รอเลย! ปฏิกิริยาเมื่อเราได้แอบฟังสามเพลงใหม่ของ Slot Machine ชนิดที่อ้าปากค้าง
- Writer: Montipa Virojpan
- Photographer: Chavit Mayot
เมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา ทีมงาน Fungjaizine มีโอกาสได้ไปเยี่ยมเยียน Karma Sound Studios ที่บางเสร่เพื่อทดลองฟัง 3 เพลงล่าสุดของ Slot Machine ผลงานพวกเขาได้ร่วมทำกับ Brandon Darner โปรดิวเซอร์เพลงฮิตของวงระดับโลกอย่าง Imagine Dragons ที่ต้องบอกเลยว่า โคตรเอา! โคตรถึง! และต้องตั้งตารออัลบั้มใหม่ของพวกเขาอย่างใจจดใจจ่อจริง ๆ ในบทความนี้เราจึงจะแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ การพูดคุยกันระหว่างเรากับ Slot Machine บทสัมภาษณ์ของ Brandon Darner และสปอยล์เพลงใหม่ของพวกเขาที่ยังไม่ปล่อยที่ไหนให้ได้จินตนาการตามกันไปก่อน
PART I : The Band
อัลบั้มใหม่จะทำเป็นภาษาอังกฤษอีกหรือเปล่า
เฟิด: ใช่ครับ ณ ตอนนี้
แก๊ก: แต่ว่ายังไงก็ต้องมีภาษาไทยด้วยครับ ตอนนี้ยังทำอยู่เรื่อย ๆ ยังไม่เสร็จดี
เฟิด: นับตั้งแต่อัลบั้มที่แล้ว Spin The World ที่เราทำเพลงภาษาอังกฤษ ก็ยังเป็นแค่ช่วงของการเริ่มต้นเอง แล้วเราก็ได้เริ่มต้นอะไรหลาย ๆ อย่างไปแล้ว ปลายทางเราก็ตั้งไว้ ก็จะทำต่อ ๆ ไป
แก๊ก: โกลเราคิดว่าเราเริ่มต้นแล้วในการเดินสู่สากล เราก็ต้องทำต่อไปเรื่อย ๆ เพราะกว่าในไทยเราจะประสบความสำเร็จก็ใช้เวลามาหลายอัลบั้มพอสมควร ยิ่งตลาดใหญ่ขึ้น มีผู้คนหลากหลายมากขึ้น เราก็ต้องค่อย ๆ เรียนรู้ ค่อย ๆ ทำไปเรื่อย ๆ แต่ก็ยังไม่ทิ้งแฟนคนไทย เหมือนว่าเขาก็เติบโตมากับเรา ยังไงเสร็จสิ้นการอัดทั้งหมดต้องมีเพลงไทยให้แฟนเพลงคนไทยอยู่แล้ว
เฟิด: ยังไม่แน่ใจว่าจะรูปแบบไหน
พอทำเพลงภาษาอังกฤษและออกไปทัวร์เมืองนอก ได้ feedback ยังไงบ้างจากคนที่ไม่รู้จักเพลงของ Slot Machine มาก่อนเลย
เฟิด: จริง ๆ ผลตอบรับก็ค่อนข้างดีมากครับ ก็เลยทำให้รู้สึกว่าบางทีเราคิดเยอะไปเหมือนกัน เราชอบคิดว่าเราเป็นวงจากเมืองไทย จะมีใครรู้จักไหม คนเขาจะชอบไหม แต่กลายเป็นว่า มันเหมือนโลกเล็กลงอะครับ ตอนนี้มันไม่ใช่เรื่องกำแพงภาษาแล้ว ทุกคนพร้อมที่จะเปิดรับในสิ่งใหม่ ๆ แล้วก็มีความสุขด้วยซ้ำที่มีอะไรใหม่ ๆ ให้กับชีวิตเขา เหมือนเราก็เป็นของแปลก เป็นรสชาติแปลกใหม่ของเขา เป็นอินดี้ แบบ เฮ้ย ตั้งแต่เกิดมาทั้งชีวิตไม่เคยรู้จักเลยว่าวงดนตรีจากประเทศไทยเป็นแบบนี้ สำหรับหลาย ๆ คนเลย ทั้งอเมริกา อังกฤษ ทั้งเอเชียที่เราไปมาครับ
แก๊ก: ไต้หวันผมว่าเราทำได้ดีเลยฮะเพราะว่าเราไปมาสี่ครั้งแล้วในรอบสามปี แล้วก็ดีทุกครั้ง
เฟิด: เริ่มมีแฟนคลับเยอะขึ้น เขาเริ่มบินตามมาดูที่นี่ เริ่มเรียนภาษาไทย เรารู้สึกว่าเจ๋งดี แบบ โหย เราไม่ได้คิดไว้ขนาดนั้น แต่ว่ามันกลายเป็นว่าเราทำให้เขาสนใจอะไรที่มันเป็นของไทย ทำให้เขาลงทุนไปเรียนภาษาไทยเพื่อที่จะได้เข้าใจเนื้อเพลง เพื่อที่จะสามารถพูดคุยกับเราได้
ตอนนี้วงดนตรีไทยในไต้หวันบูมมาก แอบสังเกตว่าในทางกลับกัน ถ้าเป็นคนดูไทย วงไหนที่ใหม่มาก ๆ หรือวงฝรั่งที่ไม่รู้จัก เขาจะไม่ได้เปิดใจรับขนาดนั้น
เฟิด: เราก็โดนเหมือนกัน เราก็ทำอะไรไม่ได้เนาะ นอกจากทำสิ่งที่เราพอจะทำได้ คือเราก็ต้องให้เวลาแล้วเราก็พิสูจน์ตัวเองด้วยการทำงาน ด้วยผลงาน อันนี้เรารู้ปัญหา แต่ปัญหานี้มันไม่ได้ถูกแก้ด้วยการตอบคำถาม ใช้เวลาชั่วข้ามคืน หรือการทำอะไรที่มันรวดเร็วขนาดนั้น นั่นก็คือเหตุผลว่าทำไมเราถึงยังทำเพลงภาษาอังกฤษอยู่ เพราะว่าอย่างที่เราบอกคือมันเพิ่งเริ่มต้น มันอาจจะประสบความสำเร็จจริง ๆ เอาชุดที่ 5 หรือชุด 10 หรือตั้งแต่ชุดนี้ก็ได้ มันไม่สามารถมีใครทำนายอะไรได้ แต่ว่าสิ่งที่เราทำได้แน่นอนคือเราทำในส่วนของเราให้ดีที่สุด แล้วผลลัพธ์มันเหมือนคำพยากรณ์ เหมือนการซื้อหวยมากกว่า
แก๊ก: ใช่ครับ ผมคิดว่าการที่คนไม่เปิดรับอะไรใหม่ ๆ เราก็ไม่รู้แล้วว่าเราจะทำยังไง (หัวเราะ) เราก็คิดว่าไม่เปิดรับก็ไม่เป็นไร เหมือนเรายังทำไม่ดีพอมั้ง ถ้าเราทำดีพอเขาก็อาจจะเปิดรับก็ได้
วิทย์: บนความสำเร็จผมว่า ถ้าเราไม่ได้อินกับงานตัวเอง มันก็คงไม่ดีอยู่ดี เหมือนอย่างที่แก๊กบอกว่าเราต้องรู้สึกกับงานตัวเองให้มาก ๆ ไปก่อน ก่อนที่จะถึงตรงนั้น เพราะว่าปลายทางผมกำลังมองว่ามันก็เป็นเรื่องส่วนบุคคลอยู่ดี การที่คนจะไม่เปิดรับอะไรใหม่ ๆ มันก็มีทั่วโลกแหละ หรือคนที่พร้อมจะเปิดรับอะไรใหม่ ก็มีทั่วโลกเหมือนกัน มันก็เหมือนกับว่าสุดท้ายต้องหาวันที่ไปเจอกันจนได้ แต่เราต้องทำตัวให้พร้อมที่จะเจอเขาก่อนมากกว่า
