Article Interview

PONR ปลายทางของหลากแนวดนตรีทีเดินทางมาไกลเกินกว่าจะถอยกลับ

  • Writer: Montipa Virojpan
  • Photographer: Varintorn Pormajunya

มาทำความรู้จักกับศิลปินกลุ่มใหม่ที่หากใครคลุกคลีในแวดวงฮิปฮอปอันเดอร์กราวด์มาเป็นอย่างดีน่าจะคุ้นเคยกับพวกเขา PONR หรือ Point of No Return นอกจากพวกเขาจะเป็นวงที่ขึ้นโชว์พร้อมกับ ฟักกลิ้ง ฮีโร่ แล้ว ตอนนี้ PONR ก็มีเพลงชื่อเดียวกับวงปล่อยมาให้ฟังแล้วนะ
สมาชิก
Jira (โป) MC
Glawjuke (จุก) MC
Koreelaz (หนุ่ม) Vocal
Jeen (จีน) Vocal
Teantae (เต้) DJ
1
 

โปรเจกต์นี้เกิดขึ้นมาได้ยังไง

โป: เป็นโปรเจกต์ที่เกิดขึ้นมาจากความบังเอิญครับ พวกผมเป็น back up ให้กอล์ฟ ฟักกลิ้ง ฮีโร่ แล้วคิดว่าน่าจะมีเพลงไปโชว์ ก็อยากทำเพลงที่ร่วมสมัยหน่อย เมื่อก่อนจะทำ pure hiphop กัน
 
เต้: อย่างพี่โปหรือพี่จุกเขาทำวงฮิปฮอปมาตั้งแต่สมัย ตระกูล 662 หรือ AYM ยุคแรก ๆ แรปมากับพี่กอล์ฟนานแล้ว ทำอัลบั้ม feat. มาเยอะมาก (โป: เกาะเขากินน่ะครับ) 
หนุ่ม: ที่เราตั้ง PONR ขึ้นมาเพราะแต่ละคนมีสกิลต่างกัน จิระกับเกล้าจุกเขาก็เป็นฮิปฮอปใช่ไหมครับ ผมเนี่ยจะสายร็อก สายเมทัลเลยแหละ ร้องอยู่วง Phongfod จีนก็จะเป็นดีว่าร้องเพลงสวย ๆ สไตล์ Ariana Grande เต้ก็เป็นดีเจสาย scratching เปิดเพลงได้ทุกแนวล่ะครับ แล้วเขาก็เหมือนเอาเอกลักษณ์ของแต่ละคนมารวมกัน แล้วกลายมาเป็น PONR เหมือนเราทำเพลงไม่มีขีดจำกัด บางเพลงอาจจะมีว้าก บางเพลงมี r&b แล้วมีฮิปฮอปหนัก ๆ แบบแทร็ปเข้าไปแทรก เราไม่ได้มีอะไรตายตัวว่าต้องเป็น EDM สนุก ๆ อย่างเดียว แต่มีความโหดด้วย เพราะผมเห็นว่าในยุคสมัยนี้ พวกแทร็ปที่ไปเล่นคอนเสิร์ต เขาจะมี circle pit เหมือนร็อก เป็นพวกบ้าคลั่ง เต้นมัน ๆ เหมือนผสมกันไป แล้วแนวของเรามันดูคาดเดาไม่ได้ครับ

ตอนนี้ใคร ๆ ก็ทำเพลงแทร็ป

เต้: ปาร์ตี้สมัยนี้มันมีแร็ปมาอยู่กับแทร็ป ที่อาจจะไม่ใช่ EDM ขนาดนั้น แล้วที่เราเลือกทำแทร็ปเพราะแทร็ปมันได้อารมณ์เดือด ๆ ดี เข้ากับคาแร็กเตอร์พวกเรา 
โป: ตอนนี้น่าจะ 90% ของฮิปฮอปยุคนี้ที่เป็นแทร็ป มันมีทั้งแทร็ปฮิปฮอป แทร็ปร็อก แทร็ป EDM ซึ่งเพลงของเรามันยืนพื้นจากดนตรี EDM แต่มันจะมีกรูฟ มีจังหวะร็อก มี rhythm ที่ดุกว่า แล้วก็โยกได้ พอฟังแล้วมันเหมือนดนตรีที่ขึ้นไปอยู่ตามงานเฟสติวัล พวก Yellow Claw หรือ Flosstradamus
 
