Portrait

Article Interview

‘เจ้าพ่อเพลงเศร้า’ ฉายานี้ไม่ได้ได้มาเพราะโชคช่วย คุยกับปอย Portrait ถึงเพลงเศร้าและคอนเสิร์ตใหญ่ของเขา

  • Writer: Peerapong Kaewthae
  • Photographer: Chavit Mayot

ไม่แปลกใจที่หลายคนเสพติดเพลงเศร้า การได้ฟังเพลงเศร้าดี ๆ ซักเพลงเหมือนเป็นการปลดปล่อยอารมณ์และพันธะทางความรู้สึกทั้งหมดออกไป ปล่อยตัวปล่อยใจให้ไหลไปกับสายธารของเวลาและน้ำตาก็เป็นความเบิกบานใจอย่างหนึ่ง (เอ๊ะ?)

และเมื่อพูดถึงเพลงเศร้าแล้ว ชื่อหนึ่งที่หลายคนมักนึกถึงคือ Portrait อีกหนึ่งตำนานที่ยังมีลมหายใจ การันตีด้วยเพลงอกหักทั้งหลายที่พร้อมจะทำให้เราร้องไห้ไม่หยุด ทั้ง ขอดาว, กลับไปไม่รู้จัก และโลกที่ไม่มีฉัน วันนี้ Fungjaizine มีโอกาสได้พูดคุยกับ ปอย—ตะวัน ชวลิตธํารง เจ้าของเพลงเศร้าที่ทำคนอกหักตายทั้งเป็นมาแล้วทั้งประเทศ ว่าอะไรคือเหตุผลที่เขาเกือบเลิกทำเพลงไปแล้ว เบื้องหลังความเศร้าในหลาย ๆ เพลงที่เขาแต่ง และคอนเสิร์ตใหญ่ของเขา Black Valentineที่กำลังจะเกิดขึ้นสำหรับคนเกลียดความรัก เมื่ออ่านจบแล้วก็จะได้รู้ว่าฉายา ‘เจ้าพ่อเพลงเศร้า’ ไม่ได้ได้มาเพราะโชคช่วย

POY Portrait

รอยต่อระหว่างอัลบั้ม ลวงตา กับอัลบั้ม 4 A.M. ห่างกันถึง 8 ปี ปอยไปทำอะไรมา

เราไม่ได้ตั้งใจให้มันนานขนาดนั้น แต่มันไม่เสร็จครับ พี่เติบโตมากับการทำ concept album เพราะแก๊ง No More Belts เนี่ยถ้าทำได้เราก็อยากให้อัลบั้มมีคอนเซ็ปต์ครอบไว้ ทุกเพลงก็จะเกี่ยวกับคอนเซ็ปต์นี้ อย่าง Sleeper 1 ถึงขั้นทำทุกเพลงต่อเนื่องเป็นเรื่องเดียวกันไปเลย เหมือนอ่านจดหมายทีละฉบับ จริง ๆ อัลบั้ม ลวงตา ก็เป็นคอนเซ็ปต์อัลบั้ม มันใช้คำว่า ‘ลวงตา’ ครอบทุกเพลงไว้ 9 เพลงแรกมันคือตัวอย่างของคนที่ถูกความรักลวงตา แล้วเพลงที่ 10 ถึงจะมาสรุปว่าไอ้ 9 คนแรกเนี่ยมันโดนความรักลวงตาเพราะอย่างงี้ไง เราไม่ต้องไปหาเหตุผลกับความรักก็ได้ โดนความรักลวงตาอยู่ก็โดนมันต่อไปเถอะ รอให้วันหนึ่งมันจะโชคดีเท่านั้นเอง (หัวเราะ) เลยคิดว่าอัลบั้มที่ 3 ก็ต้องเป็นคอนเซ็ปต์อัลบั้มเหมือนกัน แต่เราก็หาคอนเซ็ปต์ไม่เจอ ก็เลยทำเพลงไปเรื่อย ๆ

สมัยก่อนมีงาน Fat ทุกปีก็ทำเพลงไปขายทุกปี ก็ออกเป็น EP มากมายอะครับ หนึ่งเป็นการขัดตาทัพระหว่างทำอัลบั้ม อีกเหตุผลหนึ่งคือมีคนถามทุกปีว่าเมื่อไหร่อัลบั้มเต็มจะเสร็จ ก็ให้ EP เขาไปฟังก่อน จนมีอยู่ช่วงหนึ่งคิดว่าจะไม่ทำด้วยซ้ำเพราะว่าความคิดมันไม่รวมเป็นกลุ่มเป็นก้อนซักที ประกอบกับซักประมาณ 6 ปีก่อนมาอยู่สหภาพดนตรี ก็เลยสนุกกับการทำค่ายเพลงใหม่โดยไม่ได้ดูเพลงตัวเองเลย สุดท้ายพี่ในค่ายก็บอกให้ทำเถอะ พอมีคนมาดูตารางเวลาให้ จัดการเรื่องโปรโมตให้ถึงได้เป็น 4 A.M. ออกมา ถ้าไม่ได้ทำที่นี่เผลอ ๆ อาจจะไม่เป็นอัลบั้มนี้ออกมาก็ได้ เราทำเพลงเพราะเราอยากทำ อยากออกเมื่ออยากออก พอรู้สึกเลยว่ามันยังไม่เสร็จก็เลยไม่ออก ถ้าไม่มีคนมาบังคับก็คงไม่ออก (หัวเราะ)

คนที่ล้มอยู่ตรงนั้นไม่ได้ต้องการคนที่ไปฉุดเขาขึ้นมา ไม่ใช่เขายืนขึ้นมาไม่ได้แต่เขาไม่อยากยืนขึ้นมามากกว่า สิ่งที่ทุกคนควรทำไม่ใช่การฉุดเขาขึ้นมา แต่คือการลงไปนั่งข้าง ๆ เขาแล้วฟังเขา ปล่อยให้เขาร้องไห้ไปเถอะ ลงไปร้องไห้กับเขาก็ได้ อยู่เป็นเพื่อนกับเขาให้เขาไม่รู้ว่าต้องโดดเดี่ยว

4 A.M. มีคอนเซ็ปต์ยังไง

มันเริ่มมาจากวันหนึ่งไปดูหมอครับ ไม่ได้ตั้งใจไปดูด้วยนะแต่ตามเพื่อนไปดู เขาบอกว่าหมอดูคนนี้แม่นมาก เขาเป็นหมอดูกรรม มานั่งปั๊บเขาจะเห็นเลยว่าเราไปทำอะไรมาก่อน พี่เป็นคนไม่เชื่อแต่เพื่อนพี่อินมาก เขาดูเสร็จพี่ก็เลยอะลองดูซิ นั่งไปปั๊บเขาถามคำแรกเลยว่าทำอาชีพอะไร พี่ก็บอกว่าเป็นนักดนตรี พี่พูดแค่นี้ เขาพูดกลับมาเลยว่าคุณเลิกแต่งเพลงเศร้าได้มั้ย เพราะมันไปกวนกิเลสคนอื่นนะ มันทำให้คนอื่นไม่สงบ (ยิ้ม) พี่อึ้งมาก เขาไม่น่ารู้จัก Portrait อะ (หัวเราะ) เขาไม่น่ารู้ว่ากูเป็นใครอะ เขารู้ได้ไงว่ากูแต่งเพลงเศร้าวะ มันกระทบใจมาก กลับมาคิดเลยนะว่าหรือกูไม่ควรแต่งวะ มันเป็นบาปจริง ๆ ป่าววะ นี่เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำอัลบั้มไม่เสร็จ หรือกูไม่ควรทำเพลงเศร้าวะ สับสนอยู่นานเป็นปีสองปีเลยนะเพราะคำพูดหมอวันนั้นวันเดียว สุดท้ายเลยไปหาทางออกว่า ถ้าเปรียบเพลงเศร้าเป็นช่วงเวลากลางคืน ที่ผ่านมาพี่ทำเพลงช่วงเที่ยงคืนมาตลอด คือมืดสนิท มองไม่เห็นทางไป ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องทำยังไง นั่นเป็นเป้าหมายในการทำเพลงมาตลอดว่าทำยังไงให้คนฟังเศร้าที่สุด

