ตีความเพลงรักแบบแสบ ๆ คัน ๆ กับ เปอติ๊ด ศิลปินสาวซ่าคนล่าสุดแห่งค่าย Smallroom
- Writer: Montipa Virojpan
- Photographer: Chavit Mayot
เชื่อว่าคนที่ชื่นชอบเพลงแจ๊สหรือมีที่สิงสถิตย์อยู่ตามบาร์แจ๊สชื่อดังหลายแห่ง น่าจะคุ้นเคยกับชื่อของ เปอติ๊ด—ญาดา โกเมศ เป็นอย่างดี อีกทั้งก่อนหน้านี้เธอเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของรายการประกวดร้องเพลง The Voice จนกลายเป็นขวัญใจคนใหม่ของวงการ และล่าสุด เธอได้กลายเป็นศิลปินหญิงคนใหม่ของค่าย Smallroom โดยปล่อยซิงเกิ้ล Ai (ไอ้) neo-soul เปรี้ยวจี๊ดแปลกหูทั้งชื่อเพลง เนื้อร้อง และแนวดนตรีแบบที่เจอไม่บ่อยนักในเพลงไทย ประมาณว่าทันทีที่เราได้ฟังเพลงนี้ก็รีบขอคิวสัมภาษณ์แบบอดรนทนไม่ไหว อยากจะไปพูดคุยกับเธอแบบตัวจริงเสียงจริงว่าอะไรทำให้เพลงออกมาเฟี้ยวได้ขนาดนี้
และเวลานั้นก็มาถึง หลังจากพูดคุยกันเกือบชั่วโมงแบบ non-stop ขอบอกว่าเราชอบ attitude ตรง ๆ ใจ ๆ ของเปอติ๊ดไม่แพ้เพลงของเธอเลย เอาล่ะ เลื่อนลงล่างไปทำความรู้จักกับผู้หญิงเสียงดี ตัวเล็กสมชื่อ แต่ใจใหญ่มากกกกก คนนี้กันได้แล้ว ?
ทำไมถึงเลือกเรียนดุริยางคศาสตร์ที่ศิลปากร
ตอนนั้นเราเพิ่งกลับมาจากอเมริกา มันเพิ่งเปลี่ยนระบบไม่มียื่นแอดมิชชันแล้ว แล้วเราสอบ O-NET ไม่ทัน ก็เคว้ง ๆ อยู่ แล้วเพื่อนบอกว่ามันมีคณะนึงของศิลปากร เป็นคณะดนตรี ไม่ต้องยื่นคะแนนพวกนั้น ใช้แค่ใบจบ ซึ่งเอาจริงตอนแรกเราไม่ได้ตั้งใจจะร้องเพลงขนาดนั้น ด้วยความเป็นคนที่เสียงต่ำ ๆ แหบ ๆ แบบนี้ ก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่จริตนักร้องประเทศไทยแบบเสียงใส ๆ น่ารัก ๆ ที่เขาจะชอบกัน เราก็คิดว่า เฮ้ย ไม่ได้แน่เลย แต่พอเขาบอกว่ามันเป็นเพลงแจ๊สนะ ด้วยความที่พ่อแม่เราฟังเพลงสากลแล้วอยู่กับเพลงแบบนั้นมาตั้งแต่เด็ก ก็เลยลองดู ก็สอบติด
ถ้าสอบไม่ติดคิดว่าจะเรียนอะไร
สถาปัตย์… ไม่ ๆ ออกแบบภายใน มัณฑนศิลป์
ไม่คิดจะดรอปสักปีแล้วค่อยมาสอบหรอ
ไม่อะ ขี้เกียจ คือพอเรียนไปก็รู้สึกดีเพราะเป็นคนชอบฟังเพลงอยู่แล้ว วัน ๆ ก็อยู่แต่กับเพลงตลอด สองปีแรกก็ดีแหละ ปีหลัง ๆ รู้สึกข่มขืนหูตัวเองนิดนึง อะไรบางอย่างที่เราชอบแล้วเราอยู่กับมันมากเกินไปบางทีเราก็เบื่อ ตอนเรียนทฤษฎีก็คือ suffer สุด ๆ คือยอมแพ้วันละห้าล้านรอบเลยเว่ย แบบ ไม่เอาละว่ะ เท ถึงขั้นเรียน ๆ อยู่แล้วเราไม่ไหวแล้ว โทรไปหาอาจารย์บอกว่า ‘จารย์ วันนี้แคนเซิลคลาสเหอะ’ อาจารย์ก็ถามว่า ‘ได้หรอวะ ผมต้องเป็นคนแคนเซิลไม่ใช่หรอ’ เราก็บอก ‘ได้สิ หนูทำเพื่ออาจารย์มาเยอะ ไปเข้าเรียนให้เยอะแล้วนะ อันนี้ให้หนูสักครั้ง’ เราก็อ้างว่าเป็นวันเกิดเรา ขอสักอย่างให้เป็นของขวัญวันเกิดให้หนูละกัน (หัวเราะ) แกแคนเซิลคลาสให้เว่ย แล้วเราก็กลับมาอยู่กับตัวเองแล้วนั่งคิดว่า… นี่กูไหวปะวะ สุดท้ายก็ได้เพื่อนช่วยกันดึง ๆ จนผ่าน ช่วยกันแล้วช่วยกันอีก สารพัดทริค ถ้าไม่มีเพื่อนคือเรียนไม่จบ คือคณะนี้จบยาก สมมติเราเรียนตัวนี้ไม่ผ่าน เราจะไปเรียนอีกตัวเลยไม่ได้เพราะมันเป็นตัวต่อกัน ต้องเรียนจนกว่าจะผ่าน หลักสูตรมันสี่ปีแหละ แต่หลาย ๆ คนเรียนกันแปดปีจนครบที่เขาลิมิตให้ คนครบแปดปีแล้วรีไทร์มาเรียนใหม่ก็เยอะเหมือนกัน
