Article Interview

ชีพจรที่กลับมาเต้นอีกครั้งของวงดนตรี ‘Poomjit’

  • Writer: Gandit Panthong
  • Photographer: Chavit Mayot

1 พฤษภาคม ปี 2558 คือ วันที่ Fungjaizine ฉบับที่ 2 ถูกปล่อยออกมา ผู้คนต่างฮือฮาและตื่นเต้นกับวงดนตรีที่เราพามาขึ้นปกในครั้งนั้น พวกเขามากัน 4 คนในชุดเครื่องแบบพนักงานก่อสร้างพร้อมกับเล่าถึงเรื่องราวในอัลบั้มใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น

เมื่อวันเวลาเดินไปข้างหน้าเรื่อย ๆ พวกเขาหายตัวไปจากวงการเพลงเป็นที่เรียบร้อยแล้วทุกคนไม่มีโอกาสได้ฟังอัลบั้มที่พวกเขาเคยเล่าในวันนั้น เราเองเกิดคำถามและรู้สึกสงสัยว่า พวกเขาเลิกทำอัลบั้มนี้กันแล้วจริง ๆ หรือ

จนกระทั่งเมื่อต้นปี 2561 ที่ผ่านมา เราได้ยินข่าวจากค่าย Sanamluang Music ว่าวงดนตรีวงนั้นจะกลับมาปล่อยเพลงอีกครั้งหลังจากหายไปอย่างไร้ร่องรอยมาเป็นเวลาเกือบ 4 ปี เพลง ชีพจร คือ ซิงเกิ้ลแรกที่ถูกปล่อยออกมา และ พวกเขากลับมาตอบคำถามที่เราสงสัย พร้อมเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังอีกครั้งว่ามันเกิดอะไรขึ้น และนี่คือบทสัมภาษณ์ของวงดนตรี ภูมิจิต ครับ

%e0%b8%a0%e0%b8%b9%e0%b8%a1%e0%b8%b4%e0%b8%88%e0%b8%b4%e0%b8%95-4

อะไรทำให้ภูมิจิตตัดสินใจกลับมาสังกัดค่ายเพลงอีกครั้งหลังจากที่เป็นศิลปินอิสระมาเกือบ 4 ปี

พุฒิ: เพราะว่าตลอด 4 ปีที่ผ่านมานั้นไม่มีคนเอาเราครับ (หัวเราะ) ล้อเล่นครับ ความจริงแล้วเราแค่จะหาอะไรบางอย่างที่เข้ากับ ภูมิจิต มากกว่า ส่วนนึงเวลาวงเราเลือกทำงานกับใคร เราไม่อยากทำงานเพื่อผลประโยชน์บางอย่าง เพราะบางทีจบออกมาผลลัพธ์มันอาจจะไม่ได้ดั่งที่หวังแน่ ที่ผ่านมาส่วนตัวจะเห็นศิลปินจำนวนนึงไปทำงานกับค่ายเพลง พอผลออกมามันไม่เป็นดั่งหวัง เขาก็มานั่งด่าที่ที่ตัวเองอยู่ตลอดเวลา เราเห็นแบบนั้นแล้วไม่ชอบ ไม่อยากทำอย่างนั้น ดังนั้นมันจึงกลายเป็นเรื่องยากที่ภูมิจิตจะหาค่ายเพลงที่รู้สึกว่า เป็นสถานที่ที่ใช่ เหมือนกำลังลงเรือลำเดียวกัน มีเป้าหมายที่จะพาเรือไปสู่จุดมุ่งหมายด้วยกัน เราจำเป็นต้องเลือกทีมที่ทำด้วยกันให้ละเอียดมันจึงกินเวลามายาวนานขนาดนี้

ทำไมถึงมาเลือกมาอยู่ค่าย Sanamluang Music

พุฒิ: ต้องบอกก่อนว่า เรื่องค่าย Sanamluang Music มันเป็นเรื่องคล้าย กับเรื่องราวของสามก๊กตอนนึงที่มีชื่อว่า ‘3 เยือนกระท่อมหญ้าซึ่งมันเป็นฉากสำคัญมากฉากนึงในเรื่องเลยเป็นฉากที่เล่าปี่‘ จะไปขอขงเบ้ง ให้มาเป็นกุนซือใหญ่นำทัพแทนตนเองหลังจากที่ตัวเล่าปี่นำทัพแล้วไม่สำเร็จสักที ซึ่งเขาเข้าไปคารวะขงเบ้งถึง 3 ครั้งกว่าขงเบ้งจะยอมมาเป็นกุนซือให้ โดยจากเรื่องราวตรงนี้เอง มันมี 3 ครั้งเช่นกันที่ค่ายสนามหลวง ฝากใครสักคนมาพูดกับเรา ครั้งแรกเราได้มีโอกาสเจอ พี่ตุล อพาร์ตเมนต์คุณป้า ที่งาน Cat Expo เขาพูดว่า ตอนนี้ที่ค่ายกำลังสนใจวง ภูมิจิต นะ เป็นโปรเจกต์ปล่อยของ ตัวเราฟังแล้วก็โอเค จดจำไว้ แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจอะไรนะ พอมาครั้งที่ 2 เริ่มตะหงิด ตอนนั้นโทรไปหาพี่ต๊ะจักรพันธุ์ ขวัญมงคล เขาพูดถึงเรื่องค่ายสนามหลวง เริ่มตะหงิด ในใจเพิ่มขึ้นแล้วว่า มันต้องมีอะไรอยู่แน่ เรื่องนี้ มาครั้งที่ 3 ครั้งสุดท้าย ช่วงนั้นเป็นงานสวดของคุณพ่อ พี่ทวน วง Day Tripper เขานั่งคุยด้วยคำถามที่ว่า ภูมิจิตหายไปไหนมาตั้งนาน เราเองก็ค่อย อธิบายว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับวงบ้าง พี่เขาเลยบอกว่า งั้นเดี๋ยวพี่ลองคุยกับค่ายสนามหลวงดูให้ไหม คิดว่ามัน 3 ครั้งแล้วนะ มันอาจจะเป็นเรื่องที่ถูกต้องก็ได้ที่เข้าไปคุยกับทางค่าย จากนั้นก็เริ่มพูดคุยกัน โดยดีลต่าง ที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่น่าประทับใจมาก

กานต์เรื่องค่ายเพลงสำหรับเราจริง มองได้ 2 อย่างนะ อันดับแรกภูมิจิตอยากทำเพลงแบบมีอิสระเหมือนเดิม อันดับที่สอง วงอยากได้คนมาช่วยดูแลในเรื่องที่วงไม่ถนัด ถ้าตอบโจทย์ 2 ข้อนี้ได้พอใจแล้ว บางค่ายอาจจะมีเพลงแบบนี้ไม่ได้ หรืออาจจะต้องทำตามโจทย์ของเขาที่ให้ไว้ ที่นี่มันตอบโจทย์ทุกคนมาก ได้ทำเพลงในแบบที่อยากทำแฮปปี้มาก แล้ว ค่ายไม่ต้องมาบอกว่า คุณต้องทำเพลงแบบนี้ สร้างสรรค์ผลงานให้ออกมาโจทย์แบบนี้ 

แม็ก: เราอยากให้ภูมิจิตมีคนช่วยมาตั้งนานแล้วครับ ที่ผ่านมาพวกเราทำกันเองมาตลอดทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นนั่งแปะสติ๊กเกอร์ซีดีกันเองอะไรแบบนี้หรือตอนอยู่ที่ค่าย Lemon Factory ภาพที่เห็นหลายคนจะคิดว่ามีคนมาช่วยทั้งหมด แต่มันไม่เชิงขนาดนั้น เพราะที่ค่ายนั้นมันมีความเป็นหน่วยเล็ก อยู่ เหมือนกับที่ท็อป แห่งค่าย Summer Disc กล่าวไว้ว่าภูมิจิตควรต้องเดบิวต์กับค่ายใหญ่สักค่ายนึงอะไรแบบนี้ครับ โอกาสครั้งนี้มันเป็นโอกาสที่ดีของวง เราเคยบอกเรื่องเรื่องค่ายนี้กับใครสักคนในวงนานแล้ว คล้าย กับที่พุฒิเล่าเรื่องสามก๊กประมาณว่า ภูมิจิตได้รับการพูดถึงอยู่บ่อยครั้ง ภูมิจิตน่าจะแบบนี้แบบนั้น มันถึงเวลาแล้วที่ควรจะทำสิ่งที่ต้องทำสักที

บอมรู้สึกดีครับ

ความรู้สึกแรกที่ก้าวเท้าเข้าสู่ตึก GMM Grammy

พุฒิ: ไม่รู้สึกอะไรนะ เพราะก่อนหน้านั้นคุยทุกอย่างเคลียร์ตั้งแต่ก่อนเดินเข้าตึกแล้ว ดังนั้นพอตอนเดินเข้าไป เราแค่ไปกำชับอีกครั้งว่า โอเคถ้าสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ พวกเรายืนยันแล้วนะว่า จะทำแบบนี้กันจริง แต่ลึก ในใจก็มีมุมที่แอบรู้สึกห่วงเพื่อนทั้งหมดเช่นกัน แต่ละคนจะรู้สึกยังไงบ้าง จำได้ว่าวันนั้นโทรคุยกับทุกคนในวง ถามว่าทุกคนโอเคกันจริง ใช่ไหม ซึ่งทุกคนโอเค มันเลยแฮปปี้ครับ

บอม: รู้สึกดีครับ

กานต์: รู้สึกเหมือนเดิมนะ เพราะเพลงทำเสร็จไปหมดแล้ว ไม่ได้ห่วงอะไร เราได้ทำเพลงที่ต้องการทำอยู่แล้ว ทางนี้เขาก็ช่วยมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว

