Scrubb เรื่อง ‘ธรรมดา’ ที่ไม่ธรรมดา ที่พวกเขาเรียนรู้จากการทำเพลงมาเกือบ 20 ปี
- Writer: Montipa Virojpan
- Photographer: Whattheduck
Scrubb วงดนตรีป๊อปที่แฟนเพลงไม่ว่าจะยุคไหนสมัยไหนต่างคุ้นเคยกันดี ด้วยการเคลื่อนไหวในวงการเพลงมาเกือบ 20 ปีของพวกเขา ออกอัลบั้มมาแล้วก็หลายชุด ทั้งยังมีเพลงฮิตที่ทุกคนร้องตามได้มากมาย โดยที่ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดทำในสิ่งที่พวกเขารัก
ล่าสุด บอล—ต่อพงศ์ จันทบุบผา และ เมื่อย—ธวัชพนธ์ วงศ์บุญศิริ ก็กลับมาพร้อมซิงเกิ้ลล่าสุด ธรรมดา หลังจากเราได้พูดคุยกับพวกเขาถึงเพลงนี้แล้วก็พบว่ามีอะไรที่ไม่ธรรมดาซ่อนอยู่มากมาย เรามาค้นหาความพิเศษนั้นไปพร้อม ๆ กันเลยดีกว่า
หลังจากกลับมาจากการพักช่วงทำคอนเสิร์ตใหญ่เสร็จ บอลกับเมื่อยวางแผนให้ตอนต่อไปของ Scrubb เป็นแบบไหน
เมื่อย: คุยกันคร่าว ๆ ว่าจะตั้งหมุดอะไรสนุก ๆ อยากกลับไปตอนที่เรายังไม่คิดอะไรเยอะ ใช้เสียงกีตาร์เยอะขึ้น และคงจะเล่าเรื่องที่เราเป็นปัจจุบัน ไม่พยายามเป็นอะไรมาก พูดเรื่องทั่ว ๆ ไป
ปัจจุบันของ Scrubb เป็นยังไง
เมื่อย: ส่วนตัวผมก็คือเรียบง่ายแหละครับ แล้วก็ค่อนข้างประนีประนอม คงจะไม่มีอะไรหวือหวาเรื่องความคิดเหมือนยุคแรก ๆ แต่ก็พยายามเล่าสิ่งที่ตัวเองเป็นให้มันตรงกับสิ่งที่ตัวเองคิดให้มากที่สุด
อะไรทำให้เกิดแรงบันดาลใจที่เขียนถึงการมีความสุขกับรายละเอียดเล็ก ๆ ใกล้ตัวที่เคยมองข้าม
เมื่อย: ส่วนตัวผมมันเป็นยุคที่เวลาจะคิดอะไรใหม่ ๆ ค่อนข้างยากกว่าแต่ก่อนแล้ว เพราะเราลองนู่นลองนี่ไปหมดแล้ว มันไม่มีเรื่องที่อยากจะพูดเยอะ ๆ เหมือนแต่ก่อน มันก็ต้องรอบางอย่างมากระทบ เช่น ไปเที่ยว ไปนู่นไปนี่ แล้วอีกอย่างปัญหาของผมคือ คิดเพลงไม่ออกมาซักพักใหญ่ ๆ แล้ววันนึงพี่บอลทำดนตรีส่งมาให้ผม มันกระทบอะไรบางอย่างในหัว เลยเขียนประโยคนึงกลับไปให้พี่บอล (บอล: ท่อนฮุก) ก็แอบดีใจเล็ก ๆ ที่ยังพอคิดอะไรได้ (หัวเราะ) แล้วพี่บอลก็นึกออกว่าต่อไปมันควรจะเป็นอะไรยังไง มันเป็นวิธีที่เป็นธรรมชาติดีครับ
บอล: ผมเข้าใจได้ว่าคนที่เขาใช้ทรัพยากรในด้านนี้ (เขียนเนื้อเพลง) เขาต้องใช้แรงบันดาลใจสูงในการสร้างอะไรออกมาแต่ละครั้ง เรื่องเล่าสิบเพลงมันต้องพูดถึงมิติ ทัศนคติ หรือความคิดอะไรบางอย่าง และบางทีมันถึงวันที่ได้นำเสนอเรื่องที่อยากเล่าออกไปเกือบหมดแล้ว ก็อย่างที่เขาบอกว่าเขาคิดอะไรไม่ค่อยออก คือเข้าใจได้ ไม่ใช่มีปัญหา
กลับกัน ผมเป็นดนตรี มันเป็นการสื่อสารที่ว่ากันด้วยโน้ต ไม่ได้เล่าออกมาผ่านตัวหนังสือ เราอาจจะเล่นแบบเดิม แต่เรียบเรียง พลิกแพลง ปรับเสียง ใส่เอฟเฟกต์เข้าไป หรือใช้วัตถุดิบใกล้เคียงกันในอัลบั้มนึง บางทีมันก็ดูไม่เหมือนเดิมละ ถ้าพี่ทำอะไรได้พี่ก็จะส่งให้เขาฟัง ก็มีเมโลดี้ไกด์ กะให้เขาเขียนอะไรจากตรงนี้ ปรากฏเขายกตรงเมโลดี้ไกด์ฮุกออก แล้วก็ร้องออกมาว่า ‘สิ่งที่เราคุ้นเคยล้วนความหมาย ธรรมดา บางครั้งคนน้อยคนนั้น มองเห็นคุณค่า’ ไม่มีอะไรที่เราไกด์ไปเลยแล้วเขาใส่อันนี้มาแทน แล้วมันก็กลายเป็นหัวใจของเพลง มันมี touch point ที่เราก็รู้สึกกับมันเหมือนกันว่ะ ทุกวันนี้เราใช้ชีวิตกันธรรมดามาก หลายเรื่องที่มันอยู่ในแต่ละวัน มันเป็นความเคยชิน จนบางครั้งเรามองข้ามมันไปด้วยซ้ำ เราชอบฟีลลิ่งอะไรบางอย่างแบบนั้น ผมเลยไปรื้อข้างซ้ายข้างขวาอะไรออกหมด แล้วค่อยประกอบมันเข้ามาใหม่
ทุกวันนี้ผมเลยพยายามสร้างสิ่งแวดล้อมเพื่อให้เขายังสนุกกับการทำงานมากขึ้น อย่างการไปชวนคนนั้นคนนี้มาแจม ลองอัด เล่นนั่นนี่ ทำดนตรี ได้คุณกอล์ฟ Superbaker มาช่วยขยายความ แล้วก็มีพี่ ช่วยกันสามคนได้เนื้อเพลงแบบที่เมื่อยอยากเล่าจริง ๆ และให้มันเรียบง่ายธรรมดาที่สุด แต่ที่ทำการบ้านหนักต่อก็คือพี่ไปทดลองดนตรีนานมาก ลองเยอะมาก ใช้บุคลากรแปลกมาก พี่ไปทำงานกับเมฆ Machina ที่ทำเพลงกันคนละฝั่ง ไปอยู่กับ ป้อง Plastic Plastic ลองไปขึ้นเดโมในมุมมองเพี้ยน ๆ หรือความคิดที่นอกกรอบกับวิน The Ginkz เงี้ย ไปหาเซฟ มือกลอง The Toys ที่บ้านตอนกลางคืนเพื่อให้ลองตีกลองให้ฟังหน่อย แล้วก็มีคุณแพท Chanudom คนนี้เป็นไอดอลมือกีตาร์พี่ในยุคหลัง เพราะเขาเป็นคนใช้เอฟเฟกต์กีตาร์ fuzz ได้เก่งมาก ถ้าคนเล่นดนตรีจะรู้ว่าการใช้เอฟเฟกต์ fuzz ให้มันอยู่กับดนตรีได้ มันยากมาก แต่คนนี้เป็นคนที่สนุกกับการเล่นซาวด์พวกนี้