หลังจากเข้ามาเรียนแล้วการฟังหรือร้องเพลงของเปอติ๊ดเปลี่ยนไปยังไงบ้าง
ไม่ค่อยเปลี่ยนมากนะ โดยปกติเราไม่ค่อยฟังเพลงไทยอยู่แล้ว ก็เลยเหมือนได้รู้แนวมากขึ้นมากกว่า ได้ฟังแจ๊สลึกขึ้น เริ่มรู้ทฤษฎี รู้ประวัติ เหมือนเราทำความรู้จักใครสักคนนึง พอรู้จักมากขึ้นก็เริ่มรักและผูกพันไปเอง ก็เรียน ๆ ฟัง ๆ จนหลัง ๆ ไปร้านแจ๊ส ทีแรกก็นั่งฟัง แล้วก็ไปขอแจม แจมเสร็จเขาชอบเราก็ชวนไปร้อง เราเคยร้องที่ Saxophone แล้วก็ตามล็อบบี้โรงแรม
ร้านที่เล่นเพลงแจ๊สที่เปอติ๊ดชอบที่สุด
ก็ Saxophone นี่แหละ เพราะรู้สึกว่าทุกคนเป็นปรมาจารย์มาชนกัน หรือ Brown Sugar อะไรอย่างนั้น เราร้องร้านประมาณพวกนี้ก่อนที่จะไป The Voice แล้วพอได้ The Voice เราก็ไม่ค่อยรับร้องกลางคืนแล้ว รับเป็นอีเวนต์ ๆ ไปแทน ให้คนเข้าถึงตัวยากขึ้นจะได้เพิ่มมูลค่าสินค้า (หัวเราะ)
คิดยังไงที่คนบอกว่าแจ๊สน่าเบื่อ ทั้งที่มันมีคนพยายามทำให้มันร่วมสมัย
เราว่ามันตามยุคตามสมัย ถ้าเราเกิดในปี 1920s เราคงไม่พูดอย่างนั้น มันมีความคลาสสิกของมันอยู่ในตัว แต่ว่าตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว มันมี EDM ฮิปฮอป ไลฟ์สไตล์ชีวิตคนตอนนี้มันก็คงชินหูกับอะไรแบบนี้มากกว่า แล้วพอกลับมาฟังอะไรที่ช้า ๆ เนิบ ๆ หน่อยคงไม่อิน แจ๊สนี่ก็ยอมรับว่าฟังยากนะ มันเป็นดนตรีที่ใช้ความรู้ล้วน ๆ เลย ไม่ได้บอกว่าแนวอื่นไม่ใช้ความรู้ ทุกแนวใช้ความรู้เว่ย แต่แจ๊สใช้หนักมาก ด้วยทฤษฎี ตัวคอร์ดมัน ไม่ใช่แค่คอร์ดง่าย ๆ ที่กดมาแล้วเล่นได้เลย มันคือความคิดแล้วคิดอีก แม้กระทั่งการโซโล่ของเขากว่าจะออกมาได้ หูต้องได้ยินชัดก่อนว่าคอร์ดนี้คือคอร์ดอะไร แล้วต้องแยกไปอีกว่าในคอร์ดมีโน้ตอะไรบ้าง แล้วต้องโซโล่ไปตามนั้นเพื่อจะให้มันไปต่อได้ ถ้าจะให้ใครก็ตามมาอินแนวเพลงที่ใหม่สำหรับเขา ต้องเริ่มจากการให้ความรู้ก่อน
เพลงพวกนี้มีเสน่ห์ยังไงทำไมถึงทำให้เราชอบมาก
มันคือความคลาสสิกอะ แล้วทุกครั้งที่เราฟังจะรู้สึกจรรโลงใจ ผ่อนคลาย อย่างตอนทำงานเหนื่อยหรือตอนรถติด เรางงมากว่าบางคนเปิดเพลงตึ๊ดสัส ๆ ฟังได้ไง ไม่เหนื่อยหรอ แค่นั้นก็เครียดพอแล้วยังมีบีตหนัก ๆ มาให้เครียดอีก เรารู้สึกว่าด้วยความที่แจ๊สมันเป็นดนตรีที่สดใหม่ตลอดเวลา ทุกอย่างคือการอิมโพรไวส์ ดังนั้นทุกตัวโน้ตที่เขาเล่นออกมามันไม่มีการเตรียมไว้ก่อน ทุกครั้งที่เราฟังเพลงแจ๊สมันเหมือนเราสั่งอาหารจานใหม่ตลอดเวลา ไม่ใช่อาหารค้างคืนหรือเตรียมไว้แล้วเอามาอุ่น มันเซอร์ไพรส์ตลอดเวลา
เพลงแจ๊สที่ยากที่สุดที่เคยร้องมาในชีวิต
Ella Fitzgerald – Air Mail Special มันไม่มีเนื้อร้องเลย เป็นแค่สแก็ต (scatting) สด ๆ ทั้งเพลง สิ่งที่เราต้องทำคือฟัง หาโน้ตที่อยู่ในคอร์ดนั้น ๆ แล้วร้องออกมาให้ไหลไปเรื่อย ๆ ยาวมาก เป็น 16 บาร์ ค่อนข้างท้าทาย
ศิลปินในดวงใจที่ยกให้เป็นไอดอล
เราไม่มีไอดอลของตัวเอง ไม่มีนักร้องในดวงใจ เพราะไม่ได้ชอบใครขนาดนั้น แต่เราปลื้มวิถีของ Taylor Swift ในการที่เอาชีวิตรักมาแต่งเพลง ซึ่งอัลบั้มที่เราทำอยู่ตอนนี้ก็ทำตามเขาแหละ เอาจริง ๆ มันฉลาดตรงนี้ ถ้าเราจะแต่งเพลงรักสักเพลงจะเอามาจากไหน ประสบการณ์ตัวเองมันใกล้ตัวที่สุดแล้วก็เรียลที่สุดที่จะเอามาเขียนเป็นเพลงได้ เราเห็นวิธีการทำงานของเขาแล้วรู็สึกว่า เชี่ย ผู้หญิงคนนี้แม่งโคตรเจ๋งเลยว่ะ มันคบกับ John Mayor พอเลิกกันแล้วเอามาแต่งเพลง Dear John มันเป็นต้นตอของเพลง Ai เลย แบบ เราเลิกกับแฟน แต่งเพลงด่าแฟนแม่งเลย