พุฒิ: จริงๆ แม็กเอง เขาฝันไว้ว่า อยากเป็นศิลปินแกรมมี่มาตลอดนะเว้ย

แม็ก: ตามที่ พุฒิ บอกภูมิจิตต้องถูกเข้าระบบอะไรบางอย่างหรือว่ามีการร่วมงานกับใครสักคนอะไรแบบนี้ จริง อยากให้มันเกิดขึ้นมาตั้งแต่อัลบั้มแรกแล้วด้วยซ้ำ หลังจากนี้หวังว่าจะได้เห็นอะไรดี ต่อไปในอนาคตครับ  

%e0%b8%a0%e0%b8%b9%e0%b8%a1%e0%b8%b4%e0%b8%88%e0%b8%b4%e0%b8%95-7

ทำไมถึงเลือก ชีพจร มาปล่อยเป็นเพลงเปิดอัลบั้ม Midlife

พุฒิ: ตอนแรกคิดว่าจะเลือกอีกเพลงนึงมาปล่อยด้วยซ้ำ แต่มันมีแวบนึงรู้สึกว่า หลังจากที่วงเราหายไปนาน ก็อยากให้คนจดจำเพลงนี้เป็นเพลงแรก เพราะว่ามันเป็นเพลงที่มีความทรงจำหลายอย่างเกิดขึ้นมากมายเต็มไปหมด มันเป็นเพลงแรกที่เราเริ่มเขียนกับ กานต์ หลังจากที่กานต์กลับจากประเทศอังกฤษ แถมมันเป็นเพลงที่เล่าโดยภูมิจิตในภาษาใหม่ด้วย เชื่อว่าทุกคนน่าจะชอบ มันมีทั้งความเป็นภูมิจิตและความก้าวหน้าอย่างที่ทุกคนไม่เคยเจอมาก่อน มีทั้งความเป็นไทยและสากลไปพร้อม กัน ทุกอย่างมันลงตัวกลมกล่อมมาก เลยคิดว่า อยากให้ทุกคนได้ยินเพลงนี้เป็นเพลงแรก

กานต์เพลงนี้มันเป็นเพลงที่เหมือนเป็นบทสรุปทั้งหมดก็ว่าได้นะ อัลบั้มนี้มันมีความเป็นคอนเซ็ปต์อัลบั้ม ซึ่งเนื้อเรื่องที่ทุกคนได้ฟังกันอยู่ตอนนี้มันเป็นเพียงแค่องก์แรกเท่านั้น ถ้าได้ฟังซิงเกิ้ลต่อ ไป มันจะเล่าเรื่องไปต่อเรื่อย จนถึงตอนจบ

เนื้อเพลง ชีพจร ถูกแต่งมาจากเรื่องจริงของใครในวงภูมิจิต

บอม: เป็นเรื่องจริงของผมครับ ที่อยากจะมีความหวังในชีวิตและอยากจะทำทุกอย่างให้มันประสบความสำเร็จ ผมกำลังเก็บเงินแต่งงานอยู่ครับ

แม็ก: สรุปให้แปลไทยเป็นไทยให้อีกทีนะ จริง เพลงนี้มันเปรียบเหมือนเป็นชีวิตคนคนหนึ่งที่อยู่กึ่งกลางระหว่างเรื่องราวอะไรบางอย่าง โดยเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับคนช่วงอายุประมาณ 30 ปีขึ้น ซึ่งเราก็มีความเชื่อว่า อย่างน้อยหลาย คนในวัยนี้น่าจะเจอคำถามประเภทที่ว่า ทำงานมาสักพักนึงแล้ว มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันบางรึยัง งานที่ทำอยู่รายได้ดีรึเปล่า  มีตังค์ผ่อนบ้านไหม สำเร็จทางความฝันแล้วทำไมยังไม่รวย ผมว่าคนอายุประมาณนี้ต้องโดนคำถามแบบนี้บ่อย มันเลยลิงก์ไปสู่คำว่า ‘midlife crisis’ หรือคำว่าวิกฤตวัยกลางคน วงภูมิจิตก็เช่นกันพวกเราอยู่ในช่วงอายุที่ไล่เลี่ยกันวัยนี้พอดี มันก็เลยเปรียบเหมือนเป็นการบันทึกช่วงเวลาวัยกลางคนไว้ในอัลบั้มนี้

พาร์ตดนตรีที่เปลี่ยนไปของวงภูมิจิต

แม็ก: จริง แนวคิดหรือหลักการในการทำอัลบั้มนี้มันเป็นการทำสิ่งที่คนอื่นเขาอาจจะเคยทำกันมาแล้วทั้งสิ้นหรือเรียกได้ง่าย ว่า การเอาสิ่งที่เก่ามาทำให้มันเป็นสิ่งที่ใหม่สำหรับเรา อาทิเช่น ภูมิจิตไม่เคยมีเครื่องสายมาก่อนในเพลง แต่วง Bodyslam เขาทำไปนานแล้ว หลาย วงทำกันเป็นเรื่องปกติแล้วด้วยซ้ำ แต่กับพวกเรามันเป็นครั้งแรก ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องใหม่สำหรับภูมิจิต แต่เก่าสำหรับคนอื่นหรือเรื่องการมิกซ์เสียงร้องในเพลงที่ลองทำให้มันชัดเจนขึ้น ถ้าไปฟังสองอัลบั้มแรกจะพบว่าก่อนหน้านี้มันจะมีความนัว หน่อย แต่อัลบั้มนี้เราตั้งใจที่จะทำให้เสียงร้องชัดเจนขึ้น ดังขึ้น ซึ่งวิธีการนี้มันเป็นวิธีที่เพลงป๊อปส่วนใหญ่เขาใช้กันมาตั้งนานแล้ว แต่มันไม่เคยถูกใช้กับวงเรา พอมันมาใช้กับภูมิจิตมันเลยเป็นสิ่งใหม่ ที่เกิดขึ้น

เรียกได้ว่าสิ่งที่ทำอยู่มันคือการทดลอง

พุฒิมันคือการทดลองของเราครับ จริง ทุกอัลบั้มที่ผ่านมา เราทดลองอะไรใหม่ อยู่เป็นประจำ แต่ว่าที่ผ่านมามันเหมือนกับทดลองกันอยู่แค่ตัวพวกเราเอง คล้าย กับนักดนตรีที่ทำเพลงสายแปลกแยกมาก่อน แล้วอยู่มาวันนึงอยากจะทดลองว่า ลองทำอะไรที่มันดูเรียบง่ายกันดูไหม ซึ่งมันเป็นการทดลองที่ใหม่โครตและซับซ้อน ส่วนตัวเพลงในอัลบั้มนี้มันจะเป็นการใช้โครงสร้างใหม่ เยอะขึ้น อาจจะเป็นเพราะเราเองไปฟังเพลงแนวพวก progressive เยอะขึ้นด้วย มันทำให้พบว่า ถ้าย้อนกลับไปฟังอัลบั้ม Found & Lost เพลงจะมีโครงสร้างจะป๊อปมาก เราเริ่มด้วยอินโทร เวิร์ส ท่อนฮุก พร้อมทั้งโซโล่นิด จากนั้นกลับมาท่อนเวิร์สสองแล้วไปท่อนฮุกจบด้วยท่อน outro อัลบั้มนี้เลยลองวิธีใหม่ จัดโครงสร้างมันใหม่ ซึ่งมันจะตรงข้ามกับอัลบั้มแรกโดยสิ้นเชิง

เครื่องสายที่เกิดในเพลง ชีพจร

แม็ก: นี่เป็นสิ่งใหม่อีกอย่างนึงของเรานะ

กานต์: มันเหมือนกับเราต้องมีอะไรสักอย่างเข้ามาในเพลงนี้ มันมีท่อนนึงที่ร้องว่าน้า น่า น้า นา นาที่พวกเราพยายามจะยัดท่อนนี้กันอยู่นานว่าจะมาท่อนแรกหรือมาท่อนหลัง เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเยอะมาก

พุฒิเพราะฉะนั้นเพลงนี้มันเป็นเพลงที่มีโครงสร้างแปลกประหลาด มันมีท่อนเหมือนเอ้าโทรอยู่ตอนแรกแล้วหลังจากนั้นกลายเป็นท่อนบริดจ์ผ่านมาเป็น outro ด้วยบริดจ์ โครงสร้างมันมีความประหลาดอยู่ แต่รวม เรารู้สึกดีกับมันนะ เคยให้เพลงนี้กับพี่บู้ วง Slur ฟัง พี่บู้แม่งตกใจสัส เขาบอกว่าแม่งคืออะไร ทำไมโครงสร้างคอร์ดต่าง มันจะโผล่ก็โผล่ มันจะไปก็ไป คุณเอาท่อนบริดจ์มาแล้วไม่จบด้วยการพาไปท่อนฮุกเลย แกไม่พาไปท่อนฮุกเหรอบู้ตื่นเต้นกับโครงสร้างเพลงนี้ของวงเรามาก ดีใจนะ แต่ถ้าถามว่าตอนทำคิดอะไรกันอยู่ เราแค่อยากจะทำให้มันเพราะเฉย พอเอามาวางแล้วมันเพราะทุกอย่างมันก็จบแล้ว

กานต์ยิ่งตอนหลังเอามาฟัง สำหรับเรามันคือ การเล่าเรื่องมาก มันเหมือนกับคนที่แม่งมีปัญหาแล้วอยากจะออกไปใช้ชีวิต ท่อนบริดจ์แม่งคือการตัดสินใจว่า กูต้องกล้าหาญที่จะออกเผชิญโลกแล้ว ยิ่งไอ้ท่อนท้าย แม่งเหมือนกับการขึ้นรถไฟมาไว แล้วตอนจบมีสายลมมาปลอบประโลมเหมือนมีคนมาตบไหล่แล้วบอกว่ามันโอเคแล้ว ทุกอย่างมันลงตัวมาก