จุก: แทร็ปมันไปเกือบทุกแนวแล้ว อย่างอันนี้เราเอาความชอบแต่ละคนมาทำเป็นแทร็ป ถ้าถามว่าแนวอะไรก็เป็นแทร็ปแบบ PONR ละกัน
 
โป: ที่พูดมายืดยาวทั้งหมดสรุปสั้น ๆ แล้วกันครับ อะไรที่ทำเงินได้พวกผมทำหมด (หัวเราะ)
2

แล้วตอนนี้เริ่มทำเงินหรือยัง

โป: มันก็เริ่มทำเงินแล้วครับ แต่ก็ยังไม่ค่อยพอกิน (หัวเราะ)
 
หนุ่ม: เราก็ทำไปเรื่อย ๆ แหละครับ พยายามไม่ไปตามคนอื่นเขา ให้เป็นตัวเราที่สุด แล้วอยากทำให้ทุกคนรู้สึกว่ามันแปลกใหม่ในเมืองไทยนะ คนอาจจะไม่เข้าใจว่าอยู่ดี ๆ มีว้ากได้ไงวะ แต่บีทกับว้ากมาอยู่ด้วยกันบางทีก็ลงตัวเฉย โหด ๆ อยู่ดี ๆ ก็ใส่ r&b โซล ดนตรีมันไม่มีขีดจำกัด ผมเชื่อว่า PONR ที่รวมกันมามันถอยหลังกลับไปไม่ได้แล้ว ทำมาขนาดนี้ก็ต้องไปให้สุด

ใช้เวลาทำเพลงนี้นานไหม

โป: นานครับเพราะตอนแรกผมบอกไอเดียกับกอล์ฟ ฟักกลิ้ง ก่อน เขาเป็น executive producer ให้กับวง แล้วเขาก็บอกว่าเออ น่าสนใจ เดี๋ยวลองเรียกโปรดิวเซอร์ คือ UrBoy TJ มาคุยว่าอยากได้ประมาณนี้ก็คุยเรื่องมู้ด reference เสร็จปุ๊บ ในช่วงระหว่างที่ทำกันตอนนั้น หนุ่มกับจีนก็เข้ามาในทีมพอดี แล้วกอล์ฟก็รู้สึกว่าแบบนี้ก็ทำไปเป็นวงเลยดีกว่า เลยเบลนด์เอาทุกอย่างของแต่ละคนมารวมกัน ใช้เวลาหลายเดือนอยู่ แต่ตอนอัดคือวันเดียวเสร็จ
 
จีน: ตอนแรกที่คุยกันเสร็จก็มีบีทมา เราก็ทิ้งเวลามาช่วงนึง ประมาณ 4-5 เดือนได้ แล้วเราค่อยเข้ามาจบเพลง เสร็จที่ห้องอัดของ TJ วันนั้นเลย
 
จุก: บอกให้เอาบีทไปนั่งฟังคิดหาเนื้อร้องกัน สุดท้ายมานั่งเขียนหน้าห้อง
 
โป: วันนั้นก็มีครูแอ้ม เป็นคนที่เขียนคอรัสของเพลงนี้มาร่วมงานด้วยกัน ซิงเกิ้ลใหม่ที่กำลังทำกันอยู่ก็ได้ครูแอ้มมาช่วย เขาเคยทำในเพลง คิดดัง ของ TJ มาแล้ว
 