ก่อนหน้าที่จะไปประกวด The Voice มีผลงานดนตรีอย่างอื่นนอกจากร้องเพลงที่ร้านอีกหรือเปล่า
เราก็ทำเพลงอย่างเดียว แล้วก็ไปร้องสปอตโฆษณาเรื่อยเปื่อย รับไปเรื่อย แต่ด้วยความที่เรามาสายแจ๊สแค่นั้นก็งานโหดมากแล้ว เราเรียนทั้งวัน เสร็จก็ออกไปทำงานถึงเที่ยงคืน ตีหนึ่ง กลับมานอน นอนเสร็จตื่นเช้ามาเรียน เป็น cycle ที่หนักพอแล้วที่จะเอาเวลาไปทำอย่างอื่น ตอนเราทำงานประจำเราทำงานเจ็ดวัน เราไม่ได้เบรกเลย มันเหมือนเราไม่ได้ทำสิ่งที่เรารักแล้ว มันกลายเป็นหน้าที่ แล้วมันทำให้เราไม่มีใจ แล้วอีกสิ่งที่เกิดขึ้นคือเสียงมันแย่ แต่ตอนนี้เราเรียนจบแล้ว ไม่รับงานประจำที่ร้านแล้วมันก็ดีขึ้น รับแต่อีเวนต์อย่างเดียว คือเรารู้สึกว่าพอทำแบบนี้มันมีสเปซให้ตัวเองเยอะมาก ทุกครั้งที่ออกไปร้องมันเลย enjoy มากขึ้น
ทำไมถึงไปประกวด The Voice
โดนเพื่อนหลอกไป คณะเราเรียกว่าเป็นคณะ The Voice ละกัน (หัวเราะ) จะทั้งคณะแล้วอะ พี่เอ้ กุลจิรา พัด Zweedz n’ Roll อะไรพวกนี้ คือกลุ่มเราเป็น The Voice หมดเลยเว่ย เหมือนทุกคนไปกันมาก่อนหน้าเรา เหลือเราคนเดียวละ พี่เอ้บอก มีงานบ้านและสวนน้า ไปเป็นเพื่อนหน่อย พอไปปุ๊บ ไอ้เชี่ย ประกวด The Voice นี่หว่า โคตรเลว (หัวเราะ) ก็เลยลองดูซักตั้ง แล้วก็ติดเฉยเลย
ศิลปินหลายคนมีทัศนคติด้านลบกับเวทีประกวด เราเป็นแบบนั้นไหม
เราไม่คิดมาก ไม่มีความรู้สึกอะไรพวกนั้นเลยไม่รู้ว่าคนอื่นคิดยังไง แต่สำหรับเราคิดว่ามันเป็นประตูนึง แล้วมันแล้วแต่ดวงด้วย อย่าง The Voice ซีซันเราแข่งกันตั้งกี่คน มันมีแค่ไม่กี่คนนะที่ออกมาแล้วสามารถไปต่อได้ ที่เขาไม่ชอบคงเป็นความที่รับไม่ได้มากกว่าที่มีคนคอยตัดสิน มีกรรมการ เพราะทุกคนมีอีโก้อยู่ในตัวเองอยู่แล้ว ฉันมาแบบนี้ ฉันโอเคแล้ว เลยไม่อยากให้คนมา judge ว่าคุณไม่ดี ต้องแก้ตรงนั้นนิด ตรงนี้หน่อย ไม่มีใครชอบหรอก แต่สำหรับเราคือมีก็ดี จะได้รู้ว่าตัวเองมีข้อดีหรือข้อเสียยังไง
เอาจริงว่าเราเป็นสายไม่ประกวดเลย แต่เราเคยประกวดครั้งเดียวในชีวิตเลยตอนอายุ 15 เพราะป้าเราสั่งให้ไปประกวด แล้วมันโลกกลมมาก เราเคยแข่งกับผู้หญิงคนนี้ ซึ่งตอนนี้ก็เป็นเพื่อนเรา ชื่อว่าน ก็คือ ว่าน วันวาน เนี่ยแหละ เราแข่งด้วยกันครั้งแรกตอนนั้น แล้วประมาณสิบปีถัดมาเรามาเจอกันอีกที่ The Voice แล้วเสือกต้องมาแบทเทิลกันอีก เราแบบ เชี่ย สิบปีผ่านไปแล้วยังต้องมาแข่งกับมันอีกหรอวะเนี่ย (หัวเราะ) ด้วยความที่เราอยู่บนเวทีตลอดเวลาเลยไม่มีความเขิน ไม่มีความตื่นเต้นอะไรแล้ว เราร้องเพลงต่อหน้าคนมาจนช้ำแล้ว เวทีประกวดเลยเฉย ๆ มาก สิ่งที่สำคัญท่ีสุดคืออย่ากดดันตัวเอง เราเห็นคนกดดันตัวเอง ทำไม่ได้ ร้องไห้… ทำไมต้องคาดหวังว่าต้องชนะด้วย อาจจะเป็นที่เราไม่ได้คาดหวังอะไร กะแค่ทำดีที่สุดของเราพอ อะไรจะเกิดขึ้นก็เป็นเรื่องของมันแล้ว
ชอบชีวิตของตัวเองก่อนหรือหลังประกวด The Voice มากกว่ากัน