พุฒิ: มันมีความ dramatic มาก

แม็กซึ่งสิ่งเหล่านี้มันจะไม่เกิดขึ้นกับวงภูมิจิตเมื่อ 5 ปีที่แล้วแน่นอน เพราะฉะนั้นการเกิดขึ้นของอัลบั้ม Midlife มันเป็นปรากฏการณ์ที่จะเกิดขึ้นได้ครั้งเดียว มันเป็นไปตามวัยด้วย อัลบั้มหน้าอาจจะไม่ได้ทำแบบนี้แล้วก็ได้

พุฒิ: โชคดีที่เราบันทึกมันไว้ครับ

กานต์: มันเปลี่ยนตลอดจริง มันเป็นเรื่องธรรมชาตินะ เราเริ่มฟังเพลงซอฟต์ลงเยอะ เนื่องจากอายุเข้า 29-30 ปีแล้ว มันเริ่มกลับไปฟังเพลงที่ฟังง่าย หรือฟังเพลงที่ลายโซโล่น้อย แค่นี้มันเพราะแล้วว่ะ เมื่อก่อนฟังเพลงพวกนี้ไม่เคยเพราะ แบบย้อนกลับไปฟังเพลงเก่า แล้วแม่งเพราะหมดเว้ย กลายเป็นว่า เราไม่อยากจะทำเพลงหนวกหูอีกแล้วอ่ะ ถ้าเป็นเมื่อก่อน เพลงเสียงร้องชัด แบบนี้ อี๋นะ ไม่เคยโอบกอดความตรงนี้ไว้เลย เหมือนเบื่อหนังอาร์ตแล้ว อยากดูหนังป๊อปดี แล้วแค่นั้นเอง

%e0%b8%a0%e0%b8%b9%e0%b8%a1%e0%b8%b4%e0%b8%88%e0%b8%b4%e0%b8%95-5

แสดงว่าเรื่องของวัยวุฒิที่เติบโตขึ้นก็มีส่วนในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้

กานต์: ใช่ มันเป็นตามวัย มันเป็นไปตามธรรมชาติโดยไม่ต้องพยายาม เหมือนแบบมันไม่มีความคิดที่จะเล่นกีต้าร์ให้มันหนวกหูอะไรแล้ว

แม็กแต่กลับกันนะ อีกมุมนึงช่วงวัยรุ่นเราเองก็อยากจะทำตัวคลี่คลาย ทำเพลงให้มันออกในรูปแบบนี้ ซึ่งมันไม่มีทางเกิดขึ้นได้นะ เพราะสุดท้ายมันจะกลายเป็นแบบวงเด็กที่ wanna be วงนึง พยายามทำตัวเท่ พยายามทำตัวคลี่คลายมันจะดูออกทันทีครับ ซึ่งภูมิจิตเคยพยายามทำแบบนั้น แต่ไม่สำเร็จสักที สุดท้ายเวลามันจะทำให้ทุกอย่างสำเร็จเอง เพราะตัวเองจะแก่จริง ครับ

MV เพลงนี้เป็นเช่นไรบ้าง

พุฒิ: MV นี้สำหรับผมมันมีความผูกพันแปลก เกิดขึ้นอยู่ หลานเราเล่น mv เป็นครั้งแรกครับ ชื่อว่าน้องสิมิลัน อายุ 5 ขวบ เรื่องราวที่เกิดขึ้นในเอ็มวีนี้มันถูกเล่าด้วยตัวของมันเองครับ มันเกิดขึ้นจากช่วงนี้เราไม่ค่อยมีเวลากับครอบครัว การได้ถ่ายทำ mv ตัวนี้มันกลายเป็นว่า เราได้อยู่กับหลานทั้งวันเลย ได้เล่นได้ทำกิจกรรมด้วยกันมันเลยเกิดโมเม้นต์ครอบครัวโดยที่ไม่ได้ตั้งใจเหมือนกัน ตอนแรกสารภาพเลยว่า กลัวมาก หลานไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน แล้วได้มีโอกาสคุยกับพ่อเขา เขาเองไม่ได้อยากให้หลานเข้าวงการบันเทิง แต่เห็นเราเป็นน้องก็มาช่วย กัน กลายเป็นเราเองได้มีช่วงเวลาดี กับครอบครัวด้วยเอ็มวีตัวนี้ครับ

กานต์: ผมชอบทีม Jettana (ทีมที่มากำกับ mv นี้) นานแล้วครับ ติดตามผลงานเขามาตั้งแต่ตอนที่ทำ mv ให้วง Supersub เพลง คำนั้น รู้สึกว่าเขาถ่ายสวยดีแล้วก็มามีโอกาสได้ดูตอน โถขี้ ของวง Yena โครตชอบตัวนั้นเลย ชอบงานของเขามาก ที่ผ่านมาจะมีชื่อนี้อยู่ในใจตลอดเวลา อยากร่วมงานด้วย จนมันล่วงเลยมา ตอนแรกจริง เคยคุยกับ แพต (ผู้กำกับเอ็มวีเพลง รั้น, Home Floor) มาเหมือนกันแต่ด้วยจังหวะเวลาเขาไม่ว่าง ทำให้เรานึกถึงทีมนี้ เขาเองตอนที่มารับงานกำกับเอ็มวีนี้ให้ ตัวของเขาประสบเรื่องราวคล้าย กับในเพลงนี้เหมือนกัน ชีวิตที่เพิ่งเคยทำงานประจำแล้วงานแรกในชีวิต คือ การไปเป็นผู้ช่วย พี่ต่อ Phenomena มันเป็นงานที่ค่อนข้างหนัก เขาบอกกับผมว่า ผมไม่เคยทำงานประจำ เพราะฉะนั้นในช่วงเวลาที่ติดต่อไปทุกอย่างมันค่อนข้างลงตัวมาก ด้วยตัวเพลงด้วยเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด ทำให้ได้มีโอกาสทำงานด้วยกัน เราปล่อยให้เขาคิด ไม่ยุ่งเรื่องราวต่าง ที่เกิดขึ้นในเอ็มวีนี้ ปกติตัวเองจะ input เยอะนะ แต่กับตัวนี้ไม่เลย

แม็ก: อันนี้ส่วนตัวนะ ความรู้สึกเหมือนได้ เต๋อนวพล ธํารงรัตนฤทธิ์ มากำกับ เราชอบงานเขามาก  การได้เขามากำกับให้มันเย็ดเข้เจ๋งว่ะ

พุฒิ: เหมือนได้ Christopher Nolan มากำกับให้ (หัวเราะ)

กานต์: ซึ่งในพาร์ตของตัวเนื้อเรื่องเพลงนี้มันอาจจะดูหยี หน่อยนะ เป็นเรื่องเกี่ยวกับความรักและครอบครัวถ้าเป็นสมัยก่อนส่วนตัวจะไม่ยอมทำเอ็มวีแบบนี้

บอม: มันคือการทดลองทำอะไรแบบให้มันเหมือนกับคนอื่นเขาบ้าง

แม็ก: ซึ่งเอ็มวีเนื้อเรื่องปัจจุบันเนี่ยใคร เขาทำกันเยอะไปหมด เรายังเคยบอกวงเลยว่า เอ็มวีที่เขาหลักร้อยล้านวิวมันเกี่ยวกับเนื้อเรื่องทั้งนั้น ภูมิจิตไม่เคยทำเอ็มวีเนื้อเรื่องมาก่อน นี่เป็นครั้งแรก ถ้าใครจำได้แต่ก่อนพวกเราจะเป็นไปยืนเก๊ก ตามบ่อหลุมขุดทรายเท่านั้นเอง (หัวเราะ)

ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ก็ยังจะทำ mv แบบเท่

กานต์: ใช่ คงแบบไม่เอาแน่ มีเนื้อเรื่องทำไม

แม็ก: กลับกันถ้าตอนนี้ปล่อยเพลง ลุมพินี อาจจะทำเป็นเนื้อเรื่อง

พุฒิ: แล้วมีผู้หญิงน่ารัก คนนึงเป็นนางเอกและไม่ต้องไปถ่ายกันที่หินผานั้นด้วย

กานต์: เราโอบกอดความป๊อปครั้งนี้ของเรามาก

บอม: MV นี้ผมได้ออก 2 ฉาก นางเอกน่ารักมากครับ

ชีพจรของวงดนตรีภูมิจิตตอนนี้เต้นจังหวะแบบไหนอยู่

กานต์: ถ้าเป็นช่วงนี้คงตื่นเต้นนิด นะ เหมือนห่างกันไปนาน ช่วงนี้มันเป็นช่วงที่แบบคัมแบ็คเหมือน Rocky ที่ต้องตื่นมาวิ่งตอนเช้าใหม่ แม่งจะมีความตื่นเต้นนิด อยู่ เหมือนกลับมาเป็นวัยรุ่นอีกครั้ง

บอม: ดีครับ

%e0%b8%a0%e0%b8%b9%e0%b8%a1%e0%b8%b4%e0%b8%88%e0%b8%b4%e0%b8%95-6

การกลับมาออกเพลงครั้งนี้มันทำให้ภูมิจิตคล้ายกับคนที่การฟื้นจากความตายกลับมามีชีวิตอีกครั้ง