เฟิด: ทำไปเรื่อย ๆ อย่าหลอกตัวเอง
การร่วมงานกับ Brandon Darner โปรดิวเซอร์เพลงดังของ Imagine Dragons เกิดขึ้นได้ยังไง
เฟิด: ส่วนใหญ่จะได้รับการแนะนำมาจากผู้จัดการวงของเราครับ เหมือนเขาก็มีเพื่อน ๆ ในวงการนักดนตรีเนี่ยแหละ อย่างคุณคริสที่เป็นเจ้าของ Karma Sound Studios เขาก็คลุกคลีกับวงการดนตรีในประเทศอังกฤษ เขาก็มีเพื่อน ๆ มาให้เลือก ‘เฮ้ย ยูลองคนนี้ดูไหมล่ะ’ แล้วเราก็ไปฟังงานที่เขาทำว่าเราเจออะไรที่เป็นตัวเองในนั้นบ้าง แล้วมันสามารถที่จะมาพัฒนาร่วมงานกันต่อได้ พอถึงขั้นตอนพูดคุย ส่วนใหญ่เราจะส่งเดโมไปให้เขาฟัง ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคน อย่างคุณสตีฟเขาก็ฟังเดโมอย่างเดียว เขาไม่ฟังงานเก่า ๆ แต่อย่างคุณแบรนดอนเขาก็ไปศึกษางานเก่า ๆ บ้างแล้วพยายามกระเทาะโจทย์ว่าจิตวิญญาณของ Slot Machine คืออะไร เพราะว่าทุกชุดเราก็ทำอะไรที่มันไม่เหมือนเดิมตลอด แต่เขาก็หา core ตรงนั้นเจอ แล้วเขาก็ได้ฟังเพลงชุดใหม่ที่เขารู้สึกว่าเข้ากับรสนิยมเขา ถูกจริตเขา ใส่อะไรเข้าไปในนั้นแล้วมันจะมาช่วยเราได้ ก็เลยตอบตกลง
จุดตั้งต้นของอัลบั้มชุดนี้คืออยากให้มันดูเหมือนการผจญภัยที่ตื่นเต้น
แก๊ก: เป็น experimental ของพวกเราด้วย เป็นสิ่งที่ชอบทำมาตั้งนานมากอยู่แล้ว แต่ไม่มีโอกาส ครั้งนี้ก็มีโอกาสที่เหมาะเจาะที่สุด ผมมั่นใจว่าถ้าเราทำงาน experimental ไปเรื่อย ๆ นะผมว่าคงอยู่วงการนี้ไม่ได้นาน (หัวเราะ) หลาย ๆ อย่างมันเหมือนการได้เจอชีวิตจริง ผมไม่รู้ว่าจะบอกว่าเราจะเก่งหรือแกร่งแค่ไหนก็ตาม พอได้เจอชีวิตจริงมันจะค่อย ๆ เปลี่ยนความคิดเราไปเรื่อย ๆ แต่พอเป็นคุณแบรนดอน คราวนี้เราก็แบบ ไม่เป็นไรเว้ย experimental อะไรก็ได้ ขอแค่ให้มันฟังแล้วมันโอเค มันเจ๋ง ไม่ซ้ำใคร ไม่เคยได้ยินที่ไหน แล้วเราชอบกันเอง แล้วแบรนดอนก็ชอบด้วย แค่นี้ก็พอใจมากแล้ว ด้วยความ professional ของเขาเขาคงไม่แบบ บอกว่าชอบแต่จริง ๆ ไม่ได้ชอบขนาดนั้นหรอก ผมว่านี่เขาชอบจริง ๆ แล้วชอบโดยที่เขาไม่ได้มาเปลี่ยนสิ่งที่เป็นเดโมเลย อันไหนที่ดีในเดโมเขาก็ใช้อันนั้นไปเลย ผมว่าเขาเป็นคนที่รักษา direction ของเพลงได้ดีมาก Slot Machine พอโตมาจุดนึงก็รู้สึกว่า direction เป็นสิ่งสำคัญมากที่ต้องเก็บไว้สำหรับวงดนตรีวงนึง ก็มาเจอกันพอดีเป๊ะเลย โปรดิวเซอร์ก็มีหลายแบบครับ แต่อย่างแบรนดอนไม่ได้พยายามเปลี่ยนเรา มันเป็นสิ่งที่เขาพยายามจะทำให้เพลงมันออกมาเป็นเรามากที่สุด นั่นคือโปรดิวเซอร์ที่ดี เขาจะไม่พยายามบิดไปในทางที่ไม่ควรจะเป็น
เฟิด: 80 เปอร์เซนต์ที่ได้ฟังคือมันมาตั้งแต่เดโมแล้ว
เพลง Slot Machine อัลบั้มนี้จะเป็นยังไง ขอคำจำกัดความ
เฟิด: จริง ๆ เราได้จำกัดแนวทางไว้ในชื่อวงแล้ว ก็คือ Slot Machine มันคือเครื่องนี้เครื่องเดิม แต่ทุกครั้งที่โยก หน้าปัดมันจะเปลี่ยนไป และมันให้ผลลัพธ์ที่คาดเดาไม่ได้ นั่นคือแนวทางของ Slot Machine มันเหมือนกับทุกสิ่งทุกอย่าง มันเป็นแนวความคิดที่คิดแบบนี้ มันเลยทำงานแบบนี้ เรารู้สึกว่าอันนี้มันเล่าได้ดี ก็คือชื่อวง ความหมายของชื่อวงที่แท้จริงว่าทำไมต้องชื่อ Slot Machine
3 เพลงที่เราได้แอบฟังนี่ให้ความรู้สึกว่าไม่เหมือน Slot Machine ที่เคยฟังมาเลย แถมทั้งสามเพลงก็เป็นท่วงทำนอง สไตล์ที่ต่างกัน
แก๊ก: ซึ่งอันนี้ก็ไม่มีใครบอกได้ว่าแตกต่างแล้วมันดีหรือเหมือนกันแล้วมันดี ซึ่งอันนี้มันต่างจากของเดิมไปมาก มันก็เลยไม่มีเหตุผลมากำกับได้เพราะสุดท้ายมันก็ออกมาจาก mindset เดียวกัน จากคนสามคน คุณแบรนดอนเขาก็บอกว่าไม่เป็นไร อย่าไปคิดตรงนั้นมาก ระหว่าง ‘วงอะไรวะ’ กับ ‘โหย ทำก็ทำเหมือนเดิม ไม่เห็นเปลี่ยนแปลงเลย’ เราว่าตรงนี้ไม่ต้องไปคิดมากหรอก ถ้าทำแล้วมันดีมันก็คือใช่ เขาสอนจุดนี้ได้ดีมาก
วิทย์: มันห่างจากของเดิมไกลไปหรอ (FJZ: มันก็ใช่ แต่ไม่ได้ไม่ดีนะ เมื่อกี้ฟังแล้วรู้สึกว่าโคตรดี) อ๋ออออ
ถึงแนวดนตรีจะไม่เกาะกลุ่มกัน บางคนเลยใช้วิธีให้เนื้อเพลงเล่าเรื่องคอนเซ็ปต์เดียวกัน อัลบั้มชุดนี้จะเป็นแบบนั้นหรือเปล่า