ครึ่ง ๆ เราแค่รัก privacy ของตัวเองมาก แค่นั้นเอง เดินไปไหนไม่อยากให้ใครมาสังเกต หรือบางทีเราเดินกับเพื่อนผู้ชายที่เป็นดารา คนก็เม้ากันละ เราจะแบบ ทำไมวะ แต่ก่อนตอนเป็น no one เดินกินข้าวมันไก่กันไม่เห็นเป็นไรเลย พอเป็น someone ขึ้นมาคนเริ่มรู้จัก เราเดินอยู่กับเพื่อนก็เป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต เราไม่ชอบเรื่องกอสซิปอะไรแบบนั้นเลย แต่หลังประกวดมันก็ต้องยอมรับ เรายอมมาถึงจุดนี้มันคือการขายความเป็นส่วนตัว เราไม่มี privacy อีกต่อไป ชีวิตในเฟซบุ๊ก อินสตาแกรมเราต้องรอบคอบขึ้นมาก ปกติเราบ้าบิ่น เดือดดาล ขี้เมา เป็นผู้หญิงที่ไม่ค่อยมีความเป็นผู้หญิงเท่าไหร่ จะทำอะไรต้องระวังตัวมากขึ้น ก็ต้องมีการคีปลุคบ้าง ซึ่งมันก็เป็นข้อดีนะ แต่เรารู้สึกว่าตอนเราเป็น no one เราทำอะไรได้มีความสุขกว่านี้ มันแลกมาด้วยชื่อเสียง ซึ่งชื่อเสียงมันเป็นบวกกับสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ที่เรารักมันมาก คือทำเพลง ก็ต้องยอมแลก
ถ้าย้อนเวลาได้ยังจะไปประกวดอีกไหม
ไปอยู่ดี รวยอะ (หัวเราะ) โทษ ๆ
ทำไมเราต้องจำกัดกรอบตัวเองไว้แค่นี้ ในเมื่อ Smallroom เป็นค่ายที่เปิดกว้างมาก ๆ เราก็ทำแบบที่อยากทำนี่เลยสิวะ ไม่กังวลเลยว่าคนฟังจะไม่เก็ต เพราะรู้สึกว่าคนฟังต้องเสพอะไรใหม่ ๆ บ้าง เหมือนที่เขาบอกว่าอย่ากินข้าวกับเดิม ๆ เป็นเวลาติดกันนาน ๆ มันจะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง เราก็เหมือนกัน ถ้าฟังแต่อะไรเดิม ๆ ระวังจะเป็นมะเร็งหูนะจ๊ะ ฟังเพลงใหม่ ๆ บ้าง
มาอยู่ Smallroom ได้ยังไง
พี่นะ Polycat เลย ตั้งแต่เราออก The Voice มาเรายังไม่หยุดทำงานเลย พอเราไม่ได้หยุดทำงานก็เลยยังไม่มีเวลาทำซิงเกิ้ล คือเราอยากทำอยู่แล้ว นักร้องทุกคนก็อยากมีเพลง มีอัลบั้มเป็นของตัวเอง เป็นหนึ่งในความฝันเล็ก ๆ แหละ พอผ่านไปประมาณปีกว่า ๆ ในหน่ึงเดือนเริ่มมีว่างซักอาทิตย์นึงละ ก็เลยคิดว่า เออ เราสนิทกับพี่นะ พี่นะเป็นเพื่อนสนิทน้องชายเรา เราก็อยากทำเพลงที่มีพี่นะทำให้ว่ะ เลยลองถามพี่นะมาทำเพลงให้หน่อย พี่นะก็บอก ‘เอาดิ ๆ แล้วทำไมไม่มาอยู่ค่ายเลยล่ะ’ เราก็บอก ‘ไม่รู้ ก็เขาไม่ได้เชิญอะ’ แล้วพี่นะก็ไปคุยกับทางค่ายให้ พอพี่รุ่งสนใจ ก็มานั่งคุยกัน วันเดียวจบเลย แปปเดียวด้วยไม่ถึงชั่วโมง ตกลงพี่ พี่รุ่งถาม ‘เอ้า ไม่กลับไปคิดก่อนหรอ’ ก็ไม่ต้องกลับไปคิดแล้ว คือเราคุยกับคนอื่นมาเยอะแล้ว เราถามพี่รุ่งคำเดียวว่า ‘พี่อยากทำเปอให้เป็นแบบไหน’ พี่รุ่งบอก ‘ไม่ เปอถามแบบนี้ไม่ได้ เปออยากเป็นแบบไหน เอาเลย’ เราแบบ เชี่ย พี่ซื้อหนูได้แล้ว ไปอยู่เลย จริง ๆ แล้วเราก็คุยกับค่ายอื่นอยู่เพราะเขาก็เริ่มเรียกเราไปคุยแล้ว แต่เราไม่คลิก มันเหมือนเขาอยากให้เราเป็นอย่างที่เขาต้องการ ซึ่งเรารู้สึกว่าตอนเราอยู่ The Voice เราค่อนข้างเป็นในแบบที่คนอื่นต้องการมาเยอะแล้ว ถ้าเราอยากจะมีซิงเกิ้ลหรืออยู่ค่ายเราก็อยากทำในสิ่งที่เราต้องการและเป็นตัวเรามากที่สุด
เริ่มเขียนเพลงตอนไหน