พุฒิ: สำหรับวงภูมิจิตมันมีวินาทีนึงที่เราจะเหมือนคุณลุงที่เป็นโรคหัวใจ โคม่ากำลังจะตาย เพราะฉะนั้นการที่กลับมาออกเพลงครั้งนี้มันเหมือนทำให้ ภูมิจิตกลับมามีชีพจรอีกครั้ง เรียกว่าฟื้นจากความตายก็ได้ สำหรับเราวงภูมิจิต เหมือนเป็นวงที่อยู่จุดกึ่งกลางระหว่างคำว่าสำเร็จกับความไม่สำเร็จ เราเป็นวงที่ดังมากในหมู่วงที่ไม่ดัง มีแฟนเพลงเดนตายอยู่ ครั้งนึงเคยไปทำงานที่โรงงาน จำได้ว่านั่งกินข้าวกับหัวหน้าชาวญี่ปุ่นอยู่ ปรากฏว่า เจอแฟนเพลงเว้ย มาทักแบบพี่พุฒิรึเปล่าครับ เขาบอกกับหัวหน้าว่า ‘He is thailand rock star’ แล้วหัวหน้าก็งง ไม่ใช่แค่หัวหน้าที่งงนะ ไอ้คนที่อยู่รอบ ได้ยินเสียงแล้วก็ดู ประมาณว่าแกเป็นใคร มันจะมีความย้อนแยงอยู่สูงมาก ตกลงเราเป็นวงที่ดังหรือไม่ดังกันแน่ ฉะนั้นวิธีที่จะทำให้ตรงนี้ชัดเจนได้คือ การออกอัลบั้มใหม่เพื่อจะได้ดูว่า เรื่องของเรามันเล่าต่อได้รึเปล่า ฉะนั้นแล้วรู้สึกว่า การออกเพลงมันทำให้พวกเรามีเป้าหมายใหม่ในการใช้ชีวิตต่อไป หลังจากที่เคยรู้สึกทำสำเร็จไปหลายอย่างแล้วในอัลบั้ม Bangkok Fever จนมันมีจุดที่คิดว่า วงการดนตรีมันไม่มีอะไรท้าทายอีกต่อไปแล้ว แต่วันนี้ตอนนี้มันกลับทำให้รู้สึกสนุกอีกครั้ง

วันที่ดีที่สุดและวันที่แย่ที่สุดของวงภูมิจิต

พุฒิ: ช่วงนี้เราชอบย้อนไปช่วงอัลบั้ม Home Floor อยู่บ่อยครั้งนะ รู้สึกว่า ชีวิตช่วงนั้นเราพยายามทำตัวฉลาดเกินไปจนบางครั้งก็ลืมความน่าตื่นเต้นของการผจญภัยไปหมด ถามว่ามันโอเคไหม มันอาจจะเป็นช่วงที่รู้สึกยิ่งใหญ่มากในช่วงเวลานั้น ซึ่งพอหันหลังมองย้อนไปกับพบว่า ตัวเองตลกชะมัด ขณะเดียวกันในช่วงเวลาที่แย่ สำหรับเรามันไม่ใช่ช่วงเวลาที่วงไม่มีงานเล่น ไม่มีคนพูดถึงนะ แต่เป็นช่วงที่พวกเรา 4 คนไม่ลงรอยกันมากกว่า ส่วนตัวคิดว่า วงภูมิจิตมันเหมือนกับครอบครัวเว้ย การไม่มีงาน แต่ถ้า แม็ก กานต์ บอม อยู่ข้าง เราจะไม่รู้สึกว่ามันมีปัญหาเลย แต่ช่วงที่แย่ที่สุดมันคือตอนที่เพื่อน ไม่อยู่ข้างเรา มันเป็นช่วงเวลาที่ลำบากมาก ดีใจนะที่มันผ่านมาได้ ได้เรียนรู้ว่า คนที่ผ่านช่วงเวลาแย่ ไปได้เนี่ย เวลาเขาเล่าเรื่องมันจะมีพลังบันดาลใจคนรอบ ไปด้วย

กานต์: เห็นด้วยกับ พุฒิ นะ ไม่มีงานเล่นไม่เท่าไหร่ แต่การเล่นดนตรีสำคัญเลยมันต้องสนุก ถ้าแฮปปี้กับมันทุกอย่างจบแล้ว ไม่ได้ซีเรียสว่า งานจะได้กี่งาน เงินน้อยอะไรยังไง แต่มันมีช่วงแย่ แบบนั้นเกิดขึ้นจริง เหมือนพอห่างกันไป 2 ปีจากวง มันไม่น่าเชื่อว่า มันเป็นช่วงที่แบบต่ออีกทีโครตยาก เมื่อก่อนจะแบบขึ้นคอร์ดมานิดเดียวไปต่อกันได้แล้ว เรือมันพร้อมพุ่ง แต่พอกลับมาจูนกันหนักมาก เหมือนคุยกันคนละภาษาด้วย คุยกันหนักหน่วง เกือบจะไม่มีวงแล้ว มันเค้นมากแบบจะแตกแล้ว ช่วงนั้นมันเป็นช่วงทรมานในใจเรามาก

พุฒิ: มันมีงานเข้ามาให้เล่นเรื่อย นะ ช่วงนั้น แต่มันไม่สนุกแล้ว จุดต่ำสุดมันไม่ได้อยู่ที่มีงานหรือไม่มีงานแล้ว แต่มันอยู่ที่เราจะเป็นเพื่อนหรือไม่เป็นเพื่อนกันมากกว่า

แม็ก: รู้สึกคล้าย กันครับ ช่วงที่จูนกันก่อนทีจะเกิดเป็นอัลบั้ม Midlife มันเป็นช่วงที่แย่ คือ วงภูมิจิตมันเหมือนกับที่พี่ต้าร์ Paradox ได้กล่าวไว้ว่าภูมิจิตเป็นหนอนยักษ์ในท่อน้ำเน่า คือ สูงสุดก็สูง ต่ำสุดก็เท่าเดิมเพราะฉะนั้นเราไม่ค่อยมีปัญหาตรงนี้เท่าไรในเรื่องของงานเล่นอ่ะนะ แต่มันเป็นเรื่องของการอยู่ร่วมกันซะมากกว่า

พุฒิ: พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน เวลาไม่ลงรอยกันมันเหมือนกับความรู้สึกที่เราไม่อยากกลับบ้าน ซึ่งความรู้สึกไม่อยากกลับบ้านมันแย่มากนะ

กานต์: อย่างอัลบั้มชุดแรกเป็นตอนที่ทำกันลำบากมากที่สุด พวกเราแม่งเหมือนกับวัยรุ่นที่ไม่มีตังค์ เก็บเงินทุกบาท ไม่มีความรู้ ไม่มีเงิน ไม่มีเอฟเฟกต์ ค่ายเขาก็ไม่เอา ต้องไปอัด demo กันเอง ได้เงินวันละ 200 บาทก็ต้องเอาเงินมาทำเพลง ตอนนั้นคิดว่า อัลบั้มแรกมันโครตยากแล้ว สุดท้ายมาเจออัลบั้มนี้แม่งชนะเลย เพราะ ตอนอัลบั้มแรกเหมือนอยู่ด้วยกันแล้วออกไปสู้กับข้างนอก ทุกคนแม่งแฮปปี้ในการไปต่อสู้ แต่อัลบั้มนี้แม่งคือ การต่อสู้กันเองภายในวง มันเป็นช่วงที่เกิดขึ้นช่วงใหญ่ มันกลายเป็นทำให้อัลบั้มนี้เป็นอัลบั้มที่โครตยากมาก ทั้ง ที่ปัจจัยอื่น มันง่ายกว่าเดิม เดินไปคุยกับค่ายเพลงง่ายขึ้น มีงานจ้างได้ง่ายขึ้น แต่ตอนจูนแม่งยากมากจริง

พุฒิ: มันคล้าย กับตอน ลูฟี่ สู้กับ อุซป อะประมาณนั้น

บอม: ช่วงยากของมันคือช่วงตอนที่ พุฒิ กับ กานต์ ทะเลาะกันครับ มันเหมือนพ่อกับแม่ทะเลาะกัน เรากับแม็กเป็นลูก ความรู้สึกตอนนั้นคือคล้ายกับครอบครัวกูแม่งจะแตกแยกแล้ว เราเองต้องคอยโอ๋ทั้งสองคนไม่ว่าไอ้ กานต์ โทรมาหาเพื่อด่าไอ้ พุฒิ ก็ต้องอยู่ข้างมัน หรือ พุฒิ จะโทรมาเพื่อด่าไอ้ กานต์ ก็ช่วยกันด่า ที่ทำแบบนี้เพราะ เราต้องการให้ครอบครัวเดินหน้าต่อไปได้และมีความสุขจนถึงทุกวันนี้

แสดงว่าการทำอัลบั้มนี้มันเหมือนกับการคลี่คลายปัญหานี้ด้วย

แม็ก: ใช่ครับ เพราะฉะนั้นฝากไปถึงน้อง ที่ทำเพลงครับ วงดนตรีเนี่ยต้องมีช่วงเวลานึงที่มีการทะเลาะกันในวงหรือว่ามันต้องมีจุดนึงที่กระทบกระทั่งกัน เพราะฉะนั้นหากน้อง ได้ฝ่าฟันผ่านมันมาได้ วงของน้อง จะประสบความสำเร็จแน่

พุฒิ: มันคือการหาจุดกึ่งกลางความชอบของทุกคนนั้นแหละกว่าจะเจอมันยาก

กานต์: จริง สำหรับเราเพลงในอัลบั้มนี้มันเหมือนกับเป็นลูก ก่อนหน้านั้นเราขึ้นโครงมาแล้วหลายเพลงมาก แต่ไอ้เพลง ชีพจร มันขึ้นโครงมาตั้งแต่ 5 ปีที่แล้ว เรารักมันมากตั้งแต่วินาทีแรกเลย อะไรแบบนี้

แม็ก: จะเลิกกันกันมันทำไม่ได้ ไม่งั้นเดี๋ยวลูกจะกำพร้า (หัวเราะ)

บอม: ฟังแล้วดูแปลก ลูกคนนี้ตั้งใจทำกันมากครับไรแบบนี้ (หัวเราะ)

ที่มาของชื่ออัลบั้ม Midlife

กานต์: ชื่อนี้ตอนที่ตั้งเราไปคิดถึงคำว่าวิกฤติการณ์วัยกลางคนแต่เวลาเซฟเดโม่ เข้า iTunes มันต้องตั้งชื่ออัลบั้มด้วยไง เลยตั้งไว้เล่น ว่า Midlife หรือวัยกลางคน ซึ่งไม่ได้คิดจะใช้นะ ตอนแรกคิดชื่ออื่นไว้เยอะ แต่มันยังไม่เจอชื่อที่จะใช้สักที มันมีหลายชื่อมากจนแบบช่วงที่จะออกอัลบั้มเลยคิดว่า งั้นเอาชื่อนี้ดีกว่า เราใช้ใน iTunes ทุกคนแม่งโอเค เอาก็เอา