ที่นี้ถ้าไม่ทำแบบนี้ ทำแบบไหนได้บ้าง เพลงสว่างเราทำไม่ได้อยู่แล้ว พี่ร้องเพลงมีความสุขแล้วเราไม่เชื่อเลยจะออกมาไม่ดี มันก็เหลือแค่สองอย่างคือทำเพลงเศร้าต่อไปกับเลิกทำ ก็เลยไปนึกต่อว่าลองเลื่อนนาฬิกาไป ตีสี่เป็นช่วงเวลาสุดท้ายก่อนที่แสงอาทิตย์จะมาเยือน เลยตั้งใจว่าถ้าจะทำเพลงชุดใหม่เป็นมุมมองตอนตีสี่หมดเลย คือเป็นเพลงเศร้าอยู่แต่จะไม่ดำดิ่ง มันจะไม่ถึงกับหาหนทางออกไปไม่ได้ มันจะเป็นเพลงเศร้าที่ผ่านการครุ่นคิดมาประมาณหนึ่งแล้ว ถ้าเทียบระยะเวลาของการอกหักมันจะไม่ใช่คืนแรกของการอกหัก คืนแรกเราจะทำอะไรไม่ถูก เราจะล้มคว่ำ เราจะสะบักสะบอมไปทุกอย่าง แต่เพลงประเภทตีสี่คือผ่านมาแล้วสามเดือน แผลเริ่มแห้งละแต่ยังเจ็บอยู่ อาจจะยังหาทางออกไม่ได้แต่เริ่มมีสติละ เริ่มฉุกคิดแล้วว่าเราต้องลุกรึยัง มันเป็นเพลงเศร้ากับเพลงให้กำลังใจมาบวกกันแล้วหารสอง

เพลงหนึ่งในอัลบั้มที่ผ่านการคิดมาเยอะมาก คือเพลง จดหมายจากต้นไม้ เพลงนี้ก็มีที่มายาวมาก มันเริ่มมาจากการฟังเพลงของพี่แอมป์ เสาวลักษณ์ ชื่อเพลง ขอบฟ้าไม่มีจริง เป็นเพลงที่พี่ชอบมาตั้งนานละ มันเป็นเรื่องของนกตัวหนึ่งที่อยากจะบินไปถึงขอบฟ้า แล้วก็บินไปเรื่อย ๆ โดยไม่สนใจว่าจะเหนื่อยแค่ไหน ต้องทิ้งอะไรไปบ้าง ฉันต้องพุ่งไปที่ขอบฟ้านี้ให้ได้ พอบินไปถึงจุดหนึ่งเพิ่งรู้ว่าขอบฟ้าไม่มีจริง ยิ่งบินก็ยิ่งไม่ถึง จนสุดท้ายอยากจะหาใครซักคนเป็นกิ่งไม้ให้พักได้มั้ย แต่พี่เป็นคนฟังเพลงแล้วพี่ชอบคิดต่อ ทุกครั้งที่ฟังเพลงนี้พี่จะไม่นึกถึงนก พี่จะนึกถึงต้นไม้สิ่งที่นกตัวนี้ทิ้งไป พี่นึกภาพตัวเองเป็นต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่แผ่กิ่งก้านสาขาให้ความร่มเย็นกับนกตัวนี้ได้ แต่จะมีประโยชน์อะไรถ้านกตัวนี้มองไปที่ขอบฟ้า ไม่สนใจต้นไม้ แล้ววันที่นกบินไปที่ขอบฟ้าจากต้นไม้ต้นนี้ไป ต้นไม้จะรู้สึกยังไง จะบินตามไปก็บินไม่ได้เพราะเราหยั่งรากลึกอยู่ตรงนี้ แต่สุดท้ายก็ยังหวังให้นกตัวนั้นมีความสุขในทุก ๆ วัน ยังมีกิ่งไม้อื่น ๆ ให้เกาะให้ได้พัก มันมีบางคนจริง ๆ ที่ยังไม่พร้อมจะหยุดอะ เจอใครก็ตามเขาอาจจะมีความสุขแต่เขายังอยากหาไปเรื่อย ๆ แล้วคนที่ไปชอบคนแบบเนี้ย พร้อมที่จะหยุดพร้อมที่จะสร้างครอบครัวแต่ไม่สามารถจะรั้งเขาไว้ได้ ฉันมีพร้อมทุกอย่าง มีความมั่นคง มีความอบอุ่นให้เธอได้ แต่ฉันไม่ใช่ขอบฟ้า ฉันไม่ใช่ต้นไม้ เพลงตีสี่มันก็จะประมาณเนี้ย แล้วก็โชคดีมากที่ได้คนช่วย สองอัลบั้มแรกส่วนใหญ่พี่จะแต่งเอง แต่อัลบั้ม 4 A.M. พี่จะคิดเรื่องทุกเพลงเองเหมือนเดิม แต่บางเพลงพี่จะส่งให้คนอื่นแต่งเนื้อเพลงให้ จดหมายจากต้นไม้ เนี่ยก็ได้ พี่แว่น—จักราวุธ แสวงผล เป็นนักอดีตนักแต่งเพลงจากแกรมมี่ยุคตำนานน่ะครับ เก่งมาก แล้วก็เป็นครูคนแรกที่สอนพี่เขียนเพลงด้วย เพราะพี่เคยไปเรียนที่แกรมมี่อยู่ปีหนึ่งโดยเขาไม่คิดตังพี่เลย สุดท้ายก็ได้มาทำที่สหภาพดนตรีด้วยกัน พี่แว่นก็เป็นส่วนหนึ่งที่ผลักดันให้พี่ทำอัลบั้มนี้ แล้วยังแต่งเพลงให้พี่ห้าเพลงเลยมั้ง ก่อนที่ฉันจะกลายเป็นคนอื่น, ร้องไห้ไป, คืนของผู้แพ้, ใจเอ๋ย และจดหมายจากต้นไม้ แต่เรื่องทุกอย่างมาจากพี่หมดเลย อย่างจดหมายของต้นไม้พี่ก็เขียนเป็นจดหมายเลยนะ ‘สวัสดีนกน้อย นี่ต้นไม้ต้นเก่าเองนะ’ เขียนเป็นจดหมายแล้วส่งให้พี่แว่นอ่าน พี่แว่นอ่านแล้วส่งกลับมาว่า ‘ปอย กูร้องไห้ว่ะ แต่กูจะแต่งเพลงนี้ให้สุดฝีมือเลย’ สองอาทิตย์พี่ก็ส่งเดโมกลับมา พี่ฟังแล้วร้องไห้เลยเหมือนกัน เพราะมันตรงกับจดหมายที่พี่เขียนไปคำต่อคำทั้งหมดเลย ชอบมาก โชคดีมากที่ได้พี่แว่นมาทำเพลงให้ เป็นเพลงที่รักมาก แต่ยังไม่ค่อยมีคนรู้จักเท่าไหร่ ก็หวังว่ามันจะออกไปในวงกว้างซักวันหนึ่ง (ยิ้ม)