เราไปปรึกษาคนพวกนี้หมดเลยว่า ทำยังไงให้เนื้อฟังดูธรรมดา ดนตรีฟังแล้วรู้ว่าเป็น Scrubb แต่ถ้าตั้งใจฟัง ก็จะได้ยินอะไรที่มันไม่ธรรมดานะ อันนี้เป็นความตลกร้ายที่อยากเอาไปล้อกับเพลง พี่ยอมสั่งเอฟเฟกต์มาจากเมืองนอกเพื่อให้ได้เสียงแบบนี้ มียี่ห้อนี้ยี่ห้อเดียว ก็สนุกดี ได้ลองทำอะไรหลาย ๆ อย่างเยอะมากที่ไม่ได้ทำตอนที่เราอัดเสียง ตอนฟังก็ไม่แน่ใจว่ามันจะออกมาโอเคปะวะ แต่พอเอามารวมกันแล้วมันอยู่บนพื้นฐานของการที่ต้องไปรองรับสิ่งที่เมื่อยร้องอีกที ปรากฏว่ามันอยู่ได้ เราเลยรู้สึกว่าเพลงนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของ chapter ใหม่ของเรา
เรื่องนึงที่อยากทำให้รู้สึกว่า ถ้ายังอยากพิสูจน์อะไรในแง่ของการเป็นนักดนตรีในทุกยุคสมัยก็คือ ต้องมีผลงาน ดังไม่ดังไม่ใช่ประเด็นแล้ว แต่ใน พ.ศ. นี้เรามีเพลงใหม่เป็นเพลงนี้ ไม่ใช่ผลงานล่าสุดเราออกเมื่อ 4 ปีที่แล้ว หรือรอเล่นแต่เพลงลอตเก่าอย่างเดียว แต่ก็ไม่ผิดนะครับ เชื่อว่าศิลปินแต่ละวงเขาก็มีเงื่อนไข มีความจำเป็น มีภาระหน้าที่ที่แตกต่างกัน
มิวสิกวิดิโอเพลง ธรรมดา ที่ไม่ธรรมดา
บอล: มีน้องที่อยู่ที่นู่น ชื่อ Domu คนเดียวกับที่ทำเพลง Loserpop – เคย กับ temp. – Spare Key แล้วก็ Plastic Plastic – Hum พอดีเขาเป็นญาติของเพลงกับป้อง Plastic Plastic เราเห็นว่าเขามีพื้นฐานจากการเป็นช่างภาพ ถ่ายภาพมุมสวย เราก็ให้เขาเอาเพลง ธรรมดา ไปฟังแล้วตีความว่าอยากเล่าเป็นแบบไหน เขาไม่ได้เล่าอะไรตอนตัดมาให้ดู ก็จะไปเน้นบรรยากาศโดยไม่ได้เน้นเนื้อเรื่องมาก มีนางเอกคนนึงที่กำลังตามหาบางอย่างอยู่โดยไม่ได้ระบุเจาะจงว่าเป็นอะไร แว่นขยายอาจจะเป็นสัญลักษณ์ของการที่ว่า คุณต้องพยายามมองหาเพื่อที่จะเห็นว่าอะไรที่หายไปมันไปอยู่ตรงไหน พี่ให้เป็นตัวแทนของความสัมพันธ์สักอย่างที่ผูกพันอยู่กับเราละกัน อะไรที่ขาดหายไป แต่อันนี้น่าสนใจตรงที่เขาหยิบมุมภาพที่เรานึกไม่ถึง อย่างถ่ายจากใต้เตียง ซอกตึก หรือซีนแรกที่เปิดนั่นคือจากในถังขยะนะ
ให้ลองคิดเล่น ๆ ว่านางเอกกำลังตามหาอะไรอยู่
เมื่อย: ตามหาใครสักคน มุมจากในถังขยะก็อาจจะเล่นซ่อนหากันอยู่
บอล: อาจจะแมว สัตว์เลี้ยง อาจจะกระเป๋าสตางค์
ทำไมถึงออกจากค่ายเดิมมาลุยกันเองเต็มตัว
บอล: เราเคยเป็นศิลปินอิสระกันเองสามปี ก่อนที่จะมีต้นสังกัดเป็น Blacksheep Sony Music BEC Tero เราเพิ่งหมดสัญญาเมื่อปีที่แล้ว แล้วก็ไม่ได้มีแพลนจะย้ายไปไหนเพราะก็รู้สึกว่าอยู่มานานแล้ว มาจนวันนี้คือ 16 ปี ผลงานที่เขาดูแลที่จัดการ หรือต่อยอดมาก็เป็นไปได้ด้วยดี เป็นครอบครัว มีหลายคนในค่ายเป็นเพื่อนสนิทกันไปแล้ว
แต่สิ่งที่ทำให้เริ่มคิดหลาย ๆ อย่าง ว่ากันด้วยความจริงคือ Scrubb ก็เป็นวงที่เป็นที่รู้จักในกลุ่มคนกลุ่มนึง เป็นรุ่นพี่คนนึงที่เล่นดนตรีมานาน เราไม่ได้อยู่ในยุคทองของเราแล้ว เราผ่านช่วงเวลาที่ทำอะไรคนก็สนุก ก็ชอบ เป็นตัวแทนของ generation นึงมาแล้ว แต่พอผ่านช่วงเวลานั้นมาแล้วตอนนี้ก็กลายเป็นยุคของวงถัด ๆ มา ซึ่งเป็นเรื่องปกติ แต่เราก็เริ่มมาคิดแล้วว่า ถ้าเราจะทำงานในทุกวันนี้ เราอยากทำงานในรูปแบบไหน มันก็ได้ข้อสรุปนึงว่า ถ้าต้องการวิธีที่ได้ refresh ตัวเองจริง ๆ หรือยังอยากทำงานอยู่กับปัจจุบัน หรือ community อะไรบางอย่างที่ต้องการการตัดสินใจที่เป็น individual มากขึ้นเพื่อความคล่องตัวบางเรื่อง เลยคิดว่า หรือในช่วงท้ายอาจจะต้องลองทำเองบ้างหรือเปล่าวะ เป็นเรื่องที่ยากมากที่จะตัดสินใจ คุยกันนานมาก จนพี่โทรไปบอกเพื่อนสนิทในนั้นก่อน เพราะเราก็แคร์เขา เกรงใจเขา แต่สิ่งที่ได้คำตอบกลับมาเขาบอก ‘เฮ้ย ไม่เป็นไรเลย’ เข้าใจกันทุกอย่าง ไม่ได้มีการทะเลาะเบาะแว้งอะไร ไม่ได้เป็นเรื่องที่มีปัญหาใด ๆ เลย ทุกวันนี้ค่ายเขายังดู management promo บางเรื่อง ส่งเพลงไปหาสื่อช่วยโปรโมตให้ มีแคมปัสติดต่อมาก็ช่วยบอกกล่าวกัน ทุกวันนี้ทำงานเหมือนเป็นเพื่อนบ้านกันเหมือนเดิมด้วยซ้ำ แต่เราออกมาทำตรงนี้อิสระมากขึ้น ประเด็นคือทุกวันนี้ถ้าเราอยากทำอะไร เราต้องทำแล้ว