เต้: ครูแอ้มเขาทำให้กามิกาเซ่มาก่อน แล้วช่วงนี้ก็ทำงานให้หลายทีมมาก ช่วง 13 ตุลาคมปีที่แล้ว เขาก็เป็นคนที่เอาคำกลอนของ CU Band มาเขียนเป็นเพลงวันเดียวเสร็จ เขาทำเนื้อเพลงได้กลมกล่อมมาก
4

ความยากที่เจอในการทำงาน

ต้: ยากในการเซ็นเซอร์คำ เพราะเราไม่อยากเซ็นเซอร์คำ (หัวเราะ) มันก็เหมือนคำพูดทั่วไปเพราะเราก็ใช้กันบ่อย ถ้าให้อยู่ใน mainstream หรือวิทยุเขาก็ต้องการอะไรที่มันซอฟต์ ๆ ฟังได้ เปิดได้ตลอดเวลา แต่มันเหมือนเป็นอีกโลกที่คุณอยู่อยู่แล้ว ขาข้างนึงคุณอยู่ในนั้น หรือบางทีเด็ก ๆ อยากสนุกก็เปิด EDM เมืองนอก แทร็ปเมืองนอกที่คำหยาบเปิดกันเต็มวิทยุเลย แต่ของคนไทยนี่หยาบมากไม่ได้ เราก็เลยใช้คำที่พูดปกติในชีวิตประจำวัน แต่จะไม่ใส่เยอะ บางครั้งมันก็จำเป็นต้องใช้เพราะเป็นเพลงที่ดุเดือด มันไม่ใช่เพลงรักงุ้งงิ้ง 
 
จีน: ในขั้นตอนการทำงานพี่เขาก็พยายามจะกรองคำมาแล้วในระดับนึง ก็เปิดในวิทยุได้นิดหน่อย แต่ที่ติดต่อไปพวกรายการทีวีที่ออกอากาศจะไม่ค่อยได้
 
โป: ในการใช้คำหยาบจริง ๆ มันก็มีศิลปะในตัวมันประมาณนึง ไม่ได้ใช้พร่ำเพื่อ ถ้าไม่ผ่านการกรองมันก็ดูไม่มีคลาส ดูห่ามมากกว่า
หนุ่ม: ฮิปฮอปที่เราใช้มันเป็นเรื่องปกติ มันอยู่ในกรอบของมัน ถ้าเป็นแร็ปแบทเทิลมันก็อยู่ที่ rhyme ของแต่ละคน อยู่ที่สไตล์
 
เต้: เวลาเราด่าตรง ๆ มันก็เจ็บแหละ แต่ถ้าด่าอ้อม ๆ แบบที่คิดมาแล้ว คนฟังข้างนอกก็จะคิดว่า คิดได้ไงเนี่ย คนโดนแบทเทิลการจิกกัดในรูปแบบนี้คือแบบ โห มึงสำนวนว่ะ
หนุ่ม: อีกความยากคือ PONR ก็เป็นเพลงแรกที่เราทำ เหมือนเราพยายามเอาเพลงของทุกคนมารวมกัน แล้วโปรดิวเซอร์อย่างกอล์ฟ  TJ หรือ ครูแอ้ม ก็ยังไม่เข้าใจเรา 100% ต้องมานั่งคุยกันก่อนประมาณชั่วโมงนึงกว่าจะได้ขึ้นบีท ขึ้นอะไร จูนกันว่าแต่ละคนเป็นยังไง มีคาแร็กเตอร์ยังไง แล้วก็ต้องทำให้ทุกคนมีตัวตนชัดเจนที่สุดในเพลงนี้ 
 
เต้: เพลงนี้เราต้องการนำเสนอทุกคนให้คนรู้จัก การที่เอาทางที่สุดโต่งของแต่ละคนมาเจอกันตรงกลางก็อยากทำอะไรให้ทุกคนฟังได้ เข้าถึงง่าย คนอยู่ในผับปาร์ตี้ฟังได้ คนอยู่ที่บ้านก็เปิดฟังได้ ไม่ใช่เอะอะจะเป็นแร็ปมีเนื้อหาที่ลึก ๆ หรือร้องเป็นเมทัลซึ่งเป็นสิ่งที่คนไม่ค่อยเข้าถึง มันก็กลายเป็นว่าจะสื่อยังไงให้คนในยุคนี้เข้าถึง ตลาดการฟังเพลงยุคนี้มันฟังเป็นเทรนด์เดียวกันหมดเลย เมืองไทยก็ฟังแต่เพลงรัก อกหัก ไม่งั้นคุณก็ต้องไปอยู่ตลาดนอก 
 
