Mandala Marionette 777 อัลบั้มใหม่ที่เป็นจุดกำเนิดแห่งจักรวาลเพลง ริค วชิรปิลันธ์
- Writer: Montipa Virojpan
- Photographer: Thanadol Boonkoolset
เมื่อปี 2015 Fungjaizine ได้สัมภาษณ์ ริค วชิรปิลันธิ์ ในคอลัมน์ เห็ดหวน ซึ่งเป็นคอลัมน์ที่เราจะไปตามหาศิลปินที่เคยเคลื่อนไหวและสร้างปรากฏการณ์ทางดนตรีในอดีต กลับมาคุยกับเราว่าปัจจุบันพวกเขาหายหน้าหายตาไปไหน จนสุดท้ายแล้วเราก็พบว่า ริค ไม่เคยห่างหายไปจากวงการเพลงเลย เพียงแต่เธอได้ย้ายบทบาทจากบนเวทีไปอยู่เบื้องหลังเป็นส่วนใหญ่
ครั้งแรกเรารู้จัก ริค วชิรปิลันธิ์ จากเพลงประกอบโฆษณาผู้ให้บริการมือถือรายหนึ่ง แต่เมื่อโตขึ้น โลกแห่งเสียงของเราก็เปิดออกทำให้ได้ไปค้นพบเราพบว่าเธอคือนักร้องที่มีเนื้อเสียงเป็นเอกลักษณ์ และทำดนตรีได้แตกต่างไปจากศิลปินในช่วงเวลานั้นอย่างมาก ทำให้บางคนถึงขนานนามเธอว่า เป็น ‘ธิดาปีศาจแห่งเสียง’
การเดินทางบนถนนดนตรีของเธอก็ดำเนินมาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี 1999 จน 20 ปีต่อมาเธอมีคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรกในชีวิต และออกอัลบั้มเต็มชุดล่าสุด Mandala Marionette 777 ถือเป็นการสิ้นสุดการรอคอยของแฟนเพลงที่ติดตามมาอย่างเหนียวแน่น แต่จะมีใครรู้ว่านี่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดในอาณาจักรของ ‘หุ่น’ แห่ง ริค วชิรปิลันธิ์
เพิ่งกลับจากเนปาลมาเมื่อเร็ว ๆ นี้ ไปทำอะไรมา
ไปโลซาร์ (Losar) หรือคือปีใหม่ธิเบต ที่นู่นเขามีปีใหม่สากล ปีใหม่จีน (ตรุษจีน) กับของทิเบต (โลซาร์) สองอันหลังนี่บางปีจะใกล้กัน บางปีก็ตรงกันเลย เมื่อตอนปี 2018 พี่ก็ไปบวชเป็น Nagmo คือโยคิณี ปีนี้พี่ก็มีโอกาสได้ไปอีก เหมือนมันเป็นช่วงเวลาที่ทุกอย่างมันลงล็อกแล้ว มันจะไปตามวัฏจักรของอย่างว่องไว
ที่ไปปฏิบัติมา ได้เอามาถ่ายทอดลงในอัลบั้มใหม่ Mandala Marionette 777 ไหม
Mandala แปลได้ว่า ‘มณฑล’ หรือจะเรียกว่า ‘จักรวาล’ หรือ ‘ความสมดุล’ ก็ได้ บางคนจะคิดว่าได้อิทธิพลจากตรงนี้ แต่จริง ๆ มันก็ไม่ได้เกี่ยวกับต้องไปที่นี่ หรือสนใจสิ่งนี้ก่อน ถึงจะกลับมาทำอัลบั้มนี้ได้ สำหรับพี่คิดว่าชื่ออัลบั้มนี้มันต้องเป็นอย่างนั้นด้วยตัวของมันอยู่แล้ว
ชุดนี้มีความเกี่ยวข้องกับอัลบั้มก่อน ๆ ยังไง
ถ้าคนเคยซื้ออัลบั้ม ราสมาลัย ก็จะเห็นว่ามีสองปก ปกแรกเป็นเหมือนร่างเนื้อของคน เป็นสีแดงดำ จะดูโหด ๆ หน่อย อันที่สองจะเป็นโมเดลหุ่น เห็นชัดเจนว่าเป็นสีแดงขาว คนจะไม่รู้หรอกว่ามันมีสตอรี่ของมันอยู่เพราะทำเป็นเพลงออกมาอย่างเดียว แต่ Mandala Marionette 777 นี่จะเป็นที่มาของ ‘Dark Angel’ กับ ‘Automata’ ซึ่งมันจะมีต้นกำเนิดอีกตัวคือ ‘Gaia’ ที่ไปอยู่ใน mv เพลง Circle of Existence ของวง Deathguy
พี่คิดว่าจะเขียนเรื่องทั้งหมดเป็นหนังสือในอนาคต แต่ทุกอย่างมาก่อนกาล คือทำทุกอย่างกลับด้านไปหมด เพลงมาก่อน หนังสือมาทีหลัง คนก็จะงง ๆ แหละ คิดว่าเป็นมาสคอต ตัวละคร หรือภาพปกอัลบั้มเฉย ๆ แต่จริง ๆ แล้วพี่สร้างสตอรี่ของตัวละครตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว แค่ค่อย ๆ เก็บรายละเอียด มีพลอตแก้ไขนู่นนี่มาเรื่อย ๆ หนังสือน่าจะเสร็จภายใน 5-6 ปีข้างหน้าก็ได้ เพราะไม่ได้คิดว่าจะต้องรีบ หรือวันนั้นจะมีคนซื้อ จะมีคนอ่านหรือไม่ ก็ไม่สำคัญ สำคัญตรงที่สุดท้ายงานบนโลกมันเสร็จ ก็โอเค (FJZ: งานศิลปะของ ริค วชิรปิลันธิ์ จะมีความเชื่อมโยงกันเสมอ) ค่อนข้างจะเป็นอย่างนั้น
เล่าต้นกำเนิดของแต่ละตัวให้ฟังหน่อย
ตัวละครในเนื้อหาเพลงทั้งหมด จะมีทั้ง Marionette, Dark Angel แล้วก็ Automata แต่ละตัวจะมีคาแร็กเตอร์ที่ต่างกัน Marionette เป็นตัวหลัก จะเรียกว่าเป็นแม่ของ Automata กับ Dark Angel ก็ได้ แต่ Dark Angel จริง ๆ มันคือความหลุดพ้นไปแล้ว จากความเป็นหุ่น เลยทุกสิ่งอย่างไปแล้ว
Marionette ไม่มีกายเนื้อ เป็นแค่หุ่นที่ถูกสร้างขึ้นมา แล้วได้ดื่มด่ำและได้สัมผัสลึกซึ้ง มากน้อยในสิ่งที่เรียกว่ามนุษย์ที่อยู่รอบข้าง แต่ว่า พอจับต้องและรู้จักทุกสิ่งไปแล้ว ตัวเองที่เข้าใจว่าเป็นมนุษย์ไปด้วยอีกคนแล้วก็เลยรู้ว่าจริง ๆ แล้วตัวเองไม่ใช่มนุษย์ และสิ่งที่ Marionette เห็นรอบข้างว่าเป็นมนุษย์นั้นก็ไม่ใช่มนุษย์ แต่มนุษย์กลับคิดว่าตัวเองเป็นมนุษย์ นั่นเพราะมนุษย์ต่างหากที่เป็นหุ่นเชิด
แต่ Marionette ไม่ใช่ หากว่าถูกมนุษย์เชิดอีกที เพราะตัวเองยอมให้มนุษย์เชิดมากกว่า ดังนั้นแล้วหลังจากที่ Marionett เข้าใจจากสิ่งนี้ มันก็แยกตัวเองออกมาเป็น ‘ดำ’ และ ‘ขาว’ ตัวสีดำก็คล้าย ๆ มนุษย์เรา ไม่ต้องมองให้เทาก็ได้ มันจะคอยถามว่า ‘เธอมองเห็นความจริงของสิ่งนี้ไหม’ ส่วนตัวสีขาวก็ต้องมาเจ็บปวดกับความคิดที่ว่า ‘มันน่าจะเป็นอย่างนั้น’ เจ็บปวดกับความไม่สมประกอบในสิ่งที่มันคิดว่าน่าจะสมบูรณ์ สีดำก็จะคอยบอกว่า ‘เนี่ยแหละคือความจริง’ จนกระทั่งตัวสีขาวยอมรับว่านี่คือความจริง แล้วตัวขาวกับดำก็กลับมารวมกัน แล้วก็ข้ามพ้นไปเป็น Dark Angel เลย คือไม่มีพระเจ้า ไม่มีผู้สร้าง ไม่มีอะไรทั้งสิ้น ไม่ต้องเชื่ออะไรทั้งนั้น แต่ไม่ได้แปลว่าไม่มีความถูกผิด ความถูกและผิดมันเป็นธรรมดาอย่างนั้นเองที่มันต้องมี ถ้าไม่มีชั่วก็ไม่มีดี ถ้าไม่มีดีก็ไม่มีชั่ว มันคือความมีอยู่และรู้ว่าไม่มีเหล่านั้น ถ้าเรียกตามหลักศาสนาก็คือ ‘สุญญตา’ ก็คือเป็นความเข้าใจในสุญญตานั้น และไม่ได้ยึดติดกับความถูกและผิดเหล่านั้น แล้วก็ไม่ตัดสิน