เฟิด: ก็เป็นส่วนหนึ่งที่เกาะกันครับ สิ่งที่เราอยากจะพูดถึงก็ยังเป็นมุมมองของเราอยู่ มันก็อาจจะเป็นสิ่งหนึ่งที่สามารถเชื่อมโยง 15 ปีนี้ได้ ก็คือความคิดในเนื้อหาของเพลงที่มันฟังออกอะว่ามันเป็นมุมของ Slot Machine มันมีความเป็นไซไฟ มีความเป็นพุทธ เป็นธรรมะกับจักรวาล มีบางมุมที่เป็นขบถอยู่เหมือนกัน มันจะมีบางเพลงที่บอกว่าเบื่อเพลงรัก ไม่มีใครเขามาแต่งว่าเบื่อเพลงรักหรอก แต่ Slot Machine อยากจะทำเพลงที่บอกคนว่าเบื่อเพลงรัก แต่สิ่งที่ร้องอยู่มันดันเป็นเพลงรัก คือมันจะมีความคิดที่ย้อนแย้งกันที่เราชอบเอามาเล่นกับคนฟัง ยกตัวอย่างเช่นเพลง เคลิ้ม ถ้าฟังเฉย ๆ ก็เคลิ้มลอยไปตามเนื้อเพลง แต่ก็ไม่เป็นไร ยังไงก็มีความรัก ถ้าคุณพยายาม crack เนื้อเพลงนี้จะพบว่ามันคือการดึงสติเว่ย แบบ การที่คุณอกหักหรือผิดหวังเรื่องใด ๆ ก็ตามในชีวิต แบบอกหักซ้ำซาก มันเพราะว่าคุณไม่มีสติ แต่ถ้าเจอแก่นมันจริง ๆ เรากำลังบอกคุณว่าทำอะไรคุณต้องมีสติ จะได้อยู่กับความเป็นจริง คนต่อไปคุณก็จะไม่ชอบเขาแค่ว่าเขาสวย อะไรที่เคยพลาดมาจะมีสติมากขึ้น ประมาณนี้ ถึงบอกว่ามันเป็นสัจธรรมนิดนึง
จะมีทั้งหมดกี่เพลงและจะปล่อยเมื่อไหร่ ขั้นตอนไปถึงไหนแล้ว
เฟิด: เราเปรียบเทียบเหมือนเทอมการศึกษาละกัน เทอมแรกทำกับคุณแดเนียลที่เคยร่วมงานกันในชุด Rainbow มี 4 เพลง ของคุณแบรนดอนนี่เป็นเหมือนเทอมสอง มี 7 เพลง แล้วก็เดี๋ยวเทอมสามจะเป็นคุณจัสติน อีก 3-4 เพลง แล้วค่อยมาสรุปอีกทีว่าจะนำเสนอในรูปแบบไหน จะเป็น EP หรืออะไร มันเหมือนกับเรามาคิดทีหลังให้มันเหมาะสมกับยุคสมัยในการปล่อยเพลง เพราะเราก็ศึกษา strategy หลาย ๆ อย่าง อันไหนที่รู้สึกว่ามันจะเป็นไปได้ก็อยากจะทำ อย่างเหมือน สมมติเราเห็นวง Black Pink ออกมาทีละ 2 ซิงเกิ้ล สำหรับเราก็จะคิดว่า เฮ้ย ทำไมเขาคิดอย่างนั้นวะ เราไม่เคยคิดอย่างนั้น แต่สิ่งนี้เรารู้สึกว่าเราปรับตัวไปตามยุคสมัยได้ เพื่อที่สุดท้ายแล้วปลายทางเราจะเสิร์ฟอาหารจานนี้ยังไงให้ถึงคนที่เขาทานได้อย่างที่เราต้องการ ระยะเวลาการปล่อยอยู่ภายในปีนี้จะต้องมีอย่างต่ำสักเพลงนึงให้ทุกคนได้ยิน
จากที่เล่ามาทั้งหมดนี่ก็แอบเป็นวงที่ทำตามใจฉันอยู่เหมือนกันนะ
เฟิด: จริง ๆ การโฟกัสของเรา เรามองโมเดลของ The Beatles หรือ Elvis Presley ที่เราอยากให้คนที่ฟังเราได้มีตั้งแต่เด็กวัยรุ่น ไปจนถึงผู้ใหญ่ สมมติเรากด insight อาจจะเจออายุ 18-50 ไม่ได้คิดเจาะจงว่าจะเป็นกลุ่มอินดี้ แมส มีการศึกษา หรือรากหญ้า เราครอบไว้กว้าง ๆ แล้วพยายามอย่างที่แก๊กเล่าว่าเราทำเพลงที่เราชอบก่อน เราเอาแค่นี้พอ แล้วคนที่เขาชอบเหมือนเราเขาจะมาเอง แล้วเราก็จะเซอร์ไพรส์ด้วยที่แฟนคลับเราส่วนใหญ่เป็นทหาร คุณครู พยาบาล เป็นเด็กนักเรียน บางคนเป็นแม่ฟังตามลูก บางทีลูกฟังตามแม่ มันเป็นสิ่งที่แปลกไหมล่ะ เราก็รู้สึกว่าสนุกดี
ทุกวันนี้คนฟังมีตัวเลือกเยอะขึ้น รู้สึกว่ามันเป็นการทำให้คนเปิดรับสิ่งใหม่ได้มากกว่าเดิม หรือจะเลือกกรองแต่สิ่งที่ตัวเองสนใจ
เฟิด: มันก็ทั้งคู่นะ เรารู้สึกว่าสิ่งหนึ่งที่ได้จากประสบการณ์การไปทัวร์หลาย ๆ ประเทศ ทุก ๆ คนมันมีเบสของตัวเอง อย่างเราไปเจอล่าสุดเป็นวงอินดี้ไต้หวันในตำนาน ประมาณ Modern Dog บ้านเขา แล้วการเพอร์ฟอร์มเขามีงิ้ว มีนั่นโน่นนี่ อะไรที่ tradiotional ของเขา แล้วเขาก็มีแฟนเบสด้วย เราก็เลยได้คำตอบว่า ทำอะไรก็ได้เว่ยที่ตัวเองชอบแล้วคิดว่ามันดี มันมีคนรอที่จะเสพอยู่ เราจะเห็นวัฒนธรรมนี้ชัด ๆ ก็ในญี่ปุ่น มันเลยเกิดแฟรนไชส์ AKB48 ในหลาย ๆ ประเทศ เป็นวงที่เป็นไอดอล เป็นโมเดลที่มันไม่เหมือนใคร แต่มันมีกลุ่มลูกค้า มีคนเสพ เรารู้สึกว่าอันนี้แหละ ทำอะไรก็ได้ที่เป็นตัวคุณที่คุณชอบ เดี๋ยวคนที่ชอบเหมือนคุณจะมาเอง
แก๊ก: ผมคิดว่ามันเป็นข้อดีที่ทุกคนเข้าถึงในสิ่งที่ตัวเองชอบได้แบบทั่วโลก ถ้าคุณรู้สึกว่ามันไม่ดีพอคุณก็ไปชอบอย่างอื่นได้ แต่ถ้าที่เขาชอบมันดีอยู่แล้ว เขาก็ชอบสิ่งนั้นต่อไป
กำลังจะได้ร่วมงานกับวงต่างประเทศครั้งแรก Mayday
เฟิด: อันนี้เป็นสิ่งที่แปลกที่สุดใน 15 ปีของ Slot Machine เพราะเราไม่เคยร่วมงานกับใครเลย (หัวเราะ) นี่ก็มีโอกาสได้ร่วมงานกับวง Mayday เป็นเหมือนพี่เบิร์ด ดังมากระดับท็อปที่บ้านเขา
แก๊ก: คือคนที่มีเชื้อสายจีนจะรู้จักวงนี้ทุกคน
วิทย์: งานจัดที่สิงคโปร์ก็ต้องเพิ่มรอบเป็นสองรอบ
เฟิด: เราก็มีโอกาสไปร่วมงานกับเขาทำเพลงเพลงนึงครับ ไปบันทึกเสียงเสร็จละ เดี๋ยว mv จะออกสัปดาห์หน้านี้มั้ง แล้วก็เปิดโอกาสให้เขาด้วย พอ Slot Machine ไปก็ไปเพิ่มงานให้เขา คือเขาก็มีโอกาสได้ร้องเพลงภาษาอังกฤษเป็นครั้งแรกในชีวิตด้วย
เหลือสมาชิกกันแค่สามคนส่งผลกระทบกับวงยังไงบ้าง
เฟิด: จริง ๆ หลาย ๆ ด้านครับแต่เป็นด้านที่ดีมากกว่า เรากับออโต้ก็รู้จักกันมาเป็นสิบปี แล้วการที่เราแยกทางกันมันไม่ได้ว่าเราแยกทางเพราะเกลียดกัน เราตัดสินใจคนละอย่างละ เราก็รู้สึกว่า โอเค เราก็โตกันแล้ว เพราะงั้นเราก็ควรจะเคารพในเส้นทางชีวิตที่แต่ละคนจะเลือกไปละ เพราะหลังจากนี้การที่เราสามคนเลือกเส้นทางนี้ไม่ได้เลือกแค่ว่าจะทำ 5-10 ปี ต้องบอกตรง ๆ เราก็คงจะทำอย่างนี้ไปจนกว่าจะทำไหวมั้ง แล้วแบบนี้มันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่โต้เขาเลือก ก็ไม่เป็นไร