โป: คนผัวหายก็ฟังได้ (เพลง PONR อยู่ในเพลย์ลิสต์ ผัวไม่อยู่ ของฟังใจ)

เพลง PONR ต้องการจะสื่อว่าอะไร

เต้: ในแง่ตัวเพลงถ้าพูดเรื่องทั่วไป จะเกี่ยวกับความรัก ดึงเรื่องชีวิตว่าจะเซ็งไปทำไม ลุยไปดีกว่า แต่ในความเป็น PONR จริง ๆ เนี่ย
 
โป: ที่ผมคิดคือเราตื่นมาแล้วรู้สึกว่าเรามาถึงตรงนี้ได้ยังไง ความรักกูมีปัญหาขนาดนี้ได้ยังไงวะ กูเคยรักกันด้วยหรอ วันแรกที่กูเจอกัน วันที่กูคุยกันตั้งแต่สองทุ่มยันตีสี่ คนทุกวันนี้มันอยู่ในจุดที่กูจะเลิกก็ไม่ได้ จะถอยหลังกลับก็ไม่ได้ มันอยู่ในจุดอะไรสักอย่าง หรือเรื่องชีวิต กูมาทำงานที่นี่ได้ไงวะ กูตื่นมาโดยที่แบบ แต่งตัว ออกไป ขึ้นรถไฟฟ้าแล้วหรอ เรื่องการเมืองที่บ้านเมืองเกิดมาเป็นสองฝั่งได้ยังไงวะ เกิดอะไรขึ้น ทุกวันนี้ไม่มีใครรู้หรอกว่า ที่มันเป็นอย่างนี้มันเกิดมาจากอะไร จำไม่ได้แล้ว
 
หนุ่ม: มันเหมือนเอาความรู้สึกของแต่ละคนในวงมารวมกัน ทุกคนมีวงเป็นของตัวเองแล้วอยู่ดี ๆ ก็มาเป็น back up ให้กอล์ฟ ฟักกลิ้ง ฮีโร่ แล้วอยู่ดี ๆ ก็มาทำเพลง PONR เป็นวงด้วยกัน เรามาอยู่ในจุดนี้ได้ไง คือเราทำมาแล้ว เราก็ต้องไปต่อ มันก็เหมือนความรักที่… เราแม่ง เหมือนอยู่ดี ๆ ก็ cut off เอ้า กูอกหักแล้วหรอ ก็หันกลับไปไม่ได้แล้ว ต้องไปต่อ ใช้ชีวิตแบบสั่ว ๆ คือเอาธีมความรักมาใช้ เป็นการสื่อสารที่ไม่เป็นของใครสักคนนึง ก็เลยมาเป็นแบบนี้
3

แล้วการแบ่งท่อนร้อง มีวิธีเลือกจากอะไร

โป: พวกนี้มันง่ายมากครับ เบรกกลาง คอรัส มี vocal สองคน จีนกับหนุ่มจะรับผิดชอบท่อนที่เป็นเนื้อร้องไป ส่วนท่อนที่มีเนื้อหาแร็ปก็เป็นผมกับจุก แต่ทุกอย่างจะมา brainstorm กัน เต้จะช่วยดูจังหวะ tempo ดู rhythm ของเพลง

โปรเจกต์ส่วนตัวของแต่ละคนก็ยังทำต่อใช่ไหม

โป: ทำครับ อย่างล่าสุดก็ เดี๋ยวจุกกับหนุ่มเขาเป็นอีกทีมที่ทำไซด์โปรเจกต์ชื่อ Gemini
 