หลังจากที่อยู่ตรงนั้นแล้ว ความเป็นมนุษย์หรือหุ่นก็ไม่สำคัญ แต่ตอนที่ Marionette กำลังรวมกันแล้วข้ามไปแล้วนั้น มันยังมีเศษเสี้ยวของความอาลัยอาวรณ์ที่ทิ้งตัวมาสู่โลก และยังมี ‘ความหวัง’ คล้ายกับ Pandora ที่เปิดกล่องมา สุดท้ายเราก็ทำอะไรกับความชั่วที่มันออกมาไม่ได้ แต่อีกอย่างที่มีอยู่คือความหวังว่าทุกอย่างจะดีขึ้น จะถูกแก้ไข อันนี้ก็ไม่ต่างกัน มันมีน้ำตาหยดนึงที่แอบทิ้งลงมาในระหว่างที่จะกลายไปเป็นอีกอย่างที่จะไม่กลับมาอีกแล้ว น้ำตาก็กลายมาเป็น Automata
ตัวนี้จะต่างจาก Marionette คือ เป็นหุ่นเหมือนกัน แต่จะเป็นเครื่องจักร ที่ไม่สนว่าตัวเองเป็นหุ่น และไม่เข้าใจความเป็นมนุษย์ และไม่เข้าใจว่ามนุษย์ร้องไห้ทำไม เสียใจทำไม ความสุขคืออะไร ไม่ต้องการอีกแล้ว จนกว่าที่จะมีอะไรสักอย่างทำให้กลับคืนมาเป็น Marionette ได้อีก คือหัวใจของ Marionette มันก็ยังมีเศษเสี้ยวที่หล่นลงมาใน Automata ดังนั้นมันก็เป็นเหมือนความทรงจำที่ต้องย้อนหาไปว่า สิ่งลึก ๆ ที่อยู่ข้างในที่ตอบไม่ได้ว่าฉันต้องการค้นหาอะไร ทั้งที่มันไม่เข้าใจเลยว่ามันคืออะไร การมีหัวใจ การมีความรักคืออะไร แต่ลึก ๆ ยังต้องการสิ่งเหล่านั้น เหมือนมนุษย์ที่ถึงแม้จะถูกเชิด อยู่ในวัฏจักรวังวนนี้ สุดท้ายแล้วทุกคนก็มีความหวังที่จะได้รับความรัก ได้มองเห็นสิ่งที่ตัวเองเป็น
อธิบายคร่าว ๆ ได้ แต่อยากให้ไปตามดูใน mv ซึ่งจะไม่ทำออกมาให้ดูกัน ต้องซื้อแผ่นเพื่อที่จะดู สมัยก่อนการทำ mv อาจจะเป็นการโปรโมตอย่างนึงของค่ายเพลงที่จะทำให้คนรู้จักเพลง แต่พี่คิดว่ายุคสมัยเปลี่ยนไป บางทีศิลปินต้องออกทุนเอง หรือค่ายเพลงที่เล็กลง มันต้องใช้ทุนในการทำ mv และไม่มีสปอนเซอร์ใด ๆ มันก็ make sense ไหมว่าอย่างน้อยก็ควรได้ทุนในการทำงานคืนมา
พี่ไม่รู้ว่าศิลปินคนอื่นเขานั่งทำ mv กันเองด้วยไหม หรือว่ามีคนมารับบรีฟแล้วไปทำต่อให้ แต่ของพี่แค่คิดว่ามันเป็นเรื่องที่เราเขียน ทำทุกอย่างเอง ดังนั้นเราเป็นคนทำ mv เป็นเนื้อเดียวกับงาน ดังนั้นเราก็ต้องขายมันได้สิ แล้วคนก็ต้องซื้อเพื่อจะได้ดูงาน เพราะถือว่ามันเป็นงานส่วนหนึ่งของการที่เราทำอัลบั้มนี้ มันเป็นเพลงที่ขยายออกมาเป็นภาพชัดเจนขึ้น
สามตัวนี้เป็นวัฏฏะวนอยู่ในตัวของมันเองอยู่เนือง ๆ อยากรู้ว่ามันเชื่อมโยงกับเพลงในอัลบั้มหรือเปล่า
ก็เฉพาะแค่บางเพลง และอาจจะมีเสี้ยวมุมมองความรู้สึกของแต่ละตัวละคร อย่าง ติชิลา มันอยู่ในภาคของ Dark Angel ก็คือไม่แคร์อะไร มันไม่อะไรทั้งสิ้น เห็นแล้วก็แบบ ‘เออ แล้วไง’ แต่ว่าจริง ๆ ความรู้สึกมันเป็นของตัว Marionette แต่อัลบั้มของ Marionette เพิ่งมาออกตอนนี้ เพราะงั้นคนก็จะงงว่าสรุปในเพลงนี้เป็นความรู้สึกของใคร ดังนั้นจะมาแยกว่าเพลงอัลบั้มนี้เป็นของตัวนั้นตัวนี้ ไม่ได้ มันเป็นความคิดของตัวนั้น เมื่อตอนนั้น สลับไปมา
แต่อันหลังที่ทำมาทั้งหมดไม่ได้เกี่ยวกับอัลบั้ม ปฐม เลย อันนั้นเป็นงานที่เป็นหน้าที่ที่เราต้องทำ และไม่ใช่งานของปุถุชนมนุษย์โลกที่จะสร้างเรื่องราวขึ้นมา พอเสร็จตรงนั้นไป ก็ไม่รู้ว่าจะได้รับโอกาสทำหน้าที่ในอนาคตแบบนั้นอีกไหม อาจจะเป็นคนอื่นบนโลกใบนี้ที่จะได้ทำ phase ต่อไปของการทำงานลักษณะนั้น เราก็ไม่ยึดติดเพราะเราทำส่วนของเราไปแล้ว แต่สิ่งที่เรายังได้ทำคือเรายังเป็นผู้ที่ได้รับโอกาสในการได้ยินเสียงในอากาศ แล้วหยิบมันมาทำเป็นเพลงได้ มันก็ไม่ได้สูญเสียอะไรไป แค่นี่เป็นสิ่งที่เราต้องเป็น
สุดท้ายแล้วมันก็เป็นเรื่องของมนุษย์ ซึ่งมนุษย์ทุกคนย่อมค้นหา หาเสร็จแล้วถอยกลับมา แล้วไปค้นหาใหม่ตลอดเวลา ไม่ได้มองว่าตัวเองได้เจออะไรมาบ้างจากสิ่งที่ผ่านมาแล้ว เพราะลืมเลือนไปหมดแล้ว เหมือนตายไปแล้ว กินน้ำลืมชาติเข้าไป ลืมความตั้งใจ ทุกสิ่งที่เราทำเพื่อจะก้าวไปข้างหน้า มันก้ต้องย้อนกลับมาเพื่อทบทวน ใน Mandala Marionette 777
ทำไมต้อง 777
คนชอบแซวว่าเป็นอัลบั้ม 6 ก็จะเป็น 666 สัญญะของปีศาจอีก เพราะเขาชอบแซวว่าเราโหดร้าย คือจริง ๆ สมัยประกวดดนตรีก็ทำเพลงบาป ทำวงสปีดเมทัล พวกแบล็ก เดธ มันไปทางบูชาซาตาน นรกไปแล้ว อันนั้นมันก็ 666 ไปแล้วไง หรืออีกทีเวลาคนนับอัลบั้ม ก็จะนับตั้งแต่ ปฐม แล้วก็มี ราสมาลัย มีชุด 1 กับ 2 บางคนนับอันนี้เป็น 3 ชุดไปแล้ว แต่จริง ๆ ราสมาลัยแค่แยกเป็นสองชุด ไม่ได้ติสท์อะไร ไม่ได้ทำตามพี่พราย ปฐมพร แต่ทำงานไม่ทัน ท้องอยู่ (หัวเราะ) แล้วก็มีอัลบั้มที่แทรกตรงกลาง เป็นอัลบั้มที่สาม ชื่อ Trois แต่มันเป็นอัลบั้มคัฟเวอร์ ชุดสี่ก็ Pandora แต่บางคนก็นับ 5 มันเลยมีความลักลั่นอยู่ว่าสรุปชุดไหนกันแน่ พี่ก็เลย ช่างมัน เริ่มต้นใหม่ อันนี้ 7 ไป จบ จะได้ไม่ต้องทะเลาะกัน เวลาคุยกันจะได้รู้เรื่อง
ส่วนที่ออกมาเป็นลักษณะนี้ คือมันมีความจำกัดมาก แค่ 500 กล่อง คนซื้อไปอาจจะคิดว่าเป็นอัลบั้มเพลงมีปกเดียว แผ่นเดียว แต่อัลบัมนี้ไม่ได้มีแค่เพลง เดี๋ยวจะมี mv 2 ตัว แล้วก็เบื้องหลังการทำงาน หลายอันไม่เคยมีใครฟังพี่พูดว่าแต่ละอัลบั้มคืออะไรยังไง อันนี้จะได้พูดอะไรที่สำคัญ จำเป็น และมีอะไรปลีกย่อย แล้วก็คนที่ทำงานด้วยกัน ก็ประมาณชั่วโมงนึง แผ่นนั้นเป็นแผ่นที่สอง mv ก็เป็นตัวชิ้นงานในอัลบั้มนี้ด้วย และแผ่นที่ 3-4 จะออกมาพร้อมกันตอนประมาณตุลาคม จะทำ fan meeting ด้วย อีก 2 แผ่นต่อมาจะทำเป็นรีมิกซ์ พี่มีความชอบอนิเมะ mv ตัวนึงของพี่เป็นแอนิเมชัน อีกตัวเป็นปกติ ก็ไม่รู้สึกว่าน่าอายหรือต้องปิดบังว่าเราเป็นสายเมะเหมือนกัน มันไม่เกี่ยวกับความแก่ หรือเข้าไม่เข้า ความชอบไม่จำเป็นต้องไปจำกัดอะไร
