัด ก็เรียกเข้าไป แค่นั้นเลย งานฟังใจ Crossplay ก็คือไหน มาคอรัสแล้วเขาก็ชวนไปเล่นด้วยเลยละกัน แค่นั้นเลย

โดม: ช่วงหลัง เอิงมีงานไปเล่นบ่อย มีงานนึงผมนั่งรถกลับกับคุณเฮาส์ Slur เฮาส์บอกว่าเชี่ย กูจะโดนไล่ออกปะวะ’ (หัวเราะ)

เป้าหมายปี 2019 ของ Summer Stop

แมว: อัลบั้ม (เอิง: ทันหรอวะ) ถ้าคิดว่าทันก็ทัน ก็ตั้งใจแหละครับ อย่างเมื่องานโดมเฟส ด้วยที่ผ่านมรสุมอะไรมาประมาณนึงก็ลองเล่นเพลงใหม่ พอเห็น feedback คนรอฟัง ก็มีคนเดินมาให้กำลังใจ บอกว่าชอบจริง นะ มันก็มีแรงกลับมาทำประมาณนึงเลย เป้าหมายก็คืออยากกลับมาให้คนเห็นกันเยอะ ไม่ได้คาดหวังอะไรไปไกล แค่ได้รู้ว่า Summer Stop กลับมาแล้วก็พอ

เอิง: ไม่รู้อัลบั้มจะเสร็จทันไหม แต่เราก็ตั้งใจทำเพลงแหละ เรารู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ท้าทายตัวเอง ไม่ใช่เรื่องกูต้องทำให้ทันตามกำหนดเวลานะ แต่กูจะทำเพลงที่กูคิดว่า ตัวเองอะยอมรับว่า ‘มึงแน่ว่ะ’ เหมือนเราฟังเพลงคนอื่นแล้วรู้สึกว่ามึงแน่ว่ะ เราอยากเป็นคนที่แน่บ้างในสายตาเราก่อน ไม่ต้องคนอื่นก็ได้ คือถ้าเรารู้สึก คนอื่นก็น่าจะรู้สึกมั้ง

โดม: สำหรับผมก็คงจะเรียนให้จบและให้กำลังใจพี่ สองคนอยู่ไกล เจอไอเดียอะไรก็จะเสนอแนะ เจอซาวด์อะไรจะมาให้ฟัง ลองทำดู

แมว: เผื่อว่าเขาไปเจอประสบการณ์ที่เมืองนอก ถ้าเขาได้ไปเล่นกับวงที่นู่น มันน่าจะกลับมาช่วยวงเยอะเหมือนกัน (โดม: มันจะมีเวลาไหม)

ถ้าย้อนกลับไปเป็นเด็กได้จะทำอะไร

เอิง: เราคงอยากเป็นเด็กที่อ่านหนังสือ ฟังเพลงเยอะกว่านี้ โตมาจะได้เป็นคนที่ฉลาดกว่านี้ เรารู้สึกว่ามาเริ่มช้าไปทำให้เราต้องขยันกว่าคนอื่น

โดม: อาจจะเบนเข็มไปเป็นนักฟุตบอลอาชีพ ไม่ก็นักมวย ตอนเด็ก ชอบเล่นบอล เป็นนักกีฬาโรงเรียน โตมาก็เจออย่างอื่นที่เราสนใจ ดนตรีเราก็สนใจและก็ได้ลองทำแล้ว แต่ฟุตบอล กับมวยเนี่ย ยังไม่เคย นักมวยนี่อินจากการ์ตูนก้าวแรกสู่สังเวียน’ ให้แม่ซื้อ headguard ซื้อนวมมา ต่อยกับพี่ แม่ก็บอกว่า ลองไปนอนค่ายมวยไหม ตอนนั้นประมาณม.ต้น แล้วก็คิดว่าเขาต้องตื่นมาวิ่งสิบโลทุกเช้า เราจะไหวหรอวะ ใจเสาะ เลยไม่เอา

แมว: น่าจะสนุกกับชีวิตมากกว่านี้มั้ง ตอนเด็กเราก็สนุกตามภาษาของเราแหละ แต่รู้สึกว่าใช้ไม่คุ้มเท่าไหร่ ด้วยความที่เป็นคนนิ่ง ไม่ค่อยฉีกกรอบของตัวเองออกไปเยอะ ไม่ซนเท่าไหร่ เราเลยเสียดายเวลาที่เราซนได้โดยไม่ต้องคิดอะไรมาก คือ มันก็มีทั้งเรื่องดีและไม่ดี ถ้าเราซนมากเกินไปบางทีอาจจะมีเรื่องเกินเลยไปก็ได้ นี่เป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่เขาเป็นห่วงมาก แต่พอเราไม่ซนเลยมันกลายเป็นชีวิตค่อนข้างนิ่ง พอโตขึ้นมายิ่งมีเรื่องเครียดถาโถมเข้ามา ต้องคิดเยอะขึ้น รับผิดชอบมากขึ้น เราจะไปสนุกกว่านั้นไม่ได้มาก แล้วยิ่งพอจะไปสนุกอย่างนั้น ก็จะไม่อินเท่าตอนเป็นเด็กแล้ว สมมติสนุกไปสักพักจะมีเสียงกระซิบข้างหูแมว มึงกำลังทำอะไรอยู่’ (เอิง: (ทำเสียงกระซิบ) กินเบียร์สิ) (หัวเราะ) ก็นะ คงกลับไปใช้ชีวิตให้สนุกขึ้น

เอิง: เด็ก ฟังไว้นะครับ

 

ฝากผลงาน

เอิง: เพลง ถ้าเรายังเป็นเด็ก มาแล้วนะครับ ถึงไอ้โดมจะไป แต่ Summer Stop กลับมาแล้วครับ เดินเครื่องเต็มที่ ฝากติดตามผลงานอื่น ที่กำลังจะมาถึงด้วยครับ

แมว: หวังว่าคนอื่น จะคิดถึงเราบ้างครับ เพราะเราก็เงียบไปพักนึงเหมือนกัน

โดม: ฝากเป็นกำลังใจให้พี่ สองคนด้วยนะครับ

เอิง: และติดตามโดมเฟสครั้งที่ 2 ตอนมันกลับมาด้วยครับ (หัวเราะ) คนมาบิลด์เยอะมาก (โดม: ต้องไปฝึกร้องเพลง ไอ้สัส ดูคลิป อย่างเพี้ยน!)

อ่านเพิ่ม

อยากฟังเพลงอย่างนี้ทุกวัน Freeze อัลบั้มใหม่อัดแน่น 15 เพลงจาก Summer Stop

Facebook Comments

Next:


Montipa Virojpan

อิ๊ก เนิร์ดดนตรีที่เพิ่งกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนตอนอายุ 25 ชอบเดินเร็ว นอกจากขนมปังกับกาแฟดำแล้วก็สามารถกินไอศกรีมกับคราฟต์เบียร์แทนมื้อเช้าได้