ถ้าสังเกตพวกพี่ก็ไม่ได้ announce อะไรเป็นทางการ แค่เปิด YouTube Channel ต้องมาดูแลตัวเองมากขึ้น แล้วก็ไม่ใช่การออกจากที่นึงเพื่อไปอยู่อีกที่นึง คนก็จะเดาเป็นธรรมดาว่าพี่ทำงานอยู่ Whattheduck ออกมาก็คงมาอยู่ Whattheduck ซึ่งไม่ใช่ วัตถุประสงค์ของเราชัดตั้งแต่แรกว่า เพื่อความคล่องตัว เพื่อ community เพื่อชุมชนในการทำงานบางอย่าง เราอาจจะต้องดูแลตัวเองว่ะ บวกกับสิ่งที่ทำวันนี้ เราอาจจะไม่ต้องใช้ฟังก์ชันระดับองค์กรขนาดใหญ่แล้ว Scrubb มันแค่การทำเพลง ปล่อยเพลงเข้าสู่ระบบ โปรโมต ไปในที่ที่ควรจะไป แล้วเสียบปลั๊กให้เพลงทำงานต่อ โดยที่ไม่ได้มุ่งหวังแล้วว่าเพลงนั้นมันจะดังไม่ดัง success หรือไม่ อะไรใด ๆ จริง ๆ ยากกว่าเดิมด้วยนะ ต้องย้ายระบบหลังบ้าน ต้องดู promo plan เอง จัดการบางอย่างเอง ดิจิทัลก็ต้องคุยเอง คือเหนื่อยขึ้นกว่าเดิมแต่ก็มีบางอย่างที่คอยกระตุ้นเราให้อยากทำอะไรตรงนี้และลองดูแลด้วยตัวเอง เพราะไม่งั้นเราก็จะไม่รู้ว่าปัจจุบันมันคือแบบไหนอะไรยังไงบ้าง ไม่งั้นเราก็ต้องพึ่งระบบ พึ่งคนอื่นไปตลอด
วงพยายามหาแรงบันดาลใจใหม่ ๆ เสมอ แต่กลับกันแฟนเพลงอยากให้กลับไปทำเพลงแบบเก่า ๆ
บอล: เราอาจจะเจอรุ่นน้องศิลปินบางคนที่ชุดแรกประสบความสำเร็จมาก ๆ แล้วกลัวการประสบความสำเร็จอันนี้เลยหักดิบด้วยอะไรที่เป็น all new ในชุดที่ 2 มันก็จะมีคนสองแบบที่ออกมาพูดว่า ‘นี่สิวะ กล้าหาญ’ ‘เราต้องลุกขึ้นมาทำอะไรใหม่ ๆ ไม่ย้ำอยู่กับรอยเดิม’ และแน่นอนมันก็จะมีคนอีกแบบที่บอกว่า ‘ทำเหี้ยอะไรวะ’ ‘ชอบแบบเดิมมากกว่า’ อย่าว่าแต่ Scrubb เลย วงที่ประสบความสำเร็จที่สุดในบ้านเราวงนึงคือ Bodyslam ก็จะมีประเด็นนึงที่คนชอบพูดว่า ‘ชอบเพลงยุคแรกมากกว่า’ ‘ผมฟังถึงแค่ชุด 3 ก็หยุดฟังละ’ กลับกันกับอีกคนบอกว่า ‘ต้องชุดใหม่ดิวะ’ เพราะเขาไม่เคยฟัง Bodyslam มาก่อนเลย แต่เนื้อหาอันใหม่เข้มข้นมาก มันจริง และชีวิตมาก แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรที่มันเป็นเรื่องราวเด็ก ๆ
ต่อให้เราทำมันออกมาอย่างไร มันก็จะมีคนในแต่ละช่วงเวลาที่รู้จักเรา แบ่งคนเป็นสองฝั่งอยู่แล้วว่าเขาจะต้องชอบอะไร แบบที่เราเคยเป็น หรือชอบแบบที่เราเป็นปัจจุบันโดยที่ยังไม่รู้เลยว่าแบบนี้กูเคยทำมาแล้ว บางคนบอกว่า ‘เฮ้ย เนี่ย มาแล้ว Scrubb แบบเก่าที่เคยได้ยิน’ คือแบบนี้หรอวะ (หัวเราะ) ทั้งที่เราอาจจะคิดว่า กูใส่อะไรใหม่ ๆ ไปตั้งเยอะ หรือบางทีบอกว่า ‘อยากได้ Scrubb แบบเก่ามากกว่า’ แต่เพลงใหม่นี่กูแทบจะโคลนเพลงในยุคนั้นมาเลยนะ บางคนยังรู้สึกว่านี่เป็นของใหม่อยู่เลย เราก็ไม่รู้ว่าเขาเติบโตมาโดยปัจจัยอะไรบาง ค่ารสนิยม ทัศนคติ มันวัดกันได้ยากมากเลยว่าอะไรคือ touch point ว่า อันนี้ถูกจริตฉัน
ในการทำเพลง บางทีพี่จะไม่ได้มองแค่เรื่องเพลง แต่มองอะไรที่เป็น record ของเราที่ผ่านมา อย่างการเรียน การใช้ชีวิต การคบเพื่อน การมีประสบการณ์ต่าง ๆ สิ่งที่ยากที่สุดของพี่คือบางครั้งเราเป็นคนประนีประนอม เราจะเป็นคน blend ว่า ของที่ทำมาแล้วคืออะไร ของที่อยากทำคืออะไร แล้วอะไรคือตรงกลางที่จะอยู่ร่วมกันได้ และเราแฮปปี้กับมันด้วย แต่ก็ไม่รู้ว่าทุกครั้งที่ทำมันกลางหรือเปล่า โดยที่เราไม่รู้ว่าคนอื่นจะชอบหรือไม่ชอบ แต่พี่ก็เป็นคนฟังบ้าง เพราะไม่ใช่คนที่ไม่เอาอะไรเลย ฟังให้รู้ว่ามันเป็นอะไรแบบไหน แล้วเอาไว้ให้เป็นข้อมูลชุดนึงในการเอาไว้ทำงานต่อไป
เมื่อย: ผมว่าก็นานาจิตตํครับ ผมก็ไม่รู้แล้วว่าคนทั่ว ๆ ไปคิดกับวง Scrubb ยังไง ดังนั้นเราก็ไม่ต้องไปคิดมันมาก ทำในสิ่งที่มันเป็นปัจจุบันของเราไป แล้วก็ คนจะชอบแบบเก่าหรือแบบใหม่ ผมคิดว่า มันก็แล้วแต่เขาแล้ว เราก็ทำเพลงของเราไปเรื่อย ๆ เบื่อเพลงนี้ก็เอาเพลงที่ไม่ค่อยได้เล่นเลยมาเล่น บริหารตัวเองไป พยายามให้มันสดชื่นทุกครั้งที่โชว์มากกว่า คงไปบังคับอะไรไม่ได้แบบที่พี่บอลบอก
ถ้าถามว่า Scrubb แบบเก่ามันคือแบบไหน ถ้าถามผมมันคงมีวิธีคิดหรือการโชว์บางอย่างของเรา สองคนในวัยที่มันยังไม่รู้อะไร แล้วเราก็ทำนู่นทำนี่โดยที่ไม่ได้คิดมาก พอยุคนึงเราก็เจอประสบการณ์ มีบทเรียนโน่นนั่นนี่ เราก็ปรับไปตามยุคสมัย มันก็ทำให้เราเป็นเราในทุกวันนี้แหละ แล้วแต่คนฟังครับ ส่วนเราก็ไม่ได้ไปสมาธิกับตรงนั้นมาก
สิ่งธรรมดา ๆ ที่มากระทบให้เราเห็นว่ามันสำคัญ หรือทำให้มีความสุข สิ่งล่าสุดที่เจอ คืออะไร