อีกเพลงคือ คืนของผู้แพ้ มันเป็นเพลงที่อยู่ในใจมาตลอดเวลาพี่เห็นคนปลอบใจกันในเฟซบุ๊กหรือเจอกันในร้านเหล้า ประโยคจะมีไม่กี่อัน ‘สู้ ๆ นะ เดี๋ยวมันก็ผ่านไป’ ‘ไปหาอะไรทำอย่าอยู่คนเดียว’ พี่มีความรู้สึกขัดในใจตลอดว่ามันยิ่งทำให้แย่ คำพูดเหล่านั้นมันไม่ช่วยอะไรเขาเลยเว่ย คนที่ล้มอยู่ตรงนั้นไม่ได้ต้องการคนที่ไปฉุดเขาขึ้นมา ไม่ใช่เขายืนขึ้นมาไม่ได้แต่เขาไม่อยากยืนขึ้นมามากกว่า สิ่งที่ทุกคนควรทำไม่ใช่การฉุดเขาขึ้นมา แต่คือการลงไปนั่งข้าง ๆ เขาแล้วฟังเขา ปล่อยให้เขาร้องไห้ไปเถอะ ลงไปร้องไห้กับเขาก็ได้ อยู่เป็นเพื่อนกับเขาให้เขาไม่รู้ว่าต้องโดดเดี่ยว เลยเป็นความตั้งใจให้เขียนเพลงนี้ขึ้นมา อันนี้คือตัวอย่างของเพลงประเภทตีสี่ มันต้องคิดตลบเข้าไปอีกเลเวลหนึ่ง ไม่ใช่เพลงแบบอกหักทั่วไปแล้วมาฟูมฟาย เป็นเพลงที่คิดเยอะมาก น้อยคนที่จะเขียนเพลงถึงช่วงเวลาตรงนี้ ถ้าเพลงเศร้าไปกวนกิเลสคนอื่น เพลงตีสี่อาจจะไม่กวนเท่าไหร่ กูอาจจะทำได้ (หัวเราะ) ให้ข้ออ้างกับตัวเองเพื่อทำเพลงต่อไป แต่เพลงใน 4 A.M. ก็ยังมีเพลงเที่ยงคืนอยู่บ้างนะ เป็นอะไรที่ยังเต็มตีนเราอยู่อะ (ยิ้ม)

แล้วเพลงไหนรู้สึกว่าเศร้าที่สุดในอัลบั้ม

มีสองเพลงนะ เพลงแรกก็คือ จดหมายจากต้นไม้ เนี่ยแหละ พี่แต่งในช่วงเวลาที่พี่เป็นแบบนั้นจริง ๆ ด้วย พี่ไปรักผู้หญิงคนหนึ่งที่เขายังไม่อยากหยุดกับใคร ตอนที่พี่เขียนจดหมายพี่ก็นึกถึงเขา พี่เขียนให้เขาเนี่ยแหละว่าตอนนี้เธอเป็นไงบ้าง แต่เขาไม่รู้นะว่าพี่แต่งเพลงถึงเขา กับอีกเพลงหนึ่งคือ ก่อนที่ฉันจะกลายเป็นคนอื่น จริง ๆ แล้วเป็นเพลงที่พี่แว่นเขียนให้ พลพล แล้วถูกตีกลับมาเพราะเพลงมันเศร้าเกินไปสำหรับพลพล พี่แว่นก็เอามาให้พี่ฟังพี่เลยขอซื้อต่อ ถึงไม่ได้มีที่มาที่ไปอะไรเกี่ยวกับตัวพี่แต่เป็นเพลงที่ฟังแล้วโคตรดีเลยว่ะ แต่เอาจริง ๆ น่าจะเป็น จดหมายจากต้นไม้ แหละที่เศร้าที่สุด

มาอยู่สหภาพดนตรีได้ยังไง

พี่รู้จักกับพี่ดี้—นิติพงษ์ ห่อนาค เป็นการส่วนตัวตั้งแต่สิบกว่าปีที่แล้ว พี่เป็นคนเล่นบอร์ดพันทิปยุคแรก ๆ ซึ่งยุคแรก ๆ มีคนเล่นแค่หลักร้อย ทุกคนก็จะรู้จักกันหมดเลย พี่ดี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น แล้วก็พี่บอย—ตรัย ภูมิรัตน มีคนในวงการบันเทิงแอบมาเล่นเยอะมาก พอมีมีตติ้งกันก็ได้รู้จักกัน ตอนพี่ดี้ออกจากแกรมมี่มาตั้งที่นี่ก็เลยชักชวนพี่มา เหมือนพี่เป็นคนเดียวที่ไม่ได้มาจากแกรมมี่และมีมุมมองในซีนอินดี้มาก่อน เลยเป็นที่ปรึกษาเกี่ยวกับเพลงนอกกระแสให้ที่นี่ด้วย

img_3450

จากสมาชิกรุ่นแรกจนกลายมาเป็นนักแต่งเพลงมืออาชีพเนี่ย อะไรทำให้เรามาถึงตรงนี้ได้

มันคือความรักจริง ๆ นะ ความรักในการแต่งเพลง อยากบอกเรื่องราวโดยเฉพาะเพลงเศร้าเนี่ยแหละ มีหลายคนมากที่เขารู้สึกว่าถ้าเขาไม่ได้ทำเพลงเขาก็จะไม่ทำอย่างอื่นแล้ว เขาจะเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย สำหรับพี่มันใกล้เคียงความรู้สึกเนี่ย ไม่ว่าพี่จะทำอะไรก็ตามมันจะกลับมาที่การทำเพลงเสมอ

มีเคล็ดลับยังไงถึงแต่งเพลงให้คนร้องไห้ได้

เหมือนเป็น process ปกติของพี่ไปเลย ตัวเองชอบฟังเพลงเศร้าตั้งแต่จำความได้เลย แล้วชอบฟังเพลงเสียงสูง ๆ เพราะเราเสียงสูง เลยชอบฟังเพลงของผู้หญิงที่เป็นเพลงช้าและเศร้าเป็นหลัก แกรมมี่ยุคแรกจะมีเพลงอย่างงี้เยอะมาก มันเลยติด เวลาเขียนเพลงจะใช้ความชอบของตัวเองวัดแหละ เราชอบพอรึยัง มันเศร้าพอสำหรับเรารึยัง แต่ไม่ได้กะเกณฑ์ว่าเพลงนี้คนจะร้องไห้แน่ ๆ เลย (ยิ้ม) จริง ๆ ออกอัลบั้มแรกมายังไม่ได้ทำเพลงเศร้าทุกเพลงด้วยซ้ำ บางเพลงยังมีความสุขอยู่เลย แค่กระแสที่กลับมามันเป็นเพลงเศร้าหมดเลย เราเลยไปทางนี้ดีกว่า แต่ถ้าถามว่าเคล็ดลับอะไรมั้ย น่าจะเพราะแต่งมาจากเรื่องจริงน่ะครับ เรื่องจริงของใครก็ได้ ตราบใดที่มาจากเรื่องจริงจากโมเมนต์ที่เกิดขึ้นจริง มันจะสะเทือนใจคนได้เสมอ ถ้าเรามีสกิลในการเล่าเรื่องมากพอ เราจะถอดภาพที่เกิดขึ้นเหมือนถ่ายเอกสารแล้วเอามาให้คนอื่นได้เห็นชัดที่สุด

