ชวน Soft Pine มาเล่าเบื้องหลังอัลบั้มชุดแรกในชีวิต ‘Major 13th, Love, Snakeplant’
- Writer: Montipa Virojpan
- Photographer: Chavit Mayot
คืนนี้แล้วที่ Soft Pine วง bedroom, lo-fi, hypnagogic pop สุดน่ารัก (แต่ถ้าฟังดี ๆ จะพบว่ามีความกวนและเพี้ยนอยู่ไม่น้อย) จะมีงานเปิดอัลบั้ม Major 13th, Love, Snakeplant ผลงานสตูดิโออัลบั้มชุดแรกในชีวิตของทั้งสี่คน แต่ใครที่ยังไม่เคยฟังเพลงของ Soft Pine นี่ก็เป็นโอกาสดีที่จะมาทำความรู้จักกับพวกเขาให้มากขึ้น
การเริ่มต้นของวงมาจากการโดนบิลด์
เอ๊กซ์: ตอนแรกผมทำวง In This Peace แต่ก็มีเพลงที่แต่งเก็บไว้คนเดียวประมาณนึง แล้วทุกคนที่ได้ฟังก็ชอบแล้วก็บิลด์ให้ทำออกมาเป็นเรื่องเป็นราว ก็เลยชวนเพื่อนเข้ามาทำ Soft Pine มี บูม ที่อยู่ In This Peace ด้วยกัน ไวกิ้ง ก็เรียนคณะเดียวกันที่ศิลปากร จากนั้นก็ชวนเมี่ยงมา อยู่มหิดลเหมือนบูม ตอนนั้นก็ยังไม่ได้เริ่มต้นอะไรมาก จนมีพี่บอกว่ามีงานจะจัด ชวนให้ไปเล่น ตอนนั้นยังไม่มีชื่อวงเลย ยังไม่มีสมาชิกชัดเจนด้วย หลังจากนั้นก็เลยลองดู อัดเพลง ปล่อยเพลงมาเรื่อย ๆ จนมาเป็นแบบนี้
ตอนนั้นกดดันไหม สมาชิกวงยังไม่นิ่ง ชื่อวงก็ยังไม่มี
ไวกิ้ง: ไม่ค่อยครับ เพราะรู้สึกว่าเพลงก็มีพร้อมอยู่แล้วประมาณนึง เหลือแค่ซ้อม พวกเพลงที่มีอยู่แล้วตอนเอาไปเล่นสดก็มีปรับเปลี่ยนไลน์บ้างเล็ก ๆ น้อย
เอ๊กซ์: เดโม่ที่ผมทำมา ตอนซ้อมกันเพื่อนก็เปลี่ยนอะไรของมันเอง
ทำไมมาสรุปที่ชื่อ Soft Pine
ไวกิ้ง: เพราะโดนบีบให้ตั้งชื่อ (หัวเราะ) ตอนนั้นเปิดหนังสือหาชื่อทั้งวันเลย
เอ๊กซ์: ผมจำได้ว่าคุยกับพี่เนท จำไม่ได้ว่าคุยเรื่องอะไร แต่มันมีอะไรสักอย่างที่เขารู้สึกว่ามันควรมีคำว่า ‘soft’ แล้วก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องเป็น ‘pine’ ด้วย แค่เหมือนพอเขียนแล้วอ่าน มันก็ดูโอเค
ศิลปินที่เป็นอิทธิพลในการทำเพลง
ไวกิ้ง: Ariel Pink ครับ ชอบในความไม่มีแนวของเขา ดูไปเรื่อยดี แต่มันก็ยังมีสไตล์ของเขาอยู่
เอ๊กซ์: ทุกอย่างของเขา ทั้งเพลง ซาวด์ อาร์ตเวิร์ก มันไปทางเดียวกัน แล้วเอาจริงก็ไม่ค่อยรู้ความหมายของอันนี้คืออะไร เช่นเนื้อเพลงของเขาเล่าเกี่ยวกับเบอเกอร์ มันไม่ได้มีความหมายขนาดนั้นแต่ฟังแล้วเท่ดี
แบบที่ Soft Pine ทำกับเพลงของตัวเอง