เมื่อย: เมื่อเช้าผมกระเป๋าสตางค์หายก่อนออกจากบ้าน (หัวเราะ) น่าจะเป็นตัวอย่างที่ดี (บอล: ซึ่งไม่เคยสนใจกระเป๋าตังค์ใบนี้เลย!?) คือผมเป็นคนชอบมาให้พอดีเวลา ไม่ค่อยเผื่อ และปกติผมจะคิดว่า มันต้องอยู่ตรงนี้อยู่แล้วแหละ!!! จนพอจะออกจากบ้านเนี่ย… โห เอาไงดีวะเนี่ย ระบบรวนไปหมดเลยฮะ นึกไปถึงบัตรเครดิต บัตรประชาชน มีตังค์เท่าไหร่วะ (บอล: กระบวนการการหาของไม่ทำงานแน่นอน) สุดท้ายก็เจออยู่ที่รถตัวเองครับ เรื่องธรรมดาที่เกือบเศร้าเลยเนี่ย หนักเลยตอนเช้าวันเนี้ย (หัวเราะ) ทีหลังก็จะ อะ อยู่ตรงนี้นะ ชั้นวางไว้ตรงนี้
บอล: พอโตขึ้นมันจะมีความมั่นใจมาก ๆ ว่าของบางอย่างอะวางอยู่ตรงนี้ แล้วมันก็หายไป แล้วแม่งชอบไปเจอในที่ที่โง่มาก แล้วพอมานึกได้ว่ามันมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง ก็จะมานั่งคิดว่า กูโวยวายพาลคนอื่นไปหมดเลย คนที่น่าเขกกระโหลกที่สุดก็คือกูอะ (หัวเราะ)
ส่วนของพี่เป็นเรื่องที่ได้จากการที่เพลงนี้เสร็จ ตอนแรกมันได้จากการที่ชอบสิ่งที่เมื่อยให้ไอเดียมา และชอบสิ่งที่เราไปประกอบร่าง เป็นกระบวนการที่ทำให้ได้เพลงนี้มา พอเสร็จเพลงนี้เราก็มานั่งฟังเพลงนี้เพื่อตรวจ เพื่อคิดตาม เตรียมจะซ้อม พอฟังไปสักพัก อยู่ ๆ ก็แวบขึ้นมานิดนึงว่าถ้าเรื่องในเพลงนี้มันเป็น Scrubb ล่ะ มันไม่ใช่ปัจจุบันของเมื่อย ไม่ใช่ปัจจุบันของผมคนเดียว เป็นปัจจุบันของตัววงที่รวมกันเป็นเพลงนี้ เพราะว่า Scrubb จริง ๆ แล้วบางทีทำงานมานาน มันอาจจะมีโอกาสที่ได้เป็นที่รู้จักมากเป็นพิเศษ ในช่วงเวลาที่ทำเพลงอะไร ทำเพลงชุดไหน ใครก็รู้จัก เป็นอะไรของคนใน generation นั้นจริง ๆ
แต่ว่าพอทำงานนานขึ้น ปล่อยเพลงมานานมาเยอะ มันก็เดินผ่านช่วงเวลาต่าง ๆ มาจนคนรู้สึกคุ้นเคยกับ Scrubb มาก ๆ เราก็อาจจะเป็นวงธรรมดา ๆ เพลงที่ได้ฟังมาเป็นสิบปีแล้ว ก็อาจจะเป็นเพลงธรรมดา ๆ ของใครหลาย ๆ คนก็ได้ แต่ในความธรรมดานั้น ผมมั่นใจอย่างนึงว่าสิ่งที่เราทำอยู่ในทุกวันนี้ ผมกับเมื่อยยังทำเพลงกันด้วยความรู้สึกพิเศษเหมือนเดิม ด้วยความที่เรารักที่จะทำมัน ถ้ายังทำเพลงอยู่เราควรจะมีความรู้สึกอยากเล่า มีความสุขกับมัน มันเหมือนทำเพลงนี้ให้ของขวัญตัวเอง
ผมเชื่อว่าเราสองคนจะไม่ค่อยฝืน อย่างที่หลายคนเคยคุยกันมาบ้างก็น่าจะรู้ว่าเราสองคนไม่เหมือนกันเลย เรามีไลฟ์สไตล์ มีชีวิต ครอบครัว ที่คนละอย่างกันมาก ๆ แล้วก็ผ่านช่วงเวลาที่กินอยู่ เล่นด้วยกันในวัยนึงมาแล้ว ถ้าเราไม่ชอบ ทุกวันนี้เราคงจะแยกย้ายกันไปทำอย่างอื่นละ แต่ปัจจุบันคือเราก็ยังกลับมาทำงานในฐานะ Scrubb และปล่อยเพลงในปีที่ 20 เพราะเรายังรู้สึกว่า Scrubb คือส่ิงพิเศษสำหรับเราเสมอ ถ้าใครสังเกตมันหน่อย ยังรู้สึกอะไรกับตัวเพลง หรือตัววงได้ อาจจะพอเห็นได้ว่าเรายังเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับมันและอยากให้วงยังอยู่ต่อ เรามีความสุขกับเพลงและอยากนำเสนอ อยากเล่นมันในทุก ๆ ที่ อันนี้คือ big picture ที่เรามอง กล้าพูดอย่างเต็มปากว่าถึงแม้คนจะรู้จักหรือไม่ก็ตามหรือว่าตอนนี้ใครจะชอบไม่ชอบไม่เป็นไรแล้ว เพราะมันเป็นเราแบบนี้จริง ๆ
เมื่อย: ผมแอบรู้สึกจริง ๆ นะว่า ‘ยังแต่งเพลงได้อีกว่ะเรา’ ชีวิตมันอาจจะเรียบง่ายเกินไป เป็นไปตามวัย อาจจะไม่ได้ออกไปสังสรรค์เหมือนแต่ก่อน ไม่ค่อยอยากได้นู่นอยากได้นี่อะไรเท่าไหร่ แต่พอได้เพลงนี้ก็รู้สึกพิเศษมาก (บอล: เนี่ยผมดีใจจริง ๆ นะวันที่เขาได้ประโยคนั้นมา 6-8 เดือนที่ไม่มีชุดข้อมูลอะไรให้กูเลย (หัวเราะ)) ไม่รู้เหมือนกัน ลึก ๆ จริง ๆ ก็อยากให้คนชอบแหละ แต่ประสบความสำเร็จไหมก็อีกเรื่องนึง ถ้ามันจะไปไกลแค่ไหนก็แล้วแต่มันละ
บอล: เห็นด้วยส่วนนึงคืออุตส่าห์ทำได้ขนาดนี้แล้ว ถ้ามีแรงจะทำโปรโมตหรือออกไปเล่น ทำเพลงทั้งที ดังไม่ดังเป็นเรื่องของอนาคต แต่มันควรจะมีอายุให้อยู่เท่าที่อยู่ได้ ไม่ใช่ปล่อยเพลงมาเยอะ ๆ มะรืนนี้ก็ไม่มีใครรู้จักแล้ว ดังนั้นการสัมภาษณ์ การทำโปรโมตเพื่อพาให้เพลงของเราได้เดินทางบ้าง ได้มากได้น้อยก็ควรจะให้มันได้ ทำในแบบที่วงดนตรีพึงจะทำ คงไม่นั่งกระดิกรอคนชวนไปเล่น เราก็ยังเป็นวงที่ตื่นเต้นที่จะปล่อยเพลง ตื่นเต้นที่จะซ้อม เราไม่ได้รองานที่จะไปหารายได้ ไปหาค่าตัวอย่างเดียว เราไปเล่นตามแคมปัส เราก็ยังเอนจอยทุกครั้งที่เห็นพลังงานของเด็ก ๆ การเล่นมันก็เป็นโอกาสอันดีที่เราจะแนะนำเพลงของเราด้วย อีกอย่างที่เราเชื่อคืออาวุธของวงดนตรีคือคุณจะได้ออกไปเล่นด้วยเพลงชุดนึง
