Article Interview

PALMY ทุกลมหายใจคือการทุ่มเทให้กับทุกรายละเอียดของสิ่งที่เธอรัก

  • Writer: Montipa Virojpan
  • Photos: Genie Records

ย้อนไปช่วงที่เริ่มทำ Fungjaizine ทุกเดือนเราจะต้องหาศิลปินมาขึ้นปก ซึ่ง PALMY คือชื่อแรก ๆ ที่ทีมงานนึกถึงและคาดหวังว่าจะมีบทสัมภาษณ์ของเธอในคอลัมน์ เห็ดทอล์ก เธอคือศิลปินที่เป็นแรงบันดาลใจให้นักร้องนักดนตรีรุ่นใหม่หลายคน เหตุผลหนึ่งก็เพราะความที่เราแทบจะโตมาพร้อม ๆ กับเพลง อยากร้องดังดัง และคุ้นชินกับลุคฮิปปี้ผมยาวแต่งตัวกรุยกรายของเธอ ไปจนถึงการแสดงสดที่เธอเปลือยเท้ากระโดดโลดเต้น เอนเตอร์เทนคนดูได้สนุกสุด ๆ จนเมื่อเวลาผ่านไปสามปี ในที่สุดเราก็ได้มาพบและพูดคุยกับ ปาล์มมี่—อีฟ ปานเจริญ ตัวจริงเสียงจริง ที่ตอนนี้เธอก้าวเข้ามาเป็นสมาชิกคนล่าสุดของ Genie Records พร้อมสองซิงเกิ้ล นวด และ แม่เกี่ยว ที่ถ่ายทอดมุมมองความคิด รสนิยม และพัฒนาการทางดนตรีที่ก้าวกระโดด จากวันนั้นสู่วันนี้ ปาล์มมี่เปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง เราจะมาหาคำตอบกันที่บทสัมภาษณ์นี้

palmy-fungjaizine-4

ก่อนหน้านี้ PALMY หมดสัญญากับแกรมมี่แล้วพักไปช่วงนึง ช่วงนั้นหายไปทำอะไรมากบ้าง

ก็ใช้ชีวิต แต่งเพลง ทำเพลง แล้วก็ทัวร์อยู่ ไม่เคยห่างจากการทัวร์คอนเสิร์ตเลยอันนี้คือช่วงไหน มี่หมดสัญญากับแกรมมี่สามครั้ง แล้วมี่ก็ออกจากแกรมมี่สามครั้ง (หัวเราะ) ตอนนั้นมี่ก็ออกมาทำคอนเสิร์ต Barefoot Acoustic เอง คอนเสิร์ต Barefoot มันก็เป็นงานอีกแบบนึงนะ เวลาเราเห็นคนเล่นอะคูสติกมันไม่อะคูสติกจริง แต่อันนี้มันเป็นอะคูสติกหมดเลย โปร่งจริง ๆ ถามว่าเขาเก็ตทะลุทะลวงหรือเปล่า แฟน มี่ที่เฮละโลแบบพี่มี่ไปไหนเราไปกันก็อึ้ง ไปเหมือนกัน ฟังแล้วก็มีอึน อะ พอแล้ว พอก่อน… แต่มี่รับรู้ได้ตั้งแต่ตอนซ้อมแล้วว่าเขาเก่งมาก ต่างจากวงเราเลยนะ (หัวเราะ) มี่เอานักดนตรีมาจากนิวยอร์กมาเล่น ทุกคนเป็นฝรั่ง แล้วต้องมาประสานเป็นภาษาไทย เพลงเพลงเดียวกันมันดูดีดง่าย แต่พอเสียงกีตาร์โปร่งมันเปล่งออกมาแล้วมันดีจังเลย คือเราไม่รู้ว่าการไมค์กิ้งเกี่ยวด้วยหรือเปล่า แต่มี่ให้ sound engineer จากเมืองนอกบินมาทำให้ด้วย เพราะมี่อยากรู้ว่าในสถานที่แบบนี้ เอาฝรั่งมาเล่น มาทำเพลงของมี่ มันจะต่างไหม แล้วมันจะออกมาเป็นยังไง ปรากฏว่าหลายอย่างมันดีขึ้นมาก การฟังของมี่ดีขึ้น มี่ร้องเพี้ยนน้อยมากในงานวันนั้นเพราะทุกอย่างเคลียร์ บางทีคอนเสิร์ตใหญ่เราร้องเพี้ยนเละเลยนะ เพราะเราไม่ได้ยิน มันลั่น ตีกัน ปนกันไปหมดเลย อันนี้ก็ใช้เครื่องเสียงไทย เนี่ยแหละ ทำไมมันดีอะ ทั้งผู้เล่น การจัดการระบบ ear mornitor มี่ได้กับตัวมี่อาประสบการณ์ตรงนั้นมาเก็บเอาไว้ แล้ววันหน้ามี่จะทำอย่างนี้ จะดูแลเรื่องพวกนี้ให้ดีขึ้น จนมาถึงวันที่มี่เล่น G19 sound engineer มี่ได้รับคำชมมากเลยว่าซาวด์ของปาล์มมี่ดีมาก อาจจะสืบเนื่องมาจากหลายช่วงที่มีเก็บอันนี้มา แล้วค่อย ปรับเปลี่ยนและพัฒนาให้มันฟังออกมาคุณภาพดีขึ้น แล้วก็ได้เจอกับพี่ฮิวโก้ ได้ทำงานด้วยกัน มันเป็นจังหวะที่พอเราหมดสัญญา จะไปทำงานกับใครมันก็ง่ายขึ้น เพราะเราไม่ติดว่าต้องแจ้งกับค่าย คล่องตัวดี มี่คนเดียวตัดสินใจได้เลย พอเจอแสตมป์ก็ชวนมี่มา featuring ในเพลง ซึ่งมี่ก็โอเคโดยไม่ต้องแจ้งให้เป็นเรื่องใหญ่ทางการอะไร