หนุ่ม: คาแร็กเตอร์ก็จะหื่นกาม ๆ หน่อย เป็นเพลงแนวจีบสาว แต่ไม่ลามกหยาบคาย
 
จุก: พยายามใช้คำให้กำกวม ๆ ถ้าคน 18+ ก็จะรู้แน่ ๆ ว่าไอ้พวกนี้เป็นตัวอันตราย
 
โป: ของผมล่าสุดก็จะเป็นเต้ทำบีท แล้วผมแร็ป ก็เป็น 90s ฮิปฮอปสมัยก่อน ของจีนก็มีเพลงที่เสร็จไปแล้ว เป็นแทร็ป future bass ซึ่งเพลงพวกนี้มันอยู่ในโชว์ของ PONR และ ฟักกลิ้ง ฮีโร่หมดทุกโชว์ ทำเสร็จหมดแล้ว เพียงแต่ว่ายังไม่ได้ปล่อยออกมา

เร็ว ๆ นี้จะไปเล่นที่ไหน

จีน: งานใหญ่ก็มี Rap is Now รอบชิงชนะเลิศ เป็น opening act ให้ฟักกลิ้งฮีโร่ แล้วก็เป็นการเปิดตัวในฐานะ PONR ครั้งแรกด้วย
 
หนุ่ม: รอบนี้เหมือนเอาร็อกกับแร็ปมารวมกัน มีวง The Darkest Romance มาเป็น back up ให้ครับ

เพลงต่อไปจะออกมาเมื่อไหร่

โป: คราวนี้ก็เป็นแทร็ปฮิปฮอปที่สมัยใหม่มาก ๆ เนื้อหาก็เดือดดาล แล้วก็จะมี featuring กับ FIIXD ที่ทำเพลง เพียงเธอ
 
เต้: ตอนแรกคิดว่าเพลงต่อไปจะทำให้ catchy หน่อย แต่ก็จะพยายามจูนเข้ากับเด็กยุคใหม่ด้วย ก็พยายามจะดึงสิ่งที่ใช่ของแต่ละคนออกมา
 
หนุ่ม: ไป ๆ มา ๆ ก็กลับไปดาร์กโหมด เดือดเหมือนเดิม

จะกลับไปทำ old school กันบ้างไหม

เต้: มีครับ เพราะอย่างไซด์โปรเจกต์ผมก็ทำ old school เพียว ๆ เลย แต่ความ old school มันยากตรงที่ต้องการความ musical เยอะ ถ้าอย่างโปรดิวเซอร์สมัยก่อนไม่ดิบเลย อย่างที่เห็นเขาจะมีเสียงเปียโน ถ้าไม่ sampling ก็ต้องหาคนมาช่วยทางด้านความสวยงามของ r&b อย่างเพลงล่าสุดที่ผมทำกับจิระคือ ผมส่งไปมาสเตอร์ ดนตรีมีสองแทร็ค เขาถามว่าเอาจริงหรอพี่ ก็มีแค่เนี้ย แล้วใส่เสียงร้อง คือมันก็จะน้อยมาก ๆ ทุกอย่างมันอยู่ที่การร้อง ไม่ต้องให้บีทเฟี้ยวฟ้าวขนาดนั้น แต่ก็มีการเปลี่ยนบรรยากาศไปเรื่อย ๆ แต่มันมีส่วนผสมที่ลงตัวของ old school อยู่ ทำไมแร็ปถึงเกิด เพราะมันโชว์สกิลของแร็ปเปอร์ ตัวบีทมันช่วยส่งเสริมส่วนนึง