อีกอย่างคือคนไม่รู้ว่าพี่ได้เรียน sound engineering ของ Butterfly มา ดังนั้นก็บอกพี่โหน่ง (วิชญ วัฒนศัพท์ The Photo Sticker Machine, Hualampong Riddim) ว่าเดี๋ยวอันนี้พี่ขอจัดการเอง เพราะปกติพี่โหน่งจะ consult ให้ พี่มีความรู้สึกว่า ในความเป็นจริงแล้วคนอาจจะเห็นผู้หญิงสแครชแผ่น เปิดเพลงต่อเพลง แต่มันคือต่อมาจากบ้านมาแล้ว ไม่ได้ทำหน้างาน แล้วก็ไม่ได้สร้างเสียงตรงนั้น พี่เลยคิดว่างั้นเราเริ่มทำแต่แรกเลยดีกว่า เราไม่เคยนำเสนอสิ่งนี้กับใคร และไม่คิดว่าทำสิ่งนี้ออกมาแล้วต้องไปเปิดที่ไหน แค่ให้เห็นว่าเราทำได้ ก็เป็นเหมือนโบนัสไป แผ่นสุดท้ายจะเป็นเพลงใหม่ที่เป็นอะคุสติกหมด
ความชอบอนิเมะของริคคือถึงขนาดคอสเพลย์ แล้วยังร้องเพลงอนิเมะในคอนเสิร์ตใหญ่ด้วย
สมัยก่อนพี่ไม่คอส ดูคนอื่นคอส เพราะตัวเองมีความสันหลังยาว ขี้เกียจตัดชุด แต่สมัยนี้มันดีกว่าสมัยก่อนมากที่เดี๋ยวนี้ใส่ชุดคอสขึ้นรถไฟฟ้าได้ เมื่อก่อนโดนมองแรงแบบ ‘เป็นบ้าหรอ’
คือสมัยก่อนคอสเพลย์ไม่ได้เป็นอะไรที่รุ่งเรืองเท่านี้ คนชอบตัวละครตัวไหนเขาจะมีความผูกพันกับตัวนั้น ๆ เขารู้สึกว่ามันมีแง่มุมของตัวละคนนี้ที่สะท้อนตัวเรา บอกเล่าสิ่งที่เราเป็นได้ แล้วชุดก็ต้องตัดเอง เดี๋ยวนี้เสื้อผ้าคอสเพลย์ขายกันเกลื่อนมาก คนที่คอสเขาไม่ได้มีคาแร็กเตอร์แบบตัวที่คอส มันค่อนข้างผิดวิธีไปหน่อย สมัยก่อนเขาจะคอสแต่ญี่ปุ่นใช่ไหม สมัยนี้เขาคอสตามกระแส เดี๋ยวนี้จีนมาละ ‘ปรมาจารย์ลัทธิมาร’ (The Untamed) ดัง โลกมันเปลี่ยนไป (หัวเราะ) เขาก็จะคอสตัวละครสองตัวนี้ที่เขาเป็น Y คือข้ามแล้วซึ่งสภาวะเพศทั้งปวง
ตอนนี้ชอบคอสเพลย์เป็นตัวละครไหน
ริเสะ Tokyo Ghoul คือความตะกละ (หัวเราะ) พี่เลือกเพราะว่ามันมีความคล้ายเรา เรารู้ว่าเราเป็นตัวนี้ ในเรื่องมันมาแปปเดียว แต่เป็นนางเอกตลอดกาล มันอยู่ในหัวเราและบอกเล่าความรัก ความเกลียดชัง จะก้าวข้ามสู่ความ Ghoul หรือไม่ Ghoul อย่างน้อยคือครึ่งนึงของชีวิตมันเลย มันมีอานุภาพมาก ตะกละสุด ๆ แล้วถ้าไปอ่านแบบที่เป็นนิยายก็จะเห็นว่าริเสะมันมีความน่าสนใจสูงมาก มีความไม่ยึดติดกับอะไรด้วย ต่างกับตัวอื่น มีความที่ต้องให้ได้มาอย่างธรรมชาติมาก ๆ ต้องไปอ่าน ไม่สปอยล์
แนวเพลงในชุดนี้ต่างจากงานก่อน ๆ ยังไงบ้าง
ทุกชุดต่างกันอยู่แล้ว ไม่มีอะไรเหมือนกัน แต่ถ้าถามฟีดแบ็กจากคนที่ได้แผ่นกันไปแล้วจะบอกว่ามันมีความกลับไปสู่อารยธรรม จากเอเชีย ก็จะไปตะวันตกมากขึ้น มีความอิหร่าน เปอร์เซีย ค่อนข้างมาก แล้วก็มีจังหวะในแบบที่เป็นของพี่ ตอนทำงานกับพี่โหน่ง เขาช่วยนั่งทำข้าง ๆ แต่ทุกอย่างเอาให้มันออกมาจากพี่ทั้งหมดเลย ไม่ว่าจะการเลือกซาวด์กลอง เมโลดี้ ทุกอันที่เป็นอยู่ให้เราทำหมดเลย ‘ริคได้ยินอะไรก็เอาอันนั้นแหละ’ แล้วอันไหนที่เขาไม่สามารถทำได้ ไม่เก็ตจังหวะ นับยังไง เขาก็จะพยายามทุ่มเทให้มาก ๆ ที่จะทำให้ได้สิ่งที่พี่ได้ยินออกมาให้ได้ โดยไม่ต้องมีทฤษฎีอะไร บางอันขัดใจเขามาก แบบ ‘นี่คืออะไรวะ’ แต่สุดท้ายพี่โหน่งก็พูดมาว่า เออ มันก็เป็นวิธีการทำงานที่แปลกดี เดี๋ยวเขาจะลองไปทำกับอัลบั้มเขาบ้าง
อย่างเพลงพี่ถ้าฟัง พี่ร้องไม่สนใจดนตรี แทบจะแยกออกจากกันได้เลย แต่มันก็เป็นอันเดียวกัน แล้วมันก็โตขึ้นตามวัย มีความหรูหรา มีความลุ่มลึกแบบนึงของมัน พี่ก็ไม่ใช่เด็กแล้ว อยากให้เราโตไปด้วยกัน ถามว่ามันยังจะมีความเกรี้ยวกราดเหลืออยู่ไหม มันก็ยังมีอยู่ แต่จะเป็นอีกแบบนึง มันคือสิ่งที่พี่ต้องมี มันไม่หายไปไหนหรอก และไม่ใช่ว่าพี่ต้องละทิ้งความเกรี้ยวกราดด้วย เหมือนอย่างที่บอกตอนต้น มันไม่มีอะไรมาตัดสินว่าดีหรือไม่ดี มีแต่จังหวะไหนที่มันควรจะเป็นต่างหาก
อาจารย์อ้น The Photo Sticker Machine ที่เป่าแซ็กโซโฟนในอัลบั้มนี้ เมโลดี้ไลน์ร้องมันจะมีมวลมากขึ้น เพราะพี่ต้องการให้คนฟังในย่านเสียงต่าง ๆ ถ้าคนได้ยินเสียงที่เป็นผู้ชายมาก ๆ ก็มีคนเขียนถามมาว่าใครร้อง ก็แจ้งให้ทราบว่าทุกไลน์ร้องเองหมด ยกเว้นอันนึงเชิญพี่ เล็ก T-Bone มาร้องในเพลง Dark Princesses
เพลงนี้พี่ได้ดอมบรา (dombra) เป็นเครื่องดนตรีของคาซัคสถาน คือก่อนหน้านี้คุยกับพี่โหน่งว่าให้ลองหาอะไรที่พอจะเป็นเครื่องดนตรีประจำตัวริคที่ริคเล่นได้ มันมีปัญหาสุขภาพนิดนึง เป็นรูมาตอยแล้วพี่เจ็บนิ้ว ไม่สามารถเล่นอะไรได้เยอะ ๆ จับได้แค่นี้ มันมีแค่สองสายก็เลยเลือกตัวนี้มา แล้วก็คิดว่าควรจะทำเพลงจากเครื่องดนตรีชิ้นนี้ให้อยู่ในอัลบั้มนี้ เพื่อให้เกียรติกับเครื่องดนตรีชิ้นนี้ด้วยที่มันมาอยู่กับเรา และเคียงคู่เราไปตลอดหลังจากนี้จนชั่วชีวิต แล้วก็ต้องอัดเอง คือไม่มีใครเล่นได้ กับใช้เล่นคอนเสิร์ตมาแล้ว
พี่เป็นคนไม่ค่อยฟังเพลงสากลฝรั่ง มีปัญหาการจำชื่อวง แล้วก็รู้สึกว่ามันไม่ค่อยแตกต่างกัน เราอายุเท่านี้มันฟังจนวนกลับมาอีกแล้ว และที่ว่าแปลกกันก็ไม่ได้แปลกสำหรับเรา แล้วพี่ก็เริ่มไปฟังอะไรที่ใกล้ชิดกับภายในมากกว่า อย่างเพลงมองโกลก็ฟังมานานแล้ว world music อะไรที่ออกมาจริง ๆ จากมนุษย์ ไม่ต้องประดิษฐ์อะไรกับมันมาก เพลงพื้นบ้านก็ฟัง แต่พี่ก็ยังไม่สามารถฟังเพลงพื้นบ้านไทยบางแบบได้ เช่นหมอลำ ลูกทุ่ง ไม่ได้อยู่ในสายสำนึกเลย แต่ไม่ได้บอกว่ามันไม่ดี แค่มันไม่เหมาะกับเรา
แต่งานพี่ในเพลงแรกจะมีความเป็นไทยเดิม นี่อาจจะเป็นสิ่งที่ซึมซับมาและเราเข้าใจ จะออกความเป็นล้านนา เท่าที่สังเกตจากตอนที่ทำอัลบั้มแรกแล้ว เพลง ระบำพราย ก็มีความล้านนานิด ๆ อันนี้ก็เหมือนกัน มันไม่ใช่ไทยเดิมภาคกลาง ก็ต้องลองไปฟัง ถ้าเราฟังเพลงรากของมันจริง ๆ เราจะเริ่มจำแนกได้จากวัฒนธรรม จากเมโลดี้ การเอื้อนอะไรก็ตาม จะไม่ใช่ฟังแค่เนื้อ พี่ไม่เคยสนใจเรื่องเนื้ออยู่แล้ว ถ้าคนมาฟังแต่เนื้อเท่ากับว่ามันยังไม่สามารถเข้าใจดนตรีนั้นได้อยู่ดี เขาจะเข้าใจแต่สิ่งที่อยู่ข้างนอกที่เขาบอกว่าอะไร มันไม่พาเข้าไปในสิ่งที่มันเป็นจริง ๆ ข้างใน ลองเปลี่ยนวิธีการคิดใหม่ หรือไม่ต้องเปลี่ยน คิดว่าเป็นการผจญภัยใหม่ ตั้ง mindset ในการฟังเพลงซะใหม่ เหมือนให้โอกาสตัวเองได้เจอสิ่งใหม่