เราเขียนของเรามาสักพักนึงแล้ว แต่เป็นการเขียนเพลงโง่ ๆ ของคนขี้เขินอะ เราก็ไม่เคยเอาออกสู่สาธารณะเลยนะ เราไม่เคยรู้สึกว่าเพลงที่เราเขียนมันดีเลยเว่ย จนมาทำเพลงกับพี่นะ นี่เป็นการช่วยกันเขียนครั้งแรกอย่างแท้ทรู เพราะคำพูดที่อยู่ในเนื้อเพลงมาจากไดอารีของเรา มาจากคำพูดที่แฟนเก่าพูดกับเราหรือเราพูดกับเขา มาจากชีวิตเราแท้ ๆ เลย ตอนแรกเราก็ไม่เก็ตการแต่งเพลง พยายามสรรหาคำนู่นนี่นั่นมาใส่แล้วเพลงเราไม่เพราะเลย เพิ่งรู้ตอนนี้ว่าเอาจริงเพลงที่เราแต่งแล้วมันดีที่สุดคือการใช้คำพูดที่มาจากเราเอง ที่ใช้ปัจจุบันทั่วไปเนี่ยแหละ มายัดใส่เข้าไปก็ออกมาเป็นเพลงแล้ว
แล้วการที่เอาเรื่องราวในชีวิตตัวเองมาเขียนเป็นเพลงให้คนอื่นฟังไม่รู้สึกว่าเสียความเป็นส่วนตัวหรอ
ไม่เลย เพราะตอนนั้นเราเพิ่งเลิกกับแฟน เราเฮิร์ตมากและอยากเล่ามาก พี่นะบอก ‘อะ มา เริ่ม อยากแต่งอะไร’ เราก็เหมือนคุยกับเพื่อนว่า เชี่ย เขามีอะไรกับเพื่อนสนิทเราว่ะ เล่าไปจะร้องไห้ไป ตอนนั้นเหมือนไปพบจิตแพทย์ พี่นะก็นั่งจดคำพูดที่สำคัญ ๆ เราอ่านแล้วก็บอกว่าขอแก้คำนี้หน่อย เอาเป็นแบบนี้ละกัน ก็นั่งคุยกันไปเรื่อย ๆ จนตะล่อม ๆ ได้ เราก็ไม่มีความเขินอยู่แล้วด้วยความที่สนิทกับพี่นะอยู่แล้ว แต่ถ้าต้องไปนั่งเขียนกับคนอื่น… เอาจริง ไม่เขินหรอก ก็เราเฮิร์ตไง มันเป็นประสบการณ์ตรง แล้วเป็นคนชอบเล่าเรื่องด้วยเลยไม่เขินที่จะถ่ายทอด
ระหว่างเขียนเจอความยากอะไรบ้าง
คำ ด้วยความที่เราตรง ๆ มาก อยากให้เนื้อเพลงออกมาตรงที่สุดเท่าที่จะตรงได้จะได้แสดงความเป็นเราออกมาชัดเจน แต่เข้าใจว่าคำบางคำมันใช้ไม่ได้ อาจจะหยาบไป หรือไม่ดี ไม่เข้ากับเมโลดี้ แต่เราดื้อ พี่นะก็ดื้อเว่ย ถ้าฟังเพลงเราจะสังเกตว่า คำนี้มันได้หรอวะ มันจะเหน่อ ๆ แต่ก็จะเอาอะ ตอนที่เอาเพลงไปส่งก็เหมือนกัน พี่รุ่งถามว่า ‘มันได้หรอวะพยัญชนะอันนี้’ เราก็จะเอา พี่รุ่งก็เลยปล่อย
ทำไมถึงกล้าทำแนวดนตรีที่ใหม่มากสำหรับคนฟังเพลงไทย
คนบ้าสองคนมาเจอกันอะ บ้า ๆ กันอยู่แล้วเลยไม่มีอะไรห้ามคนบ้าได้ ทำไมเราต้องทำตามแพตเทิร์น ทำไมเราต้องจำกัดกรอบตัวเองไว้แค่นี้ ในเมื่อ Smallroom เป็นค่ายที่เปิดกว้างมาก ๆ เราก็ทำแบบที่อยากทำนี่เลยสิวะ ไม่กังวลเลยว่าคนฟังจะไม่เก็ต เพราะรู้สึกว่าคนฟังต้องเสพอะไรใหม่ ๆ บ้าง เหมือนที่เขาบอกว่าอย่ากินข้าวกับเดิม ๆ เป็นเวลาติดกันนาน ๆ มันจะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง เราก็เหมือนกัน ถ้าฟังแต่อะไรเดิม ๆ ระวังจะเป็นมะเร็งหูนะจ๊ะ ฟังเพลงใหม่ ๆ บ้าง
ได้แรงบันดาลใจดนตรีจากอะไร
Polycat แหละ ก็ Polycat ทำมันก็ออกมาแบบนั้น เราเนี่ยก็ Polycat หญิง (หัวเราะ) ในคอมเมนต์ YouTube นี่โห กลิ่นคุณรัตนะแรงสุดในโลก
พี่นะให้คำแนะนำหรือสอนทักษะการเป็นศิลปินยังไงบ้าง
ไม่มีการสอน ช่วยกันมากกว่า เรานั่งทำด้วยกันเลย คุยกันตลอดเวลาใครอยากได้อะไรก็บอก เป็นงานที่ออกมาแบบธรรมชาติ รวดเร็ว แปปเดียวมาก เวลาเราทำเพลงวันสองวันเสร็จแล้ว ก่อนที่จะมีดนตรีเราก็คุยกันก่อนว่า อยากได้ reference ประมาณไหน อยากได้ฟีลนี้ แบบนี้ ก็หาเพลงส่งไปให้พี่นะตบ ๆๆๆ หาคอร์ด หาอะไร ออกมาเป็นเพลง เรามีเรื่องของเรา ไปนั่งคุยกัน ยัดใส่ทำนอง เกลา ๆๆๆ จบ เสร็จ
แอบเห็นชื่อกู้ (ภากร โกเมศ น้องชายเปอติ๊ด) อยู่ในเครดิตด้วย งานนี้เขาช่วยอะไรบ้าง