เอ๊กซ์: ใช่ครับ รู้สึกว่าเขียนเพลงจะเป็นเรื่องอะไรก็ได้ แล้วก็มีพวกศิลปินต่าง ๆ ที่เขาทำเพลงจบด้วยตัวเอง ไม่ต้องรอไปเข้าสตูดิโอ ยุคนี้ก็มีเยอะมาก แต่ว่ามันเริ่มตั้งแต่ ม.ปลาย ที่รู้จัก Tame Impala แล้วก็ไปหาบทสัมภาษณ์อ่าน เลยได้รู้ว่า Kevin Parker แต่งเพลง อัดเพลงเองตั้งแต่เด็ก ๆ ใคร ๆ ก็ทำได้ ก็เริ่มซื้อของ แล้วเริ่มทำเลย
อะไรคือเสน่ห์ของ bedroom pop
เอ๊กซ์: มันเหมือนใช้เวลากับมันนานเท่าไหร่ก็ได้เวลาคิดงาน แล้วก็เรื่องอุปกรณ์เพราะว่า อันที่มีที่บ้าน ใช้กันเอง มันจะไม่ได้คุณภาพแบบ hi-end studio ข้อจำกัดมันก็เลยจะเยอะมาก เราเลยได้คาแร็กเตอร์ซาวด์มาจากข้อจำกัดนั้น อย่างวิดิโอเราก็ไม่ได้ลงทุนมาก แต่ลงแรงเยอะเพราะทำกันเอง ด้วยข้อจำกัดจากกล้อง หรืออุปกรณ์อื่น ๆ มันก็เลยออกมารูปแบบนั้น
ตอนที่ปล่อย เผลอนอนต่อ ออกไปครั้งแรก ผลตอบรับดีมาก รู้สึกยังไงบ้าง
ไวกิ้ง: มาถึงก็ปล่อยเพลงภาษาไทย เนื้อเพลง catchy แล้วผมว่ามันก็ติดหู แต่กลัวว่าคนจะคาดหวังว่าจากนี้ไปเราจะทำแต่เพลงไทย เพราะเพลงที่เรามีอยู่ที่เหลือเป็นภาษาอังกฤษหมดเลย
เอ๊กซ์: ดีกว่าเพลงที่ปล่อยต่อ ๆ มา (หัวเราะ) แล้วกลองในเผลอนอนต่อก็ต่างจากเพลงที่เหลือด้วย คนคาดหวังเพลงไทยฟังง่าย เราก็ไม่ได้ทำตามความคาดหวังของเขา เพราะทำไม่ได้ด้วย อันนั้นฟลุ๊กมาก ๆ กับการแต่งเนื้อภาษาไทย เพราะปกติมันจั๊กจี้ปากตัวเองมาก ๆ แต่มันเป็นเพลงที่ต้องทำส่งอาจารย์เลยคั้นออกมาได้
ในวันนี้ที่เพลง bedroom pop, dream pop แทบจะเป็นเพลงกระแสหลักของอินดี้ Soft Pine มีวิธีอะไรที่ทำให้เพลงของตัวเองออกมาโดดเด่นกว่าวงอื่น ๆ
เอ๊กซ์: คนชอบบอกว่า Soft Pine เป็นวงดรีมป๊อป แต่ผมไม่เคยบอกนะ ผมไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นอะไร ก็สนุกดีที่คนเรียกเราเป็นอันนั้นอันนี้ แต่เป็นดรีมป๊อปก็ได้ ได้เล่น Pow Fest ด้วย (หัวเราะ)
ทำไมชื่ออัลบั้มถึงยาวขนาดนี้ Major 13th, Love, Snakeplant
เอ๊กซ์: ขับรถผ่านถนนพระอาทิตย์ แล้วแฟนผมเห็นป้ายร้านอาหาร เขียนว่า ‘ขนมจีน ข้าวราดแกง พระอาทิตย์’ คำจำกัดความสามคำ เอามาต่อกัน แล้วมันนิยามอะไรบางอย่างได้ ผมก็นึกถึงคำว่า ‘sex, drugs, rock n roll’ ผมเลยว่า ก็เอาบ้างละกัน ‘major 13th’ ก็เป็นคอร์ดที่เราชอบใช้ ‘love’ ก็ดูง่าย ๆ ดี ส่วน ‘snakeplant’ ก็เป็นต้นลิ้นมังกร ปลูกในห้องผม
ตั้งใจให้มีคอนเซ็ปต์อะไรในอัลบั้มนี้