แม็กพูดถึงเรื่องนี้ไม่ว่าจะมองด้านไหนมันจะมีจุดเชื่อมโยงกันอย่างน่าประหลาด ทั้งเนื้อหาในอัลบั้มที่จะพูดถึงวัยที่อยู่ในช่วง Midlife รวมไปถึงอายุเฉลี่ยของวงมันจะอยู่ในช่วง Midlife พอดี มีวิถีชีวิตทุกอย่างอยู่ในบริบทที่มันได้พอดีทุกอย่างซึ่งมันลงตัวมาก  

กานต์: มันยิ่งทำให้พอเวลาเรามานั่งคิดถึงเรื่องการเล่นคำ มันประกอบด้วยคำว่า ‘mid’ แปลว่า ตรงกลาง และ ‘life’ แปลว่า ชีวิต ทุกอย่างมันลงตัวหมด วัยนี้แม่งคือการอยู่ตรงกลาง ระหว่างชีวิตที่ต้องเจอและการทำตามความฝัน อย่างเราเอง เพิ่งมีลูกมีครอบครัว งานช่วงนี้แม่งหนัก แม่เริ่มแก่ ปลายปีที่แล้วแม่เป็นตับแข็ง เราแม่งคือ คนที่อยู่ตรงกลางของเรื่องราวทุกอย่างเลย กาลเวลามันเปลี่ยนสถานะจากคนที่ใช้ชีวิตทั่วไปให้กลายเป็นคนอยู่ในขั้น Midlife มันรู้สึกแบบนั้นจริง เหมือนอยู่ตรงกลางแล้วทุกคนล้อมวงอยู่ เราไม่สามารถทิ้งทุกสิ่งได้ เพราะฉะนั้น Midlife มันคือ ชีวิตพวกเรานั้นแหละครับ

พุฒิ: เราอยู่ตรงกลางล่ะ ขอยกตัวอย่าง เมื่อก่อนเราเป็นเด็กน้อยที่สุดในการเรียนมัธยมต้น เพราะ เข้าม.1 พอกาลเวลาผ่านไปมาเป็น .3 ก็กลายเป็นเด็กที่โตที่สุด แต่แล้วพอ .4 กลายเป็นหน้าใหม่ในมัธยมปลายอีกครั้ง ชีวิตคนเรามันจะสลับ กันแบบนี้มาตลอด ขนาดเข้ามหาวิทยาลัยไปก็ต้องกลายเป็นปี 1 แต่เผลอแปปเดียวกลับกลายเป็น senior ปี 4 ซะแล้ว มันคือการเริ่มต้นแล้วไปสิ้นสุดนั้นแหละ แต่การเริ่มต้นไปสิ้นสุดในชีวิตของเราครั้งนี้มันยาวกว่าเดิม เราเริ่มจากการเป็น first jobber แล้วสะสมประสบการณ์มาเรื่อย จนมาถึงจุดที่จะกลับไปเป็นเด็กเริ่มต้นใหม่ไม่ได้แล้วอ่ะ  มันค่อนข้างมีความสั่นสะเทือนหัวใจอยู่ประมาณนึงเลย มันอยู่ในจุดที่กดดันด้วยแถมแรงกดดันที่เกิดขึ้นมันไม่ได้มีเพียงด้านเดียวเหมือนสมัยก่อน มันกลับกลายเป็นมีเข้ามาสองด้าน ไอ้จุดตรงกลางที่เกิดขึ้นในชีวิตมันวุ่นวายมาก อย่างเราทำงานเป็นวิศวกรแถมต้องดูแลความฝันของนั้นคือ การดูแลวงภูมิจิต ในขณะเดียวกันต้องทำงานเก็บเงินเพื่อไปแต่งงานกับแฟน ซึ่งไอ้การหาเงินแต่งงานเนี่ยล่ะมันกลับทำให้เราไม่มีเวลาให้ครอบครัว ทุกอย่างมันเป็นความสัมพันธ์ที่อยู่กึ่งกลางและมันหมุนซ้อนกันเป็นพายุ มันเป็นช่วงเวลาที่ยาก สมัยเด็ก เราเลือกอะไรสักอย่างได้ อยากเล่นดนตรีเหรอ อยากเป็นนักวาดการ์ตูนเหรอ มันเลือกอะไรสักอย่างได้ แต่ตอนนี้กลับอยู่ในจุดที่ตัวเองต้องเอาทั้งหมดให้รอด มันเป็นจุดกึ่งกลางที่คิดเสมอว่า จุดมหัศจรรย์ของเรื่องนี้มันอยู่ตรงไหน ซึ่งมันก็คือที่มาของชื่ออัลบั้มเนี่ยล่ะ คำว่าที่มาของอัลบั้มมาจากไหนมันอาจจะใช้ไม่ได้หรอก เพราะ เราเล่าเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว มันแค่หาคำ นึงให้มันลงกับเรื่องที่กำลังเล่าและคำว่า Midlife มันตรงกับพวกเราที่สุด

แม็ก: ความแปลกประหลาดอีกอย่างนึงคือ เราไม่ได้ตั้งคอนเซ็ปต์อะไรไว้นะ โอเค พุฒิ อาจจะตั้งไว้ส่วนตัว แต่ว่าในการแต่งเพลงการเชื่อมโยงอะไรบางอย่าง ชุดความคิดของมัน เราปล่อยให้มันเกิดขึ้นโดยตามธรรมชาติเลยแล้วค่อยมาตั้งชื่อมันทีหลัง ไอ้การที่จะมานั่งรวมกันทำอัลบั้มเจอพร้อม กัน 4 คน เขียนขึ้นมาบนกระดานว่า Midlife แล้วแยกย้ายกันไปคิดไอเดียมา แทบไม่ได้ทำวิธีเหล่านั้นเลย

พุฒิ: ทุกคนเริ่มมีประสบการณ์แบบเดียวกันแล้วมันไม่ใช่แค่ประสบการณ์กับเฉพาะพวกเรานะ แต่มันคือคนรุ่นนี้ทั้งหมด อย่างเพื่อนเราที่เคยกระโดดดูคอนเสิร์ต Moderndog ด้วยกัน ทุกวันนี้กลายเป็นพยายามทำธุรกิจขายตรงแล้ว หากย้อนเวลาไปในสมัยนั้นนึกภาพมันขายของพวกนี้ไม่ออกนะ แต่เชื่อว่า มันมีเหตุผลของมันที่จะต้องใช้ชีวิตอีกอย่างนึงไปด้วย แล้วเราก็รู้ว่าเด็ก Fat Radio หลาย คนที่โตมาในยุคแห่งความหวัง แห่งความฝัน พอต้องมาใช้ชีวิตหนัก บางคนค้นพบว่า ความฝันมันถูกทำลายไปแล้ว เราเองหวังว่า การมีอยู่ของภูมิจิตมันจะช่วยเติมความฝันให้เขาได้

%e0%b8%a0%e0%b8%b9%e0%b8%a1%e0%b8%b4%e0%b8%88%e0%b8%b4%e0%b8%95-1

อัลบั้มนี้เดินทางไปถึงกี่เปอร์เซ็นต์แล้ว

แม็ก: จริงๆ มันเสร็จแล้วนะ อันนี้ลงลึกให้เฉพาะฟังใจเลยเป็นที่อื่นเนี่ยจะตอบว่า 90 กว่าเปอร์เซ็นต์แล้วครับ แต่ ฟังใจ เราอยากจะบอกว่า จริงๆ มันมิกซ์เสร็จแล้ว แต่อยู่ในช่วงของการดูภาพรวมทั้งหมด เดี๋ยวเรากับพุฒิจะอัด interlude ต่าง กัน กานต์อาจจะมีอัดกีต้าร์แก้หน่อย พุฒิอาจจะมีอัดร้องใหม่ด้วย

พุฒิ: ไหนมึงบอกเสร็จแล้วไง (หัวเราะ)

แม็ก: มันไม่ใช่ท่อนใหญ่ไง อย่างเช่น บางเพลงที่มีแผลเล็กแผลน้อยที่ส่วนตัวไม่อยากปล่อยออกไป เหมือนว่า ตัวเราเองทำงานเพลงเพื่อคนอื่นมาเยอะมากทั้งลูกค้าหรือแม้กระทั่งวง The Mousse ก็ไปทำเพลงเพื่อมันโดยตลอด แต่อัลบั้ม Midlife ของภูมิจิต เราทำเพื่อตัวเองล้วน  สองอัลบั้มที่แล้วมันไม่ใช่เรามันเหมือนแค่ พุฒิ ไปลุยๆ มา กานต์ ไปลุย มา แล้วมาตีกลองแค่นั้น จึงมองว่า อัลบั้มนี้มันคืองานที่ทำด้วยแบบเต็ม มันเป็นผลงานที่เรามีส่วนร่วม คล้าย กับคนนึงที่จะอยากร่วมวาดภาพนั้นออกมาให้มันดีที่สุด ถ้าตอนนี้เป็นการเขียนภาพก็จะเป็นช่วงที่ถอยห่าง ออกมาดูเฟรม ดูภาพรวมว่าเป็นยังไงบ้าง ดูว่าต้องเติมอะไรบ้าง

อัลบั้มจะออกช่วงไหน

พุฒิน่าจะปล่อยออกมาช่วงเดือนกันยายนปีนี้ ไม่อยากให้ปล่อยเพลงเดียวออกมาแล้วออกอัลบั้มเลย อยากจะให้คนค่อย ทำความเข้าใจอัลบั้มมันด้วยหลาย เพลงก่อน น่าจะมีประมาณ 2-3 ซิงเกิ้ลก่อนที่จะปล่อยอัลบั้ม อัลบั้มนี้จะมีทั้งหมด 14 เพลง