ได้ลองฟังพวก bedroom rapper ที่ส่งมาในฟังใจกันบ้างหรือเปล่า

เต้: ฟังครับ คือผมเป็นดีเจให้ Rap is Now ก็จะเจอว่ามีแร็ปเปอร์รุ่นใหม่เยอะมาก หลายคนก็มีของเยอะมาก สมัยเด็ก ๆ เราทำก็ไม่มีเวลา ไม่มีของมาทำเท่าพวกนี้ สมัยนี้แปปเดียวทำได้ละอัลบั้มสองอัลบั้ม มีเรื่อง มีเนื้อหาอะไรให้พูดเยอะแยะ หลาย ๆ คนก็ทำก็ไม่ได้แค่แหกปากโวยวายด่าทออย่างเดียว อย่างพวก Maiyarap โตขึ้น แรก ๆ เห็นก็ โอเค ฮิปฮอปแหละ หลัง ๆ มาเจอก็ดูโต หัดทำอย่างนู้นอย่างนี้นอกกรอบ หาเนื้อหามาใส่ พวกแร็ปเปอร์รุ่นใหม่ทำให้พวกรุ่นเก่า ๆ ตื่นตัวขึ้น ทำให้พัฒนาตัวเองแล้วก็พัฒนาวงการให้ดีขึ้นด้วย เหลือว่าคนทั่วไปจะมองแร็ปจากขนมหวานให้กลายเป็นจานหลักยังไง
5

อนาคตของวงการฮิปฮอปไทยจะเป็นยังไง

หนุ่ม: ผมมองว่าไปได้ดีนะ เด็ก ๆ มี passion กันเยอะในการทำเพลง ทำอะไรใหม่ ๆ ผมสนับสนุนนะ ถึงบางคนแรก ๆ จะทำออกมาไม่ค่อยดีแต่เขาก็พยายามทำจนพัฒนาไปได้เรื่อย ๆ อย่างยุคสมัยผมไม่ได้มีโอกาสขนาดนี้ ทำเพลงทีนึงต้องไปเข้าห้องอัด มานั่งทำบีท ของก็แพง แต่เดี๋ยวนี้สื่อทุกอย่างมันอำนวยหมด ของก็ไม่แพงเท่าสมัยก่อนก็มาทำเป็น home studio ได้ที่บ้าน บางวงฮิปฮอปที่เป็นเด็กรุ่นใหม่ ๆ ก็พัฒนาคุณภาพไปเรื่อย ๆ ผมว่าก็ไปได้ไกลครับถ้ายังไม่หยุดกันนะ
 
โป: ผมมองว่าจริง ๆ แล้วฮิปฮอปในไทยมันเดินไปเรื่อย ๆ ไม่ได้วิ่ง มันเคยวิ่งมาแล้วครั้งนึงตอนพวกยุค 90s แล้วมันก็เหนื่อยแล้วเลยกลับมาเดินใหม่ แต่จริง ๆ ทั้งไทยแล้วก็ในโลกนี้มันซึมอยู่ในทุกวัฒนธรรมของแฟชันและดนตรี จริง ๆ แฟชันยุคนี้อิงฮิปฮอปมาเยอะมากนะ
 
หนุ่ม: จริงครับ เพราะสายเมทัลร็อกก็แต่งตัวเหมือนฮิปฮอป คนจะเข้าใจผิดกันเยอะ ในมุมผม ถ้าผมเป็นเด็ก 90s เอง ผมก็จะไปเสพ 80s เด็ก 2000s ก็ไปเสพ 90s แล้วเอาแฟชันกับดนตรีมารวมกันหมด กางเกงขาบานที่เราเห็นทุกคนใส่ พวกเด็ก rave สมัยก่อนเขาก็ใส่กัน ทุกวันนี้ก็เห็นใส่
 
โป: แต่ถ้าถามว่ามันจะขึ้นมาเป็น mainstream แบบเมืองนอกได้ไหม ผมว่าในไทยน่าจะยากมาก เพราะเราโตมากับการฟังเพลงที่สามารถเข้าใจง่ายกว่า
 