เอ๊กซ์: ส่วนตัวผมไม่ได้ชอบคอนเซ็ปต์อะไรที่ชัดเจนขนาดนั้น ชอบแบบที่เป็นบรรยากาศก็พอ ในอัลบั้มมันก็จะมีเพลงที่มาจากของรอบตัวในบ้าน หรือเหตุการณ์ที่เฉพาะนิดนึง เช่นไปนั่นมา ไปนี่มา แล้วก็มาเล่า แค่นั้น
ดูเป็นคนที่มองอะไรเป็นรายละเอียดมากกว่าภาพกว้างเหมือนกันนะ
เอ๊กซ์: ครับ เพลงสุดท้าย La Couronne เนื้อเพลงประมาณว่า ‘And we’re talking about little things, and we’re in love with every conversations.’ ก็คงอย่างงั้นมั้งครับ
Track by track
Greeting
เอ๊กซ์: แทร็คเปิดนิดนึง เหมือนเป็น instrumental มีคนฟังแล้วบอกว่าเหมือนพวกเพลงเปิดนั่งสมาธิ เป็นเพลงที่เอามาเล่นในโชว์ครั้งแรกเลย (ไวกิ้ง: เล่นครั้งเดียว)
You’ll Be Fine
เอ๊กซ์: มันเป็นเพลงแรกที่เปิดอัลบั้มแล้วให้ความรู้สึกกระฉับกระเฉงขึ้นมา รู้สึกว่ามันต้องอยู่ตรงนั้น (ไวกิ้ง: เปิดมาแล้วมันตู้มดี) เป็นเพลงให้กำลังใจ เหมือนบางคนเวลาเศร้าแล้วไม่ได้พูดออกมา แต่เราเห็นแล้วก็รู้ เขาคงไม่อยากพูด ส่วนเราก็แค่อยากให้กำลังใจ ไม่ต้องเล่าก็ได้ เดี๋ยวมันก็ผ่านไป แค่นั้นเอง เอาเพลงไปฟัง แล้วเพลงมันมีท่อนน้อยมาก มีแค่อินโทร ท่อน A ท่อน B แล้วรู้สึกว่าต้องมีบริดจ์นิดนึง ก็คิดว่าตรงนี้มันต้องมีเบสโซโล่ตรงนี้ เป็นแจ๊ส ๆ หน่อย
Morning
เอ๊กซ์: เป็นเพลงแต่งไว้นานมาก ตอนนั้นดู ‘Stranger Things’ ซีซัน 1 แล้วฮอปเปอร์มันพูดว่า ‘Mornings are for coffee and contemplation’ ตอนเช้ามีไว้สำหรับกินกาแฟและรวบรวมสมาธิเพื่อทำอะไรสักอย่าง อย่าเพิ่งมาเร่งอะไร ก็เอามาแต่งเพลง ตอนเช้าตื่นมา ขออยู่กับตัวเองก่อนได้ไหม อย่างมายุ่งตอนนี้ เอาปัญหาไปไกล ๆ ก่อน
Keep It In Mind
เอ๊กซ์: เป็นเพลงแรกสุดเลยที่ผมแต่งกับกิ้ง กิ้งเอาคอร์ดมา ตอนนั้นเป็นรูมเมตกัน รู้สึกว่ากำลังเจอเรื่องอะไรไม่สบายใจ แต่ไม่รู้จะพูดยังไง ไม่รู้จะทำยังไง ก็ได้แค่เก็บไว้ในใจแล้วกัน
MSE
ไวกิ้ง: เป็นเพลงวิชากีตาร์ต้องแต่งเพลงส่งงานอาจารย์ เป็นเพลงของเอ๊กซ์ แล้วเราฟังก็ชอบกัน
เอ๊กซ์: อยากแต่งเพลงเกี่ยวกับหมา แต่พยายามคิดเนื้อเพลงแล้วมันไม่มี มันไม่รู้ว่าจะใช้คำไหนมานิยามความรู้สึกหรือเล่าถึงหมาตัวเอง ก็เลยทำเป็นบรรเลง ผมรู้สึกว่ามันจะมีความงง ๆ มึน ๆ วิ่ง ๆ ขี้เล่น ก็ดูเป็นไข่หวาน (ชื่อหมา) ดี
Only You Know