ทำไมถึงยอมกลับมาแล้วเลือกให้ Genie Records เป็นคนดูแลในครั้งนี้

มี่ไม่เคยปล่อยเพลงมาโดยไม่มีค่าย มี่ไม่รู้ว่าถ้ามี่ทำงานเสร็จแล้วมี่จะทำในพาร์ตโปรโมตเองได้ด้วยไหม ก็ไม่ได้มีความมั่นใจว่าเราจะทำได้ ก็เลยเอาเพลงมาทิ้งไว้ที่นี่

การเป็นศิลปินที่อยู่ค่ายใหญ่หรือค่ายเล็กมีข้อดีข้อเสียยังไงบ้าง

มี่ได้อยู่มาทั้งสองแบบ มี่ได้ออกมาทำคอนเสิร์ตเอง ได้ลองทำงานกับคนอื่น มี่ก็เห็นความคล่องตัวตรงนี้ มันไม่ต้องใช้การตัดสินใจหลายคนผ่านกระบวนการขั้นตอนอะไรที่มันเยอะมาก เพียงแต่มี่ไม่เคยปล่อยเพลงโดยไม่มีค่าย ถามว่ามันมีผลกับเพลงมี่ไหม ไม่มี เพราะว่าสุดท้ายแล้วเพลงมันออกมาจากบ้านมี่ จากคอมพิวเตอร์ที่มันตั้งอยู่ในห้องนั้น ไม่ได้ทำงานมาแล้วให้ที่นี่ตรวจแล้วถึงจะออกไปได้ ค่ายที่มี่อยู่ตอนนี้มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย 100% คือเรา แค่นั้นแหละ ข้อเสียของการมีค่าย ตอนนี้ก็เรื่องเดิม คือมันจำกัดในการทำงานกับคนอื่น บางทีมันก็พลาดโอกาสที่เราจะได้ไปทำอย่างอื่นมากกว่า พอมันเป็นเรื่องใหญ่ที่ค่ายต้องดูแลทั้งระบบ มันก็มีเรื่องเงินมาเกี่ยวข้อง มาจำกัดให้มี่ไม่ลื่นไหล

พูดถึงเพลง นวด กับ แม่เกี่ยว มีคอนเซปต์ดนตรีในสองเพลงนี้ไหม เพราะกลิ่นของเพลงไทยท้องถิ่นชัดเจนมาก