แต่การทำงานมันเป็นการที่หลาย ๆ คนรู้สึกว่าเป็นวิกฤต เพราะวงที่อายุประมาณ 15 ปีแล้วมันมีการเปลี่ยนแปลงสมาชิก มันเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่มาก ใหญ่จริง แต่เราก็ให้มันเป็น turning point แง่บวกมากกว่า เป็นโอกาสให้เราได้กระเถิบตัวเองจากคนที่เป็นนักร้อง มือเบส มือกีตาร์ ได้มาใส่ใจรายละเอียดของกลองมากขึ้น ได้มีส่วนร่วมกับการคิดในองค์รวมมากขึ้น ซึ่งจริง ๆ เป็นสิ่งที่เราทำอยู่แล้วตั้งแต่ตอนที่ออโต้เขาอยู่ อันนี้ก็เหมือนเป็นการลดคนไปแต่งานเหมือนเดิม ความรับผิดชอบก็มากขึ้น แต่สิ่งที่เราได้กลับมาคือความสร้างสรรค์ที่ทำให้เรามีโอกาสได้ไปต่อในสิ่งที่ได้ยินเหมือนกัน ว่ามันใหม่ไปเลยนะ แต่เราก็ยังสนุกกัน ในมุมนึงก็เหมือนกับเราได้เริ่มต้นใหม่ในการจากลา
PART II : The Producer
ก่อนจะได้มาเป็นโปรดิวเซอร์ให้ Slot Machine เคยรู้จักพวกเขามาก่อนไหม
ไม่เคยเลยครับ การได้มาร่วมงานกับพวกเขาคือคริสที่เป็นเจ้าของ Karma Sound Studios เนี่ยติดต่อมา แล้วถามว่าผมสนใจวงจากประเทศไทยวงนี้ไหม ผมก็ลองฟังเดโม่ของพวกเขา คือผมเลือกที่จะฟังเพลงของวงที่เขาอยากให้ผมไปโปรดิวซ์ให้ก่อนมากกว่าที่จะสนใจว่านี่คือวงอะไร จากนั้นผมเลยลองหาเพลงก่อน ๆ ของพวกเขามาฟังเพราะอยากรู้ว่าทำไมเขาถึงอยากให้ผมทำให้ เฉพาะกับแค่ตัวเพลงจริง ๆ ไม่เคยมีเรื่องชื่อเสียงวงมาเกี่ยวข้อง แล้วพอผมชอบเพลงผมถึงจะหาประวัติของพวกเขาต่อ จากนั้นก็มาคุยกันว่าจะทำงานกันยังไง ก็ได้ความว่าให้ผมบินมาหา สุดท้ายผมก็มาอยู่ที่นี่ครับ
ตอนแรกเริ่มที่จะได้ทำเพลงของวง คุณอยากจะทำอะไรใหม่ ๆ หรืออยากรักษาความเป็นวงไว้
ผมไม่ได้เปรียบเทียบเพลงยุคก่อนกับเพลงใหม่ของพวกเขา เพราะผมได้ฟังเดโม่ก่อนเป็นอันดับแรก แล้วเดโม่สามเพลงที่ส่งมาก็มีความแตกต่างกันทั้งหมด เลยทำให้ผมรู้สึกว่าพวกเขาก็กล้าทำอะไรเยอะเหมือนกันนะ ดูไม่ค่อยสนใจว่าเพลงในอัลบั้มจะต้องมีซาวด์แบบเดียวกัน ซึ่งผมชอบความคิดนี้ครับ ผมเคยเชื่อว่าอัลบั้มนึงเพลงจะต้องไปในทิศทางเดียวกันหมด เพราะหลายคนเขาคิดแบบนั้น แต่เพลงที่ดีหลาย ๆ เพลงก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นเสมอไป ลองนึกถึงอัลบั้มอย่าง Abbey Road ของ The Beatles ที่หลายคนคิดว่ามันเป็นอัลบั้มที่ดีที่สุดตลอดกาล ในอัลบั้มนั้นมีเพลงอย่าง Come Together อยู่ แล้วก็มีเพลงแบบ Something ซึ่งทั้งสองเพลงนี่ซาวด์แทบจะไม่เหมือนกันเลย หลาย ๆ เพลงที่อยู่ในนั้นก็ไม่น่าจะอยู่ในอัลบั้มเดียวกันได้ด้วยซ้ำ แต่มันเป็นเพลงที่ดีหมดเลย แค่นั้นก็น่าจะพอแล้วใช่ไหมครับ
นั่นแหละ ไอเดียที่ทำให้เพลงแต่ละเพลงไม่เหมือนกันเลยเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นสำหรับผมเหมือนกัน ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร โปรดิวเซอร์คนอื่นอาจจะคิดว่า ‘โอ้ ฉันชอบเพลงนี้มากนะ แต่ฉันอยากให้มีเพลงที่ซาวด์เหมือนกับเพลงนี้อยู่ด้วยจัง’ ซึ่งผมไม่คิดอย่างนั้น หลังจากที่ผมคุ้นชินกับเพลงใหม่ของพวกเขาผมถึงจะไปลองฟังเพลงเก่าหลาย ๆ เพลง เพื่อจะได้เข้าใจว่า เขาอยากให้มันไม่เหมือนเดิมจริง ๆ ไม่ได้เพราะผมอยากให้มันต่างไปจากเดิม แต่เพราะเพลงที่เขาร่างมามันไม่เหมือนอัลบั้มเก่า ๆ อยู่แล้ว
แต่คิดจะให้มันมีจุดเชื่อมโยงกันสักหน่อยไหม
ผมคิดว่าสิ่งที่จะทำให้มันอยู่ด้วยกันได้คงเป็นเรื่องคุณภาพของเพลงที่ออกมาครับ คุณต้องคาดหวังให้ทุกเพลงออกมาได้คุณภาพในระดับที่เท่ากัน แล้วผมคิดว่าอัลบั้ม Abbey Road ซาวด์เอนจิเนียร์ โปรดิวเซอร์ คนที่มีส่วนร่วมในอัลบั้มนี้ต้องคิดแบบเดียวกัน หรืออัลบั้ม Dark Side of the Moon ของ Pink Floyd ก็เช่นเดียวกัน มันสามารถรวมอยู่ด้วยกันได้เพราะเขาตั้งใจให้คุณภาพของทุกเพลงออกมายอดเยี่ยม ไม่ใช่ว่าเพลงนี้อัดในโรงรถ ซาวด์แย่มาก ฟังไม่ได้เลย ส่วนอีกเพลงอัดในสตูดิโอราคาล้านเหรียญ ใช้เครื่องสายออเคสตร้างี้ มันจะมีแกนหลักอยู่ว่างานนี้คุณอยากให้มันออกมาเป็นแบบไหน ผมคาดหวังให้ทุกเพลงได้คุณภาพเท่า ๆ กัน ดึงเอาความสามารถของวงออกมา และทำให้โปรเจกต์ลุล่วงไปด้วยดี นั่นเป็นสิ่งที่ผมทำเวลาผมร่วมงานกับวงต่าง ๆ อยู่แล้วครับ วิธีนี้ผมคิดว่ามันน่าจะช่วยให้ทุกเพลงอยู่รวมในอัลบั้มเดียวกันได้
เคยร่วมงานศิลปินต่างชาติมาก่อนหรือเปล่า