แล้วเพลงไหนมีเบื้องหลังเศร้าที่สุด

ทุกเพลงมันก็มีเบื้องหลังที่น่าสนใจทุกเพลงเลยนะ แต่ถ้าพูดถึงเบื้องหลังที่เศร้าที่สุดคงเป็นเพลงล่าสุดเนี่ยแหละ โลกที่ไม่มีเธอ ที่มาที่ไปมันค่อนข้างสะเทือนใจที่สุด ถ้าถามคำถามนี้ก่อนที่เพลง โลกที่ไม่มีเธอ จะออกมาพี่จะตอบว่าเพลงที่มีเบื้องหลังเศร้าที่สุดคือ โปรดปล่อยฉันไป เพลงนี้เป็นเรื่องของคนที่ถูกขังไว้ ยังไม่สามารถสลัดออกจากความรักเก่า ๆ ได้ซักที เหมือนเขาอยู่ในกรงโดยความรักครั้งเก่า ที่มาของเพลงนี้จริง ๆ แล้วมันกลับกัน พี่เนี่ยแหละเป็นคนสร้างกรงให้คน ๆ หนึ่งซึ่งเป็นแฟนเก่าของพี่เอง พอเลิกกันไปแล้วเขาโทรกลับมาว่าเขายังลืมความรักของเราไม่ได้ เขายังไม่หยุดร้องไห้เลย เขายังใช้ชีวิตต่อไม่ได้ และเขาก็ถามพี่ว่าเห็นว่าพี่โอเคแล้ว แล้วเขาจะเดินต่อได้เหมือนกันใช่มั้ย จะมีวันหนึ่งที่เขาจะหลุดออกจากกรงนี้ได้ใช่มั้ย พี่ฟังแล้วสะเทือนใจมาก เราก็ไม่ได้ตั้งใจจะไปขังเขาแต่มันเป็นมือของเราเองที่สร้างกรงมาขังเขาไว้ ก็เลยเก็บความรู้สึกนี้มาแต่งเป็นเพลง แต่คนในเพลงกลับเป็นคนที่อยู่ในกรง ใส่ความรู้สึกของแฟนเก่าพี่ลงไปในเพลงทุกอย่าง มันก็คงไปทัชกับคนหลายคนเหมือนกันเพราะคนชอบเยอะ แต่ว่าตอนนั้นมีเรื่องความอ่อนหัดในเรื่องของการทำดนตรี ถ้าย้อนกลับไปได้จะไปแก้ดนตรีให้มันฟังง่ายกว่านี้ มันมีความล่องลอยไปไหนไม่รู้เหมือนกัน เสียดาย

ที่นี้มาถึง โลกที่ไม่มีเธอ เพลงนี้เป็นเพลงที่เขียนไว้ในหัวนานมาก และไม่สามารถเอามันออกมาจากหัวได้ซักที แต่ไม่สามารถทำให้มันเป็นเพลงจริง ๆ ได้ พี่มีแค่คอนเซ็ปต์อยู่ในหัวว่า พี่สนใจความรู้สึกอันหนึ่งมาก ๆ เวลาที่ชีวิตคนเราไปเจออะไรที่มันพัง หรือเจอความสูญเสียอะไรบางอย่าง เช่นมีวันหนึ่งพี่ได้ F ตอนสมัยเรียน วินาทีที่เห็น F อะเหมือนโลกมันพังจริง ๆ นะ มันชา มันทำอะไรไม่ถูก มีความรู้สึกเหมือนโลกเรามันหยุดหมุนอะ พี่ยังจำความรู้สึกนั้นได้เสมอ และมันเกิดขึ้นกับพี่หลายครั้งมาก เวลาโดนแฟนบอกเลิก หรือวันที่พ่อพี่เสียอย่างเงี้ย โมเมนต์ที่รับรู้ว่าต้องเสียพ่อไปจริง ๆ เหมือนโลกมันเปลี่ยนไปนิดนึงอะ แล้วเราไม่โอเคกับโลกนี้เลย แต่ในขณะนั้นถ้าเรามองไปรอบ ๆ ตัว ทุกอย่างแม่งเหมือนเดิม พระอาทิตย์ขึ้นที่เดิมตกที่เดิม รถยังติดเหมือนเดิม ยังมีคนทะเลาะกันตรงโน้น มีคนรักกันตรงนี้ ก็โลกใบเดิมนี่หว่าแต่ทำไมเรารู้สึกว่ามันไม่เหมือนเดิมวะ ความรู้สึกเนี่ยเป็นความรู้สึกที่พี่อยากเอามาเขียนเป็นเพลงมาก ๆ มีอีกเพลงหนึ่งที่ใกล้เคียงกับสิ่งที่พูดเนี่ยคือ The End of The World เป็นเพลงสากลเก่า ๆ ที่พี่เคยฟังตั้งแต่เด็กละ แล้วทุกครั้งที่เกิดความรู้สึกเนี่ย ไอ้เพลงนี้ก็จะวนกลับมา พี่ก็อยากแต่งเพลงให้ได้แบบนี้จัง เลยตั้งชื่อไว้เลยว่าโลกที่ไม่มีเธอ แต่เขียนยังไงก็ไม่ได้ เขียนไม่เสร็จซักที

จนมาเจอเรื่องของอาหนิง—นิรุตติ์ ศิริจรรยา อาหนิงเป็นดาราอาวุโส เมื่อประมาณหลายปีก่อนอาหนิงสูญเสียภรรยาของท่านไปด้วยอุบัติเหตุ ภรรยาอาหนิงขับรถไปหาท่านที่จันทบุรีแล้วรถคว่ำ อาหนิงก็มาเล่าให้ฟังในรายการสัมภาษณ์รายการหนึ่งเนี่ยแหละ ท่านก็เล่าให้ฟังว่ารับไม่ได้ มันไม่สามารถใช้ชีวิตต่อไปได้ มองไปทางไหนก็ยังเห็นภาพเก่า ๆ ความทรงจำเก่า ๆ เต็มไปหมดเลย ท่านเลยต้องหยุดทำงานแล้วย้ายไปอยู่อเมริกา 6 ปีครึ่ง พิธีกรก็ถามว่าไปอยู่โน่นแล้วทำอะไรตั้งหกปี อาหนิงบอกว่าทุกเช้าก็ออกมานั่งหน้าบ้าน นั่งดูพระอาทิตย์ว่าเมื่อไหร่จะตก ทำแบบนี้ทุกวัน คือแบบ… มันเกินเลเวลของความเสียใจไปเยอะมาก พี่นั่งดูสัมภาษณ์ผ่าน iPad เนี่ยพี่รู้สึกโลกรอบตัวก็มืดลง แล้วพี่เห็นภาพอาหนิงนั่งอยู่บนเก้าอี้โยก เห็นพระอาทิตย์ค่อย ๆ ตก มีหมานั่งอยู่ข้าง ๆ ตัวหนึ่งแล้วก็นั่งเหม่อมองออกไป ภาพมันชัดมาก ๆ จนพี่ตกใจ พี่อยากเอาภาพนี้มาแต่งเป็นเพลง แล้วบังเอิญมันไปแนบกับคอนเซ็ปต์ที่เก็บไว้ในใจพอดี มันคือความสูญเสียเหมือนกันนี่หว่า พี่ก็มาคุยกับ พล กับ ยักษ์ Clash ซึ่งเป็นทีมที่เข้าขากันมากว่าเพลงต่อไปจะเป็นเรื่องนี้ ก็รู้สึกเลยว่าเพลง โลกที่ไม่มีเธอ ที่แต่งยังไงก็แต่งไม่เสร็จซะทีเนี่ย ถ้าได้สองคนนี้มาช่วยก็น่าจะรอด ก็เลยได้เพลงนี้มา (ยิ้ม)