ไวกิ้ง: แจมกัน 4 คน อยากทำเพลงสนุก ๆ บ้าง เร็วกว่าปกติ ให้มีฟีลโดด ๆ กันมากขึ้น
เอ๊กซ์: เพลงนี้เราทำเป็นแบนด์ ช่วงนั้นเบื่อจ๊อบ ไม่อยากทำ อยากแค่ทำอะไรก็ได้ อยู่กับแค่คนที่สบายใจ แค่นั้น เลยขึ้นเพลงมาด้วยคำว่า ‘work sucks’ แล้วก็มีกิ้งร้องสวนมาว่า (ไวกิ้ง: I know)
As I Lay at Some Rest
เอ๊กซ์: เหมือนเราฟังวิทยุแล้วมีแทร็คคั่นรายการนิดนึง เป็น interlude ให้พักหู
Lido
เอ๊กซ์: เป็นเพลงที่นานแล้ว (ไวกิ้ง: ไปเดตกับสาว) บันทึกเหตุการณ์นึง ก็เก็บเอามาเขียนเพลง
Indoor Plant
เอ๊กซ์: เวลาจะไปเล่น มันต้องมีเพลงเพิ่มแล้วเพื่อให้โชว์มันเต็ม ตอนนั้นก็นั่งแต่งกันสองคนกับกิ้ง แล้วนึกถึงพี่แจน แฟนพี่เต๊นท์ Summer Dress เขาซื้อคราฟต์เบียร์มาจากต่างประเทศ บอกว่าลายขวดมันสวยแล้วนึกถึงน้องเอ๊กซ์ ผมก็กินหมดแล้วคิดว่าทำอะไรกับขวดดีว้า ก็เลยปลูกต้นไม้ แล้วก็เริ่มซื้อต้นอื่นมาปลูกเยอะขึ้น แล้วก็ซื้อไปฝากคนอื่นด้วย ก็เขียนเพลงนี้ อยากให้มันมีต้นไม้อยู่ในห้องนอน ห้องทำงาน ไว้ฟอกอากาศ ให้บรรยากาศดี แต่ว่าตอนนั้นน้องเมี่ยงฟังแล้วนึกว่าหมายถึงกัญชา (หัวเราะ) แล้วในคอมเมนต์เพลงนี้ตลกมากเลย ‘high’ ‘ผมนี่ลอยเลยครับ’
Spinach Coffee
ไวกิ้ง: เป็นเพลงในวิชาเหมือนกัน ผมอยากทำเพลงกึ่ง ๆ บอสซ่า พยายามใช้คอร์ดที่มันเป็นทางนั้น แต่ทำออกมาก็ไม่ได้ขนาดนั้น ส่วนชื่อเพลงนี่คือเวลาผมแต่งชื่อเพลง ชอบเอาสองคำมารวมกันให้เป็นคำประหลาด ๆ
New Song
เอ๊กซ์: ที่มันชื่อ New Song เพราะตอนนั้นมันเป็นเพลงใหม่ แต่มันเกือบปีมาละ แล้วหาชื่อไม่ได้จนถึงวันที่มันต้องส่งโรงงานปั๊มเทป ก็เลยเอาอันนี้แหละ ไม่รู้ว่าเกี่ยวกับอะไรด้วย มันเหมือนเป็นภาพเหตุการณ์ในหัวที่ไม่เป็นเรื่องเป็นราวขนาดนั้น
ไวกิ้ง: อันนี้เหมือนแจมกันในห้องซ้อมอะครับ แล้วเอ๊กซ์มันก็คิดเป็นริฟฟ์ขึ้นมาอันนึง แล้วบูมมันก็ตีจังหวะเพลงขึ้นมาเลย ที่เหลือมันก็ตามกันมาหมด
เอ๊กซ์: ตึดตึดตื๊อตือ
Smile Aesthetic
เอ๊กซ์: ผมบรีฟว่าให้แต่งเพลงไว้เชื่อมก่อนเพลงสุดท้ายให้หน่อย
ไวกิ้ง: ผมก็พยายามนึกภาพให้เหมือน 80s radio commercial เพลงคั่นรายการวิทยุ ก็ลองกดซินธ์เป็นเสียงออกมาแบบนี้ มันก็ได้ฟีลอยู่ แล้วก็แอบใส่เสียงสถานีรถไฟให้มันเชื่อมกับอีกเพลง เพราะมันมีเนื้อร้องเกี่ยวกับรถไฟ เป็นเหมือนอินโทร
La Couronne