ส่วนมากพี่เล็ก T-Bone จะเป็นคนตีกลองให้พี่ เพราะพี่หาคนที่เข้าใจไม่ได้ จังหวะมันประหลาด metronome ใช้กับเพลงพี่ไม่ได้นะคะ ตอนอัดนี่ไม่นอม มันต้องคนอย่างพี่เล็กอะ ต้องเล่นด้วยกันมานานมากจนรู้ว่ามันต้องตีตรงนี้แล้ว เขาก็โอเค แต่เขาจะด่าทุกครั้งว่าทำให้มันยากทำไม แล้วเหมือนมีการเถียงกันอีก เอ้า กรรมใดใครก่อรึเปล่า ก็ป๋าตีให้มันยากเย็นเอง พี่เป็นแค่ต้นของกรรม (หัวเราะ) แต่ป๋าเขาสร้างกรรมแก่ตน ต้องแก้เองด้วย พี่ช่วยแกะไม่ได้ แล้วพี่เล็กเขาไม่เคยตีเพอร์คัชชันมาก่อน เพลงนี้จะเป็นดาฟ (daf) กลองเปอร์เซีย
บางทีไม่จำเป็นต้องเรียน เอาจากที่เรารู้สึก เครื่องดนตรีทุกอย่างบนโลกเหมือนกัน ถ้าบอกว่าไวโอลินต้องจับโบวให้ถูกต้อง แล้วพาดไว้ตรงบ่า แนบหู กับคนอินเดียเอาไวโอลินตั้งแล้วสีเป็นซอ แบบนี้ผิดไหม แล้วมันต้องเป็นโน้ตเดียวกันกับดนตรีคลาสสิกไหม ต้องตั้งสายให้ได้เสียงแบบนั้นไหม ก็ไม่จำเป็น ดังนั้นเอาสิ่งที่เกิดขึ้นจากข้างใน พี่เล็กก็ตีตามที่เขาฟังเพลง ฟังหลายรอบมาก แล้วคุยกันว่าตรงไหนที่ริคจะเร็วจะช้า ก็ให้บอก เพราะพี่อัดดอมบราก่อน กลองมาทีหลัง แล้วค่อยอัดร้อง
ช่วงนั้นพี่เล็กเขากำลังทำวงกลางคืนใหม่ของเขา แล้วเขาจะร้องของเขาเอง เห็นว่าชอบร้องเพลงนี่ช่วงนี้ ก็จีบเลย ‘พี่เล็กร้องให้ริคสักเพลงสิ’ คือพี่เล็กเคยทำอัลบั้มออกกับพี่บอย โกสิยพงษ์ แต่พี่เคยฟังเป็นเดโม่ มันไม่ใช่เนื้อเพลงอะไรเลยบนโลก คุยกับเขาว่าริคเคยฟังอันนั้น พี่ว่ามันคืออันแท้ ๆ ที่คนควรได้ฟังมากที่สุด ไม่ใช่อันเนื้อไทย พอมีภาษาครอบเพลงมันดรอปไปมากที่สุดเลย เหลืออยู่ 20% ทุกคนไม่ได้ฟังของดี รู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่ได้ฟังสิ่งนั้น แล้วมันหาไม่ได้แล้ว พี่เล็กก็ไม่มีเดโม่ตรงนั้นแล้ว พี่ฟังจากนอ Pause มันเสร่อมาเปิดให้ฟัง ขอบใจนะ
พี่คุยกับพี่เล็กบ่อยมากว่า มันจำเป็นไหมล่ะที่ต้องมีภาษา เพราะบางทีเราทำเมโลดี้กันมามันก็มีภาษาในแบบที่บางทีบางคนมาฟัง น้ำตาของไข่มุก อัลบั้ม ราสมาลัย มีเพื่อนคนนึงเป็นลูกครึ่งไทยอิตาเลียน เขาก็ฟังเป็นอิตาเลียนในบางคำ เขาสามารถพรรณนาได้เป็นเรื่อง บวกกับสิ่งที่เขารู้สึกว่ามันเป็นอย่างนี้ ๆๆๆ
คือเรารู้ตัวว่าเราเป็นแค่ทางผ่าน เป็นแค่สื่อกลางของสิ่งนึงที่อยู่ในอากาศ พอมันถ่ายจากเราไปสู่คนรับสาส์น แล้วเขาจะแปลเป็นอะไร มันก็คือความพิเศษของแต่ละคนแล้ว ไม่เกี่ยวกับเรา พี่เล็กก็บอกว่าบางทีเขาก็เป็น เขาไปลองให้คนตุรกีฟัง เขาก็ถามว่ารู้จักคำนี้ด้วยหรอ อาจจะเพราะเขาเป็นมุสลิมเหมือนกัน คือเขาได้ยินคำนี้ในช่วงนี้ ๆ ไม่ได้เรียงกันเป็นประโยค พี่เล็กก็บอกว่าบางทีมันคือภาษาของพระเจ้า ไม่ใช่ภาษาของเรา ดังนั้นพี่เล็กเหมาะจะร้องเพลงนี้ โดยไม่มีเนื้อร้อง เขาก็ฟังแล้วถามว่า อยากให้ร้องยังไง พี่บอกว่าพี่เล็กได้ยินยังไงก็ร้องอย่างนั้น เอาออกมาจากข้างใน ไม่มีใครทำอย่างนี้ได้กับพี่ นอกจากเขา พี่โต Silly Fools แล้วก็ไอ้โจ้ Pause นอกนั้นไม่มีแล้ว
เหมือนกับการจูนคลื่นในคอนเสิร์ตใหญ่หรือเปล่า
ใช่ คือคนส่วนใหญ่ชอบใช้ความคิด จำตอนที่พี่น้อยทำได้ไหม แล้วทุกคนจะสังเกตได้ว่า เพราะสิ่งนี้มันจึงทำให้เกิดสิ่งนั้นไม่ได้ คือหลังจากบอกพี่น้อยว่าพี่น้อยต้องไม่คิด แต่พี่น้อยบอกว่า ‘พี่เป็นนักแสดงนะ’ คือนักแสดงต้องคิดแล้วทำตามที่ผู้กำกับบอก แต่ถ้าจะทำเทสต์ของพี่อันนี้คือต้องไม่มีการครอบของอะไรเลย ต้องปล่อยให้มันมีความว่างเปล่า สิ่งที่อยู่ภายในถึงจะออกมา แต่ถึงเขาจะไม่เข้าใจ แต่เขามีความกล้าที่จะทำ
มีคนนึงมาดูคอนเสิร์ต มากับภรรยาเขา พอมาถึงตรงนั้นก็บอกให้ทำ แล้วภรรยาก็ทำด้วย เขาก็หันไปมองแบบตกใจว่าภรรยาเขาทำ เสร็จแล้วาถามว่า ‘นี่ไม่ใช่คอนเสิร์ตแต่เป็นงานแสดงศิลปะใช่ไหม’ พี่ก็ตกใจมากว่าเขาใช้คำนี้ เพราะดูเธอเป็นคนฟังเพลงธรรมดา และไม่เคยฟังเพลงเรา แล้วก็บอกให้ผู้ชายทำอีก เขาบอกว่าตอนที่พามาเธออาจจะชอบหรือไม่ชอบเพลงพี่ก็ได้ หรือจะกลับไปก่อนรึเปล่าก็ไม่รู้ แต่ก็อยู่ดูจนจบ
เขาบอกว่าไม่เคยได้ยินเสียงภรรยาของเขาเป็นแบบนี้มาก่อนเลย เสียงพูด กับ ‘เสียงของเธอที่อยู่ข้างใน’ ไม่เหมือนกัน การพูดมันคือการครอบงำอย่างนึงเพราะเรามีภาษาที่บอกว่าที่บอกว่ามันต้องเป็นอย่างนี้ ๆ กลับไปบ้าน ผ่านไปสัปดาห์นึงเขาตกใจตื่นขึ้นมาได้ยินเสียงภรรยาตัวเอง เหมือนละเมอเลย ไม่ได้น่ากลัวนะ แต่มันติดมาในห้วงฝัน เหมือนเขาเปิดไปสู่ตรงนั้นแล้ว (FJZ: เหมือนเป็นคอนเสิร์ตที่เปิดประสบการณ์หลาย ๆ คน แต่ช่วงที่เราประทับใจที่สุดคือการแสดงชุด ปฐม) นั่นน่าจะเป็นการแสดงครั้งเดียวและครั้งสุดท้ายที่ได้เล่นชุด ปฐม เพราะมันยากมากกับการจะได้เล่นอีก ด้วยเหตุผลทุกอย่างที่มีจุดวาระของมัน
เจาะลึกอัลบั้ม Mandala Marionette 777
Booklet จะดีกว่าตอนอัลบั้มแรกคือพี่ทำทุกอย่างนูนขึ้นมาเป็นสีขาว แล้วก็จะอ่านง่าย ตัวใหญ่ประมาณนึง สำหรับคนอายุ 40 ถ้าตัวเองดูได้แปลว่าทุกคนดูได้ (หัวเราะ) แล้วปกก็สามารถเปลี่ยนเป็นอีกปกได้ เพราะพี่ชอบภาพที่ถ่ายมาทั้งหมด กระดาษปกติไม่สามารถเอามาลงทั้งหมดได้ เลยยอมจ่ายตังเพิ่ม แผ่นละ 600 นะคะ
ได้แรงบันดาลใจมาเขียนแต่ละเพลงจากอะไร