ก็เคยทำงานกับศิลปินต่างชาตินะครับ แต่เขาเกิดในอเมริกา… ผมเคยทำงานกับวงจากอังกฤษ แต่มีสมาชิกบางคนที่เป็นเอเชียน นี่น่าจะเป็นครั้งแรกจริง ๆ ครับที่ทำงานกับวงจากประเทศไทย
เคยตั้งแง่กับความสามารถของวงที่มาจากต่างประเทศไหม
เคยคิดนะครับ แต่มันก็บอกได้จากเพลงที่เขาส่งมาให้ฟังแต่แรกแล้วนะ ซึ่งพอผมได้ฟังเพลงของพวกเขาแล้วก็รู้สึกว่ามันเจ๋งดีเพราะเป็นวงที่มาจากประเทศไทยด้วย แล้วดนตรีมันมีความเป็นสากล มันก็ทำงานตามฟังก์ชันของมันที่ทุกคนจะเข้าใจมันได้แหละ แต่เผอิญว่าเพลงของ Slot Machine ดันเป็นเพลงที่ดีด้วยเนี่ยสิ ผมเลยแทบไม่รู้สึกว่านี่จะเป็นการทำงานที่ยากถ้าต้องร่วมงานกับวงจากประเทศไทยวงนี้ แล้วมาจนถึงตอนนี้ก็ได้เจอวง ทุกคนพูดภาษาอังกฤษได้ดี แต่แค่จะมีการสื่อสารที่ผิดพลาดบ้างนิด ๆ หน่อย ๆ อย่างวิทย์เขาคิดว่าเขาพูดภาษาอังกฤษไม่เก่ง แต่จริง ๆ แล้วเขาพูดเก่งกว่าที่เขาคิดอีก อันที่จริงการพยายามจะสื่อสารให้ได้ใจความที่ตรงกันเป๊ะ ๆ เป็นเรื่องที่ท้าทาย ดังนั้นเคล็ดลับที่จะทำให้ลุล่วงไปได้ก็คือเวลาเราพูดเรื่องเพลง เราจะใช้การเปรียบเทียบ เรามี reference แล้วก็ชอบอะไรตรงกันหลายอย่าง หรือบางทีก็ใช้การสื่อสารด้วยภาษาดนตรีซึ่งมันจะต่างจากการสื่อสารด้วยภาษาทั่วไป ซึ่งมันเวิร์กนะครับ แม้ว่าพวกเขาจะมาจากประเทศไทยแต่ผมไม่ได้รู้สึกว่ามันยากเกินไปเลย
กลัวว่าสไตล์การทำงานของที่นี่จะต่างจากวิธีการทำงานของคุณจนเป็นอุปสรรคหรือเปล่า
ผมถ่ายทอดวิธีการทำงานของผมให้วงเข้าใจ แต่ไม่ได้พยายามให้วงมาทำงานเหมือนผมซะทีเดียว สิ่งที่ทำแน่ ๆ คือผมอยากให้การทำงานลุล่วง ผมเลยต้องใช้เวลา 2-3 วันทำ pre production กันก่อนที่จะเข้าสตูดิโอ ทำความรู้จักกับวง การทำงานในเพลงใหม่เราก็ใช้เวลาด้วยกันในสตูดิโอ มีการปรับตัวอะไรกันนิดหน่อย จากตรงนั้นก็เลยทำให้สามารถกำหนดขั้นตอนการทำงานได้จากการที่ผมเรียนรู้พวกเขา จากที่ร่วมงานกันก็ไปได้สวยครับ ทุกคนดูมีความสุขดี
ที่บอกว่ามีความสนใจตรงกันนี่อย่างเช่นอะไรบ้าง
เราคุยกันเรื่องเพลงที่พวกเขาฟังครับ ผมแก่กว่าพวกเขานิดนึงแต่ก็ไม่ได้ห่างกันจนต่อกันไม่ติด พวกเราฟัง The Beatles โตขึ้นมากับ U2 แก๊กกับเฟิดก็ฟังเฮฟวี่เมทัล ผมก็ด้วย ดังนั้นเราก็มีความสนใจในเพลงคล้าย ๆ กัน เวลาทำงานกับวงเราจะต้องมี reference ถูกไหมครับ ชอบฟังอัลบั้มไหน ก็บอกได้ว่าพวกเขาได้อิทธิพลจากวัฒนธรรมตะวันตกมาพอสมควร เราดูหนังคล้าย ๆ กันอย่าง ‘Star Wars’ ก็จูนกันติดจากตรงนั้นครับ
สำหรับคุณแล้วภาษาไม่ใช่ปัญหาในการทำงาน แต่สำหรับเพลง การที่ไม่ใช่เจ้าของภาษา การเขียนเนื้อเพลงอาจจะไม่ได้สละสลวยจนสามารถเข้าถึงความรู้สึกของคนฟังต่างประเทศ พวกคุณแก้ปัญหานั้นยังไง
เนื้อเพลงผมให้คนทางฝั่งผมช่วยดูให้ครับ เราก็คุยกันถึงเนื้อหาของเพลงที่วงอยากจะให้เป็น แล้วก็มาดูกันว่าจะสื่อสารไอเดียนั้นออกมายังไงให้ดีที่สุด แล้วผมก็นึกถึงบางคำขึ้นมา หลาย ๆ ครั้งมันก็ไม่ใช่ภาษาที่พวกเขาไม่เข้าใจ แต่ก็จะมีบางครั้งที่เราเปลี่ยนจากการใช้คำนี้เป็นอีกคำ เพราะมันทำให้ความหมายของสิ่งที่ต้องการจะสื่อชัดเจนขึ้น แม้ว่าบางเพลงก็คิดว่าจะทำเป็นเวอร์ชันภาษาไทยด้วยเหมือนกัน แต่เพราะเราทำอัลบั้มเป็นภาษาอังกฤษ ผมก็ยังอยากจะมั่นใจได้ว่าพอเพลงนี้ร้องมาเป็นภาษาอังกฤษแล้วคนตะวันตกจะรู้สึกเชื่อมโยงถึงได้ด้วย ไม่อยากให้เป็นแค่ เออ ร้องภาษาอังกฤษนะ แต่บริบทของคำมันไม่ใช่ แต่ผมคิดว่านั่นไม่ได้เป็นปัญหาขนาดนั้นเหมือนกันครับ
ซึ่งไอเดียของเพลงในอัลบั้มนี้จะเป็นยังไง
มีคนบอกว่าวงนี้เขาชอบเอเลี่ยนกันนะ ชอบอะไรต่างดาว ๆ เพลงของพวกเขามีความไซไฟแต่ไม่ได้นำเสนอมันออกมาตรง ๆ ผ่านเพลง ส่วนตัวแล้วผมคิดว่าเนื้อเพลงในชุดนี้จะมีความดาร์กกว่างานก่อน ๆ แล้วก็มีสองเพลงที่เล่าถึงเรื่องเฉพาะ อย่างเพลงนึงจะพูดถึงความสัมพันธ์ที่พังลง และคุณจะรู้สึกว่าตัวเองโดดเดี่ยวแม้จะอยู่ในเมืองที่รายล้อมโดยผู้คนมากมาย มันเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่เคยเขียนขึ้นมาครับ ดังนั้นแล้วโทนของเนื้อเพลงก็จะไม่เหมือนกับชุดก่อน ๆ เช่นกันกับดนตรี
เคยเครียดไหม บางทีที่แฟนเพลงอยากฟังอะไรในแบบที่เขาเคยได้ฟังจากวง ๆ นึง แล้วพอคุณมาโปรดิวซ์ก็ทำให้มันเปลี่ยนไป