เอ๊กซ์: แล้วตอนได้เพลงมาจะเอาไปมาสเตอร์ ผมแอบแปะเสียงแอมเบียนต์ที่อัดมาจากตอนที่อยู่ฝรั่งเศส เป็นเสียงเด็กเดินไปทัศนศึกษากัน แล้วเขาร้องเพลงอะไรไม่รู้ เพิ่มบรรยากาศ ซึ่งมันก็เข้ากับเพลงสุดท้ายที่แต่งเกี่ยวกับตอนนั้นไปเที่ยว Marseille มี one day trip นั่งรถไฟออกไปที่เมืองเล็ก ๆ นั่งผ่านเลาะชายฝั่งทะเล มีต้นไม้ บรรยากาศดี แล้วตอนอยู่บนรถไฟก็นั่งคุยกัน มันเป็นโมเมนต์ที่ผมชอบมาก แล้วกิ้งก็บอกว่าให้เอาชื่อเมืองที่จะนั่งไปมาตั้งเป็นชื่อเพลง อ่านชื่อยากมาก (ลา คูฮอน) เวลาเรียกกันก็เรียกว่า ‘เพลงสุดท้าย’
นอกจากมิวสิกวิดิโอจะมีความเป็นงาน lo-fi งานทำมือ วงตั้งใจให้ ไวกิ้ง มาเป็นมาสคอตในทุกเพลงเลยหรือเปล่า
เอ๊กซ์: เหมือนพอถ่ายมา ฟุตที่จะเอามาใช้ได้มักจะเป็นมันอะ ให้เพื่อนไต้หวันดูแล้วเขาก็แคปมาบอกว่า ‘Your friend has a meme face.’ หน้ามันดูมีอะไรสักอย่าง
ไวกิ้ง: จะทำพอร์ตแล้วครับ รับเล่น mv (หัวเราะ) ไม่จริงครับ แค่นี้ก็เขินแล้ว
เบนซ์ ที่เพิ่งเข้ามาต้องปรับตัวอะไรบ้าง
เบนซ์: ก็ต้องปรับเหมือนกันครับ ให้เข้ากับเพื่อน ๆ ให้ได้ พวกสไตล์การเล่นพวกนี้ (เอ๊กซ์: เบนซ์จบแจ๊ส) ใช่ครับ แล้วผม กิ้ง เอ๊กซ์ เคยเล่นกันมาก่อนตั้งแต่ปีหนึ่งแล้ว แต่กับบูมไม่เคยเล่นด้วยกัน ก็ต้องมาจูนเรื่องจังหวะ
เอ๊กซ์: บูมไม่เคยจูนกับใคร มันจูนแต่กลอง
ได้ข่าวว่าบูมก็จะไม่อยู่แล้ว
บูม: ครับ ปีหน้าไปเรียน (เอ๊กซ์: เป็นหนุ่มออสซี่) น่าจะหลายปีอยู่ กลับมา ไม่แน่ว่าดนตรีอาจจะเหลือไว้เล่นชิล ๆ แต่คงไม่ได้จริงจังอะไรกับมันแล้ว
ไวกิ้ง: รอดูนะครับ
ตอนได้เล่นกับวงรุ่นพี่อย่าง Penguin Villa หรือ Superbaker แล้วรู้สึกยังไงบ้าง
เอ๊กซ์: รู้สึกดีนะครับ เพราะฟังเพลง Penguin Villa ตั้งแต่ประถม ตอน MTV แล้วได้เล่นงานเดียวกัน เป็นงานเล็ก ๆ Release 001 ที่ De Commune (ไวกิ้ง: พี่กอล์ฟ Superbaker เนี่ยแหละที่เป็นอาจารย์ให้เขียนเพลง) ใช่ ตอนนั้นเขาให้เขียนเพลงที่เกี่ยวกับข้อผิดพลาดในชีวิต ไอ้กิ้งนี่มาอย่างดาร์กเลย (ไวกิ้ง: ดาร์กมาก จำไม่ได้แล้ว) ทั้งคลาสเลย แต่ของผม เขียนเรื่องตื่นสาย เลยได้เป็นเพลง เผลอนอนต่อ
เขินมั้ยที่เล่นงานเดียวกับอาจารย์
เอ๊กซ์: ไม่เขินครับ ดีใจ
รู้สึกยังไงที่เดี๋ยวนี้เวลาอยากเล่นสด ก็ต้องเป็นคนจัดเอง อยากดูวงอะไรก็ต้องชวนวงนั้นมาเล่นด้วยกันเอง