มันเป็นเรื่องของช่วงเวลาเหมือนกันนะ คือมันจะดูเป็นคอนเซ็ปต์อัลบั้มก็จริง แต่คอนเซ็ปต์ใหญ่มันคือทั้ง 2 อัลบั้มมารวมกัน ไม่นับ Pandora ที่แยกไปต่างหาก บางทีมันเป็นจังหวะเวลาของช่วงก่อนหน้านั้นแล้วเอามาเขียน พี่เลยไม่สามารถบอกได้ว่าไปเจออะไรมา เพราะนี่เป็นเหมือนความธรรมดาที่ไม่ว่าช่วงไหนก็มี แต่ว่าช่วงไหนต่างหากที่เห็นว่ามันโดดเด่นขึ้นมา
โลกีย์สรวง
ทุกอัลบั้มถ้าสังเกตจะมีหนึ่งเพลงที่ไม่มีดนตรีแล้วร้องตาม เพลงนี้จำเป็นต้องมี ทั้งหมดดูเหมือนเป็นการหลอกล่อมากเลยว่ามันเป็นเพลงไทยเดิม แต่ข้างในคือหักไปคนละเรื่องเลย อันนี้ให้เบิร์ด Desktop Error ทำซาวด์กีตาร์ให้เพราะรู้สึกว่าก็ดีนะถ้าเราทำเพลงไทยโดยที่มีซาวด์อื่น ๆ อยู่ข้างหลังด้วย เพราะมันไม่มีกฎตายตัวอยู่แล้วว่าต้องเป็นยังไง บางคนบอกว่า ฟังพวกเพลงผี ๆ มันก็มีอย่างนี้อยู่แล้วเหมือนกันนะ มันไม่เหมือนกันหรอก อันนี้มีความหมาย อันนั้นเป็นแค่ทางผ่านของการไปประกอบหนังผี
อยากให้ไปอ่านตามเนื้อเพลงแล้วลองตีความกันเอาเอง เพราะบางอันมันมีความเฉพาะของแต่ละคนในการตีความเนื้อเพลงที่ไม่เหมือนกัน จริง ๆ แล้วถ้าพูดถึงมันคือการต้องการจะพ้นข้ามเขตแดน ถ้าพี่อธิบายทุกคนก็จะเข้าใจตรงกันไปหมด เอาเป็นว่าฟังของพี่คร่าว ๆ แล้วลองนึกอ่านเอาเองด้วย แต่สำหรับพี่มันคือการข้ามพ้นจากโลกีย์ จากสิ่งที่เราถูกสาปไว้ในห้วงของวัฏฏะ อธิบายแค่นี้ละกันเดี๋ยวมันไปตีกรอบ ถ้าอ่านจากภาษาพี่ว่าน่าจะเข้าใจได้เอง อันนี้ไม่ยากอะไร
ต่อให้เราต้องเดินทางไปตรงไหนก็ตามแต่ สุดท้ายแล้วในความเป็นเอเชียนมันมีพลังงานที่ผูกพันซึ่งกัน และเป็นสิ่งที่สูงส่งในตัวของมัน อาจจะใช้เครื่องดนตรีสากล หรือเอฟเฟกต์ที่ฝรั่งทำ แต่เนื้อแท้ของมันคือสิ่งที่อยู่ข้างหลังตรงนี้มากกว่า ดังนั้นไม่ควรจะลืมว่าเราคืออะไร เราเป็นยังไง จิตวิญญาณเราเป็นแบบไหน และไม่ควรทอดทิ้งสิ่งนี้ และให้ค่าสิ่งที่เราเห็นจากตาว่ามันดูหรูหรากว่า หรือดูน่าจะมีอารยะกว่า ทั้งที่จริง ๆ เราเป็นผู้มีอารยะ
ราชินีแมงป่อง
เนื่องจากพี่เกิดราศีพิจิก มันจะเล่าถึงความโดดเดี่ยว คนเราส่วนใหญ่มักจะไม่ได้ให้ค่ากับความโดดเดี่ยวเท่าไหร่ จะวิ่งหนีความโดดเดี่ยว และรู้สึกว่าการต้องอยู่เพียงลำพังเป็นอะไรที่น่ากลัว น่ารักเกียจ ไม่น่าเข้าใกล้ ไม่อยากมี ไม่อยากประสบ แต่นั่นคือสิ่งจริง ๆ ที่เราเป็น ที่เรามีอยู่ ราชินีแมงป่องคือการเดินทางที่จะไปสู่ความไม่ยึดติดกับอะไร ในความไม่ต้องมีสิ่งใดให้เราต้องไขว่คว้าแล้วด้วยซ้ำไป แค่ดำเนินไปในหนทางนี้ ไม่ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้นก็ตาม เรายังต้องมีชีวิตที่จะต้องไปสู่ หรือแม้แต่ใครขออะไรจากเรา มันก็ไม่ใช่ของเรา
เราต้องอยู่ลำพังคนเดียวบ่อยมากนะ ถึงมันจะรายล้อมด้วยผู้คนก็ตาม หรือแม้แต่มันจะมีความชัดเจนและไม่ชัดเจนในเรื่องความลำพัง แล้วเราก็จะมองเห็นคนข้าง ๆ เราว่าเขาก็โดดเดี่ยว ทั้งที่เขาอาจจะมีใครสักคน หรือเขาจะมีเรา หรือแม้แต่ลูกเราเอง เราก็เห็นความโดดเดี่ยวของเขา ความโดดเดี่ยวนี่คือคุณสมบัติของความเป็นมนุษย์ที่หว่า งั้นเราจะทิ้งความโดดเดี่ยว ไม่ยอมรับมัน คือเราทิ้งความเป็นมนุษย์เหมือนกัน เพราะนี่คือความจริง ไม่ว่าจะต้องเกิดมากี่ชาติก็ตาม แต่ถึงแม้จะโดดเดี่ยวก็ไม่ได้แปลว่ามันว่างเปล่า แบบที่เราจะไม่ใส่ใจใคร เพราะสุดท้ายแล้วในความโดดเดี่ยวก็มีความสมบูรณ์ในตัวของมัน คือถ้าเรายอมรับมันได้เราก็จะมองเห็นตรงนั้น แต่ในเนื้อเพลงจะเขียนบอกว่า ‘จากนี้จะไม่เหลือห้วงรักใดถักทอเราไว้ด้วยกัน‘ ฟังดูแล้วมันดูเป็นความเจ็บปวดไหม มันคือความสวยงามไหม มันมีแทบทุกอย่างในนี้ นี่คือความจริง เพราะงั้นราชินีแมงป่องคือความเข้มแข็งอย่างยิ่งที่จะอยู่ได้เพียงลำพังในความโดดเดี่ยวบนโลกนี้ ไม่ว่าโลกมันจะเหี้ยแค่ไหนก็ตาม ไม่ว่าโลกมันจะดีกับเรามากแค่ไหนก็ตาม
หมื่นเหมันต์
เอาไปเล่นสดมาสองครั้งแล้ว ในคอนเสิร์ตใหญ่กับ Grass On The Moon ยอมรับว่าเพลงนี้แต่งให้คนคนหนึ่ง แต่มันก็มีเศษเสี้ยวของความเป็น Marionette อยู่ในนี้ด้วย ค่อนข้างชัดเจนและเต็มมากในความรู้สึกของมันเลย ต้องยอมรับว่ามันไม่มีทางแยกกันได้หรอกว่าคนที่คิดสตอรี่ในตัวตนของเขา กับงานของเขา บางอันมันมีความเป็นหนึ่งเดียวกันนั่นแหละ จะมานั่งบอกว่า ‘เฮ้ย ไม่ใช่หรอก’ แต่มันคือความจริง การปฏิเสธนั้นล่ะคือการตอบรับ
หมื่นเหมันต์ ไม่ใช่แค่เรื่องลมหนาวเท่านั้น อาจจะเป็นลมหนาวที่มีจังหวะผิดเพี้ยนไป แต่ในลมหนาวนั้นมี ‘วิถีของดาบ’ อยู่ ซึ่งก็คือความโดดเดี่ยวเช่นกัน ความโดดเดี่ยวของดาบมีความชัดเจนในตัวของมัน ว่ามันสามารถตัดทำลายความสัมพันธ์ก็ได้ หรือแม้แต่ตัวเองก็ได้ พี่คิดว่ามันเหมาะสมกับการที่จะได้ไปอยู่ในอัลบั้มนี้ เพราะสุดท้ายแล้ว Marionette เองมันก็ไม่ได้มีใจเหลือให้ใครอยู่ดี ถึงแม้มันจะเคยเชื่อว่ามีสิ่งนั้น หรือแม้ว่ามนุษย์อาจจะทำให้มันรู้สึกว่ามันมีสิ่งนั้น แต่มันรู้ว่ามันเสียใจไปกับสิ่งนั้น ในความที่มันไม่มีสิ่งนั้น สิ่งที่จะทำให้ละทิ้งได้ก็คือวิถีของดาบ การพุ่งไปสู่ความว่างเปล่าที่ไร้ตัวตนนั้นโดยลำพัง นี่เป็นทางออกเดียวที่จะสามารถทำได้ แม้ว่ามันจะมีความรวดร้าวใด ๆ ก็ตาม
ถึงแม้ว่าจะฟังดูเป็นเดี่ยว แต่จริง ๆ มันคือการรวมกันแล้ว เพราะถ้าเกิดเป็นทวิลักษณ์ มันต้องแยกเป็นสองอัน อันนี้มันเหมือนการตัดสินใจไปด้านใดด้านนึง แต่จริง ๆ มันคือการรวมเป็นอันเดียวกัน มันไม่ได้ต้องตัดสินว่าต้องมีความสุข หรือโศกเศร้าไปทางใดทางนึง
อัมลาน—วิหารดอกฝิ่น