จะมีเพลงเร็วแบบอัลบั้ม Bangkok Fever รึเปล่าหรือจะมานิ่งสุขุมทั้งอัลบั้ม

แม็ก: มี แต่ต้องอธิบายให้ทุกคนเข้าใจก่อนว่า อย่างตอนเพลง ด้วยความเคารพ มันเป็นเพลงที่ดุเดือดพุ่งพล่านนะครับ ในความเข้าใจของหลาย คน แต่หารู้ไม่ว่าไปฟังในเวอร์ชันอัลบั้มจะพบว่า ความเร็วของการเล่นสดกับความเร็วในอัลบั้มมันต่างกันมาก ในอัลบั้มมันจะช้ากว่าไง มันจะเป็นเพลงที่อาจจะดุเดือด แต่เราคงไม่รู้สึกว่า มันจะดุเดือดขนาดนั้นเปรียบเทียบกับเพลง Home Floor ชัดเจนสุด ถ้าในความเข้าใจของแฟนเพลงภูมิจิตที่มาดูคอนเสิร์ตจะคิดว่า เพลงนี้มาโดดกัน แต่เราเป็นคนทำอัลบั้มนั้นพบว่า เพลงนี้มันผ่อนคลายมันเลยนะ acoustic เราไม่เคยพูดเรื่องนี้เหมือนกัน จุดมุ่งหมายแรก เราอยากทำอัลบั้มนี้ให้ฟังสบาย แต่กลายเป็นว่าพวกมึงมาโดดกันซะงั้น เพราะฉะนั้นจะบอกว่า อัลบั้ม Midlife มันก็มีเพลงแบบนั้นอยู่ เพลงที่ฟังในสตูดิโอเวอร์ชั่นให้ความรู้สึกอีกแบบนึง แต่การเล่นสดก็จะเป็นอีกแบบนึงอย่างเช่นเพลง จริง  เป็นต้น เลยตอบไม่ได้ว่าจะมีเพลงที่มันเร็วขนาดนั้นไหม เรียกว่ามันไม่เร็วล่ะกัน มันกลาง แต่พอเล่นสดปุ้ปทุกคนกระโดดกันเป็นกุ้งเลยนึกออกกันไหมครับ  

รูปแบบเพลงเกิดขึ้นในอัลบั้ม Midlife ทำให้การเล่นสดถูกปรับเปลี่ยนมากน้อยขนาดไหน

แม็ก: จะมีสิ่งที่เป็นสิ่งใหม่แต่ไม่เก่า เก่าแต่ไม่ใหม่อยู่ครับนั้นคือการใช้ line harddisk สมัยก่อนให้ความรู้น้อง ที่อ่านเลยนะครับ เขาจะเรียกกันว่า md บางทีไปได้ยินวงนั้นเขาเรียกกันใช้ md ไม่ต้องตกใจและงงไป สมัยก่อนเขาเรียกมันว่าเครื่อง minidisc นั้นเอง แต่ยุคปัจจุบันนี้มันเปิดจากคอมพิวเตอร์มันถึงเรียกว่า line harddisk สมัยนี้เขาเลยเรียกกันแบบนี้ ภูมิจิตมี line harddisk เพื่อเล่นสดแล้ว หลังจากที่ไม่เคยมีมาก่อน

พุฒิ: จริง ก่อนหน้านี้เคยมีหลายครั้งนะ แต่มันก็เล็ก น้อย

แม็ก: ถึงได้บอกว่าหลาย อย่างวงอื่นเขาทำกันไปนานแล้ว แต่ภูมิจิตไม่เคยทำ เพราะฉะนั้นมันเป็นสิ่งใหม่แต่ไม่เก่า เก่าแต่ไม่ใหม่ ประมาณนี้ครับ

กานต์เมื่อก่อนจะเลี่ยงสิ่งนี้มาตลอด เพราะ พุฒิ เขาจะเป็นคนที่อิมโพรไวส์เยอะคิดว่า ถ้าเกิดเพิ่มตรงนี้มาความสนุกมันจะลดลงรึเปล่า แทนที่ว่า พุฒิ จะมีไอเดียในการทำอะไรต่าง ของเขา

แม็ก: เลยบอก พุฒิ ว่ามันมีวิธีที่จะใช้ร่วมกันได้นะ วิธีที่จะทำให้คนดูข้างล่างจับไม่ได้ว่า ภูมิจิตกำลังมี line harddisk นะ นี่ก็เป็นศาสตร์และศิลป์ใหม่ ซึ่งต้องฝึกฝนกันต่อไป

แฟนคลับเดนตายกับการเติบโตขึ้นและทำให้พวกเขาสูญหายไปตามกาลเวลา

แม็ก: หายไปเนี่ยเดาได้ว่า มีผัวแล้ว (หัวเราะ) จะหาโอกาสมาดูคอนเสิร์ตได้น้อย แต่ไม่ได้หายไปเลยนะ ยังฟังเพลงอยู่ แต่แค่ไม่ไปดูเท่านั้นเอง เพราะขาดงานไม่ได้ ลูกก็ต้องเลี้ยง ไปดูคอนเสิร์ตผัวคงถามเขาว่า จะไปดูวงอะไรภูมิจิต วงอะไรของมึง (หัวเราะ) อันนี้เราพูดได้มั่นใจว่า ตั้งแต่แต่งงานมีลูกแล้วพอไปไหนมาไหนมันจะยากขึ้น เมียไม่ได้ห้ามด้วยนะ แต่เกรงใจ เพราะฉะนั้นไม่แปลกใจที่จะไม่เจอใครตามงานที่วงภูมิจิตไปเล่น หลังจากสมัยก่อนจะเจอพวกเขากันที่สามย่านหรือเจอกันตามที่ต่าง

เรารู้ว่า เขาคงทำอะไรสักอย่างอยู่แต่ปลีกตัวมาไม่ได้ ซึ่งก็ไม่โกรธกัน ผมเองจะซึมซับเรื่องนี้ได้ดี เพราะ ภูมิจิตมาจากช่วงการเปลี่ยนถ่ายของ Fat Radio มา Cat Radio ทุกอย่างจะเห็นชัดเจนมาก ตอนทำรายการอยู่ Fat Radio เรามีแฟนเพลงเยอะมาก สมัยก่อนจัดรายการตอนตี 4 แฟนเพลงเยอะมาก เด็กโตมากับ Fat Radio ช่วงนั้นเพียบ แต่พอมาเป็น Cat Radio ได้แค่ 2 ปี คนเหล่านั้นหายไปหมดแล้ว ซึ่งตอนแรกแปลกใจเว้ยว่า เขาหายไปไหน ทำไมไม่มาอยู่เชียร์ ตอนเนี้ยการตอบคำถามเรื่องนี้มันเหมือนการไขปริศนาที่เกิดขึ้นว่า การเติบโตของคนมันเกิดขึ้น พอถึงจุดนึงเขาเลิกฟังวิทยุ ไปทำงานเลี้ยงลูก ใช้ชีวิตในอีกด้านนึงไป โดยที่นาน ทีเขาอาจจะตามข่าวสารบ้าง อย่างล่าสุดเราเองได้มีโอกาสไปจังหวัดลำปาง ช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมามีเด็กมาถามว่า ไม่ได้จัดรายการ Fat Radio นานรึยัง คิดเอาละกันว่า บางคนมันหายไปนานขนาดไหน เพราะฉะนั้นการที่เขาจะหายไป เราไม่โกรธกัน ตอนนี้เข้าใจได้แล้วว่ามันเป็นธรรมชาติของชีวิตที่ต้องแยกย้ายหายกันไป

ความฝันตอนนี้ของวงดนตรีภูมิจิต

บอม: จริง อัลบั้มนี้เสร็จคือประสบความสำเร็จแล้ว ในแง่ของลูกชายประจำบ้านหลังนี้

แม็กถือว่าใช่เลย ด้วยวิถีชีวิตอันยุ่งของแต่ละคนด้วยแล้ว ทำให้มันเสร็จได้ก็เป็นชัยชนะเล็ก

กานต์: มันมีคำนึงเกิดขึ้นในหัวบ่อยมากนะว่าแบบ เมื่อไรจะเสร็จ เฮ้ยมันยากเย็นอะไรขนาดนั้น นี่ขนาดเลยช่วงตอนทะเลาะกันไปแล้วด้วย กว่าจะนัดเจอกันได้มันนานมาก เหมือนพูดคำว่าเดี๋ยวปีนี้จะเสร็จมา 4 ครั้งแล้ว

แม็กความเหี้ยของมันคือมีเฟซบุ๊กเด้งขึ้นมาเว้ยว่าวันนี้เมื่อ 3 ปีที่แล้ว ตอนปี 2015 พิมพ์ไว้ว่าปีนี้เจอกันแน่เป็นภาพบอมอัดเบสอยู่ แต่ปีนี้ 2018 แล้วมันคือความตลกที่มันยาวนาน

พุฒิ: แต่มันเป็นเรื่องที่ดีนะ เพราะเพลงปี 2015 กับ 2018 เอาจริง แล้วมันคือโครงสร้างเดียวกัน แต่มันแปลกที่ปีนั้นเรากลับไม่อินเท่าตอนปีนี้ เหมือนปีนี้มันคือปีที่สุกง่อมกับชีวิตมาก ชีวิตเข้ากับเพลงพอดี เหมือนเขียนเพลงทั้งหมดไว้ล่วงหน้า แล้วเวลาจะทำให้ไปเจอเรื่องราวเหล่านั้นเอง อย่างตอนที่เขียนเพลง ชีพจร เมื่อ 5 ปีที่แล้วก็ไม่ได้อินเท่ากับวันนี้