ไม่ครับ ผมว่าบางครั้งแฟน ๆ ไม่รู้ว่าเขาชอบอะไรจนกว่าคุณจะลองมอบสิ่งนั้นให้เขา ผมว่าตอนนี้คนทั้งโลกเชื่อมต่อกันด้วยโซเชียลมีเดีย ผมจะยกตัวอย่างให้ฟัง ในความคิดผมนะ มันมีข้อเสียของการที่นักดนตรีพยายามจะใกล้ชิดคนฟังมากเกินไป สิ่งที่นักดนตรีเก่ง ๆ เขามีคือการทำตัวให้ลึกลับเข้าไว้ อย่าง David Bowie หลายคนจะไม่ค่อยรู้ว่าจริง ๆ แล้วโบวี่เขาเป็นคนแบบไหนกันแน่ นั่นเป็นผลดีกับเพลงของเขามาก ๆ เพราะเขาชอบลองสิ่งใหม่ ๆ และตราบใดที่เราไม่ได้รู้จักเขาดีขนาดนั้น เขาก็สามารถเป็นคนอื่นไปได้เรื่อย ๆ ในงานต่อ ๆ ไปของเขา มันน่าตื่นเต้นออกว่าตอนที่อัลบั้มจะออก คนจะมานั่งเดาว่า รอบนี้จะออกมาเป็นยังไงนะ หรืออย่าง Pink Floyd ไม่เคยสร้างจินตภาพที่เกี่ยวกับผู้คนเลย เขาโฟกัสแต่กับดนตรีกับโลกที่เขาสร้างขึ้นมา วงอย่าง Tool ที่เป็นฮาร์ดร็อก เฮฟวี่เมทัล เขาก็ทำตัวลึกลับ ไม่เคยปรากฏตัวอยู่ในมิวสิกวิดิโอเลย
ผมคิดว่าถ้าศิลปินมาอยู่บนโซเชียลมีเดียตลอดเวลา คอยถามว่าแฟน ๆ อยากที่จะเสพอะไร ท้ายที่สุดแล้วคนที่จะผิดหวังเองก็คือแฟนเพลงนั่นแหละ ถ้าคุณก็อยากที่จะลองทำอะไรใหม่ ๆ ด้วย ให้ซาวด์เพลงของคุณเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ถ้าคุณรู้ว่าสิ่งที่คุณกำลังจะทำมันเป็นเรื่องดี มันก็คุ้มถ้าคุณจะเสี่ยง นั่นแหละคือความเป็นศิลปินครับ ศิลปะคือความเสี่ยง (artist = art is risk) การเข้าใจธรรมชาติของความเสี่ยงคือ มันก็มีโอกาสที่จะล้มเหลวอยู่แล้วล่ะครับ แต่ผมว่าเพลงของพวกเขามันเจ๋งมาก ผมไม่คิดว่ามันจะล้มเหลวหรอก มันแค่ใหม่ไง เราไม่สามารถมัวแต่นั่งคิดว่าคนอยากจะฟังอะไร แต่เรารู้ได้ว่าเราอยากจะทำอะไร แล้วคนก็ไม่ค่อยมามีท่าทีอะไรกับคุณหรอกเมื่อคุณทำตามสิ่งที่พวกเขาอยากได้จริง ๆ เขาจะฟังคุณก็ต่อเมื่อคุณพูดออกมาจากข้างในของคุณ
นั่นแหละครับ ผมเลยไม่กังวลว่าพวกเขาอยากได้อะไร เพราะเราต้องท้าทายกับความคิดของตัวเองว่าต้องทำอะไรให้ใหม่แต่แฟนเพลงก็ยังรู้สึกชอบได้ วงในตำนานเขาคิดแบบนี้กันทั้งนั้น The Beatles ไงที่เป็นแบบนี้ ตอนพวกเขาทำอัลบั้ม Sgt. Pepper’s Lonely Hearts Club Band พวกเขาไว้หนวด แต่งตัวไม่เหมือนเดิม มันเกิดจากการที่ Paul McCartney มีไอเดียว่าจะเป็นยังไงถ้า The Beatles ไม่ใช่ The Beatles ในอัลบั้มนี้ ถ้าเป็นพวกคนในค่ายหรือผู้จัดการวงอาจจะบอกว่า ‘อย่าทำนะโว้ย’ แต่ตอนนี้อัลบั้มนั้นก็กลายเป็นอีกหนึ่งในอัลบั้มที่ยอดเยี่ยมตลอดกาล บางทีเราต้องหัดออกจากเซฟโซนบ้างครับ คุณอาจจะล้มเหลวแต่คุณก็ได้ทำมัน คุณได้เกิดการเปลี่ยนแปลง และถ้ามันดีจริงผู้คนก็จะได้รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงนั้น
คิดว่า Slot Machine จะทำได้ไหม
ได้แน่นอนครับ นั่นคือสิ่งที่ศิลปินที่เก่งจะต้องทำ คือการก้าวไปข้างหน้า หลายศิลปินสามารถเก่งกว่าที่เป็นอยู่ได้นะ แต่พวกเขาไม่กล้าที่จะทำอะไรนอกกรอบ พวกเขาเลยไม่มีวันที่จะมาเป็นผู้ยิ่งใหญ่ รู้จักบางวงที่มีแต่ one hit wonder ไหม แบบดังมาก ๆ อยู่เพลงเดียวตลอดชีวิตการเป็นศิลปิน พวกเขาพยายามจะทำเพลงฮิตอีกเพลง แต่เพลงที่ทำออกมาซาวด์ไม่ได้ต่างจากเพลงแรก มันเลยไม่ปัง เพราะมันไม่เปลี่ยน เหมือนเวลาคุณดูหนังภาคต่อห่วย ๆ ที่เส้นเรื่องไม่ได้เล่าเรื่องต่างไปจากภาคแรก ไม่มีพัฒนาการตัวละครใด ๆ แต่ลองนึกถึง ‘Star Wars’ สิ ตอนมันออกมานี่แทบจะเป็นการปฏิวัติวงการภาพยนตร์ไปตลอดกาล เป็นหนังดังที่ยังอยู่ในใจคนทุกวันนี้ มันประสบความสำเร็จมากเมื่อเขาตัดสินใจจะทำภาคต่อ และภาคต่อไม่ได้เหมือนอะไรกับภาคแรกเลย ดาร์กกว่ามาก ภาคแรกจบแฮปปี้ ภาคสองจบไม่แฮปปี้เงี้ย ตัวละครหลักโดนตัดแขน เพื่อนโดนจับตัวไป ต้องไปตามดูต่อว่าจะเกิดอะไรขึ้นในภาคสาม มันมีความเสี่ยงมากนะครับที่จะทำอะไรแบบนั้น แต่พวกเขาได้ให้อะไรใหม่ ๆ กับคนดู ดังนั้นแล้วผู้คนเลยชอบมัน แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะชอบมันในทันที มันต้องใช้เวลากว่าจะตกหลุมรักมัน เราไม่จำเป็นจะต้องตัดสินงานชิ้นนึงตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ฟัง อาจจะใช้เวลาเป็นเดือน หรือหลายปี งานศิลปะดัง ๆ เป็นแบบนั้น ซึ่งกว่างานนั้นจะดังบางทีศิลปินก็ตายไปแล้ว แต่สุดท้ายมันก็พิสูจน์ได้ว่าเป็นงานที่ดี
มันก็แอบยากนิดนึงเวลาถามว่ากลุ่มเป้าหมายหรือแฟนเพลงของ Slot Machine คือใคร แบบนี้มันก็ดูจะเป็นปัญหาไม่น้อยกับทีม marketing ที่จะเลือกโปรโมตกับใครหรือเปล่า