เขียนบอกเอาไว้ถึงความหมายทั้งหมดว่า ‘ดั่งลิ่มเลือดอันเปลือยเปล่า’ ก็คือในความเจ็บปวดมันมีความเปลือยเปล่าอยู่ หากเราสามารถเปลือยเปล่าความรู้สึกของตัวเองได้ ไม่ว่าจะเป็นความสุข ทุกข์ เราจะเหนือจากสิ่งเหล่านั้น จะพ้นจากมลทินของน้ำตา ความเวิ้งว้างที่เราประมาณค่า หาค่าไม่ได้ จะก้าวพ้นไปจากทุกการฉุดรั้งทั้งหมดของตัวเราเอง และของคนอื่นด้วย ถ้าอยู่ในเรื่องหุ่น จะมีตอนนึงที่ Dark Angel ตัดหุ่นทุกตัวแล้วขาดไปหมดเลย คือมันสามารถตัดทุกสิ่งทุกอย่างได้ เหมือนกับถ้าเราคิดว่าเราฟุ้งฝันกับในมนต์มายาทั้งหมด และเราซาบซึ้งได้ถึงที่สุดของมันแล้ว เราก็สามารถตัดขาดได้ แต่ส่วนใหญ่พอถึงเวลาจะตัดก็มักไม่ตัด ยังอยากจะยังอยู่ในมนต์มายานั้นอยู่นั่นเอง
‘อัมลาน’ แปลว่าดอกฝิ่นเลย มันคือสายพันธุ์นึงของดอกป๊อปปี้ ในสงครามมันจะไปขึ้นตรงไหนก็ตามที่มีศพ และเลือด แต่อันนี้เป็นวิหารเลย มันไม่ใช่ความตายหรอก คนชอบมองความทุกข์ มลทิน หรือความตายเป็นเรื่องไกลตัว น่ากลัว ไม่ควรแตะต้อง แต่จริง ๆ มันไม่ใช่ มันอยู่ใกล้เรามาก และเราควรจะยอมรับมัน ถ้าเราสามารถตัดทุกความทุกข์ทรมานได้ วิหารนี้มันเป็นวิหารที่ แทบจะเป็นด่านสุดท้ายที่เราก้าวข้าม อีกนิดนึงเราก็จะพ้นแล้ว
ในความเปลือยเปล่านั้นทุกคนก็ไม่อยากจะเปลือยเปล่า ทุกคนจะปกปิดมันไว้ วิหารนั้นไม่มีการปกปิดใด ๆ ถ้าทุกอย่างมีความชัดเจน ยอมรับในสิ่งที่มันเกิดขึ้น อย่างทัศนะบริสุทธิ์แล้ว มันเป็นชั้นสุดท้าย แต่พี่ก็ยังก้าวข้ามไม่ได้นะ ทุกคนรู้ว่ามีสิ่งนี้ แต่ทุกคนไม่ก้าวข้าม ไม่ต้องไปนั่งสมาธิ ไม่ต้องไปหาพระหรอก พระธรรม ธรรมชาติ รู้วิธีที่จะไปด้วย แต่ไม่มีใครไป บางคนยังสนุกที่จะอยู่ ข้อดีคือยอมรับความจริงที่จะสนุกอยู่อย่างนี้ แต่คำถามคือเมื่อไหร่จะเบื่อ เพราะการทำอย่างนี้ก็ทำให้บางคนทุกข์อยู่ ดังนั้นเวลาไปเจอพวกคอร์สธรรมะอะไรไม่ต้องไปหรอก กลับบ้านไปดูตัวเองเหอะ เสียตัง เอาตังไปทำอย่างอื่น เอาไปช่วยคนที่เขาลำบาก
พิราบดำ
สนุกมาก จะเอาไปทำเนื้อเรื่องของสามตัวละครนี้ พี่ชอบเนื้อหาอันนี้มาก มันมีความที่ทุกสิ่งทุกอย่างพังทลาย มันคือการพ้นไปแล้วด้วยแหละ แม้จะมีเนื้อหาของทุกตัวรวมกัน แต่เพลงนี้เป็นเพลงที่เป็นตัวแทนของ Dark Angel ไปถึงการได้เห็นพระโพธิสัตว์ด้วยซ้ำไป แต่ไม่ได้คิดกลับมาช่วยใคร อันนี้เป็นเพลงที่ปัจเจกมาก มันอยู่ในความมืดดำที่ทุกคนมองว่า เหมือนกับปีกสีดำ เวลาคนมองเป็นทวิลักษณ์ คนก็จะมองสีดำเป็นสีดำ ไม่มองเห็นสีขาวที่อยู่ในนั้น ถึงจะมีสีขาวอยู่ข้างหลังแซมนิดเขาก็ไม่สนใจ เพราะเขาสนพื้นที่ส่วนใหญ่ของสี ถ้าทุกคนสามารถก้าวข้ามความเป็นทวิลักษณ์ได้ก็จะเป็นอย่าง Dark Angel บางทีเราคิดแต่จะไปให้สุดท้ายของสีขาวโดยที่เราทิ้งสีดำไป โดยที่มองว่ามันเป็นสิ่งไม่ดี ไม่ถูกต้อง ไม่ใช่
เฟืองวงแหวน
ไม่มีคำร้อง มีแต่ความหมาย อยากให้ไปอ่านข้างหลังเอง วงแหวนมันคล้องกันอยู่ เนื้อเรื่องทั้งหมดมันสอดคล้องกัน เป็นฟันเฟืองของวัฏจักรนี้ หุ่นก็สอดคล้องกับมนุษย์ มนุษย์ก็สอดคล้องกับหุ่นเหมือนกัน พวกวัฏฏะนี้เชื่อมกันอยู่ทุกภพภูมิ หรือแม้แต่การที่เรามาเจอกันก็ตาม ดังนั้นแล้วถ้าจะให้วงแหวนของเฟืองเหล่านี้หมุนไปได้อย่างดี เราต้องไม่ทอดทิ้งซึ่งกันแม้จะอยู่ในความโดดเดี่ยว แล้วเราก็ต้องมีความทะนงที่เราจะอยู่ได้อย่างโดดเดี่ยว ต้องมีความทะนงในความทุกข์และความสุขที่เราพบเจอ
Dark Princesses
เพลงสุดท้ายไม่มีเนื้อเช่นกัน อย่างที่บอกว่าเป็นเพลงของพระเจ้า ถ้าฟังแล้วได้ยินเนื้อภาษาไทยก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่บางคนฟังแล้วบอกว่าเหมือนไม่ใช่ภาษาไทย อันนี้แต่งให้เป็นเกียรติกับดอมบราด้วย ทั้งหมดของตัวละครของพี่คือเจ้าหญิงแห่งความมืดมนทั้งนั้นเลย แต่มันมีความสวยงามทั้งหมด แล้วแต่ละตัวมีลำดับ มีมิติในความโดดเดี่ยว ในความละทิ้ง การเข้าใจและไม่เข้าใจที่ต่างกันมาก และมันแสดงให้เห็นถึงว่ามีสิ่งเหล่านี้ในตัวพี่ด้วย
คนชอบใช้คำว่า ‘Queen of Darkness’ เคยได้ยิน แต่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนตั้ง แล้วก็พูดกันบ่อยจังเลย กูเป็นควีนตรงไหนเนี่ย ถ้าจะพูดเราก็เป็นแค่เจ้าหญิงน้อย ๆ แห่งความมืดมนนั่นแหละ และมันไม่ใช่แค่ตัวเราที่มี มีอยู่ในคนอื่นด้วย จริง ๆ อันนี้เป็นเพลงเด็ก ฟังสักสามรอบจะฮัมเมโลดี้ได้ ไม่จำเป็นว่าต้องร้องถูกผิด ลูกพี่ยังร้องได้เลย พอร้องไปสักพักมันจะมีวงรอบของมันเลยในวงนี้ มันไม่สามารถฟังได้รอบเดียว และไม่สามารถจะหยุดร้องได้
การไปปรากฏตัวใน MV Circle of Existence ของวง Deathguy ได้ทำชิบาริด้วย
ส่วนตัวชอบชิบาริอยู่แล้ว ไม่ใช่เพราะความเป็นญีปุ่นหรอก แล้วก็ไม่เข้าใจความหมายของชิบาริที่แท้ และรู้ว่าตัวเองไม่ต้องเข้าใจความหมายจริง ๆ ของมันก็ได้ แค่รู้สึกว่าการถูกมัดมันแสดงให้เราเห็นว่าจริง ๆ แล้วเราทุกคนสนุกกับการอยู่บนโลกนี้ขนาดไหน เราถึงได้ยอมโดนมัด โดนเจ็บปวด แม้แต่เราโดนครอบงำ เรายังสนุก อาจจะสนุกเพราะใครบางคน อาจจะสนุกเพราะมันสะท้อนสิ่งที่เราเป็น ว่าสิ่งที่เราโดนครอบงำนั้นก็อยู่ในตัวเรา เช่น ไม่ชอบให้คนอื่นมาบงการเรา เราไม่ชอบหรอกแต่เราสนุกกับการที่ต่อสู้กับมัน เพราะจริง ๆ แล้วกูก็อยากบงการคนอื่นเหมือนกัน ทีนี้พี่เลยคิดว่าชิบาริ บางคนมองว่าซาดิสม์ บางคนมองว่าชอบทำให้ตัวเองเจ็บปวด แต่ความจริงคนเราก็มีอะไรแบบนี้ ชอบทำร้ายคนอื่น ชอบทำร้ายตัวเอง บางทีก็ชอบให้คนอื่นทำร้ายด้วย