กานต์: เหมือนด้วยการที่อัลบั้มมันกินเวลามานานมาก ค่อย มาค้นพบว่า ถ้าทำเสร็จเมื่อ 5 ปีที่แล้ว เพลงทั้งหมดมันอาจจะไม่มีบทสรุปก็ได้นะ เหมือนเล่าเรื่องมาถึงองก์ที่ 2 ของอัลบั้มแล้วจบ เพราะชีวิต พุฒิ มันถึงแค่ตรงนั้น แต่พอทำมานานมันเลยเกิดเพลงท้าย ในอัลบั้มขึ้น สรุปภาพรวมเป็นองก์ที่ 4 องก์จบได้อย่างสวยงาม คือ ถ้าไม่ทำนานขนาดนี้คงไม่มีเพลงถึงตรงนี้แล้ว

%e0%b8%a0%e0%b8%b9%e0%b8%a1%e0%b8%b4%e0%b8%88%e0%b8%b4%e0%b8%95-8

การทำงานในชีวิตกับการทำเพลง เป็นอุปสรรคมากน้อยขนาดไหน

กานต์: ที่สุดเลย เจอกันยากมาก

แม็ก: มันคือจุดที่ชีวิตเราอยู่ตรงกลางเนี่ยล่ะครับ อย่างเพลงภูมิจิตเมื่อไรจะเสร็จวะ แต่อีกมุมนึงเราก็ต้องทำเพลงโฆษณาให้มีตังค์ มันจะดึงกันอยู่แบบนี้ตลอด ซึ่งก็พยายามทำให้มันเสร็จจนได้

ชีวิตคนในวงภูมิจิตในใครมีเวลาว่างน้อยสุด

กานต์: พุฒิกับแม็กเลย

พุฒิ: ใช่กูเหรอ

กานต์ทุกวันนี้มึงอยู่ระยองถึง 5 ทุ่ม บางวันก็อยู่ชลบุรี

แม็ก: มันจะยากกันไปโดยปริยาย อย่างชีวิต พุฒิ จะว่างกลางคืนไม่ว่างกลางวัน ตัวเราเองว่างกลางวันไม่ว่างกลางคืน บางทีอยู่กับลูกเมียก็ไม่อยากจะออกไปไหนแล้ว มันดึงกันอยู่แบบนี้ล่ะ เพราะฉะนั้นการที่จะเจอกัน เราจะไปได้ต้องวางแผนกัน มันกลายเป็นคนที่ตามตัวยากสองคนเลย

พุฒิอย่างวันนี้ลางานมานะ

กานต์เหมือนในวัยนี้อ่ะ เขาไม่มาทำอะไรสองอย่างกันแล้ว เขาทำอย่างเดียว ถ้าเป็นวัยรุ่นยังทำได้อยู่นะเหมือนตำแหน่งมันยังไม่ได้ใหญ่มาก ความรับผิดชอบมันยังน้อย เมื่อก่อนสบายมาก นัดเจอกันอยู่กันได้ยาว นี่ไม่ได้แล้วทุกวินาทีมีค่า เวลามีค่าขึ้นเยอะมาก ทำให้เจอกันยาก อัลบั้มเลยช้ามาก จริง บางเพลงถ้าเจอกันแปปเดียวก็เกิดแล้วนะ ถ้าเจอกันมากกว่านี้หน่อย แม่งเสร็จตั้งแต่ 2 ปีที่แล้ว

ชีวิตวัยกลางคนกิจกรรมอื่น ทำอะไรบ้าง

กานต์: ของเราหลัก ทำงาน เลี้ยงลูก วันหยุดใช้เวลากับลูกให้มากที่สุด วันธรรมดาตามนี้

แม็กของเราพอพูดมาแบบเนี่ย แอบสะเทือนใจ เพิ่งมาพบว่า เร็ว นี้ว่า เราไม่มีวันหยุดให้ตัวเอง ซึ่งการจะสร้างวันหยุดให้ตัวเองก็อาจจะทำไม่ได้ เพราะการที่เป็นฟรีแลนซ์ด้วยบางทีให้แก้งานก็เลยไม่ได้หยุด ทำให้ต้องสร้างโมเดลใหม่ขึ้นมาเป็นโมเดลของการที่พูดคำว่า ‘Everyday is holiday’

พุฒิ: ช่วงสงกรานต์มึงพิมพ์ตลอดนะเรื่องนี้

แม็ก: เออใช่ ถ้าตัดเรื่องวันหยุดออกไปทุกวันคือวันทำงาน เราจะไร้เทียมทาน จุดเริ่มต้นเรื่องนี้มันเริ่มจากมีผู้ชายคนนึงมันชื่อ ไฟซาล อยู่แถวพระประแดงเนี่ยล่ะเป็นคนตุรกีทำอาชีพขายปลาแซลมอน ยุคนึงถ้าใครจำได้ทุกคนจะขายปลาแซลมอนกันเยอะมากไอ้ ไฟซาล เนี่ยล่ะเป็นหนึ่งในเบื้องหลังการเอากระแสมาเลย มันเป็นคนหัวหมอเอาแซลมอนมาขาย มันพูดให้ฟังว่าผมไม่มีวันหยุดหรอก everyday is holiday’ เราก็ถามมันว่ายังไงเหรอ มันบอกว่า นายต้องมีเวลาหยุดของตัวเองสิ เวลาที่จะไม่ทำงานเลย อาทิเช่นอย่างผม ตอนเช้าตั้งแต่ 8 โมงถึงเที่ยงไม่ทำงานเลย ไปเริ่มงานตอนบ่ายโมงถึงห้าโมงเย็นจะมีเวลาเข้มสุด ไม่ดูไลน์ไม่ทำอะไรทำแต่งาน ซึ่งหลัง 5 โมงก็ทำตัวเปื่อยสุด ไปนะ นอกจากว่า จะไปซ้อมดนตรีกับภูมิจิตก็อีกเรื่องนึง ถ้าเวลาปกติจะลูปนี้ตลอด แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นคือ เราไม่ต้องการวันหยุดเพราะ everyday is holiday ไอ้ ไฟซาล เนี่ยแม่งได้ให้ทัศนะไว้น่าสนใจ เราลองแล้วมันเวิร์ก เช้าดูหนังยังได้ หลังห้าโมงมีเวลาไปวิ่งเล่นกับลูกด้วยแบบนี้

กานต์: แต่มันทำไม่ได้ทุกคนนะ อย่าง พุฒิ เนี่ยมีงานในระบบยิ่งยาก

แม็ก: โมเดลของเราจะเหมาะกับคนที่สถาปนาวันหยุดไม่ได้ ต้องใช้โมเดลนี้ เราใช้อยู่แล้วเวิร์ก

บอม: ของเราทำเงินกับทำฝันไปด้วยกัน ทุกอย่างมันคือสิ่งที่ชอบและรักมันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นวาดการ์ตูนทำของเล่นหรือว่าแม้แต่อาชีพหลักที่เป็นแอดมินเพจก็มาจากการชอบเล่นเฟซบุ๊กดูข่าวต่าง ไป เราบาลานซ์งานกับฝันได้ลงตัว ถือว่าตัวเองโชคดีตรงนี้ด้วยไม่ต้องใช้ชีวิตดุเดือดมาก

พุฒิ: ชีวิตเราถ้าไม่มีดนตรีชีวิตจะลงล็อกมาก วันจันทร์ถึงศุกร์ทำงานเต็มที่ ตื่น 7 โมง งานของเราจะเสร็จ 3-4 ทุ่มทุกวัน นอนเที่ยงคืน นอนเวลานี้ประจำตลอด งานมันค่อนข้างเยอะมาก มีโอทีตลอด มีทุกวันเป็นปี ช่วงกลางคืนหรือเสาร์อาทิตย์ที่นัดกับเพื่อน วันนั้นก็ค่อยไม่ทำโอที เสาร์อาทิตย์ เราจะมีสี่ลูปที่ต้องทำ 1.อยู่กับแฟน 2.อยู่กับที่บ้าน 3.อยู่กับวง 4.อยู่กับ podcast ตอนนี้จะเฉลี่ยเวลากันไป มันจะเหนื่อย หน่อย ครอบครัวก็เป็นช่วงที่ยาก มั้ง แม่เป็นอัลไซเมอร์ พ่อต้นปีผ่าตัดมะเร็ง เขามีเราเป็นพลังใจในการมีชีวิตต่อ รอทุกสัปดาห์เพื่อเจอเรา อันนี้ไม่ใช่แค่เรื่องครอบครัวนะทั้งเแฟนและวงด้วย มันเลยแบบเป็นช่วงเวลาที่เหนื่อยพอสมควรเลย เลิกงาน 3 ทุ่ม ไปซ้อมดนตรีเสร็จ ตี 1 กลับบ้านตีสอง นอนตื่นมาเช้าทำงาน อีกวันอัด podcast เสร็จดึกอีก มันจะมีจังหวะชีวิตที่มันเยอะพอสมควร

กานต์: กูเข้าใจมึงอย่างของกูจะมีวันนี้กลุ่มนี้ชวนแดกเหล้า อีกกลุ่มนึงพอมันครบรอบมามันจะวนกลับมาอีกแล้ว ได้เวลาเจอกันอีกรอบแล้วเพื่อนเป็นลูปเดิม

พุฒิ: มีคนถามแบบใช้ชีวิตแบบนี้ไม่เหนื่อยเหรอ เราอยากทำมันให้ได้อ่ะ เราไม่สามารถทิ้งภูมิจิตไว้กลางทางได้ ไม่สามารถทิ้งครอบครัว ทิ้งเงินไว้กลางทางได้ ไม่สามารถทิ้งแฟนไว้กลางทางได้

แม็กซึ่งกลับกันถ้าไม่ใช่คนบ้าอย่างพวกเราเนี่ย มันจะเป็นลักษณะแบบเลิกทำวงเถอะไปทำตามความฝันที่มันจับต้องได้ดีกว่า ไปเป็นวิศวกรธรรมดาไม่เหนื่อยด้วย แต่งงานใช้ชีวิตปกติกันไป อย่างของเราที่มันดูทำอะไรเยอะ เพราะเพื่อนยังต้องการกันอยู่ไง