บางคนเจอเราจากเพลง ใกล้ บางคนรู้จักเราจาก รอยยิ้ม สิ่งที่ Scrubb พยายามทำเสมอคือ ถ้าคุณมีโอกาสได้ไปดู sequence หนึ่งโชว์ จะครึ่งชั่วโมง จะ 45 นาที หรือชั่วโมงนึงอะไรก็แล้วแต่ คุณจะได้ฟังเพลงของเราจากทุกยุค ทุกสมัย และเราได้เห็น feedback ในช่วงหลังว่า การที่เขาชอบเพลงของเราแค่เพลงนึงก็พอแล้ว เพราะเพลงนั้นมันจะพาเขาไปหาเพลงอื่น ๆ ซึ่งโชว์ของเราช่วยมาก คล้าย ๆ ว่าเพลงที่เลือกไปเป็นตัวแทนของแต่ละชุดในโชว์
ทุกวันนี้ถ้าลองเขียนเพลงที่ยังไงก็ต้องเล่น เพลงที่คนรอฟัง มันมี 10 เพลงแล้ว แล้วมันก็จะมีหมวดเพลงใหม่ เพลงธรรมดา แล้วเราก็เริ่มมีโหมดเพลงแปลก ในโชว์เราจะมีช่วง introduce ช่วง sing along ตรงกลาง แล้วก่อนจะไปช่วงท้าย ประมาณเพลงที่ 7-8 เราจะแนะนำเพลงที่เราไม่ค่อยได้เล่น แต่อยากแนะนำ เช่น ช่วงนึงเราเล่น See Scape แต่ตอนนี้เราไปแกะเพลง ลม เพราะเราไปเห็นสแตทในโซเชียล ว่าเพลง ลม เป็นเพลงที่ติด top rank ตลอดไม่ว่าจะใน streaming ไหน ทั้งที่เราคิดว่าเป็น B side
เราไม่ได้ยึดติดกับตรงนั้น แต่ตัวเลขมันบอกว่าคนยังฟังเพลงนี้อยู่เลย เราก็เลยตั้งโจทย์ว่า ถ้ามีเวลาก็จะสะสมเพลงเหล่านี้ไปเรื่อย ๆ ถ้าคุณไปดูเราในที่ต่าง ๆ แล้วถ้ามาถึงเพลงที่ 8 คุณอาจจะไม่ได้ฟังเพลงนี้จากงานที่แล้ว จะได้ฟังเพลงใหม่ เหมือนได้ educate กัน ถ้าเข้าไปในผับ ร้านอาหาร สถานบันเทิง ก็อาจจะมีเพลงคัฟเวอร์ที่เราไม่เคยได้เล่นมาลองสลับกันดู มันก็จะมีหมวดของแต่ละอันอยู่ ซึ่งผมมองว่านี่คืออาวุธ ไม่ว่าคุณจะปล่อยเพลงไหนประสบความสำเร็จมากน้อยก็ตาม เพลงของคุณจะได้เข้าไปอยู่ใน portforlio ของนักดนตรี ผมแค่พยายามสร้างประโยชน์ของการออกไปเล่นให้ได้มากที่สุด ตามมาด้วยการซ้อม การตั้งใจโชว์ เพราะเราไม่รู้หรอกว่าคนที่มาดูเราเขาจะไปปิ๊งเราที่เพลงไหนบ้าง
วงหน้าใหม่ ๆ ก็อาจจะทำแบบนี้ไม่ได้เพราะเพลงยังน้อยอยู่
บอล: อย่างที่เราทำงานกับน้อง ๆ ก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ เราเจอน้องศิลปินบางคนที่เพลงแรกดัง แล้วดังเพลงเดียว ช่วงที่โชว์เขาก็จะลำบากหน่อย มันจะเกิดการต่อสู้ในใจว่า ‘จะเอาเพลงกูทั้งหมดไปเล่น’ หรือ ‘กูควรจะแบ่งเพลงไปเล่นคัฟเวอร์บ้าง’ สมัยเราก็เป็น ตอนเรามี ใกล้ ทุกอย่าง คู่กัน แต่โชว์ชั่วโมงนึง 12 เพลง เราจะทำยังไงวะ ก็เล่น Monotone บ้าง ไม่ก็ไปเล่นเพลงอินดี้ เล่นเพลงพี่ ๆ Bakery บ้าง เพราะถ้าเล่นเพลงลอย เพลงยาก ๆ ที่เราอยากนำเสนอจากชุดหนึ่งในผับ ผลมันก็แน่นอนว่ากริบ แต่เราไม่ค่อยสนใจหรอก เราก็เห็นตรงหน้าว่าสิ่งที่สะท้อนผ่านแววตาหรือสีหน้าของคนดูมันคืออะไร แต่สิ่งนึงที่มันจะกลับมาหาเรา ถ้าเรายังสนุกอยู่ก็คือ ‘เฮ้ย ทำเพลงอีก’ เหมือน Whal & Dolph ตอนที่เขาเริ่มดัง เริ่มเป็นที่รู้จัก แต่โชว์เขายังมีเพลงไม่เยอะขนาดนั้น เขาเลยเล่นคัฟเวอร์ แล้วรู้สึกว่า กลับมาทำเพลงดีกว่า หรือ ‘เฮ้ย มีเพลงกลางมากไปละ ทำ ใจเดียว ดีกว่า’ เงี้ย เขาเริ่มจะเห็นว่าโชว์เขาขาดอะไร แล้วอะไรควรเข้าไปเติม Bowkylion กังวลมากว่ามีเพลงแรกแล้วจะไปเล่นอะไรอีกดี ทุกวันนี้พอมีเพลงที่ 4-5 เริ่มมีคนรู้จัก พอรู้จักก็เริ่มจะรักการโชว์ หาวิธีเบลนด์ทุกอย่างเข้าหากัน เสพติดการทำเพลงเพื่อหาเพลงไปเติมในลิสต์เพิ่มเรื่อย ๆ
เราอาจจะไม่ใช่วงที่ดีที่สุด แต่ถ้าสังเกต อาจจะเป็นไกด์ไลน์ให้น้อง ๆ ได้ว่า ถ้าเราทำได้ วันนึงเด็ก ๆ ก็ทำได้ เพราะเรายังเติมเพลงเข้ามาในลิสต์ของเราได้เรื่อย ๆ แล้ววันนึงเขาก็ไม่ต้องเล่นคัฟเวอร์แล้ว ผมว่าถ้าผมเป็นเด็กยุคนี้ เข้าใจได้นะว่าการทำเพลงใหม่มันทรมาน แล้วมันต้องรอเวลากว่าคนจะมารู้จัก การคัฟเวอร์เป็นการฝึกฝนที่ดี และเป็นตัวช่วยที่ดีในการออกไปเล่นในช่วงแรก ถ้าเราเสพติดมากเกินไปเราจะไม่พยายามสร้างงานของตัวเองอีกต่อไป แน่นอนถ้าเล่นคัฟเวอร์คนจะเอนจอย แต่ถ้าเขาเอนจอยวันนั้นก็จบ เขาจะไม่จำอะไรคุณ เราต้องกลับมาทำงานของเราเพื่อให้คนรู้จักเพลงของเรามากขึ้น มันก็ต้องบาลานซ์กัน
บางคนเลยเลือกวิธีลัดด้วยการทำแต่เพลงที่สไตล์อยู่ในกระแส หรือนั่นเพราะเป็นความชอบจริง ๆ