เอ๊กซ์: ไม่รู้เหมือนกัน ถ้าไม่มีใครชวน เราจัดเองได้เราก็จัดไป ซึ่งจริง ๆ ก็เพิ่งได้ไปเล่นต่างจังหวัดครั้งแรก Junk House อยุธยา ก็ไม่ได้ไกลมาก แต่ดีใจที่ได้ไปเจอคนอื่นบ้าง ปกติก็เล่นแล้วเจอแต่กลุ่มคนที่คุ้นเคยกัน (บูม: ต่างจังหวัดสนุกด้วย) เพราะได้ไปเที่ยวด้วยป่าว ก็อยากไปเล่นภาคอื่นบ้าง เจออะไรใหม่ ๆ แต่คนดูเขารอดูวงอื่นกัน (หัวเราะ)
จะทำยังไงให้กลุ่มมันกระจายไปกว่านี้ เพราะสุดท้ายแล้วถ้าจัดกันเอง เล่นกันเอง คนมาดูก็เป็นเพื่อน ๆ กันเอง
บูม: จัดไปเรื่อย ๆ ครับ
เอ๊กซ์: เอาจริงเวลาที่ไปเล่นแล้วเป็นกลุ่มเพื่อน ๆ กันเองก็แฮปปี้นะ ได้เจอเพื่อนก็ดี แต่จะทำไงให้ไปไกลกว่าเดิม… เอาจริงสื่อ คนจัดงาน หรือคนฟังเอง ก็ยังรอคอยไลน์อัพทั้งปีที่ผ่านมา ก็แทบจะเป็นวงเดิม ๆ ตลอดเลย ไม่ว่างานใหญ่ งานเล็ก งานต่างจังหวัด (ไวกิ้ง: ทั้งที่มีวงเจ๋ง ๆ อีกเยอะเลย) แบบที่ตอน Dogwhine เคยให้สัมภาษณ์ไว้เลย
เป็นวงที่ชอบเอาเพลงคัฟเวอร์มาแทรกตลอด
ไวกิ้ง: จะชอบเอาเพลงที่ชอบมาเล่นตลอด
เอ๊กซ์: ผมเคยคุยกับพี่อาร์ม Supergoods เขาจะได้วัฒนธรรมโซล r&b 70s 80s มา แล้วเขาเล่าให้ฟังว่า นักดนตรีสมัยนั้น เวลาเขาไปเล่นกันจะชอบเอาท่อนเบรก หรือเอาทั้งเพลงมาเชื่อมกับเพลงตัวเองแล้วไปต่อ แต่เขาเล่นด้วยความรู้สึกที่เขาชื่นชมศิลปินคนนั้น เหมือน tribute ผมก็ชอบไอเดียนี้
อะไรทำให้เราเลือกดีไซน์โชว์และรีอะเรนจ์ในแต่ละที่ต่าง ๆ กันไป
เอ๊กซ์: สถานที่เลยครับ หรือบางทีต้องไปเล่นเป็นวงแรก บางทีต้องเล่นตอนที่คนกำลังเมา กำลังคึก ก็ต้องปรับไปตามแต่ละโชว์ ซึ่งก็ไม่ใช่แค่การเรียงเพลง ทั้งเทมโป การเชื่อมเพลง การกำหนดมู้ดสำหรับการเล่นเพลงนี้ แบบ เพลงเพลงเดียว เล่นแต่ละงาน อาจจะคนละเอเนอร์จี้กัน
แต่เพลงส่วนใหญ่ของ Soft Pine ว่ากันตามตรงก็ soft สมชื่อ ทำยังไงให้เพลงมันขึ้นมาได้
เอ๊กซ์: ให้บูมกินเบียร์เยอะ (หัวเราะ) (ไวกิ้ง: แล้วจะสนุกครับ) มีหลายโชว์ที่พี่อิ๊กเขียนรีวิวแล้วบอกว่าเพลงนี้อะเรนจ์ให้เร็วขึ้น หรือเพลง MSE ที่อยู่ใน YouTube แล้วเป็นเล่นสด นั่นคือเร็วจี๋เลย (บูม: เมายับ) บูมเคาะขึ้นมา เรียบร้อย
ไวกิ้ง: พวกผมล่กเลย ตอนซ้อมไม่เห็นเร็วขนาดนี้
เล่าถึงโปรเจกต์ a plan named overlap #last ของ dessin the world ที่ได้ส่งเพลงไปแลกเปลี่ยนกับศิลปินญี่ปุ่นหน่อย