คือกู้เป็นคนแต่งเพลงเก่งมาก แต่มันขี้เกียจ คือพี่น้องบ้านเราเป็นนักดนตรีกันทั้งบ้าน เราทำอันนี้เสร็จก็ลองให้กู้เช็กว่ามีอะไรน่าเติม เขาก็จะแนะนำว่าตรงนี้เป็นคอร์ดนี้ไหม มีคอรัสไหม ความที่เสียงเรากับกู้เหมือนกัน ตอนเราไม่ว่างร้อง พี่นะก็เอากู้มาร้องคอรัสให้เรา แล้วมันก็ใช้แทนกันได้ เสียงเรนจ์เดียวกัน (หัวเราะ) เลยมีเสียงกู้อยู่ในนั้น
ทำไมเปอติ๊ดถึงเป็น Queen of Loyshy (ร้านเหล้าแห่งหนึ่ง)
เราก็เป็นคนบ้า ๆ อย่างที่บอกเนี่ยแหละ แล้วก็ไปกินเหล้าที่นี่จนเป็นหุ้นอะ เขาบอกว่าทำไมเราต้องกินเหล้าเสียตังเปล่า ๆ ทั้ง ๆ ที่เราสามารถกินเหล้าไปด้วยทำเงินไปด้วยได้ เราก็หุ้นร้านเลย แล้ว Queen of Loyshy มันมาจาก… เราชอบกินเหล้าเพียวมาก เวลาเรากินเหล้าเรากินแสงโสมแบนกับ M-150 กินเป็นเหล้าย้อน จับขวดให้มันออสโมซิสกัน จนมันอยู่ตัวแล้วก็เอาออก จิบไปเรื่อย ๆ อร่อยสัส ๆ เว่ย แล้วเราเป็นคนเต้นได้ทุกที่ ยืนเต้นบนโต๊ะ เต้นหน้าลำโพง หัวโขกไมค์ คลานกับพื้น ทำไรก็ได้ นึกออกปะ ทุกครั้งที่เราเดินเข้าร้านมาคนจะแบบ เชี่ย ควีนมาว่ะ เพราะเราจะ light up แบบ มาแล้วจ้าาาาา เต้นใหญ่ ตะโกน เราเหมือนผู้ชายเรื้อน ๆ ไม่ใช่สายเต้นยั่วบด ไม่ใช่สายเมาร้องไห้ แต่เมาแล้วระเบิดพลัง เลยเป็น Queen of Loyshy
ถึงกับเอาคำนั้นมาปักสปอร์ตบราเลย
มันเป็นวันเกิดร้านพอดีไง… แล้วเราไม่เคยรู้อันนี้มาก่อน จนลูกค้ามาบอกว่า เขามาจองโต๊ะร้าน Loyshy เพื่อจะมาดูเราปล่อยพลัง ไม่ได้มาดูวงดนตรี ทุกครั้งที่เราเข้าร้านไม่เคยอยู่โต๊ะ ไม่เคยนั่งเฉย ๆ อยู่แล้ว ยิ่งเพลงมัน ๆ อย่างเพลงโปรดของแก๊งเราคือเพลง ไม่มีเธอ ของ Retrospect เหมือนเป็นเพลงชาติ แล้วไปโยกแบบชาวร็อก ร่างกายต้องการปะทะ แท็กใส่กัน หรือเพลงไหนมัน ๆ เราไปชวนคนโน้นคนนี้โต๊ะอื่นมาเต้นหน้าเวที ลูกค้าก็คงงงว่าทำไมคนนี้มันโหดจังวะ …เจอได้
มีคนทักว่าเหมือน Kali Uchis ไหม
เออ ตลอด ความจริงตอนทำเพลงตอนแรกพี่นะก็พูดเหมือนกันว่า ‘อันที่จริงเอ็งนี่มันคาลิเลยนะ’ แต่เขาจะมีความเป็นผู้หญิงกว่าเราหน่อย จริตจะก้านเขาจะมี เราจะไม่ค่อยมี หญิงไม่ค่อยเป็นเท่าไหร่
MV นี่มีส่วนช่วยคิดไหม
โอ้โห เล่นเป็นตัวเองที่แท้ทรูทุกฉาก เอางี้ mv ทุกตัวเหมือนเราเป็น co-director คือเราจะบอกว่าเราอยากได้แบบนี้ แล้วฉากต่อไปเราจะทำแบบนี้นะ ตากล้องอยู่เฉย ๆ เรากำกับเองหมดเลยเว่ย เพราะเนื้อเพลงก็เป็นเรื่องของเราแล้วอะ เราก็อยากให้ mv ตัวแรกมีความเป็นเราสูงมาก คนจะติดภาพลักษณ์ว่าเราเป็นคนเรียบร้อย เท่ ๆ โซล ๆ เราแบบ หึ!!! คิดผิดละ เรียบร้อยบ้าอะไรวะ เป็นสาวเรื้อนมาก ๆ เราก็แสดงตัวตนเต็มที่ ตอนถ่าย mv เราแฮงเอาต์กับเพื่อน เราขี้เมาเราก็ยอมรับ เมา อ้วก ให้เห็นเลย
ตอนถ่ายเพลง Ai นี่เมาจริงไหม
…จะเหลืออะไรล่ะ!! คิดดูอะ ตอนเราถ่ายมีคราฟต์เบียร์ Triple Pearl มาเป็นสปอนเซอร์ เป็นเบียร์ต้มเอง อร่อยมาก เอามาส่งให้ถึงกองหลายลัง เริ่มถ่ายกันสิบโมงก็กินกันตั้งแต่ตอนนั้น ใน mv เราถ่ายเรียงช็อตตั้งแต่ต้นจนจบ แบบ ไม่ไหวแล้ว ไวน์ เบียร์ เจ้าของที่พักที่เขาให้สถานที่ถ่ายทำเขาก็เอาแชมเปญมาให้อีก นี่คือกลัวไม่ตายหรอวะ ฉากสุดท้ายอยู่ดี ๆ เราก็บรีฟขึ้นมาว่า เราอยากมีช็อตอ้วกว่ะ นี่คือจะอ้วกจริง