จริง ๆ เพลงนี้เกือบทำไม่เสร็จด้วยเพราะถูกบังคับให้เป็นปลายเปิด ที่มาของเพลงนี้มันเป็นเรื่องของการตายจากกันใช่มั้ย พี่เลยต้องตัดสินว่าจะพูดถึงสาเหตุความเศร้าให้ละเอียดแค่ไหน พูดถึงเรื่องตายมั้ย ซึ่งที่ประชุมลงมติว่าอย่าเลย เพราะมันแคบและลึกมาก คนที่จะทัชกับเพลงนี้ต้องเป็นคนที่สูญเสียจริง ๆ ซึ่งมันจะไม่ค่อยแมสเท่าไหร่ ทางฝ่ายการตลาดก็ท้วงติงมาว่าถ้าเป็นไปได้ ไม่บอกได้มั้ยว่าจากกันเพราะอะไร ซึ่งทำเพลงปลายเปิดมันยากกว่า เราจะต้องทำให้บางอย่างมันมัวและกว้าง แต่ก็ลอง ๆ ทำดู ทำอยู่ซักพักหนึ่งน้องก็บอกว่าผมจะไปทำสกู๊ปที่สัมภาษณ์อาหนิงด้วยนะ เอ้า แล้วถ้าภาพเป็นอาหนิงแล้วเพลงจะยังเป็นปลายเปิดมั้ยวะ หรือจะกลับไปตายเหมือนเดิม มันมีความเอายังไงดีวะ เราหาจุดพอในความเศร้าของเพลงอยู่ เราจะไฟนอลของความเศร้าที่เบอร์ไหนดี มีบางเวอร์ชันเขียนเลยว่าอาหนิงเห็นศพภรรยาครั้งแรกแล้วรู้สึกยังไง มันมีท่อนแรกที่เขียนว่า ‘ยังจำภาพสุดท้ายของเธอที่จากกัน วันที่เป็นที่สุดของความเสียใจ’ บางเวอร์ชันจะเขียนว่า ‘ยังจำภาพสุดท้ายของเธอที่หลับตา’ คือเห็นครั้งแรกในห้องดับจิตเงี่ย พยายามจะสื่อสารภาพนั้นออกมา หรือประโยคแรกที่บอกว่า ‘เธออยู่บนนั้นเธอได้ยินฉันหรือเปล่า’ คือเปิดมาให้รู้เลยว่าตาย แต่ก็ถูกปัดทิ้งเพราะอยากให้เพลงเป็นปลายเปิด แล้วพี่เขียนเพลงนี้โดยเห็นภาพอาหนิงอยู่ตลอดเวลา และพยายามกลับไปเป็นคนที่เคยสูญเสียพ่อไปวันนั้นน่ะ เพื่อจะให้ได้ใกล้เคียงกับความรู้สึกของอาหนิงที่สุด

พี่เข้าไปเทียบเคียงความเสียใจของอาหนิงได้ไม่กี่เปอร์เซ็นต์หรอก ความเสียใจของเขามันมหาศาลมาก ๆ พี่ตั้งเป้าไว้ว่าถ้าถ่ายทอดได้ซัก 15% ก็ถือว่าเยี่ยมมาก ๆ แล้ว ทุกวันที่พี่เขียนเพลงนี้จะสมมุติตัวเองเป็นอาหนิง คนที่สูญเสียระดับนั้นเขาจะรู้สึกยังไง จะพูดยังไง จะมองโลกนี้เป็นยังไงบ้างวะ จนทำเพลงเสร็จพี่ก็ต้องใช้เวลาดึงตัวเองกลับมาเป็นอาทิตย์เหมือนกันนะ มันเข้าไปแล้วหาทางออกไม่ได้เป็นดินแดนที่มืดมาก ๆ คนที่สูญเสียระดับนั้นเขาไม่ได้อยู่ในโลกของเรา เขาอยู่อีกโลกหนึ่ง หูย มันเป็นช่วงเวลาที่เหนื่อยมาก เราก็พยายามที่จะบันทึกโมเมนต์บางโมเมนต์ลงไปในเนื้อเพลงให้ได้ ตรงวรรคสองพี่จะเขียนว่า ‘ไร้ซึ่งจุดหมาย มีแค่เพียงความว่างเปล่า มองฟ้าตั้งแต่เช้าจนตะวันลับเลือนหายไป’ เนี่ยคือภาพที่พี่เห็นในหัว ภาพของอาหนิงนั่งอยู่หน้าบ้าน วรรคนี้ยังไงกูก็จะต้องมี แต่ก็ถอดใส่อยู่หลายรอบเพราะเขาไม่อยากให้ติดภาพของอาหนิงมากเกินไป แต่สุดท้ายก็ไฟต์มาจนได้ อยากให้วรรคนี้เป็นอนุสรณ์กับอาหนิง ถ้าใครฟังแล้วไม่รู้ก็จะผ่านไป

บางเพลงเขียนแล้วก็จะดาวน์ไปเลย

บางเพลงครับ บางเพลงก็มีสติพอที่จะแยกแยะเหมือนนักแสดงแหละ เวลาเขาทำความเข้าใจตัวละครบางคนเข้าไปกว่าจะออกมาได้ก็นาน บางบทก็อาจจะไม่ได้ลึกขนาดนั้น

img_3438

แล้วอย่างชื่อ Portrait นี่มีที่มายังไง

เวลาคนถามคำถามนี้ พี่จะมีคำตอบอยู่สองแบบ (หัวเราะ) คือคำตอบที่เอาไว้ออกสื่อ กับคำตอบที่เกิดขึ้นจริง เพราะคำตอบจริงมันติงต๊องมาก คำตอบที่ตอบสื่อก็คือ พี่มองว่าภาพ portait มันคือภาพคน ทุกคนที่พูดถึงก็จะเห็นเป็นภาพเขียนมากกว่าภาพถ่าย อย่างโมนาลิซ่ายังเงี้ย ถ้าเราเปรียบภาพเขียนเป็นชีวิตอะ ถ้าเรามองแค่ผ่าน ๆ เราก็จะเห็นคนในภาพนั้นเฉย ๆ แต่ถ้าเราพินิจพิเคราะห์เราอาจจะได้เห็นรายละเอียดอะไรบ้างอย่างเบื้องหลังภาพ อาจจะเห็นความนึกคิดของคนที่เขียนภาพเนี่ยว่าทำไมเขาถึงเขียนภาพนี้ เขาอยากจะสื่ออะไร เขาซ่อนอะไรไว้รึเปล่า ก็เหมือนชีวิตคนเราเนี่ยแหละ เพลงของ Portrait จะเล่าในสไตล์แบบนี้ แต่คำตอบจริง ๆ มันแย่มาก (หัวเราะ) มันเริ่มจากคุณหนึ่ง Sleeper1 ที่เป็นสมาชิกวง Friday เนี่ยแหละ เขาก็เป็นผู้ก่อตั้งค่าย No More Belts โดยเขาก็เป็นศิลปินคนแรกของค่ายเนี่ยแหละ พอประสบความสำเร็จมีชื่อเสียงกับ Sleeper1 แล้วก็มองหาศิลปินเบอร์สองของค่าย หนึ่งก็บอกว่า ปอย มึงเนี่ยแหละทำเดี่ยวไปเลย ตอนนั้นพี่ก็ยังไม่เคยมีผลงานของตัวเองเลย ไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าต้องออกอัลบั้มด้วยหรอแค่สนุกกับการแต่งเพลงให้ Sleeper1 อยู่ ไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าถ้าออกอัลบั้มแล้วจะใช้ชื่ออะไร สมัยนั้นช่วงปี 2001 ศิลปินที่แนว ๆ หน่อยก็จะมีฉายา อย่างหนึ่ง Sleeper1 คุณโต้ง Save Da Last Piece พี่เล็ก Greasy Cafe อะไรอย่างเงี้ย ทั้งที่ทุกคนไม่ใช่วงเป็นศิลปินเดี่ยวแต่ใช้ชื่อในวงการเป็นฉายา ทีนี้ หนึ่งก็เป็นคนทำเดโมเพลงแรกของ Portrait เขาจะขึ้นโครงแล้วให้พี่ตรวจ แต่ตอนที่เขาขึ้นโครงเสร็จแล้วเนี่ยก็ต้องเซฟไฟล์ซึ่งเป็นโฟลเดอร์ที่แยกออกมาจาก Sleeper1 มันก็ถามตัวเองว่าจะตั้งชื่อโฟลเดอร์อะไรดี Mac ของมันก็ตั้งชื่อได้แต่ภาษาอังกฤษ มันก็คิดย้อนไปว่าพี่เคยเล่นเว็บบอร์ดพันทิปแล้วใช้ชื่อว่า นายภาพนิ่ง อย่างงี้ชื่อ Portrait ละกัน ซึ่งจริง ๆ ภาพนิ่งไม่ได้แปลว่า portrait ไงมึง (หัวเราะ) มันแปลว่าภาพคน แต่มันดันแปลภาพนิ่งเป็น portrait เว้ย โดยไม่ปรึกษากูด้วย (หัวเราะ) แล้วก็ตั้งโฟลเดอร์ชื่อนี้ แล้วก็บอกว่าปอยมึงชื่อ ‘Portrait’ ไปละกัน เนี่ยแหละที่มา (หัวเราะ)