เอ๊กซ์: พี่จิน Faustus มาดูผมที่งาน Pow Fest แล้วเขาเขียนถึง เขาชอบเพลงเราก็เลยติดต่อมา ผมก็ชอบไอเดียนี้ที่เขาทำ ก็ส่งไปเลย มันเป็นการรวมเพลงของศิลปินไทยและญี่ปุ่น เอามาเป็นอัลบั้ม compilation แล้วปล่อยใน bandcamp ให้โหลดฟรี ให้เรากับเขารู้จักกันมากขึ้น แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกันผ่านเพลง โดยข้ามเรื่องแนวเพลง เรื่องค่าย อะไรไปเลย พวกวงญี่ปุ่นนี่เขาเจ๋งกันมากเลยนะ มีวงที่เคยมาเล่น Maho Rasop Festival ด้วย อย่าง Lucy, Too แต่ละวงนี่ก็มีชื่อเสียงอยู่นะ ดีใจครับที่ได้เป็นส่วนนึงในอัลบั้ม
ทำไมถึงมาอยู่กับค่าย Tomato Love Records
เอ๊กซ์: อยู่ด้วยใจ เพราะความเป็นพี่เป็นน้อง ความสนิทกัน ก็แฮปปี้ที่อยู่
ไวกิ้ง: มีอิสระเต็มที่เลย
ถ้ามีคนซัพพอร์ตเงินทุนในการทำอัลบั้มเราจะย้ายค่ายไหม
เอ๊กซ์: ก็ยังไม่รู้ว่าต้องใช้เงินทำอะไรอีกบ้าง คือเริ่มจะรู้แล้ว อย่างการลงทุนในการทำ merchandise ยังไม่ต้องลงเป็นหมื่น ๆ อย่างใช้อัดเพลง เพราะขอบเขตของค่าย Tomato Love Records เขาเลือกวงเข้ามาโดยยึดพื้นฐานที่แต่ละวงทำเพลงด้วยตัวเองได้อยู่แล้ว เรื่องอัดเพลงก็เลยไม่ได้มีปัญหาว่าต้องไปเข้าห้องอัดแพง เพราะไม่จำเป็นอยู่แล้ว ผมก็อัดที่บ้านตัวเอง ไปอัดสตูดิโอพี่ตวน Cloud Behind หรือพี่พัด Folk9 ซึ่งเราก็พอใจในข้อจำกัดนี้อยู่แล้ว ไม่ต้องไปใช้ห้องอัดคุณภาพสูง
คิดยังไงกับการที่ศิลปินหน้าใหม่ต้องยอมเล่นงานฟรี
เบนซ์: ก็ได้ประชาสัมพันธ์
เอ๊กซ์: เอาจริงก็ไม่ถูกหรอก ทุกคนต้องได้ค่าตอบแทนกันทุกฝ่าย แต่ข้อจำกัดในการจัดงานมันก็เยอะมาก บางทีเราก็ต้องทำ
คิดว่างานนึงขั้นต่ำสุด แต่ละวงควรได้เงินเท่าไหร่
เอ๊กซ์: อย่างน้อยคนละพัน อันที่จริงพันนึงก็ไม่ได้อะไร ไหนจะค่าห้องซ้อม ค่าเดินทาง ก็หมด ออกจากบ้านเดี๋ยวนี้ก็รู้ว่าออกทีวันละพัน กินข้าว เดินทาง ค่ารถ แท็กซี่ แบกของยังไงก็ต้องกลับแท็กซี่ ค่าจอดรถเป็นร้อย แต่ก็เข้าใจผู้จัดนะ บางทีเขาก็ไม่ได้มีเงินที่จะมาซัพพอร์ต ต้องฝากสปอนเซอร์ด้วยครับ
ในฐานะนักศึกษาวิชาดนตรี ตอนเรียนจบมีอุปสรรคในการเลือกงานไหม
เอ๊กซ์: อย่างบูมเป็นคนชอบถ่ายรูป เวลาจะทำอะไรหลังเรียนจบมันก็ไม่ได้เครียดอะไร
เบนซ์: ผมก็เรียนแจ๊สมา ก็อยากเล่นแจ๊สเหมือนกัน แต่ไม่ค่อยมีที่ให้เล่น ไม่ค่อยมีงาน (เอ๊กซ์: ขอโทษนะ เดี๋ยวให้โซโล่หนึ่งท่อน)