จริง ๆ พี่ไม่ได้อยากชิบาริเอง คือวงเขาอยากให้มี แล้วโจ้ วง Deathguy รู้จักกับพี่ พี่ก็โตมากับความเป็นสปีดเมทัล เป็นคนเล่นดนตรีหนัก ๆ มาก่อน เขาก็ไปชวนให้ไปเล่นให้เขา เพราะคิดว่าเนื้อหาเพลงเขาพี่น่าจะเข้าใจ เพราะเป็นเรื่องห้วงวัฏฏะด้วย ก็คิดว่าน่าจะตีความถ่ายทอดให้เขาได้ แล้วพอเขาเลือกมาก็ต้องคุยกันเรื่องคอสตูม พี่บอกไม่เอาคอสตูมอะไรทั้งนั้น ถ้าเป็นเรื่องบ่วงวัฏฏะก็อยากเอาตัวที่เป็นต้นกำเนิดของบ่วงทั้งหมด แล้วพี่ไม่ได้มองของโจ้ แต่มองของตัวเอง เป็น Mandala ของ Marinette ของพี่ด้วย พี่ก็เสนอว่าถ้าจะให้ริคไปเล่น ก็ขอเอา Gaia Marionette ของริคไปอยู่ในนั้นด้วย
Gaia ของริคมันคือมารดาของความทุกข์และความสุข ของการที่มนุษย์ไม่ได้เป็นมนุษยด้วยซ้ำไป เพราะมนุษย์คือหุ่นที่ถูกชักใยด้วยกรรมของตัวเอง กรรมที่สร้างด้วยคนอื่น และสร้างด้วยตัวเอง
จริง ๆ ไกอาเป็นขาวแดง แต่เขาทำภาพเป็นขาวดำ ที่เลือกสีนี้เหมือนเวลาเราจ้องไปที่ต้นกำเนิด เราจะเห็นสีขาว จริง ๆ สีขาวนี้พี่ก็ย่อมาจากความสว่าง ไม่สามารถจะหาสีอะไรมาทำให้เป็นความสว่างได้ ต้องสีนี้ แต่ถ้ามีสีแดงเข้าไปด้วย มันคือการให้กำเนิดชีวิต ทุกสิ่งเกิดขึ้นมาจากเพศหญิง และเพศหญิงเป็นหุ่น ผู้ที่สร้างหุ่น และมนุษย์ทั้งหลายที่ทำตัวเองให้เป็นหุ่น
ทั้งหมดนี้มันไม่มีส่วนเสี้ยวของความเป็นผู้ชายในภาพลักษณ์ แต่มันมีอยู่ในตัวละครนี้ ก็คือเชิดชูความเป็นสตรีเพศมาก ไม่ได้ feminism หรอก ถ้าจะให้ผู้ชายรัด พี่ให้ผู้หญิงรัดดีกว่า ไม่ได้แบ่งเพศ ไม่อยากให้ผู้ชายมาแตะตัวนะ แต่พี่รู้สึกว่าผู้หญิงก็มีความเป็นผู้ชายอยู่ แล้วการเลือกจะทำงานกับใครสำคัญมาก บางทีพี่รำคาญ ไม่ได้ทำงานได้กับผู้หญิงทุกคนเพราะเรามีความเป็นผู้ชายอยู่ข้างใน และเรายอมรับในสิ่งที่เป็นด้านลบบางอย่างของผู้หญิงไม่ได้ และเราก็ไม่ได้ชอบด้านลบบางอย่างของผู้ชายเหมือนกัน
ริคเคยนั่งวิเคราะห์เพลงที่ผ่านมาของตัวเองว่ามีความเป็น sadism และ masochism เพลงชุดใหม่นี้มีไหม
มีหมดแหละ มันไม่มีทางแยกจากกันไปไหน มันไม่มีใครที่จะซาดิสม์หรือมาโซคิสม์อย่างเดียว ทุกคนสร้างงานด้วยความเจ็บปวด ไม่มีใครไม่สร้างงานด้วยความเจ็บปวด เจ็บปวดรูปแบบไหน ยังไง จะในที่ลับหรืออะไรแล้วแต่ ไม่มีใครไม่เจ็บปวด ถ้างานไม่สร้างขึ้นมาจากความเจ็บปวด มันจะไม่ใช่งาน และมันเป็นอย่างนั้นมาเสมอ จากสถิติ คนที่เจ็บปวดจะแสดงพลานุภาพของงานนั้นออกมาได้ ไม่ได้บอกว่าบางคนเขียนด้านดีแล้วจะไม่เจ็บปวด หรือไม่ใช่งานที่ดีนะ เพราะความเจ็บปวดนี้แหละจะทำให้เราเห็นความจริงได้ เราควรยินดีกับความเจ็บปวดนะ หรือแม้แต่งานที่ขณะที่เราเจ็บปวด รู้สึกแย่ เราทำร้ายตัวเอง หรือใครทำร้ายเรา เอาเป็นว่าเราเจอเรื่องที่ไม่ดี ถ้าเราสามารถทำตรงนี้ เข้าใจมัน และทำให้มันออกมาเป็นสิ่งนึงได้แล้ว เราจะสลายจากสิ่งนั้นไปและไม่ต้องเจ็บปวดกับมันอีก
การที่เราต้องทำสิ่งนั้น จะทำให้เราเห็นมันชัดเจน ออกมาแล้วเราก็ไม่ควรจะยึดติดกับสิ่งนั้น ควรไปต่อ ควรยินดีกับความเจ็บปวด ถ้าพูดในทางปฏิบัติ ยิ่งเราเห็นความเจ็บปวดมากเท่าไหร่เราจะละทิ้งโลกนี้ได้ง่ายขึ้นเท่านั้น ละทิ้งไม่ได้แปลว่าฆ่าตัวตายนะ ฆ่าตัวตายก็ไม่ผิด ไม่ได้แปลว่าจะต้องไป แต่ทำให้เรามองเห็นการมี ‘เนกขัมมะ’ เนกขัมมะมันคือการรับรู้แล้วว่าโลกนี้ไม่เที่ยง ไม่มีสิ่งสมบูรณ์พร้อม ไม่ได้มีความสุขด้านเดียว แล้วก็ไม่ได้ทุกข์เพียงด้านดี เป็นสิ่งที่ไม่น่ายินดีที่จะมาเกิดอีกกับการที่เกิดแล้วต้องทุกข์ทรมาน
มีหลายคนทำเพลงจากความเจ็บปวด แล้วกลับทรมาณกับสิ่งที่ทำออกมา ริคเคยเป็นไหม
ไม่เป็น มีแต่จะกลับไปฟังและได้รับรู้ว่าตอนนั้นเราทำงานไว้ยังไง ทำให้เข้าใจเพลง อันที่จริงมันไม่ได้ทำเพื่อระบาย แต่เราทำแล้วเข้าใจมัน แปรความรู้สึกนั้นออกมาให้เป็นชิ้นงานเท่านั้นเอง มันคือพลังงานอย่างนึง เราอย่ามองแต่ว่าความสุขมีค่า ความเจ็บปวดมันก็มี เราก็สร้างสิ่งที่ดีจากสิ่งที่มันแย่ออกมาเป็นงานได้ และเราก็ไม่ต้องไปยึดติดกันมันแล้ว วันข้างหน้ามีเรื่องเจ็บปวดอีก จะไปจมกับตรงนี้ทำไม ไปสนุกกับความเจ็บปวดข้างหน้าดิ
เห็นเปิดสตูดิโอสักด้วย Devi Ink Studio 2019
อีกปีสองปีจะแสดงงานศิลปะนะคะ แต่งานสักพี่รู้สึกว่าพี่เขียนรูป ก็มีหลายคนบอกว่า… พี่ก็รู้ตัวเองนะ ถือเป็นพรอย่างนึงที่พี่ได้รับมา เป็นการสั่งสมมา ก็มีอัตลักษณ์ในการทำงานทุกอันที่ตัวเองทำ คนเราต้องยอมรับความจริง ไม่ได้อวยตัวเอง แต่เป็นการรู้สิ่งที่ตัวเองเป็น มันก็ดี ทำให้เราทำงานได้ถูกทาง พี่แค่เปลี่ยนอุปกรณ์ จากพู่กัน เป็นเข็ม เป็นเครื่อง พี่อยากรู้ว่าเครื่องกับเข็มสามารถทำงานได้ขนาดไหนบ้าง แต่ยังเขียนงานลักษณะเดิม จะทำได้ไหม มันก็มีงานที่เราเขียนไปแล้วคนชอบ เขาก็ซื้อลายเรา แต่พี่มีข้อแม้เยอะในการจะสัก
จะไม่สักยันต์ไทย เน้น Tibatian Mantra และเน้นแค่พระแม่กาลี จริง ๆ พี่ทำแต่งานขาวดำ ถ้าจะมีสีก็เป็นแดง เป็นอะไรมานิดนึง ถ้าทำงานกาลี คนที่ทำมันน้อยคนแน่ ๆ และพี่ไม่เหนื่อย และคนที่จะทำเขาก็น่าจะมีความชัดเจน มองเห็นตัวเองว่าเปิดรับสิ่งที่ตัวเองมีทั้งด้านดีและด้านเลวได้มากน้อยแค่ไหนถึงมาสักกาลี เพราะคนชอบมาสักกาลีด้วยความเข้าใจแบบอื่น แต่ก่อนจะมาสักพี่ต้องมีการคัดกรองก่อนด้วย ไม่ใช่ใครจะมาสักกาลีได้ง่าย ๆ มาถึงบอกเคารพมาก เคารพแปลว่าอะไรรู้เปล่า ถ้าตอบคำถามบางอย่างของพี่ไม่ได้พี่ก็ไม่ทำให้ ให้ไปหาช่างสักคนอื่น ช่างสักเขาก็มีอาชีพของเขา บางคนเขาทำเป็นงานศิลปะจริง ๆ มีฝีมือจริง ๆ แต่พี่ก็ไม่ได้สักงานเพื่อลักษณะคนอื่น พี่สักงานอย่างนี้ด้วยความเป็นจิตวิญญาณของเขามากกว่า ในสิ่งที่เขามองเห็นและยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็นมากกว่า ดังนั้นก็จะไม่ได้สักให้ใครพร่ำเพรื่อ หรือรู้สึกว่ามันเป็นงานศิลปะขนาดนั้น