บอล: ก็เป็นดาบสองคม อันนี้ก็เลี่ยงไม่ได้ อย่างยุคนี้ downtempo มีความ lo-fi chill hop เครื่องดนตรีน้อยชิ้น มีความโยก ๆ เลีย ๆ แบบ Joji มันรอดแน่ ๆ วิวจะเยอะ มีเรื่องความสัมพันธ์บางอย่างของคนสองคนนิดนึง บรรยากาศเพลงแทร็คน้อย ๆ ยืด ๆ หนืด ๆ เป็น safezone ของน้อง ๆ ใน generation นี้ แต่ก็ไม่ผิด อย่างที่บอกถ้าอยู่ในเซฟโซนนี้เรื่อย ๆ เดี๋ยวเทรนด์ใหม่ก็จะมาอีก ถ้าคุณไม่ทำอะไรที่เป็นของตัวเอง เดี๋ยวคุณก็ต้องพยายามขวนขวายเข้าไปอยู่ในเซฟโซนใหม่อยู่ดี แล้วมันก็จะไม่ได้ทำอะไรที่เป็นตัวตนของตัวเองซักที ที่บอกว่ามันเป็นดาบสองคมแปลว่า ก็ใช้มันแหละ แต่ใช้มันเท่าที่จำเป็น ใช้มันให้เกิดประโยชน์เพื่อพัฒนางานของตัวเองในด้านอื่นด้วย
มันคือหลักการง่าย ๆ เหมือนตอนพี่ไปสอนหนังสือ แล้วมีเคสนึงที่พี่จะบอกให้เด็กลองเลือกวงมานำเสนอว่าอยากเป็นผู้จัดการให้วงไหน เพราะพี่สอนวิชา Artist Management บางคนจะแนะนำวงคัฟเวอร์ที่เก่งมาก คัฟเวอร์อะไรก็ 20-50 ล้านวิว แล้วพี่ให้เขียนข้อดีข้อเสีย ก็เขียนเหมือนกันหมดคือไม่มีเพลงของตัวเอง เพราะเขาเสพติดการมียอดวิวสูงไปแล้ว และเราจะพบว่าศิลปินคัฟเวอร์จะทำเพลงตัวเองเพลง สองเพลง ที่วิวไม่เยอะ มันคือเพลงใหม่ เพลงที่ยังไม่มีใครรู้จัก ต้องได้รับการโปรโมตถึงจะมียอดวิว แล้วเขาจะไม่รอ กลับไปคัฟเวอร์ต่อ เพราะรู้สึกว่าเป็นเซฟโซน เขาไม่กล้าออกนอกกรอบมาสร้างงานของตัวเอง ‘ฉันคัฟเวอร์เสร็จคนร้องตามได้ชัวร์ ๆ’
หรือเอาใกล้ตัวก็ได้ ผมรู้จัก Landokmai จากเพลงของเขาเอง แต่ผมเพิ่งรู้ว่าเขาเริ่มจากการทำเพลงคัฟเวอร์ และคนมาฟังเขาเยอะ แต่เขารู้สึกว่าถ้าเขาอยากอยู่ในอาชีพนี้ต่อไป เขาทำแต่เพลงคัฟเวอร์ไม่ได้แล้ว ต้องทำเพลงตัวเอง แต่เชื่อไหมว่า Landokmai เป็นเด็กส่วนน้อยที่คิดแบบนี้ ส่วนใหญ่จะคิดว่า ‘คัฟเวอร์สิวะ’
เราเชื่อในเรื่องความต่างของ generation เพราะทุกวันนี้ทำงานด้านนี้ ต้องศึกษาเยอะ ๆ คนแต่ละ generation ก็มีพฤติกรรมและการสื่อสารภายใน และระหว่าง generation ที่ต่างกัน ที่บอกมาข้างบนก็ไม่ผิด แต่อะไรที่มากเกินไป สุดท้ายระบบมันจะคัดคนเอง เดี๋ยวนี้เราก็จะเจอคนที่ถ้าโผล่แหลมออกมาก็จะแหลมมากจริง ๆ เขาฝ่า eco system เหล่านั้นขึ้นมาเยอะมาก แต่บางทีข้อเสียคือต้องรอนานขึ้น เพราะทุกคนก็จะอยู่ในระบบนิเวศนั้นนานเป็นพิเศษ แล้วทุกวันนี้การจะเป็นไอดอลใครสักคนก็ต้องได้รับการยอมรับจากการถูกพูดถึง หรือการถ่ายลง Instagram Story ถูกแชร์ ถูกไปเป็นส่วนประกอบของการ quote คำ (หัวเราะ) มันก็เลยมีความเชื่อแบบนั้นอยู่ เราว่าพวกที่ผ่าเหล่ามันต้องอดทนมาก แต่อยู่ตรงนี้ก็ดีแล้วแหละ เดี๋ยววันนึงก็จะมีใครเข้ามาเจอเพลงนี้เองก็ได้
การที่วงรุ่นเก่าจะมาอยู่ในกระแสกับวงรุ่นใหม่ ๆ ได้ ต้องพึ่ง pop culture อื่นไหม เช่น การใช้เพลงมาประกอบในซีรีส์
บอล: พวกพี่เป็นคนที่เคยหวงเพลงมาก่อน มาก ๆ ตอนเราเป็นวัยรุ่นเราคงกอดอกไม่เข้าใจว่า ‘มึงทำแบบนั้นทำไม’ ทุกวันนี้บางเรื่องก็ยังเป็นนะ ถ้าไม่ใช่เคสที่สำคัญอะไรจริง ๆ พี่จะไม่ให้ใครแปลงเวอร์ชัน เพราะพี่พยายาม keep original ให้รู้ว่าเพลงนี้เป็นของใคร อันนี้เป็นวิธีคิดในระดับสากลเลยว่า เราต้องเก็บต้นฉบับของเราไว้ให้มีอายุประมาณนึงจนคนรับรู้โดยทั่วกันว่านี่คือเพลงเรา ไม่ใช่ทำเพลงให้มีหลากหลายเวอร์ชันจนมันกลายเป็น mechanical บางอย่างที่ทำให้คนเข้าใจว่าเพลงคัฟเวอร์เวอร์ชันนี้มันคือ original กว่าอันตั้งต้น อันนั้นมันคือการ disrupt ทำลาย sound record ต้นฉบับของคุณเอง
แต่พอถึงยุคนี้ เราคิดว่าคนรู้จัก Scrubb เพียงพอแล้ว ทั้งรูปร่างหน้าตา ผลงานเพลงเป็นแบบไหน คือเราไม่ปฏิเสธว่าวันนึงเพลงเราต้องไปทำงานหรืออยู่ในหมวดใดหมวดนึงในด้านอื่นบ้าง ทุกวันนี้ คนที่เขาเลือกจะ pick up เราไปอยู่ในชีวิตของเขา มันคงเป็นอะไรที่สำคัญมาก ๆ ที่คนเขียนเขาโตมากับเพลงของเรา แล้วเพลงมัน inspire เขามากถึงขนาดสร้างงานศิลปะในหมวดอื่นต่อไปได้