สังเกตว่าปอยค่อนข้างพิถีพิถันกับการทำซีดีมาก ๆ

ถูกสั่งสอนมาตั้งแต่ No More Belts ครับ เป็นหนึ่งในปณิธานตั้งแต่ตั้งค่ายเลยว่าเราจะทำแพ็กเกจให้แพงที่สุด ให้ดีที่สุด ให้อลังการที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะทุก ๆ คนเป็นคนชอบจับแพ็กเกจที่ดี ๆ เวลาไปเจอซีดีญี่ปุ่นอะ หูย (เสียงตื่นเต้น) แม่งยังกะหนังสือเล่มหนึ่งอะ เหี้ย ทำไมทำดีจังวะ มันใส่แบบไม่ยั้งกันเลยอะ เลยรู้สึกว่าถ้าเราได้ทำเพลงเราเองนะจะต้องทำแบบนี้ให้ได้ แพ็กเกจของ No More Belts ส่วนใหญ่จะอลังการหมดเลย แพงเหี้ย ๆ ทั้งนั้น ไม่ได้กำไรอะไรกันเลย (หัวเราะ) แม่งไม่ได้คิดถึงตัวเงินเหี้ยอะไรกันเลย ใส่เอามัน แต่ขายได้เรื่อย ๆ ก็หมด งาน Cat ก็ขายได้แบบ 200-300 แผ่น ซึ่งเยอะมากนะ

คิดยังไงที่ทุกคนยกให้เป็นเจ้าพ่อเพลงเศร้า

ไม่ได้ตั้งใจครับ (ยิ้ม) ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันมาเมื่อไหร่ เราตั้งใจไว้ว่าจะทำแต่เพลงเศร้าตั้งแต่อัลบั้ม ลวงตา แต่ตอนนั้นก็ไม่มีใครเรียกแบบนี้นะ จนเพลงมันออกไปสิบปีแล้วคนถึงนึกได้ว่า Portrait มันร้องแต่เพลงเศร้านี่หว่า รู้สึกยังไงก็ (ทำท่าคิด) ก็ถูกแล้วล่ะ (หัวเราะ) มีเพื่อนผมคือคุณบอย ตรัย เคยพูดไว้ว่าถ้า Michael Jackson เป็น King of Pop หรือ Elvis Presley เป็น King of Rock ปอย มึงก็ต้องเป็น Dark Prince of Pop เว้ย เราก็เออ ๆ ก็ดี เท่ดีว่ะ (หัวเราะ) คุยกันเล่น ๆ แต่พอมาอยู่สหภาพดนตรีเราก็ต้องทำ positioning ของเราเหมือนกัน เพลงเศร้าก็เป็นจุดยืนที่ชัดมากและยังไม่มีใครจอง เราก็เป็นสายดาร์กละกัน

ศิลปินคนไหนพอจะท้าชิงตำแหน่งนี้ได้

พี่ไม่เคยคิดจะแข่งกับใครนะ ทุกคนสร้างสรรค์เพลงของตัวเองและอยู่ด้วยกันได้โดยไม่ต้องเอาชนะกัน แต่ถ้าพูดถึงเพลงเศร้าอีกคนหนึ่งที่จะคิดถึงคือพี่เล็ก Greasy Cafe แต่วิธีการและมุมมองจะคนละสายกันเลย พี่เล็กเขาจะมีความเป็นกวี ปรัชญาค่อนข้างสูง ซึ่งพี่ทำได้ไม่เท่าเขาแน่ ๆ แต่พี่ก็น่าจะมีความจี๊ดบางอย่างเหมือนกันนะ พี่เล็กเขาจะนวล ๆ มาเป็นก้อน ๆ กับพี่จะมีความแหลม ๆ

สำหรับปอยระหว่างการ เจ็บจนไม่เข้าใจ หรือ โลกที่ไม่มีเธอ อันไหนดีกว่ากัน

เจ็บจนไม่เข้าใจ ดีกว่าสิ (หัวเราะ) โลกที่ไม่มีเธอมันดาร์กมาก มันเป็นเรื่องที่ไม่มีใครอยากเจอ แต่ต้องเจอ ทุกคนจะต้องสูญเสียในวันหนึ่งไม่ช้าก็เร็ว แม่งเป็นความรู้สึกที่แย่มาก แต่เจ็บจนไม่เข้าใจมันมีอาการของการทำตัวเองอยู่ประมาณหนึ่ง มึงก็ผิดอยู่ครึ่งหนึ่งแหละถึงเป็นแบบนี้ เพราะฉะนั้นโลกที่ไม่มีเธอแย่กว่าเยอะ  