เมื่อสักประมาณ 2-3 ปีก่อนหน้านี้มี่แต่งเพลงไว้เยอะมาก หลาย อัลบั้มมี่ไม่เคยเอาเพลงตัวเองออกมาเป็นจริงเป็นจังสักที ตั้งแต่ชุดแรกก็มีแค่เพลงเดียว แล้วพอหลังจากนั้นมี่รู้สึกว่าเราแยกร่างไปเลยดีกว่า ถ้าเราเป็น performer เราก็ทำในพาร์ตเรา คนที่เป็นมืออาชีพด้านแต่งเพลงก็ให้เขาทำไปแล้วเราก็เข้าไปขลุกด้วย เข้าไปเล่าเรื่อง บางเรื่องก็เป็นเรื่องส่วนตัวมาก มี่ก็ต้องยอมฉีกตรงนั้นออกมา มันต้องการความไว้ใจในการทำงานตรงนั้นมาก เพราะเขาจะมารู้เรื่องเราเยอะมาก แต่มี่ก็ได้ซ้อมเขียนเพลง แต่งเมโลดี้ ลองขึ้นเพลงมาตั้งแต่อัลบั้มแรก พอมาถึงวันนี้ก็เลยได้ออกมาเป็น นวด กับ แม่เกี่ยว ซึ่งมีอีกหลายเพลงมากที่กำลังทำอยู่ ก่อนหน้านี้ชุด 5 มี่ได้ไปคุม เหมือนเป็นผู้รับเหมา มี่จะเห็นสิ่งที่มันเกิดขึ้นทุกกระบวนการ ถ้าเนื้อไหนไม่ใช่ หรือไลน์ดนตรีไหนเราอยากเพิ่มเติม ก็จะคุยกับโปรดิวเซอร์ แต่อัลบั้มใหม่ยังไม่มีโปรดิวเซอร์ มี่แทบจะโปรดิวซ์เองด้วยซ้ำไป กว่าแต่ละไลน์ดนตรีมันจะผ่านหูมี่ไปได้… โอ๊ย อันนี้หมดอายุละ ไม่ชอบแล้ว สองเดือนถัดมาก็เปลี่ยนอีกแล้ว คนอื่นฟังก็อาจจะแบบ โห ทำเพลงต้องขนาดนี้เลยหรอ มันไม่มีคนมาหยุดมัน บอกว่าตรงนี้คือจุดสิ้นสุด พอได้แล้ว ไม่มีเรื่อง timing หรือค่าใช้จ่าย เราก็ใช้แหลกเลย แต่ว่ามี่ชอบทำงานแบบนี้เพราะมี่เป็นคนแบบนี้ ไม่ใช่ว่าอยากทำเองนะ มันเหนื่อย (หัวเราะ) ยังหาคนที่จะมาทำหน้าที่นี้ไม่ได้ 

แล้วสองเพลงนี้ใช้เวลาทำงานนานไหม

นานมาก อย่างเพลง นวด เนี่ยใช้เวลา 8 เดือน แต่ไม่ได้ทำทุกวันใน 8 เดือนนะ มันคือวันนึงทำ แล้วทิ้งไว้ก่อน ไปขยับเพลง แม่เกี่ยว ทิ้ง แม่เกี่ยว แล้วไปขยับอีกเพลง 

ตอนแรกมี่อยากปล่อย แม่เกี่ยว ก่อน แต่ทุกคนฟังแล้วรู้สึกว่า แม่เกี่ยว อาจจะเครียดเกินไป ก็เลยอยาก introduce ตัวเองในภาคสนุกสนานแบบที่ทุกคนชิน มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่อัลบั้มแรกเลยนะ ระหว่างเพลง อยากร้องดังดัง กับทบทวน มี่เลือก ทบทวน แต่ว่าพี่เล็กบุษบา ดาวเรือง กับผู้บริหารทั้งหลาย เขาบอก อยากร้องดังดัง แหละ ให้คนเห็นในพาร์ตสดใส คือมันเป็นระบบที่เขาทำการตลาดอะ ซึ่งมี่ก็อะไรก็ได้ สุดท้ายมันเป็นเพลงที่มีชื่อมี่อยู่ดี