ไวกิ้ง: ผมยังไม่ได้หาจริงจัง จบมาก็พักเบรก กะจะพักซักเดือนนึง แต่ตอนนี้สามเดือนแล้วครับ (หัวเราะ) เงินเริ่มหมดเรื่อย ๆ เลยคิดว่าหลังจบงานเปิดอัลบั้มก็จะหางานจริงจะ กะทำให้ตรงสายดนตรีแหละครับ แต่ในประเทศเรามันก็น้อย หายากนิดนึง
เอ๊กซ์: ผมว่าจะพัก ไม่อยากทำเพลงตามบรีฟ ตามคำสั่ง แต่ไม่กี่วันอยู่ดี ๆ ก็ได้งานทำละครเวทีของ ม. กรุงเทพ เรื่อง ‘Orpheus Descending’ เป็นเรื่อง Western cowboy จิตวิญญาณ โลกนี้ไม่มีอิสระ ก็ลองดู ทำไปทำมาจนตอนนี้ก็สามโปรเจกต์แล้วครับ เพิ่งเซ็นไป ไม่คิดว่าจะมาสายละครเวที ก็คือยังไม่รู้ว่าชอบหรือไม่ชอบ เพิ่งสามเดือน ก็ลองทำ ๆ ไปก่อน
ใครมีไซด์โปรเจกต์หรือเล่นอะไรกับใครบ้าง
เอ๊กซ์: คือแก๊งผมกับบูมที่มหิดลนี่คือ ทุกโปรเจกต์เกือบของทุกคนต้องมีบูมเป็นส่วนร่วม คือเขาเล่นได้ทั้ง กลอง กีตาร์ เบส ร้อง
บูม: เยอะมาก มีวงตัวเองด้วย วงโฟล์กชื่อ ณิชา เล่นกีตาร์ ร้องเอง เดี๋ยวสิ้นปีนี้ก็มีงานเล่น ฝากเพจถ่ายรูปได้ไหมครับ (หัวเราะ) aboomsri เป็นคู่แข่งกับ aday
เอ๊กซ์: ผมก็มี Game of Sounds กับเล่นแบ็กอัพให้ Folk9 ครับ
ไปเล่นที่ไทเปมาเป็นไงบ้าง
เอ๊กซ์: คนไทเปสนุกมาก บ้านเมืองก็ดี รัฐบาลสนับสนุนซีนดนตรี การเดินทางดี ทุกคนเฟรนด์ลี ค่าครองชีพถูก ชีวิตดีอะ
ซีนอินดี้ในอุดมคติของแต่ละคน
เอ๊กซ์: ผมรู้สึกว่ามันจะเป็นช่วง 1-2 ปีที่มันจะมีกระแสคนที่ชอบแบบเนี้ย แล้วมันจะเปลี่ยนหมุนไป ที่ผ่านมาประมาณตอนผม ม.6 ปีหนึ่ง พวกเพลงลึก มายาก มาแรงมาก แบบฟังแล้วเท่ พวก Panda Records, So::On Dry Flower
ไวกิ้ง: อยากให้ทุกวงได้รับความสนใจที่ใกล้เคียงกัน
เอ๊กซ์: อยากให้มีงานเยอะ ๆ …แต่เศรษฐกิจไม่ดี ทำอะไรก็ยากลำบาก ความจริงอยากไปดูทุกงานเลย แต่ก็ เฮ้อ ไม่รู้จะไปแก้ที่อะไรดีอะ
ฝากผลงาน
เอ๊กซ์: 12 ตุลาคม งานเปิดอัลบั้ม Major 13th, Love, Snakeplant มีวงเปิดเป็น Kunst เศรษฐกิจไม่ดีก็เลยคิดค่าบัตรถูก ๆ ไปเลยแล้วกัน เราจะเล่นทุกเพลงที่มี หลายเพลงน่าจะเล่นที่แรกงานนี้ แล้วก็จะมีเซอร์ไพรส์เล็ก ๆ น้อย ๆ จากเรา ส่วนใครคิดถึงน้องเมี่ยงก็ยิ่งต้องมาเลยครับ เจอกันครับ แล้วก็เพลงใหม่เพิ่งปล่อยไป You’ll Be Fine ฝากติดตามกันด้วยครับ
อ่านต่อ
Tomato Love Records ค่ายเพลงสดใหม่ พร้อมคัดสรรศิลปินรสชาติดีส่งตรงถึงหูคุณ
ความงดงามในสิ่งเล็ก ๆ ที่ Soft Pine อยากบันทึกไว้ผ่านอัลบั้มเต็มชุดแรกของพวกเขา