แล้วก็ในเรื่องซีรีส์ จริง ๆ เขาเคยติดต่อมานานมากแล้วนะ แต่เราไม่ค่อยแน่ใจว่ามันควรจะไปเป็นอะไรแบบนั้นหรือเปล่า แต่จุดนึงเรามาคิดว่า มันจะมีสักกี่คนวะที่เอาชื่อเพลงของเราไปวางเป็นชื่อตอนแต่ละตอน แล้วทำเป็นนิยายสองเล่ม เป็นชื่อเพลงเราหมดเลย แล้วทุกตอนก็จบด้วยเพลงของเราเป็นเพลงประกอบซีรีส์ เขาต้อง appreciate รู้จักเพลงเรา หรือให้ความสำคัญกับเราขนาดไหนวะถึงเอาไปเป็น song of life ของคนอื่นได้ เราทำงานขนาดมหึมามา 20 ปีขนาดนี้ เชื่อว่าในชีวิตจะมีครั้งนี้ครั้งเดียวที่มีคนทำแบบนั้น พอรู้งี้พี่เลย respect วิธีคิดที่เขา respect เรา ถ้าเขาเอาไป rearrange ปรับแก้เนื้อใหม่ไว้ให้ตัวละครใช้จีบกัน อันนั้นผิดวิธี ไม่ได้ respect ต่อผลงานของเราจริง ๆ แต่เขาเอาเพลงเราไปใช้ทั้งก้อน นั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว คนเขียนบอกไม่อยากได้ยินเวอร์ชันใหม่ เขาอยากได้แบบที่เขาโตมา ซีรีส์ชื่อ ‘เพราะเราคู่กัน’ (เมื่อย: แต่ในเน็ตเป็น ‘คั่นกู’) ล่าสุดเพิ่งรู้ว่ามีฟิกชันใหม่ เขียนเรื่องเด็กศิลปากร เอาเพลง ขอ ไปประกอบอีกแล้ว แล้วก็ซีรีส์อันล่าสุดที่ขอเราอย่างเป็นทางการก็มีเพลง ขอ เหมือนกัน เรารู้สึกว่า กูโตมาขนาดนี้ยังไม่เคยเอาเพลงใครมาเป็น soundtrack of my life เลย (หัวเราะ)
ตอนนี้พี่ไม่ได้มองว่ามันจะดังหรือไม่ดัง แล้วก็ไม่ได้มองว่าสังคมซีรีส์ในทุกวันนี้ที่เป็นเทรนด์ของเด็ก ๆ จะเป็นซีรีส์ Y หรือไม่ พี่ไม่เข้าใจ culture ไม่เข้าใจการสื่อสาร เราไม่ได้มองว่าเราจะใช้เพลงนี้ในเวย์นั้นเพื่อให้เป็นตัวพึ่งพาไปสู่อีกจุดนึงหรือเปล่า ไม่ได้นึกถึงผลหรือตลาดว่าธุรกิจในการตลาดมันไปต่อยอดอะไร และบอกได้เลยว่าไม่เกี่ยวกับพวกพี่ด้วยซ้ำ เพราะงั้นไม่รู้เลยว่ามันจะดีหรือไม่ดี หรือจะส่งผลยังไงต่อเรา แล้วเราก็เข้าใจว่า โอเค เรื่องที่เซนสิทิฟที่สุดคือความสัมพันธ์ ความรัก เพศสภาพ เราว่ากันกลาง ๆ ว่าเรา respect ทุกความสัมพันธ์ ต่อให้เราจะไม่ได้นิยมหรือเข้าใจความสัมพันธ์ เราก็เข้าใจว่ายุคนี้มันเป็น freedom ของเพศสภาพ เป็น subculture ที่ซับซ้อนกว่านั้นอีก เราก็ยอมรับว่าเราเป็นส่วนนึงของสิ่งแวดล้อมในแต่ละยุคสมัย
เมื่อย: ผมโอเคที่มันเกิดขึ้นตามธรรมชาติ ก็ยอมรับว่าผมไม่เข้าใจความ Y เหมือนกัน ก็ไม่ได้ไปอ่านว่ามันเป็นเรื่องราวอะไร แต่ชอบที่เขาหยิบเพลงเรามาเป็นเรื่องราวก้อนเบอเริ่ม แล้วผมเชื่อว่ามันกลับกลายเป็นสะพานให้น้อง ๆ อีกรุ่นที่เราไม่มีทางไปเจอเขาได้เลย ได้ย้อนกลับมา มันทำให้เราได้เจอเด็ก ๆ 14-15 หลาย ๆ คนที่มาดูเราครั้งแรก จากอันนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่โคตรแปลกสำหรับผม มันมีหลายวิธีที่เขาจะมารู้จักเพลงของเราได้ (บอล: สุดท้ายมันทำให้เรารู้จักกันอีก ทั้งที่จริง ๆ แล้ววัยหนูไม่น่ารู้จักน้าแล้วด้วยซ้ำ) แต่ไม่รู้ว่าถ้าเขาได้ฟังเพลงเราแล้วอยากจะอ่านต่อหรือเปล่า (หัวเราะ)
บอล: จริง ๆ มีเพื่อนผมคนนึงเขาพูดว่า เขามองข้ามทุกอย่างออกไปเลยนะ มองแค่คนที่หยิบผลงานของเราไปเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างงาน ไอ้นี่คือคำจำกัดความที่มองเห็นชัดมาก ๆ ระหว่างคำว่า ‘legend’ กับ ‘legacy’ คำว่า legend มันคือคุณเป็นตำนาน คุณอาจจะสร้างผลงาน สร้างคุณค่าอะไรไว้ให้ยุคยุคนึงแล้ว ก็หยุดสร้าง ทำอะไรไม่ได้แล้ว เลยเอาไว้แค่พูดถึง ชื่นชมบูชาอยู่แค่นั้น (เมื่อย: หลังจากนี้จะไม่มีงานใหม่แล้ว) แต่ legacy มันคือการที่ผลงานของคุณหรือสิ่งที่คุณสร้างไว้ มันส่งต่อ แล้วมันนำไปสร้างให้เกิดประโยชน์หรือแรงบันดาลใจต่อคนในยุคต่อ ๆ ไป ได้ไปสร้างอะไรต่อ ผมก็แบบ ‘อ๋อ ก็ได้ ๆ’ ไม่รู้เขาปลอบใจหรือเปล่า (หัวเราะ)
แล้วสำหรับพี่ ๆ มีเพลงไหนของ Scrubb ที่เป็น soundtrack of life ของตัวเอง
เมื่อย: จริง ๆ มันก็สลับ ๆ กันไปนะครับ… งั้นเป็น See Scape ละกันครับ ตอนนั้นเป็นยุคที่ยังท่องเที่ยว ค้นหาตัวเอง ซึ่งก็ไม่รู้จะค้นหาไปทำไมเพราะเราก็เป็นตัวเองอยู่แล้ว (หัวเราะ) จริง ๆ ก็คล้าย ๆ กับที่ทำเพลงล่าสุดเลย คือเราไปเจอนั่นนี่มา แล้วมีประโยค ‘ออกไปมองฟ้าและน้ำที่กว้างใหญ่ ให้ได้กลิ่นดินและลม…” หลุดออกมาเฉยเลยโดยไม่มีเหตุผล ข้อเสียของผมคือไม่สามารถอธิบายได้ว่าแต่งเพลงนี้เพราะอะไร คนชอบถามว่าต้องคิดนู่นคิดนี่หรือเปล่า เลยมียุคนึงที่ชอบเพียรว่า ‘หรือจริง ๆ เราต้องมีเหตุผลวะ’ ก็ไปตามหาเหตุผลที่เราแต่งเพลง แต่สุดท้ายผมคิดว่า ผมก็คิดเหมือนเดิม มันคือการเจอเหตุการณ์นึงที่กระทบเรา แล้วมีบางสิ่งออกมา สุดท้ายแล้วเราแต่งเพลงก็อาจจะไม่ต้องมีคอนเซ็ปต์อะไรก็ได้ ก็เขียนออกมาก่อน สุดท้ายพอจบมาเป็นเพลงเราอาจจะบอกได้ว่ากำลังคิดถึงเรื่องอะไรอยู่ อีกข้อเสียคือมันไม่รู้ว่าจะออกมาเมื่อไหร่อีก มันออกมาแบบเซอร์ไพรส์ ๆ พอออกมาก็ส่งให้พี่บอล ตอนนั้นมีโปรเจกต์ต้องทำอะไรสักอย่างพอดี เพลงก็ได้ทำออกมาค่อนข้างเร็ว ก็แปลกดี แล้วก็ได้เจอหลายคนที่รู้สึกกับเพลงนี้