แล้วตัวละครที่เล่นในนั้นคือเพื่อนจริง ๆ ปกติเราจะมีสักสองวันในหนึ่งเดือนไป private party กันอยู่แล้ว เราจะมีเกสเฮาส์ประจำที่บางแสน ก็ไปเช่าเขา มีสระน้ำ มีจากุชชี ก็เอาเพื่อนไปเมากัน ไปกันเยอะมาก สองคน นั่งจิบไวน์ เปิดเพลง ลงสระ รอบนี้ตอนชวนเพื่อนไปปาร์ตี้ ไม่ได้บอกว่าจะถ่าย mv มันก็ถามนะว่าไปกี่คน เราบอกสิบ กูมึง กูมึง กูมึง กูมึง กูมึง สิบละ เป็นอย่างนี้ ขับรถมาถึงปุ๊บ เป็นกองถ่าย เมาตั้งแต่ต้นจนจบ เพื่อนก็สายเรื้อนเละเทะเหมือนกัน
หลังจากนี้จะมีเพลงใหม่ปล่อยมาเมื่อไหร่
วันที่ 7 เนี่ย เพิ่งถ่าย mv เมื่อวันก่อนนี้เอง ความจริงเพลงมันเสร็จหมดแล้วเว่ย 4 เพลง แล้วก็อีก 1 รีมิกซ์ รวมเป็น 5 ชื่อ EP High Soul อันนี้คงไม่ต้องบอกนะว่า high อะไร แค่พูดก็รู้แล้วว่าสายไหน ก็ทุกเพลงมาจากชีวิตรักหมดเลย ไม่ใช่คนคนเดียว… ไม่ได้บอกว่ามีแฟนหลายคนนะ (หัวเราะ) แม้กระทั่งคนคุยก็เอามาแต่งเพลง คือรู้สึกแบบ เชี่ย ไม่ได้แล้วว่ะ ต้องเล่า
เพลงที่สองที่จะปล่อยเป็นเพลงช้า ชื่อ Next มันเป็นภาคต่อของ Ai คำที่อยู่ในเพลงมาจากปากของแฟนเก่าเราตอนที่เขาเลิกกับเรา คือตอนนั้นที่เราเลิกก็มีซึม ๆ ร้องไห้หน่อย ไม่ได้ฟูมฟาย เลิกกันก็ยังเป็นเพื่อนกันได้ แต่กับคนใหม่ของเขาเรายังเป็นเพื่อนไม่ค่อยได้เท่าไหร่ เขาถามเราว่า ‘ร้องไห้ทำไม เสียดายที่จะไม่เจอคนแบบเขาอีกหรอ’ คนเหี้ยหรอ (หัวเราะ) คือถ้าไม่นับเรื่องที่เขานอกใจครั้งนี้ที่ผ่านมาเขาเป็นแฟนที่ดีมาก เขาไม่เคยทรีตเราบกพร่องเลยแม้แต่วันเดียวตลอดเวลาที่คบกัน ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก แต่แค่นอกกายครั้งเดียว… ไม่ สองครั้ง จบ เราก็บอกว่า ‘ไม่ ที่เราร้องไห้เราไม่ได้เสียดายว่าเราจะไม่เจอคนแบบเธออีก เราคิดว่าเราจะเจอคนดี ๆ แบบนี้อีกเยอะ มาก เราแค่เสียดายระยะเวลาและอะไรที่เรามีร่วมกันมา เพราะเรารักกันมาก เรามองไม่เห็นจุดจบของความรักครั้งนั้นเลย’ แต่ถามว่ากูจะไม่เจอคนอย่างมึงอีกหรอ หึ กูจะเจอคนใหม่ที่ดีกว่ามึงอีก เพราะกูเป็นคนดี คือก่อนหน้านี้เรายอมรับว่าเราเป็นผู้หญิงที่ไม่ดีมาก่อน อาจจะเจ้าชู้ แต่เราเลิกแล้ว มันจะมีจุดเปลี่ยน แฟนคนก่อนหน้านี้เราเจ้าชู้เละเทะเลย คนเพิ่งเรียนจบมหาลัยกำลังเปรี้ยว ซ่า นึกออกปะ เราก็เลยแรด ๆ หน่อย ไปเที่ยว แลกไลน์ เราคิดว่ายังไงเขาก็รักเรามาก ไม่มีวันไปจากเราแน่นอน จนเขาเลิกกับเรา เราไม่เคยคิดว่าเขาจะเลิกกับเรา เรารู้สึกเสียระบบเลย สูญเสียครั้งยิ่งใหญ่มาก หลังจากนั้นเราก็ตั้ง goal ตัวเองว่าเราจะไม่เป็นแบบนั้นอีก แล้วพอเรามามีแฟนคนนี้เราเป็นคนที่ดีมาก เราเป็นผู้หญิงที่ดีที่สุดเท่าที่เราเคยเป็นมาเลย ต่อให้เรื่องนี้มันไม่เกิดขึ้นเราก็จะไม่ล้มเลิกความดีนี้ เราจะเอาความดีนี้ไปให้คนต่อไป ก็เป็นที่มาของเพลง Next ว่า เดี๋ยวคอยดูละกัน คนต่อไปเนี่ย ฉันจะรักเขาให้ดีกว่าที่ฉันรักเธอเลยนะ เรียกว่าเป็น ปาน ธนพร 2017