แต่ไม่ใช่ว่าแฟนเพลงของ Slot Machine ที่ฟังตั้งแต่งานแรก กับอัลบั้มล่าสุดเป็นกลุ่มเดียวกันหรอ (FJZ: ไม่ค่อยเป็นกลุ่มเดิมแล้วนะ) ว่ากันตามตรงคือเพลงมันก็เปลี่ยนแหละ แต่ครั้งแรกสุดที่พวกเขาปล่อยเพลงออกมามันเมื่อกี่ปีที่แล้วล่ะ ปี 2006 หรือเปล่า สิบกว่าปีแล้วนะ สมมติถ้าคุณอายุ 14 ตอนที่มันออกมาใหม่ ๆ แล้วคุณชอบมัน ตอนนี้คุณอายุ 24 คุณอาจจะเป็นคนละคนกับตอนนั้นแล้ว บางทีคุณอาจจะมีลูกแล้วด้วย ถ้าพวกเขาทำอัลบั้มตอนที่คุณอายุเท่านี้ แต่ซาวด์ดนตรีอะไรต่าง ๆ เหมือนกับสิ่งที่พวกเขาทำเมื่อตอนคุณอายุ 14 คุณจะชอบมันไหม คุณก็คงไม่ชอบมันใช่ไหม นั่นแหละ แต่กับแฟน ๆ อาจจะเป็นแบบ ‘เอ๊ย อยากให้ทำเพลงเหมือนเดิมจังเลย’ เอาเข้าจริงคุณอาจจะไม่ได้ต้องการให้มันเป็นแบบนั้นก็ได้ เพราะคุณไม่ใช่คนเดิมแล้ว คุณมีปฏิกิริยาต่อแต่ละสิ่งรอบตัวต่างไปจากตอนคุณเด็ก ๆ แน่นอน คุณฉลาดและเฉลียวมากกว่าที่คุณเคยเป็น คุณมีความสามารถที่จะวิเคราะห์สิ่งต่าง ๆ ที่ซับซ้อนได้ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน พวกเราทุกคนต้องโตครับ
แต่มันก็มีบางคนที่ชอบยึดกับอะไรเดิม ๆ จริง ๆ นะ
มันก็เป็นทุกคนแหละครับ พวกเขาคือคนที่รักวงแบบที่ อาจจะไม่เคยฟังเพลงทั้งหมดที่สามารถบอกตัวตนของวงนั้นเลยก็ได้ พวกเขาแค่ชอบบางสิ่งบางอย่างของวงเท่านั้น และถ้าได้ฟังจนครบพวกเขาอาจจะผิดหวังก็ได้ เพราะสิ่งที่เขาชอบมันแคบมาก ก็น่าเศร้าที่นั่นเป็นวิธีที่คนบางคนฟังเพลง แต่ศิลปินก็เหมือนเราที่ต้องเติบโตขึ้น นั่นคือเหตุผลที่ทำไมผมถึงยกตัวอย่าง The Beatles ตลอดเวลา พวกเขาก็เติบโต แฟนเพลงของพวกเขาก็เติบโต วงออกมาตอนปี 1964 แล้วร้องเพลง She Loves You เย้ เย เย แต่พอปี 1969 เกิดสงครามเวียดนาม คนออกมาประท้วงกัน วงก็อายุสามสิบกว่าแล้วตอนทำอัลบั้มสุดท้าย สิ่งที่พวกเขามองโลกมันกว้างขึ้นมาก พวกเขาคำนึงถึงสิ่งต่าง ๆ รอบตัวมากกว่าจะมานั่งพูดเรื่องจีบสาวหรือการตกหลุมรัก แฟน ๆ ของพวกเขามีลูกกันหมดแล้ว พวกเขาเองก็มีลูก ดังนั้นสิ่งที่พวกเขาคิดก็ต้องไม่เหมือนเดิม
เป็นธรรมดาที่เพลงจะสะท้อนสิ่งที่คุณเป็น หรือส่ิงที่อยู่ในใจคุณ สิ่งที่คุณเป็นจริง ๆ ตอนนี้คือคุณที่อายุ 24 แล้วคุณคงไม่อินกับการพูดเรื่องตกหลุมรักครั้งแรกหรอกจริงไหม และคุณก็ไม่สามารถร้องเพลงนั้นโดยที่มีความรู้สึกแบบเดียวกันตอนอายุ 30 ได้ ทุกอย่างเปลี่ยนไป และคุณก็ต้องมองหาสิ่งใหม่ ๆ เพื่อจะเขียนถึง ยิ่งคุณโตขึ้นชีวิตก็ยิ่งซับซ้อนขึ้น ดนตรีจะสะท้อนความซับซ้อนนั้น แต่แน่นอนว่ามันจะมีคนที่ไม่ชอบมันแหละ นั่นคือความคิดที่ผมมีต่อดนตรีว่าธรรมชาติของมันทำงานยังไงน่ะนะ
อะไรคือจุดแข็งของ Slot Machine และคุณถ่ายทอดสิ่งนั้นออกมาเป็นเพลงของพวกเขายังไงบ้าง
ผมชอบสิ่งที่พวกเขาเขียนถึง เป็นไอเดียที่ซับซ้อนซึ่งต่างจากงานก่อน ๆ ที่พวกเขาเคยแต่ง เนื้อเพลงซับซ้อนขึ้น แต่มีความ emotional มากขึ้นด้วย เหมือนพวกเขากล้าจะเปิดใจถ่ายทอดความรู้สึกนั้นออกมา อาจจะแค่กับผมนะ อันที่จริงไม่ได้จะเปรียบเทียบแต่ผมรู้สึกแบบนั้นได้จากเพลงของพวกเขา ทุกเพลงใหม่ที่ทำออกมามันเขยิบห่างไปจากสิ่งเดิมที่เคยทำอยู่ตลอด
จากที่ได้ฟัง 3 เพลงใหม่นี้เรารู้สึกว่าเพลงมีความ industrial และมีความอิเล็กทรอนิกเยอะมาก ได้แรงบันดาลใจจากอะไร
พวกนั้นมันมาตั้งแต่ในเดโม่ที่แก๊กส่งมาให้ฟังแล้วครับ มีอยู่เยอะมาก แล้วเราก็ทำให้มันบ้าคลั่งกว่าเดิม อะไรที่คิดว่าทำออกมาแล้วเจ๋งก็จะพยายามไปให้สุดครับ
อะไรคือสิ่งที่ทำให้คุณกลายเป็นโปรดิวเซอร์ที่ประสบความสำเร็จ
คือการคิดเสมอว่าคุณยังไม่ประสบความสำเร็จ อันดับแรกผมไม่ค่อยมานั่งคิดว่าทำเพลงฮิตไปแล้วกี่เพลง ผมแค่คิดว่าตอนนี้ควรจะทำอะไรกับสิ่งที่มีอยู่ในมือ ตอนนั้นผมเริ่มทำเพลงอยู่ในห้องนอน ทำเพียงเพราะอยากจะให้เพลงออกมาเป็นรูปเป็นร่าง แค่คิดว่าวันนึงจะต้องมีคนสนใจมัน ไม่ได้คิดว่าจะต้องได้เงินจากมันเท่าไหร่ นั่นทำให้ผมได้มาที่ประเทศไทย ได้ทำเพลงให้ Slot Machine ผมได้เดินทางไปหลาย ๆ ที่ในโลกก็เพราะเพลง การทำเพลงทำให้ผมได้เจอสิ่งใหม่ ๆ ได้เผชิญกับโลก ถ้าไม่มีดนตรีผมก็คงไม่มีโอกาสทำอะไรแบบนี้ หรือผมอาจจะไม่มีงานเลยก็ได้ คือคนอย่างผมคงไม่มีวันที่จะเป็นนักธุรกิจอาศัยการบินไปคุยงานต่างประเทศเพื่อท่องเที่ยวอะ
ดังนั้นมันเจ๋งครับที่ทำให้ผมมาที่นี่ได้ แต่ก็ไม่ใช่แค่ว่าผมมานั่งบอกว่าผมเป็นโปรดิวเซอร์ที่เก่ง ทำเพลงให้เสร็จ ๆ แล้วบินกลับไป ผมมักจะคิดตลอดว่าต่อไปจะต้องทำอะไร และทำให้มันดี ผมคิดว่าเมื่อไหร่ที่คุณคิดว่าคุณประสบความสำเร็จแล้ว เมื่อนั้นล่ะคุณจะเริ่มทำเพลงห่วย ๆ ออกมา ผมเจอหลายเพลงที่ประสบความสำเร็จ แล้วคนเขียนก็รู้สึกว่าการเขียนเพลงให้ดีมันไม่จำเป็นต่อไปแล้ว เริ่มไม่อยากทำเพลง โดยที่พวกเขาลืมไปว่าเพลงน่ะให้ชีวิต ให้โอกาสพวกเขานะ ดนตรีไม่ใช่หนทางสู่ความสำเร็จของผมหรอก ผมแค่อยากทำเพลง ไม่ได้คิดว่าทำแล้วจะได้เดินทาง ไม่ได้คิดว่าทำแล้วชีวิตจะสบายขึ้นหรือมีเงินใช้ไม่ขาด ผมทำเพราะเพลงคือชีวิตของผมครับ ความสำเร็จของผมคือการได้ทำมันต่อเรื่อย ๆ ผมจะไม่ลาหยุดนานนัก มากสุดเดือนนึงแล้วหลังจากนั้นก็ทำเพลงต่อทั้งปี