พุฒิ: จริง ถ้าจะเลิกข้ออ้างมันเต็มไปหมด สารพัดอะ เพราะเราจะไม่เลิกไงเราจะทำมันให้ได้

อยากบอกอะไรแฟนเพลงรุ่นใหม่ที่เพิ่งมาฟังวงภูมิจิตบ้าง

แม็ก: ต่อหน้าท่านขณะนี้คือวงดนตรีภูมิจิต

กานต์: สำหรับเรา นึกย้อนไปตอนทำอัลบั้มแรก ตอนนั้นไม่มีใครรู้จักเป็นศูนย์ แล้วมีเพลงในมืออยู่ 2-3 เพลงด้วยซ้ำ มี มากมายก่ายกอง , รอผล Ent วิธีที่ง่ายที่สุดคือ ทุกงาน เล่นให้เต็มที่ไม่ว่างานจะเล็กแค่ไหน เราเคยเล่นงานที่คนดูแค่ 2 คนก็เล่นมาแล้ว มีหมาดูด้วยนะ แต่เราหวังทุกโชว์ คนดูเขาไม่รู้จักเราหรอก แต่คิดเสมอว่า จะได้แฟนเพลงหนึ่งในนั้นกลับมา ได้กลับมาสองคนก็ดีใจแล้ว อัลบั้มนี้จะกลับไปใช้แบบนั้นเหมือนเดิม ทุกครั้งจะเล่นให้ดีที่สุด อย่างเพลงตั้งใจทำกันมา เรารู้อยู่แล้ว มันต้องเจอทั้งแฟนเพลงคนใหม่และแฟนเพลงคนเก่าที่เลิกฟังเพลงไปแล้ว มันต้องมีแน่นอน แต่หน้าที่ของพวกเราก็จะทำเพลงที่เราชอบออกมาต่อไป หวังว่าเพลงนี้มันอาจจะไปกระทบใจใครบ้างไม่มากก็น้อย

พุฒิ: ขอบคุณมาก รสนิยมดีมาก จริง แล้ว เราคิดว่า เราพยายามหาแฟนเพลงใหม่ตลอดเวลาอยู่แล้ว ดังนั้น มันจึงเป็นเรื่องท้าทายนะที่จะมีแฟนเพลงใหม่มาฟังเพลงเรื่อย แล้วที่สำคัญแฟนเพลงใหม่ จำนวนมากเขาน่าจะอายุน้อยกว่าเรา ข้อดีของเขาคือ การเจอแฟนเพลงใหม่ มันทำให้เราเห็นตัวเองในอดีตเว้ย การเห็นตัวเองในอดีตมันสำคัญมาก มันกำลังบอกว่า จริง เราควรจะเป็นผู้ใหญ่แบบไหน ควรจะโตไปเป็นแบบไหน ต้องขอบคุณมาก ที่ยังฟังเพลงของพวกเรากันอยู่ มันทำให้เราเห็นตัวเองมากขึ้นจากการเป็นแฟนเพลงของคุณ

บอมขอบคุณมากครับ

แม็ก: ขอต้อนรับเข้าสู่ภูมิจิต family ครับ เวลามาดูคอนเสิร์ตพวกเราเนี่ยก็จะมีเพื่อนเยอะนะครับ ทุกคนสามารถเป็นเพื่อนกันได้ เวลาจัดมีทติ้งก็น่าสนุกนะครับ อยากบอกว่า มาเป็นแฟนเพลงภูมิจิตด้วยกันเถอะ ที่ผ่านมาเราเองพยายามสร้างชุมชน ผมมองว่า วิธีนี้แข็งแรงนะ ยกตัวอย่างวง Miraculous ในเชิงสื่ออาจจะไม่เคยได้ยินเท่าไร แต่วงนี้เวลาไปเล่นร้านไหนแม่งแน่นร้านทุกที คนแน่นร้าน ที่สำคัญแฟนเพลงเขารู้จักกันอีกตะหาก กลุ่มแฟนเพลงของเขาที่จังหวัดสมุทรปราการรู้จักกับอีกกลุ่มนึงที่อยู่จังหวัดนครราชสีมา

แล้วพอวงนี้ไปเล่นนครราชสีมา พวกสมุทรปราการก็ตามไปดู แล้วพอวงไปเล่นที่สมุทรปราการ ปรากฏว่านครราชสีมาก็ตามมาบ้าง มันเหนียวแน่นมาก ไปไหนไปกัน พูดง่าย วงนี้เวลาไปเล่นร้านไหนคนเยอะตลอด ร้านแฮปปี้เกิดการจ้างงานไปเรื่อย โดยปริยาย มันจึงเป็นโมเดลแบบว่า ข้าวเกรียบรวยเพื่อน พยายามสร้างโมเดลนี้อยู่เช่นกัน เพราะฉะนั้นขอต้อนรับเข้าสู่สมาคมแก็งภูมิจิตหวังว่ามาดูแล้วทุกคนจะเป็นเพื่อนกัน

สุดท้ายนี้ฝากอะไรกับแฟนเพลงหน่อย

พุฒิอย่างแรกครับต้องฟังเพลงเราในทุกที่ที่ฟังได้ ไม่ว่าจะเป็นดูเล่นสด ฟังในฟังใจ ใน Joox ใน Spotify หรือที่ไหนก็ตาม ซึ่งนอกจากฟังในนั้นแล้ว ก็อยากจะชวนทุกคนมาเจอกัน เราคิดว่า เรามีพลังมากพอที่จะมอบให้ทุกคนที่มาดูได้ ถ้าคุณรู้สึกเหนื่อยอยากมีพลังหรืออยากมีพลังมากกว่าเดิมไปส่งต่อให้คนอื่น เราอยากให้มาดู live อยากให้ทุกคนส่งต่อพลังไปเรื่อย อีกเรื่องคือ เราไม่แน่ใจว่าอัลบั้มนี้มันอาจจะอายุมากเกินไปสำหรับแฟนฟังใจรึเปล่า อันนี้เป็นเรื่องที่เราตั้งคำถามกับตัวเองไว้เหมือนกัน แต่หวังว่า แม้ว่าวันนี้แฟน ในฟังใจอาจจะไม่อิน แต่เราอยากจะตั้งอัลบั้มนี้เป็นชุดความรู้ไว้ตรงกลาง เมื่อวันนึงชีวิตถึงจุดเดียวกันก็อยากให้นึกถึงอัลบั้มเรา แล้วกลับมาฟังเผื่อว่า อัลบั้มเราจะทำให้คุณก้าวไปในอีกจุดของชีวิต

แม็ก: คงเหมือนประมาณตอนฟังอัลบั้ม Love me Love My Life ของ Moderndog ด้วยความที่คาดหวังจะเจอเพลงแบบ ติ๋ม มัน โดด เราไปเจออะไรก็ไม่รู้ เวตาล, อีสานคลาสสิก จำได้ว่าไม่ฟังนะ ตอนไปซื้อเทปวันแรก เอาเก็บ แต่จะบอกว่าพอเวลาผ่านไปกลับมาฟังแบบโครตชอบ เพราะฉะนั้นเราว่ามันมีโอกาสเหมือนกันที่คุณจะไม่อินอัลบั้มนี้ในตอนนี้ไม่เป็นไรนะครับ เก็บไว้อินในอีก 10 ปีข้างหน้ายังไม่สาย

บอมแต่ในเมื่อรู้ว่าใน 10 ปีข้างหน้ายังไม่สาย ก็อินไปก่อนเลยได้นะจะได้อินเทรนด์ก่อน ไม่อยากเอ้าท์ฟังก่อน อีก 10 ปีรู้เรื่องแน่นอน

กานต์: ถ้าได้ฟังเพลงวงเราแล้วก็ขอบคุณมาก ตอนนี้เพลงมันเยอะมากเต็มไปหมด ทุกอย่างมันเร็วมาก คุณแวะมาฟังเพลงเรา ขอบคุณมาก ถ้ามีโอกาสออกมาเจอกันเถอะ

หลังจากการสัมภาษณ์นี้สิ้นสุดลงคำถามที่ผมตั้งไว้เมื่อ 4 ปีก่อนก็ได้รับคำตอบอย่างชัดเจนและครบถ้วน บทสัมภาษณ์ภูมิจิตในครั้งนี้ทำให้ผมได้ค้นพบว่า แท้จริงแล้วช่วงเวลาก็เป็นสิ่งสำคัญในการทำงานเพลงเช่นกัน หากพวกเขาตัดสินใจออกอัลบั้มนี้เมื่อ 4 ปีที่แล้ว ผมไม่รู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น วุฒิภาวะที่เกิดขึ้นรวมไปถึงโลกที่พวกเขาไปเผชิญจะเป็นเช่นไร อาจจะไม่ใช่เพลงที่นิ่งสงบและเข้าใจโลกแบบวันนี้ แต่นั้นแหละครับวันนี้พวกเขากลับมาแล้ว

สำหรับผมก็เหมือนไวน์รสชาติดี ที่ถูกบ่มไว้ในที่ที่ปลอดภัย เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ทุกคนจะได้ชิมและลิ้มรสมันว่า รสชาติมันอร่อยมากจนหาคำใดมาบรรยายไม่ได้ วงดนตรีภูมิจิตก็เช่นกันครับ อัลบั้มนี้ของพวกเขาต้องไม่ธรรมดาแน่ แด่ทุกชีวิตที่ต่อสู้เพื่อความฝันครับ / Midlife

%e0%b8%a0%e0%b8%b9%e0%b8%a1%e0%b8%b4%e0%b8%88%e0%b8%b4%e0%b8%95-2

Facebook Comments

Next:


Montipa Virojpan

อิ๊ก เนิร์ดดนตรีที่เพิ่งกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนตอนอายุ 25 ชอบเดินเร็ว นอกจากขนมปังกับกาแฟดำแล้วก็สามารถกินไอศกรีมกับคราฟต์เบียร์แทนมื้อเช้าได้