แน่นอนส่วนนึงถ้าเราเปลี่ยนอุปกรณ์แล้วจะเป็นยังไง แต่ลายมนตรากับกาลี ก็มีข้อแม้ที่จะมาคุยกัน พี่ก็ไม่ง้อ ไม่จำเป็นต้องมานั่งพูดกันว่า คิดว่างานดีนักหรอเลยมีข้อแม้เยอะ ไม่เกี่ยว มันเกี่ยวกับว่าสิ่งที่คุณจะทำไปแล้วคุณรู้สึกกับมันแค่ไหน มันต้องมีบางอย่างที่เชื่อมกับฉันอยู่ ถ้าไม่มีก็ไปหาที่อื่นสัก ที่ได้แค่ภาพ แต่คุณจะไม่ภายใน ถ้าอยากได้ภายในต้องมาคุยกัน และต้องตอบให้ได้ แต่สุดท้ายแล้วถ้าใครอยากสักลายธรรมดาก็มาจองวันเวลาไว้ได้ละกัน แค่ลายพิเศษต้องคุยกันนิดนึง แล้วคนมาสักกับพี่ในลักษณะนี้ ไม่อยากให้ไปพูดว่า สักกับพี่ริค เขานับถือเจ้าแม่กาลี มันไม่ใช่เลย โคตรเปลือก อย่ามาเปลือก มันไม่ได้ดีหรอก และพี่ไม่ได้รู้สึกแฮปปี้ แล้ววันเวลาผ่านไปเขาจะรู้สึกยังไงกับมัน พี่ใส่ใจเรื่องความรู้สึกมากที่สุด มากกว่าอย่างอื่น และอยากให้เขาใส่ใจเรื่องความรู้สึกกับสิ่งที่เขาต้องเป็น สิ่งที่เขาต้องมี มันไม่ใช่งานที่จะมานั่งทำ เสร็จแล้ววันนึงเบื่อ ไปเอาลายอื่นมาทับลงไป คุณไม่แน่วแน่กับสิ่งที่คุณจำทำงั้นไม่ต้องทำหรอก ทำไปทำไม
พี่ไม่ค่อยเข้าใจการเบื่อรอยสัก มันจะไปเบื่อได้ยังไง สมมติตอนที่พี่เริ่มสักแรก ๆ จบ ม.6 ก็สักแล้ว ก็ไม่เคยคิดเบื่อเลยนะ คือสิ่งนี้มันค่อนข้างจะมีความชัดเจน นี่คือสิ่งที่เราชอบ สมมติเราชอบลายนี้ มันมีความหมายกับเรา มีเรื่องราวตรงนั้น เราเห็นมันทุกครั้งเราพอใจ มันมีความคงที่ในความพอใจนั้น แม้ว่าวันนึงมันจะต้องเปลี่ยนแปลงไปเช่นสีจางลง เส้นบานขึ้น ตามระยะเวลา เงื่อนไขของผิว แต่เนื้อแท้ของมันในความที่เราเลือกมันแล้วไม่มีวันหายไป ต่อให้เรากลายเป็นอะไรก็ตาม ทุกอย่างบนโลก วัฏจักรมันเปลี่ยนไป สิ่งหนึ่งที่จะไม่เปลี่ยนคือใจคน ที่มีต่อสิ่งนั้น ไอ้คนที่เปลี่ยน ต้องถามตัวเองแล้วว่ามันเปลี่ยนเพราะอะไร ทำไมถึงไม่สามารถแน่วแน่ได้ ไม่ควรจะไปโทษอย่างอื่น ต้องถามตัวเองว่าทำไมไม่แน่วแน่กับมัน เรามีความแน่นหนักกับยสิ่งที่เรารู้สึกแต่แรกนั้นแค่ไหนต่างหาก นี่คือสิ่งที่นำพาเราไปทำทุกอย่างได้นะ ซึ่งตอนนี้ยากมากที่จะมี ไม่รู้ทำไม ถ้าใครสงสัยว่าทำไมเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ไม่ใช่ถามรอบข้างละ ต้องถามตัวเอง สิ่งอื่นมันก็เปลี่ยนไปทุกวัน แต่ที่ไม่เปลี่ยนคือเรา ที่มันเปลี่ยนเพราะเราไปวิ่งตามโลก ก็ต้องถามตัวเองแล้ว
ทุกอย่างที่พี่ทำดูเกี่ยวกับความเจ็บปวดเนาะ สักก็เจ็บ
พี่รู้สึกสนุกกับการประทานความเจ็บปวดให้คนอื่นนะ (หัวเราะ)
ฝากถึงอัลบั้มใหม่
นาน ๆ จะออกอัลบั้มที งานนี้ก็นานเหมือนกัน ความนานคงกลายเป็นความธรรมดาของวชิรปิลันธิ์ไปแล้ว มันก็มีอยู่แค่ 500 แผ่น ฉันจะขายของตรง ๆ hard sale สุด ๆ ก็รีบ ๆ ซื้อให้หมด ๆ ไป เพราะจะไม่ทำอีกแล้วแน่นอน มันจะไม่มีมาอีกแล้ว อย่าให้เหตุผลว่าไม่มีที่เล่นซีดี เอาเป็นว่าใครซื้อซีดีไป แล้วไม่มีเครื่องเล่น ถ่ายปกพร้อมกับหน้าตัวเองแล้วส่งกลับมา เดี๋ยวแม่จะส่งเป็นไฟล์กลับไปให้ นี่คือวิธีแก้ไขที่ง่ายที่สุด มันก็แฟร์นะ เพราะอยากให้เก็บสิ่งนี้เพราะไม่ค่อยมีใครทำอัลบั้มแล้ว
อัลบั้มนึงมันคือเลือดเนื้อกายใจของคนที่ทำงาน ดังนั้นแล้วไม่ควรถามว่าอัลบั้มนี้ราคาเท่าไหร่ มีอยู่กี่เพลง เพราะนี่ไม่ใช่สินค้า คุณทำกับงานศิลปะแบบนี้หรอ มันโคตรถูกเลยเมื่อไปเทียบกับงานอาจารย์คนอื่น ๆ อย่าบอกว่านั่นคือถวัลย์ ดัชนี อย่ามองว่านั่นเป็นศิลปินแห่งชาติหรืออาจารย์ระดับไหน เพราะตอนคุยกับอาจารย์ท่านไม่เคยมองเลยว่าท่านเป็นศิลปิน ท่านเป็นแค่ ‘ช่าง’ ลองตัดตรงนั้นไป แล้วถ้าเราคิดแบบเดียวกับที่ท่านบอกเราแบบนั้นจริง ๆ แล้ว ก็ให้มองซะว่าเพลงในหนึ่งอัลบั้มมันใช้เลือดเนื้อในการทำงาน 600 บาทมันคุ้มมั้ย ลองย้อนกลับไป กับภาพหนึ่งภาพซื้อมาสองหมื่นกว่าบาท อีนี่ 600 บาท ใช้เวลาเขียนเป็นปีหนึ่งเหมือนกัน แล้วไง แต่เวลาชีวิตมันคือต้นทุนที่แพงที่สุดแล้วในต้นทุนทั้งหมดของการผลิตงาน ชีวิตคนน่ะ
แล้วอีกอย่างนึง อัลบั้มนี้ของพี่ ความพิเศษสุด ๆ ของมันคือตอนนั้นพี่ต้องไปผ่ากระดูกต้นคอ C1 ซึ่งเป็นส่วนที่คนเข้าห้องผ่าตัดบอกว่าจะรอดหรือไม่รอด พี่ทำงานชิ้นนี้โดยที่พี่อัดร้องแล้วทิ้งไว้ให้พี่โหน่ง ทุกเพลง บอกว่าพรุ่งนี้จะไปผ่าแล้ว ถ้าพรุ่งนี้ริคเป็นอะไรไป พี่โหน่งต้องทำงานริคออกมาให้เสร็จ โดยใช้ความทรงจำ ความที่เรารู้จักกัน ใช้ทุกสิ่งที่เรามีความผูกพันเชื่อมโยงถึงกัน จินตนาการเอาว่าริคจะให้ออกมาเป็นยังไง แล้วพี่โหน่งก็พูดตลก ๆ ตอนที่เรามานั่งทำด้วยกันว่า ‘ดีละที่คุณไม่ตาย เพราะถ้าตายขึ้นมาจริง ๆ ผมนึกไม่ออกว่าจะทำให้มันยังไงดี’ คงต้องมาตามหลอกหลอนแน่นอน เพราะมันคงทำออกมาไม่ได้ เนี่ย ถึงบอกว่างานแต่ละชิ้นมีคุณค่างานของมัน ศิลปินทำงานแต่ละชิ้นออกมาก็ซื้องานเขาเถอะ
แต่ไม่ใช่ซื้องานเพราะความสงสารหรืออยากให้งานหมด ๆ ไป ไม่เอานะ เพราะนี่ก็ไม่ขาย จะขายเฉพาะคนที่เห็นคุณค่าของงาน ถ้าคุณรู้สึกว่างานนี้น่าสนใจ และคิดว่าอยากฟังอะไรที่ มีทั้งความแยกกับเนื้อเพลง รวมกันก็ได้ แยกชิ้นกันก็ได้ หรือว่าฟังไม่เป็นภาษาแบบทั่วไปที่เราใช้พูดกัน เพราะการใช้ภาษาไทยลงในเมโลดี้ มันก็ไม่ได้ได้ง่าย เพราะเรามีอะไรครอบไว้มาก มันคือความกล้าหาญรึเปล่า มีความสนุกรึเปล่าที่เราสามารถบรรลุผ่านสิ่งเหล่านั้นไปได้โดยไม่ต้องสนใจอะไรเลย นี่คือความอิสระที่สุดแล้วในการเขียนเนื้อเพลง ในการทำเพลง ไม่มีข้อแม้อะไรทั้งสิ้น และถ้ามันสามารถให้แรงบันดาลใจคุณได้ ก็ควรเก็บไว้ฟัง เพราะว่าคุณจะได้มีงานสร้างสรรค์ของตัวเองออกมาเช่นเดียวกัน
ขอขอบคุณภาพคอสเพลย์และร้านสักจากเพจ ริค วชิรปิลันธิ์
ขอขอบคุณร้าน Hello Strangers สำหรับสถานที่
อ่านต่อ