อีกสองเพลงคือ Blanket เป็นเหตุการณ์ที่เรา… ตลกมาก เราเจอรูปนึงในอินสตาแกรม เป็นตัวนากยื่นมือจับมือใครก็ไม่รู้แบบแตะ ๆ แล้วทำหน้าแบบเมิน ๆ มีแคปชันประมาณ ‘งอนอยู่แต่ยังมีเยื่อใย’ ซึ่งมันมีความเป็นเรามาก เราไม่ค่อยขี้งอน ไม่ค่อยมีความเป็นผู้หญิงในชีวิตคู่ แต่มันจะมีบทนึงที่เรา… เชี่ย ไม่พอใจ เราว่าการไม่พอใจของเราคือการงอนแล้วแหละ แต่ก็ยังมีเยื่อใย คือเห็นรูปนั้นแล้วเก็ตฟีลอะ เลยรู้สึกว่า ที่กูเป็นอยู่เนี่ย ก็อยากให้ง้อก่อนไง คือถ้าจะกลับมาอยู่ร่วมร่วมเตียงร่วมผ้าห่มกับฉันก็ทำตัวให้ดีกว่านี้ก่อนนะจ๊ะ ก็จะติดเรตหน่อย ๆ ปะวะ (หัวเราะ) เพลงนี้เราชอบนะ คือเราได้เปรียบเทียบโยงเรื่องอื่น ๆ เข้ามาแบบ ฉันไม่อยากได้กระเป๋าหรอกโว้ยถ้าคนช่วยถือไม่ใช่มึง หรือเครื่องสำอางเหี้ยอะไรกูจะแต่งหน้าไปทำไม ปกติกูไม่แต่งหน้าอยู่แล้ว กูแต่งก็เพื่ออยากอยู่สวย ๆ กับมึงเนี่ยแหละ ไม่มีมึงแล้วกูจะแต่งหน้าให้ใครดูอะ ไม่ต้องเอากระเป๋าหรือเครื่องสำอางมาง้อ ทำตัวดี ๆ ก็พอ
เพลงสุดท้ายก็เอามาจากชีวิตล่าสุดกับคนที่เราคุยอยู่ คือมันไม่มีสถานะ เป็นเรื่องที่ฮิตมากในหมู่มนุษย์ เขาพาเราไปเจอเพื่อนเขา สังคมเขา แต่เวลาคนถาม ‘เอ้า สองคนนี้นี่ยังไง’ ก็บอก ‘เพื่อนกั๊นนน’ เพื่อนบ้าอะไรวะ อย่างนี้เพื่อนหรออออ แต่เราก็ตกลงกันตั้งแต่แรกแล้วแหละว่า อะ เพื่อนกันนะ แต่มันก็มีเกินเลยเพื่อนอยู่แล้วแหละ จนกระทั่งมันมีประโยคที่เขาพูดว่า ใครรักก่อนคนนั้นแพ้นะ มันเหมือนเป็นเกมพูดตอนเมา ๆ อะ เรารู้สึกว่าทุกอย่างมันเป็นใจมากที่จะต้องบอกรัก เราก็แบบ เชี่ย ไม่แพ้ดิ ก็เลยไม่พูด ทั้งที่เขาเข้ามาอยู่ในชีวิตเราระดับนึงเลย หลังจากไม่พูดเราก็เลยเฟดตัวเองออกมา เรารู้สึกว่าเราอยู่แบบนี้ไม่ได้ อยากจะคูลแต่คูลได้ไม่สุด ก็เลยเป็นที่มาของเพลงนี้ มัน Complicated ตามชื่อเพลง
พูดถึงแนวดนตรีทั้ง 5 เพลง จะมีความเกาะกลุ่มหรือฉีกแนวไม่เหมือนกันเลย
เราว่ามันเกาะ ๆ กันอยู่นะ แต่มันจะครึ่ง ๆ ไม่อยากให้เป็นระนาบเดียวกันไปหมด ก็พยายามให้มีเร็วบ้าง ช้าบ้าง r&b ฮิปฮอปหน่อย ส่วนตัวเราชอบฮิปฮอป ชอบเต้น อยู่แถว ๆ Sway หรือ Demo เจอได้ตามนั้น ทุกวันนี้เดินเข้าไปไม่ต้องตรวจบัตรละ ตรงนี้ที่ว่าง เข้ามาเลย ๆ
เป็นคนซีเรียสกับความสัมพันธ์ไหม
เคยเป็นดีกว่า เพราะว่าแก่แล้ว 27 แล้วอะ ขี้เกียจมาแบบ… คือเราเป็นคนไม่ชอบเริ่มอะไรใหม่ ๆ นะ แต่ตอนนี้กลายเป็นดู ๆ ไปเรื่อยเปื่อยละ เอาจริงปะ เราเป็นคนที่ไม่คาดหวังความสัมพันธ์ เพราะเราสวยและรวยมาก เรามีเงินเราก็ชอบไปเที่ยวต่างประเทศ อาจจะมีแฟนประเทศละคนก็ได้ ไข่ทิ้งไว้ (หัวเราะ) ไม่ใช่ อันนั้นก็เหี้ยไป เราแค่รู้สึกว่าชีวิตเรามันเต็มแล้ว เราเป็น working woman หาเงินเลี้ยงครอบครัวได้ ซื้อบ้านซื้อรถของเราเอง เราพอแล้ว ถ้าเราจะมีแฟนสักคนเราไม่ได้อยากได้คนรวยหรืออะไร พูดไปก็แย่นะ เราคงอยากได้ผู้ชายคล้าย ๆ ทาสหน่อยอะ อย่าเยอะ อย่าจุกจิก เราเลือกคนหนักพอสมควร แต่ที่สำคัญเราไม่ชอบคนหล่อ เราชอบคนตลก อยู่ด้วยแล้วสบายใจ เราเลยชอบคนที่มาในแนวเพื่อน แต่พวกนี้ความสัมพันธ์มันจะไปต่อยาก เหมือนเราเริ่มต้นแบบกูมึง พูดคำหยาบกันมาตลอดแล้วจะให้ไปหวานมันก็แปลก ๆ ด้วยความที่เราไม่หวานเลย เราจะชอบคนที่ตรงข้ามกับเรามาก ถามว่าอยากมี relationship ไหม ครึ่งนึงก็อยาก อีกครึ่งนึงขอชิลก่อน เงินมีก็เปย์ต่อไป
ถ้าตอนนี้อยากดูเปอติ๊ดร้องเพลง จะไปดูได้ที่ไหนบ้าง
ต้องดูในเพจเฟซบุ๊ก ชื่อ Petite เลย ตารางงานอะไรจะบอกในเพจหมด
ฝากอะไรทิ้งท้ายหน่อย
ฝากหน่อยค่ะ (หัวเราะ) นี่คือเปอติ๊ดที่แท้ทรู คนคูลเขาฟังกัน แค่นั้นแหละ