อ่าน Portrait เจ็บจนไม่เข้าใจ ซิงเกิ้ลล่าสุด เอาใจคนเศร้าในเดือนแห่งความรัก

img_3422

แล้ววงการเพลงนอกกระแสตอนนี้เป็นยังไงบ้างในสายตาโปรดิวเซอร์คนนี้

พี่ว่ามันเริ่มกลับมาดีขึ้นเรื่อย ๆ นะ หลังจากยุคเทปผีซีดีเถื่อน bit torrent ฟังฟรีอะไรเงี้ย ตอนนี้เหมือนพวกเราเริ่มทนได้ (หัวเราะ) ช่วงที่ผ่านมามีบางช่วงที่บางคนแอบคิดเลยว่าจะล่มสลายใช่มั้ย พี่ว่าตอนนี้มันผ่านจุดต่ำสุดมาละ กราฟมันค่อย ๆ ดีขึ้นเรื่อย ๆ ตอนนี้ mechanic ก็เปลี่ยนไปเยอะมากจากเมื่อสิบปีที่แล้ว ทั้งช่องทางการฟัง ช่องทางการหาความรู้ ช่องทางการ PR มีเดียทุกอย่าง คน ๆ หนึ่งอาจทำเพลงขึ้นมาจากศูนย์จนดังระดับประเทศโดยไม่ต้องพึ่งค่ายเลยก็มีให้เห็นอยู่ ตอนนี้เรามีเครื่องมือเยอะมาก และมีสิ่งใหม่ ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา บางวงก็มีที่มาที่ไปที่แต่ก่อนไม่เคยเห็นก็มี อย่างเพลง ขัดใจ ของ Colorpitch เป็นปรากฎการณ์ของวงการนะ ที่มาที่ไปคือคนแต่งเพลงเนี่ยมันเป็นทหารเกณฑ์อยู่ที่ราชบุรี วันหนึ่งมาเดินสวนจตุจักรแล้วเห็นผู้หญิงคนหนึ่งสวยมากเลย กำลังจะเดินเข้าไปทำความรู้จักแต่แฟนเขาก็โผล่มาโอบแล้วโฉบกลับไป ก็เลยหงุดหงิด นั่งรถทัวร์กลับราชบุรีแล้วเขียนเพลงนี้ขึ้นมา แล้วก็กลับไปร้องในร้านที่ตัวเองเล่นกลางคืนอยู่หน้าค่ายทหารอะ ร้องแม่งอยู่แค่นั้นอะ จนมีคนชอบมากแล้วก็ขอทุกอาทิตย์จนยุให้ไปทำ YouTube แล้วก็ได้ไปร้อยล้านกว่าวิว (หัวเราะ) เหี้ย ที่มามึงโคตรเจ๋งเลยว่ะ มันจะเป็นไปไม่ได้เลยถ้าเทคโนโลยีเราไปไม่ถึงจุดนั้น เด็กสมัยนี้อาวุธครบมือมาก ๆ ขาดแค่ตรงนี้เท่านั้นเอง (ชี้ไปที่หัว) เทียบกับสิบกว่าปีที่แล้วที่เราเริ่มทำกันเนี่ย ช่องทางมันแคบอาวุธเราน้อยมาก ถ้ามองไปอีกสามปีห้าปีวงการดนตรีน่าจะเปลี่ยนไปเร็วมาก

วงการดนตรีของไทย สำหรับพี่มองว่ามันมีข้อเสียอยู่อย่างหนึ่ง คือเราไม่ค่อยได้หยิบของเก่ามาต่อยอด ความรู้ของวงการดนตรีไทยสร้างขึ้นมาแล้วหายไป สร้างขึ้นมาใหม่อีกแล้วก็หายไป

คาดหวังอะไรกับศิลปินรุ่นใหม่บ้าง

มันเป็นธรรมดาของมนุษยชาติอยู่แล้วที่คลื่นรุ่นใหม่จะต้องไล่เข้ามา และเก็บเกี่ยวความรู้ของคนรุ่นหลังไปต่อยอดให้มันดีขึ้นให้ได้ เพียงแต่วงการดนตรีของไทย สำหรับพี่มองว่ามันมีข้อเสียอยู่อย่างหนึ่ง คือเราไม่ค่อยได้หยิบของเก่ามาต่อยอด ความรู้ของวงการดนตรีไทยสร้างขึ้นมาแล้วหายไป สร้างขึ้นมาใหม่อีกแล้วก็หายไป มันไม่ถูกเก็บเป็นประวัติศาสตร์ดนตรีเหมือนฝรั่งเขา ของเขาจะรู้เลยว่า ยุค 30s มันมีแนวเพลงอะไรบ้าง ยุค 40s เขาร้องเพลงอะไรกัน ยุค 50s เขามีร็อกแอนด์โรลเกิดขึ้นนะ ศิลปินรุ่นใหม่เขาก็หยิบของเก่า ๆ มาต่อยอดให้ดีขึ้นได้เพราะเขาบันทึกเอาไว้ ของเราทุกวันเนี่ย เริ่มมีคนไม่รู้จักพี่เบิร์ดแล้วนะ ธงไชย แมคอินไตย์ เป็นใครเนี่ยมีแล้วนะ เริ่มมีคนมาถามเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ สมัยก่อนวง Clash ดังขนาดไหนเหรอ Bodyslam ดังขนาดไหนหรอ ดังเท่าหน้ากากทุเรียนมั้ย อะไรเงี้ย (หัวเราะ) คือมันมีช่องว่างระหว่างรุ่นเยอะเกินไป ทำไมคนถึงไม่เอาสิ่งที่ อัสนี-วสันต์ ทำไว้มาต่อยอดเป็นเพลง ถ้าคุณไม่รู้จักก็คงเอา know how เขามาไม่ได้มั้ง มันแย่ตรงเนี่ยสำหรับพี่ มันสูญเสียโอกาสไปเยอะมาก ถ้าเรามีบันทึก มีการสะสม know how เอาไว้ เพลงใหม่ ๆ จะดีกว่าเพลงเก่า ๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ สิ่งที่พี่อยากเห็นคือสิ่งนี้ อยากจะฝากถึงน้อง ๆ ให้ลองกลับไปฟังว่าคนรุ่นเก่า ๆ เขาทำอะไรกันบ้าง กลับไปฟัง Scrubb ยุคแรก กลับไปฟัง Monotone ยุคแรก Bakery ชุดแรก ๆ Yokee Playboy ชุดแรก แม่งคือปรากฎการณ์หมดเลย พี่เชื่อว่ามีหลายคนรู้จัก แต่มันมีแนวโน้มของคนที่ไม่รู้จักเยอะขึ้นเรื่อย ๆ เพราะเราไม่ได้บันทึกไว้ พอมีคนถามว่า อัสนี-วสันต์ คือใครอะ มันเศร้านะ มันหดหู่อะ พี่แว่นที่แต่งเพลงให้พี่อะ เป็นหนึ่งในไม่ถึงสิบคนที่รู้จัก เต๋อ เรวัติ ดีที่สุด เขาเป็นคนที่มีคุณูปการต่อวงการเพลงไทยมากที่สุดคนหนึ่ง แล้วเป็นคนที่มีความประหลาดมาก ไม่มีใครพูดถึงพี่เต๋อในแง่ร้ายนะ เฉย ๆ ก็ไม่พูด มีแต่ดี ดีมาก ดีมากมากหมดเลย ไม่เคยเห็นใครที่ทุกคนรักขนาดนี้มาก่อน ทุกคนสำนึกซาบซึ้งบุญคุณพี่เต๋อมาก อยากรู้จักอะ พี่ก็ไม่ทันเหมือน พี่ทำงานกับพี่แว่นหรือพี่ดี้ก็จะพูดถึงเขาบ่อย เขาเคยทำแบบนั้นเคยทำแบบนี้แล้ว know how ที่พี่เต๋อส่งมามันมีประโยชน์มาก ๆ แต่มันกำลังจะหายไปถ้าไม่มีใครบันทึกเอาไว้ พี่เต๋อเป็นคนปั้นพี่เบิร์ดขึ้นมาอะ ไม่อยากรู้หรอว่าตอนนั้นพี่เต๋อคิดยังไงทำยังไงกับพี่เบิร์ดบ้าง (เสียงขึงขัง) พี่เต๋อคุมร้องเจ เจตรินยังไง คุมร้องทาทายังยังไงทุกคนถึงกลายเป็นซุปเปอร์สตาร์หมดเลย สิ่งเหล่านี้กำลังจะหายไป