เต้: มันก็เลยมีแร็ปที่ไป feat. กับป๊อป ทำเพลงกุ๊งกิ๊ง ใส ๆ ที่ออกตลาดทั่วไปได้ มันเป็นคัลเจอร์เมืองไทยที่ฟังเพลงรักอยู่แล้ว เพลงใหม่ ๆ เพลงที่ขึ้นชาร์ตแรก ๆ มันจะไม่ค่อยใช่แบบโหด ๆ เพลงฮิปฮอปส่วนใหญ่ก็จะไม่มีอะไรที่เรียลแบบชวนกันไปดูดกัญชา มันจะถูกเปลี่ยนคำทั้งหมดให้มาอยู่ในชีวิตวัยรุ่นใส ๆ แบบ เธอไปกินข้าวกันไหม แร็ป ฮิปฮอป เพลงนอกกระแสมันขึ้นมาได้ระดับนึง แต่มันจะอยู่ของมันแค่นี้ ช่องดาวเทียมทั้งหลายไม่สามารถแทน 3 7 ได้ แต่ก็ดีแหละ พอมันมีออนไลน์ ตลาดมันก็กว้างขึ้น
 
โป: จริง ๆ underground artists เขาก็สามารถทำรายได้จากยอดวิวของเขาอย่าง Illslick หรือ JSR เขาก็โตของเขาได้ มันมีแฟนเบสของเขา ที่อาจจะยังไม่ไปยืนตรงนั้นได้ ประเทศเราไข่แดงมันอยู่แค่นี้ ส่วนใหญ่ไปกินไข่ขาวมากกว่า เราไม่สามารถไป educate ฮิปฮอปมากกว่านี้เพราะสังคมการเติบโตของเรามันก็ไม่เหมือนเมืองนอก ถ้าลองมองว่า A$AP Rocky worldwide แล้ว แต่ถ้าไปเทียบกับ Justin Bieber มันก็คนละเรื่องกัน นั่นเขาก็ไปกินไข่ขาวในอีกครึ่งโลก

แล้วแนวดนตรีฮิปฮอปในอนาคตจะไปในทิศทางไหน

หนุ่ม: เมื่อก่อนเป็นฮิปฮอป r&b ใช่ไหม แล้วอยู่ดี ๆ ผมมาเจอ A$AP Rocky เนี่ย… กูฟังไม่รู้เรื่อง (หัวเราะ) อะไรวะเนี่ย เฮะ แฮะ ฮะ วุ้ว แล้วพอเราฟังมันไปเรื่อย ๆ ก็เก็ตละ โอเคนะ ผมเชื่อว่ายุคต่อไปอาจจะหนักกว่านี้
โป: ผมว่ามันเปลี่ยนไปตามสภาพสังคมมากกว่า เมื่อก่อนฮิปฮอปมันเกิดมาจากคนใช้แรงงานแล้วเขาระบายสิ่งที่อยู่ในยุคนั้น ๆ แต่เดี๋ยวนี้สังคมมันง่ายขึ้นแล้ว คนที่ทำฮิปฮอปสมัยใหม่ วัยรุ่น เขาพูดเรื่องปาร์ตี้ เซ็กซ์ เพราะชีวิตเขาไม่ได้ลำบากเท่าสมัยก่อน แต่ว่าการพรีเซนต์ แฟชันทุกสิบปีมันก็มีการวน อย่างยุคนี้ฮิปฮอปก็มีความเป็นกรันจ์ของสมัยก่อนอยู่เยอะมาก ตอนนี้วัฒนธรรมโลกมันเป็น rave grunge ยุค 90s กลับมา เด็กวัยรุ่นพยายามสร้างความเป็นปัจเจกของตัวเอง ไม่แน่ว่าในอนาคตฮิปฮอปอาจจะพูดเรื่องชีวิตหนักกว่านี้ก็ได้นะ ในโลกไม่มีน้ำแล้วว่ะ ต้องฆ่ากันเพื่อที่จะแย่งน้ำ เงินไม่มีค่า สิ่งที่มีค่าที่สุดคือทองเพราะระบบของสังคมมันล่มไปแล้ว อาจจะเป็นไปได้
 