ผมคิดว่ากุญแจสำคัญของการเป็นคนที่ประสบความสำเร็จคือเลิกคิดว่าจะประสบความสำเร็จยังไง ทำงานให้หนักเข้าไว้ครับ คุณต้องมีสิ่งที่สามารถใช้พิสูจน์ฝีมือของคุณได้ตลอด บางคนอาจจะบอกว่า ‘ผมไม่มีอะไรจะมาพิสูจน์อะ’ ผมว่านั่นไม่ค่อยดีละ คุณต้องพยายามให้มีสิ่งนั้นมาท้าทายตัวเอง คุณต้องทำเพลงที่ทำให้ตัวเองรู้สึกไม่ปลอดภัย คิดซะว่าเริ่มทำสิ่งนั้นเป็นครั้งแรก คือการลองทำครั้งแรกทุก ๆ ครั้งมันเป็นความเสี่ยง เหมือนคนบอกว่าการเข้าเรียนมหาลัยมันก็เป็นความเสี่ยงใช่ไหม แล้วทำไมคนถึงยังบอกให้คุณเข้าไปเรียนล่ะ คนไปเรียนก็เพราะจะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ไปถลุงเงินที่ไม่ใช่ของตัวคุณเองด้วยซ้ำ หลายคนเป็นหนี้ก้อนโต แต่วันนึงพวกเขาจะได้เงินเดือนมาทบหนี้ตรงนั้น แม้บางคนที่เรียนจบแล้วก็ยังตกงานอยู่ แต่สุดท้ายวันนึงคุณจะได้งาน ช้าหรือเร็วก็ตาม ถ้าเราทำสิ่งนั้นได้ตั้งแต่ยังเด็ก คุณก็จะสามารถทำอะไรคล้าย ๆ กันแบบนั้นได้ทั้งชีวิต
ผมไม่อยากสบายจนเกินไป ถ้าอยากทำเพลงที่ยอดเยี่ยมก็ต้องยอมเสี่ยงเสมอ เหมือนการที่ผมยอมมาประเทศไทย ยอมโปรดิวซ์เพลงให้วงไทยที่ไม่รู้จักมาก่อนด้วยซ้ำ การตัดสินใจแบบนี้อาจจะเป็นหายนะเลยก็ได้ แต่สุดท้ายแล้วเพราะพวกเขาเป็นวงที่เจ๋ง ผมชอบเพลงของพวกเขา เราชอบอะไรคล้าย ๆ กัน และผมดีใจที่ผมตัดสินใจมา จริง ๆ ผมสามารถจะปฏิเสธได้ แต่ผมสนใจที่จะท้าทายตัวเอง นั่นแหละ ตราบใดที่คุณทำให้ตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ แล้วไม่ทำให้ตัวเองรู้สึกปลอดภัยจนเกินไป นั่นจะพาคุณไปสู่ความสำเร็จ แต่ต้องทำต่อด้วยนะ ทำไปเรื่อย ๆ อย่าหยุด
PART III : The Songs
อันที่จริงแล้วเรา สื่ออื่น ๆ รวมถึงผู้บริหารและพนักงานของ BEC Tero Music ถูกพาเข้ามานั่งใน mixing studio ก่อนที่การสัมภาษณ์จะเริ่มขึ้น ทีมงานบอกว่าพวกเราได้เป็นคนกลุ่มแรกที่ฟังงานใหม่ของ Slot Machine หลังจากโปรดิวเซอร์และศิลปิน ดังนั้นเราจึงรู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษ ซึ่งหลังจากที่ได้ฟังครบทั้งสามเพลงก็ต้องบอกว่า เยะเข้้้้้้ แม้ว่านั่นจะเป็น rough mix เท่านั้น และที่เราจัดพาร์ตนี้ไว้ในลำดับสุดท้ายเพราะเราอยากให้ทุกคนได้อ่านถึงแนวคิดที่มาที่ไปของเพลงเหล่านี้กันก่อน
#1
ตกเราได้สำเร็จตั้งแต่อินโทรที่ทำให้ซาวด์มีความเป็นการกรอเทปกลับ (backmasking) ยืดยาน มีความบิดเบี้ยว ให้ความรู้สึกเป็น industrial rock กับความอนาล็อกที่อัดแน่นอยู่ทุกอณูเพลง ตอนนี้เราถึงกับคิดในใจว่า เหยดดดด แทบจะไม่เหลือเค้าความเป็น Slot Machine แบบที่เราเคยฟังกันเลยแม้แต่น้อย โอ้แม่เจ้าโว้ย ยิ่งฟังต่อยิ่งตื่นเต้น มันมีความเป็นเครื่องจักร กับการใช้ลูปกลองที่อัดโดยนักดนตรีที่เป็นคนจริง ๆ ไม่ได้ใช้โปรแกรมแต่อย่างใด เพลงให้ความรู้สึกบลึกลับและเท่ ทำให้นึกถึงซาวด์แกรนด์ ๆ แบบเพลงของ Muse ผสมรวมกับ Daft Punk ยังไงยังงั้น
#2
สำหรับเราแล้ว เพลงนี้มีกลิ่นอายของความเป็นไทยสูงในเมโลดี้ ไม่ใช่ความไทยเดิมตามขนบแบบนั้น แต่มันคือทำนองแบบเพลงไทยสากลที่เราคุ้นชินกัน บรรยากาศดนตรีให้ความรู้สึกแบบ Alt-J ผสมกับ Woodkid (คือพอไม่ได้ฟังกันแล้วก็ต้องเปรียบเทียบเอาแบบนี้แหละนะ) ทำให้เห็นภาพของกลางคืนที่ไม่เงียบงัน เป็นอีกเพลงที่กลองเท่มากในท่อน pre hook และเสียงที่เฟิดใช้ในเพลงนี้ค่อนข้างต่างไปจากงานก่อน ๆ เป็นน้ำเสียงอ่อนโยนที่ตราตรึง ตลอดทั้งเพลงมีซาวด์งุ้งงิ้งคลอประกอบ ตอนเข้าโซโล่คือความเท่สุดพลัง มันมีมิติแบบคลื่นยักษ์ที่ยกตัวสูงแล้วโถมท่วมมา เป็นการใช้ไดนามิก (ความดัง) ได้แบบถูกที่ถูกเวลาจริง ๆ
#3
เป็นเพลงที่แบรนดอนบอกว่าเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า Slot Machine จะร็อกได้ขนาดไหน ซึ่งบอกได้เลยว่าพวกเขาร็อกมาก ๆ แค่เปิดมาก็ไลน์เบสดุเดือดแล้ว ทำให้นึกถึงเพลงดุ ๆ ของ Nothing But Thieves ผสมกับ Linkin Park แล้วการร้องของเฟิดก็ได้โชว์สกิลแบบสุด ๆ เป็นทั้งการแร็ปผสมร้อง และมีการแผดเสียงเขยิบออคเตฟขึ้นเรื่อย ๆ ให้ลุ้นว่าจะสูงได้อีกแค่ไหน สุดยอดมาก
หวังใจจริง ๆ ว่าทุกคนจะได้ฟังเพลงใหม่นี้โดยเร็ววัน เพราะแค่เขียนบรรยายคงไม่สามารถบอกเล่าได้ดีเท่าไปฟังกับหูตัวเอง