จะได้ฟังซิงเกิ้ลใหม่ของ Portrait เร็ว ๆ นี้มั้ย หรืออัลบั้มที่สี่จะออกเมื่อไหร่

ซิงเกิ้ลใหม่มีกำหนดการประมาณเมษา (FJZ: จะทำเป็น EP อีกรึเปล่า) ตอนนี้ยังถกเถียงกันอยู่ว่ามันจะไปจบที่ไหน แต่ใจพี่อยากทำเป็นอัลบั้มเต็ม คิดว่าถ้าเป็นไปได้มันจะออกปีหน้า 2019 แต่เมษานี้ได้ฟังเพลงใหม่แน่นอน ที่ผ่านมาถ้าใครชอบเพลง Portrait เก่า ๆ มักจะไปฟังบน YouTube หรือ bit torrent (หัวเราะ) ด้วยความที่ซีดีมันหายากมาก EP บางชุดก็ผลิตมาน้อย หาฟังยากจริง ๆ เพลงบน YouTube ส่วนใหญ่ก็เป็นคนอื่นอัพ แจกไฟล์เพลงกันฟรีก็เข้าใจได้เพราะคนไม่รู้จะไปหาฟังจากไหน ส่วนหนึ่งพี่ก็ผิดด้วยที่ไม่จัดการเรื่องดิจิตัลของตัวเองซักที แต่ปีเนี่ยจะเป็นครั้งแรกที่ทุกเพลงของ Portrait จะขึ้นไปอยู่บนดิจิตัลแพลตฟอร์มทุกที่อย่างถูกกฎหมาย โดยรวมเป็นอัลบั้มพิเศษ 60 กว่าเพลง รีมาสเตอร์ใหม่ด้วย อยากให้รอฟัง

img_3425

ล่าสุดกำลังจะมีคอนเสิร์ต Black Valentine ด้วย

ปีนี้จัดมาเป็นปีที่ 11 ละ ที่ผ่านมาพยายามจัดทุกปี ย้อนกลับไป 11 ปีที่แล้วเนี่ย มันเป็นช่วงวันวาเลนไทน์เนี่ยแหละมันชอบมีคนมาบ่นในเน็ตว่า ไม่อยากออกไปข้างนอกเลยหมั่นไส้คนมีคู่ นอนแล้วตื่นขึ้นมาเป็นวันที่ 15 เลยได้มั้ย ช่วงนั้นก็จะรู้สึกว่าเราเห็นแต่คนไม่ชอบวันวาเลนไทน์ มันกลายเป็นวันแห่งคนขี้อิจฉาอะ เห็นคนมีแฟนเห็นคนรักกันแล้วมันคันตีน เลยแอบนึกขึ้นมาได้ว่าทำไมคนพวกนี้ทำไมไม่มาเจอกันวะ มารวมในที่ ๆ หนึ่งแล้วไม่ต้องไปเห็นภาพบาดตา มาเจอกันที่ร้านเหล้าซักร้านมั้ยแล้วกูจะไปร้องเพลงเศร้าให้พวกมึงสะใจกันไปข้างหนึ่ง เออน่าหนุกว่ะ พี่สาบานเลยว่าพี่ไม่ได้ลอกใครมา ตอนนั้นมีเพื่อนที่เปิดร้านเหล้าพอดีก็เอาไอเดียไปเสนอ วันวาเลนไทน์เนี่ยจัดคอนเสิร์ตรวมพลคนเกลียดวันแห่งความรัก ร้องเพลงเศร้าแม่งทั้งคืน เมากันให้ตายไปเลย มันแน่ ๆ ทุกคนก็เอาด้วย ทำเป็นนิทรรศการเล็กมั้ย ๆ มีกระจกแตก ๆ มีจดหมายเเปื้อนเลือด โห ทุกคนสนุกกับการแต่งร้านเป็นธีมนี้มาก เกลียดความรัก ความรักมันไม่มีจริง แล้ววันนั้นร้านแตกเลย คนเมาเละปลิ้นกลับบ้านกันตีห้า คือทุกคนสนุกมากอะ เลยอยากจัดมันให้ได้ทุกปีวาเลนไทน์ปีหน้ามึงเจอกู ก็จัดมาเรื่อย ๆ จนสามปีที่แล้วก็เอา Black Valentine มาขยายจากสเกลร้านเหล้าเป็นสเกลสนามฟุตบอล แล้วก็ชวนศิลปินคนอื่นมาแจม มาสนุกด้วยกัน

แล้วปีนี้มีอะไรมาเซอร์ไพรส์

ครั้งนี้น่าจะสนุกมากกว่าครั้งก่อน ๆ เพราะไลน์อัพปีนี้ค่อนข้างจะแมสกว่าทุกครั้ง เพื่อน ๆ พี่น้องศิลปินที่เราชวนมาน่าจะทัชคนได้มากขึ้น คนที่เคยไปเมื่อสามปีที่แล้วน่าจะจำได้ว่างานนี้สนุกขนาดไหน ครั้งนี้เราก็จะใส่ให้เต็มที่ มันไม่ใช่แค่คอนเสิร์ตแต่มันคือเฟสติวัลของคนอกหัก มันจะมีกิมมิกอะไรบางอย่างที่คิดมาเพื่อคนอกหักโดยเฉพาะอะ อย่างครั้งก่อนก็จะมีตัดผมด้วย อกหักต้องตัดผม มีดูดวงด้วย จะมี free hug อะไรแบบเนี่ยที่เกี่ยวกับคนอกหักจะมารวมอยู่ในนี้หมดเลย และคอนเสิร์ตครั้งนี้มีแอบคิดไว้ประหนึ่งว่า คุณโสดมางานนี้แล้วกลับไปคุณอาจจะไม่โสดก็ได้ (ยิ้ม) สนุกแน่นอน ต้องไป

ปอยก็มีส่วนรวมในเรื่องของเบื้องหลังด้วย

มันเป็นคอนเสิร์ตที่ต่อยอดมาจากไอเดียเรา เลยขอทีมงานว่าพี่ขออยู่ในขั้นตอน creative ตั้งแต่ต้นจนจบ การเลือกไลน์อัพ เลือกเพลงและเรียงเพลง รวมไปถึงกิมมิกในงาน บรรยากาศโดยรวมทั้งหมดควรจะต้องเหมือนกับสิบครั้งที่แล้ว พี่รู้ว่าความสนุกครั้งก่อน ๆ มันสีอะไร มันเข้มข้นขนาดไหน พี่จะปรุงคอนเสิร์ตครั้งนี้ให้มันได้เบอร์นั้น คอนเสิร์ตนี้มันจะไม่เหมือนกับคอนเสิร์ตอื่นที่เราไปดูศิลปินคนไหนเป็นพิเศษอะ คอนเสิร์ตนี้เราตั้งใจให้คุณไปร้านเหล้า ไปอกหัก ไปร้องไห้ แล้วไปร้องเพลงเศร้าด้วยกัน โดยศิลปินพวกนี้จะมาถ่ายทอดเพลงเหมือนเขาเป็นวงในร้านเหล้านั้น คอนเสิร์ตนี้คนดูเป็นตัวเอก เราจะร้องเพลงที่คนเศร้าอยากฟัง โดยศิลปินที่คนเศร้าชอบ

ชวนคนไป Black Valentine

Black Valentine ปีนี้อั้นมานาน อยากจัดมาก และมันต้องสนุกมาก ๆ แน่ ๆ ปีนี้เราจะจัดใหญ่ในพื้นที่ที่ไม่ใช่แค่คอนเสิร์ตอย่างเดียว เราไม่บอกละกันว่ามันมีอะไรบ้าง แต่ถ้าคุณอกหัก คุณโสดอยู่ หรือรู้สึกเกลียดวันวาเลนไทน์ ที่นี่จะรวมคนที่คิดเหมือนคุณเป็นพัน ๆ คน เรามาร้องเพลงเศร้าด้วยกัน ไม่ร้องไห้ไม่กลับ (ยิ้ม)

Portrait

Facebook Comments

Next:


Peerapong Kaewthae

แม็ค เป็นคนชอบฟังเพลงเพราะเป็นกิจกรรมที่ทำคนเดียวได้ และก็ชอบแนะนำวงดนตรีหรือเพลงใหม่ ๆ ให้คนอื่นรู้จักผ่านตัวอักษรตลอดเวลา