บอล: เมื่อก่อนจะพูดถึง เข้ากันดี บ่อย ๆ ว่ามันเป็นเพลงที่ unlock การเล่นของตัวเอง มันมีโครงสร้างใหม่ ๆ ของการเล่นกีตาร์ ทำให้เราไปสู่วิธีการเล่นแบบอื่น ๆ เหมือนเล่นเกมผ่านด่าน แต่ถ้าให้เป็นซาวด์แทร็ค มันน่าจะส่งผลต่อภาพรวมของชีวิตด้วย… เมื่อกี้นึกออกแบบเล่นแล้วฟีลกับเพลงไหนที่สุด ชอบเพลง คู่กัน ชอบทั้งสองเวอร์ชัน เพลง คู่กัน อยู่ชุดเดียวกับ See Scape มันคือช่วงที่ตอนนั้นเราทำอัลบั้มเสร็จแล้ว สบาย ชิ่งละ ปรากฏค่ายบอกว่า ‘อะ ทำชุด 2′ จิตเตลิดกันหมด ชุด 2 คืออะไร (หัวเราะ) เข้าใจเด็กที่ใช้โอกาสแรกในชีวิตไปหมดแล้วเพราะคิดว่าเขาคงจะไม่ให้เราออกอะไรแล้วไหม ให้ทั้ง demon, hidden track ในชุดแรก พอบอกให้เตรียมออกชุด 2 ปีหน้า หนีไปเชียงใหม่เลย (เมื่อย: ผมเดินตาโบ๋เลย) แล้วก็ได้ See Scape กลับมา (หัวเราะ) เพลงนี้เป็นหลักหมุดของเพลงอื่น ๆ ในอัลบั้มใหม่ แต่ก่อนเพลงนี้จะเสร็จ มันมีโปรเจกต์คั่นเวลา คือเพลงหนัง
คู่กัน จริง ๆ เป็นเพลงประกอบหนังชื่อ ‘ก็เคยสัญญา’ แต่มันแปลกมากตรงที่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเพลง คู่กัน ในหนังเลย แม้แต่ซาวด์แทร็ค เพลง ending credit ก็ไม่มี เขายอมรับว่าเกิดความผิดพลาดทางเทคนิค หรือการสื่อสารภายในองค์กรยังไงไม่รู้ แล้วผมต้องทำอีกเพลงคือ รักกันหนอ ต้นฉบับของ ดิ อิมพอสสิเบิ้ล อันนั้นได้อยู่ตอนท้าย ๆ
สุดท้ายเลยเอาเพลง คู่กัน มาใช้ในอัลบั้มและเป็นเพลงที่ประสบความสำเร็จ และกลายเป็นเพลงที่ขึ้นพร้อมกันสามคน คือผม เมื่อย พี่โปรดิวเซอร์ แล้วสุดท้ายมันเป็นเพลงที่อยู่มานานมาก เป็นเพลงกลาง ไม่ใช่เพลงกระโดดโลดเต้นที่สนุก Scrubb มีเพลงอะไรแบบนี้ไม่เยอะ แต่คำ ภาษา และสิ่งที่เกิดขึ้นขณะที่เล่น มันจริงไปหมด ไม่จำเป็นว่าเราต้องมีคนรัก หรืออินเลิฟตอนนั้น แต่ผมแค่รู้สึกว่า มันเป็นซาวด์แทร็คของผม เพราะทุกครั้งที่เราเล่นเพลงนี้ มันจะเห็นโมเมนต์อะไรบางอย่างที่เกิดขึ้น เห็นแววตาของคนที่มาร้องเพลงกับเรา จากคนที่มาเล่าให้เราฟังนะ คนที่ไม่มีแฟนก็ร้องแบบอยากมีแฟน คนที่มีแฟน กำลังเล็ง ๆ จะเป็นแฟนกันก็มาขอเป็นแฟนกันในงานนี้ บางคนก็มายืนร้องไห้เพราะคนเคยส่งเพลงนี้มาให้แต่เลิกกันไปแล้ว ยันขอเพลงนี้เพราะนัดกันไว้ว่าจะคุกเข่าขอแต่งงานที่ Cat ปีล่าสุด ตอนแรกจะไม่เล่น คู่กัน อยากเล่นเพลงแปลก ๆ หน่อย แต่มีน้อง inbox มาว่าจะขอแฟนแต่งงานที่งาน Cat Expo แต่เราไม่เห็นนะว่าอยู่ตรงไหน แต่เราก็เล่น แล้วเขามาขอบคุณเราที่ขอนแก่น มาถ่ายกับแฟนเขา บอกว่า ‘เรียบร้อยแล้วนะครับพี่ ขอบคุณมาก’ บางคนก็มีครอบครัวไปแล้ว รู้สึกว่าอันนี้แหละ มันไม่ได้หมายถึงเพลงที่กลับมาที่เราหรอก คือมันเริ่มจากที่ซาวด์แทร็คของเรา แต่มันมีเพื่อนร่วมซาวด์แทร็คเยอะมากเลย เต็มไปหมด
จริง ๆ ชอบ เธอหมุนรอบฉัน ฉันหมุนรอบเธอ ด้วย มันอิมแพค แต่ด้วยความที่เนื้อร้องทำนองเป็นของพี่ จิก—ประภาส ชลศรานนท์ ไม่ใช่ของเรา เรามีโอกาสได้เอามาเรียบเรียงใหม่ รอยยิ้ม ก็ดี แต่มันเป็นเรื่องของยุคนี้ ยังมีความเป็นวัยรุ่น puppy love ที่ยังคบหาดูใจกัน ผมว่า คู่กัน มัน timeless แล้ว มันอยู่ในทุกความสัมพันธ์ ตั้งแต่คนเริ่มปิ๊งกัน จนคนที่มีครอบครัวแล้ว เลยรู้สึกว่าเพลงนี้เป็นซาวด์แทร็คดีเพราะมันแชร์กับคนอื่นด้วย
ฝากเพลง ธรรมดา กันหน่อย
เมื่อย: อย่างแรกก็ดีใจที่เรายังทำเพลงใหม่กันได้ ส่วนตัวผมเมื่อกี้ก็แวบคิดจากที่โปรโมตเพลงนี้มาทั้งวันว่า เด็ก ๆ เขาจะคิดยังไงกับสิ่งที่เราพูด เขาอาจจะต้องมีประสบการณ์อะไรบ้าง แต่ในมุมนึงก็ไม่เป็นไร เราคิดเรื่องนี้อยู่ก็พยายามถ่ายทอด จริง ๆ แล้วคนที่คอยทอนให้มันสื่อสารกับคนฟังของ Scrubb ก็คือพี่บอลอยู่ดี เขาก็จะคอยเช็กว่ามันสื่อสารได้ขนาดไหน ก็ฝากเพลงใหม่เพลงนี้ด้วยครับ ก็หวังว่าหลาย ๆ คนจะมีประสบการณ์แบบนี้เหมือนกัน ถ้ามีโอกาสก็มาเจอกันที่งานดนตรีแล้วกันครับ