เต้: เพราะมันก็อินสังคมมาตั้งแต่แรก ๆ แล้ว เพลงที่พูดเรื่องส่วนรวมของสังคมต่าง ๆ ได้รับความนิยมทั่วโลก ยุค ปลาย 90s 2000s เป็นกุ๊งกิ๊ง ป๊อป ๆ โลกมันไม่ได้อยู่ในยุคแบบ Heal the World หรือแฟนตาซีจ๋า ๆ แบบ 80s แล้ว ถ้ายุคต่อไปเกิดอะไรขึ้น เพลงทั่วโลกก็จะเปลี่ยนไปตามนั้น แต่เรื่องดนตรีเนี่ย บีทเพลงบรรยากาศเพลงมันจะไปทางไหน เพราะยุคนี้เราไม่เคยคิดว่ามันจะมาถึงแบบ A$AP Rocky ว่ามันเป็นเพลงได้ด้วยหรอวะ
6

ฝากผลงาน

จีน: ฝากติดตามในเพจ PONR ในเฟสบุ๊ก เราจะอัพเดตข่าวสารว่าไปทำอะไร มีเล่นคอนเสิร์ตที่ไหน แล้วก็ฝากดู mv PONR ด้วยนะคะ สามารถดาวน์โหลดได้ตามลิงก์ข้างล่างในแคปชันวิดิโอด้วยค่ะ มีให้ฟังใน YouTube และ music streaming ทั่วไปค่ะ
โป: ซิงเกิ้ลใหม่ชื่อ Monster น่าจะได้ฟังกันตอนสิงหาคม เพลงนี้มันคือความกดดัน มันคือสัตว์ประหลาด เหมือนก็อดซิลล่าขึ้นมาทำลายเมือง มนุษย์บอกว่ามันเป็นสัตว์ประหลาด จะฆ่ามัน ไล่มัน ที่มาทำลายบ้านเมือง แต่จริง ๆ ก๊อดซิลล่ามันเกิดมาจากนิวเคลียร์ที่คนทิ้งลงไป เขาไม่ได้ตั้งใจเป็นสัตว์ประหลาด เขาใช้ชีวิตของเขาอยู่ แต่คนทำให้เขาเป็น แล้วมาเบลมเขา เราเอามาเล่าในแง่ความรักว่า เธอว่าเราไม่สนใจ ไม่แคร์ เราไปเที่ยวกับเพื่อน แต่ก่อนหน้านี้ คุณทำอะไรไว้กับเราให้เราเป็นแบบนี้ จะมาเบลมเราอย่างนี้หรอ
 
จุก: ป๊อปแต่เครียด เบสด้วยร็อก ฮิปฮอป ที่มันจริง มันพูดเรื่องชีวิต มีการเล่าเรื่องส่วนนั้น เอามาใส่ความเป็นปัจจุบันให้ได้ นี่คือคอนเซปต์ของ PONR ในแง่ของ pop culture ในการที่แทร็ปมันมาก็จริง แต่การเล่าเรื่องที่ลึกซึ้ง ไม่ใช่เอะอะ เฮ้ย ปาร์ตี้ กินนู่นกินนี่ ลงเรือยอร์ช อันนี้พูดในเรื่องความรักที่เป็นแง่ลึกของมัน เหมือนเพลง PONR ลองฟังเนื้อหามันดี ๆ อาจจะเป็นการเล่าเรื่องที่สั้นหน่อยเพราะท่อนแร็ปมันน้อย แต่เพลงนี้แร็ปเยอะละ เล่าเรื่องได้เต็มที่ เพลงต่อ ๆ ไปการเล่าเรื่องจะชัดเจนขึ้น ฝากไว้ด้วยครับ
Facebook Comments

Next:


Montipa Virojpan

อิ๊ก เนิร์ดดนตรีที่เพิ่งกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนตอนอายุ 25 ชอบเดินเร็ว นอกจากขนมปังกับกาแฟดำแล้วก็สามารถกินไอศกรีมกับคราฟต์เบียร์แทนมื้อเช้าได้