แล้วเรื่องราวที่บอกว่าเขียนขึ้นมาเอง มีที่มาที่ไปยังไง

นวด เป็นแจ๊ป กับ เงาะ The Richman Toy เขียน แล้วมี่ก็มาทำต่อ มี่ชอบสังเกตชีวิตคน คือมี่ไปร้านนวดวันนั้น ก็นั่งอยู่ เห็นเขาน่าตาแบบ… น่าจะเป็นคนโดนนวดมากกว่ามานวดให้เรา เขาดูไม่ไหวแล้วอะ ระหว่างเรากับเขาใครร่อแร่กว่ากัน แล้วมี่ก็คิดถึงว่าเขาต้องมีอะไรที่เจ็บปวดในแต่ละวัน แต่เขาต้องมาบริการเรา ก็เลยนึกไปถึงเรื่องที่มี่โดน มา ความรักที่บางทีเขาบอกว่าเขารักเรา แต่เวลาเราล้มมาแล้วเขาเหยียบเราซ้ำ ทำไม่ดี เราคาดหวังว่าคนคนนึงเขาจะมาจับมือเราลุกขึ้นไปด้วยกัน แต่เขาไม่ได้อยู่ตรงนั้น มันเป็นความรักที่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย คือทุกคนต้องเจอมาแหละ ก็พอมาคุยกับแจ๊ปก็ได้ inspired เรื่องนวด มันต้องลิงก์อะไรกับความรักนิดนึง ก็คิดอยู่นาน แล้วแจ๊ปกลับมาพร้อมกับท่อนนี้ ก็คิดว่ามันแจ๋วนะ แต่สิ่งที่ยากที่สุดคือดนตรี ตอนนั้นคอร์ดที่มาเป็นอย่างอื่นที่ซับซ้อน แบบ ยากอะ มันก็เลยต้องปรับออกมาเป็นอะไรที่ง่าย ย่อยแล้วจบเลย มี่พยายามหาบาลานซ์ตรงนั้นอยู่ก็ทำออกมาสี่เวอร์ชัน คือพอจบเรื่องเนื้อร้องมี่ก็ต้องมาเวิร์กตรงดนตรีต่อ พอไม่มีโปรดิวเซอร์มันก็เป็นขั้นตอนที่หลายอย่างมาก การอัด การมิกซ์ มี่เลยตัดสินใจส่งไปอัดนิวยอร์กชื่อ Sterling Sound เพราะเขาก็ทำงานให้ศิลปินที่เราชอบ

เวอร์ชันที่ทำแล้วไม่ได้ใช้คิดจะปล่อยออกมาไหม

โห น่าเกลียดมาก มี่ฟังแล้วมี่ยังแบบมันทุเรศอะ (หัวเราะเราดื้ออยู่คนเดียวเลยวันนั้น มี่ดีใจมากที่ทุกคนบอกว่า อันนี้อะได้แล้ว มี่ไม่ได้มืออาชีพทางด้านการเป็นโปรดิวเซอร์ เราทำมา 8 เดือน หูเราช้ำมากกับเพลงนี้ มันเลยพลาดเรื่องเทมโปว่ามันเร็วเกินไป เหมือนมี่ไม่ได้คำนึงถึงคนฟังเลยว่าเขาจะร้องไม่ทัน มี่เอาตัวเองว่ามันต้องอย่างนี้ มันสนุก อันนี้คือข้อเสียเวลาเราทำงานเอง เราไม่ได้เผื่อหูนี้ให้ใคร

ในอนาคตจะมีงานที่ฉันทำแบบนี้ ไม่สนใครไหม

ก็เนี่ยทำอยู่ (หัวเราะ) อย่างเพลง แม่เกี่ยว ทำโดยที่ทราบแต่แรกเลยว่ามันไม่ได้เป็นเพลงฮิตอะไร แต่มันถ่ายทอดเรื่องราว ความรู้สึกที่มันจริงจังขึ้นกว่า นวด คือมี่ไปทัวร์ มี่ใส่หูฟังฟังเพลงอยู่ มีประมาณสิบยี่สิบเพลงที่มี่ทำเมโลดี้ไว้แล้วมี่ใส่ mp3 ได้ ก็ฟังวนไปเรื่อย ๆ จนมาถึงเมโลดี้เพลง แม่เกี่ยว ‘หน่านาน้านาหน่า น้านานา หน่านาน้านาหน่า’ (ฮัมเพลง)  พอมี่นั่งผ่านรถเกี่ยวข้าวมี่ก็ให้เขาถอยรถตู้แล้วลงไปถ่ายรูป มี่ก็เอารูปนี้มาเปิดดูในโทรศัพท์ แล้วฟังเพลงนี้ไปด้วย มันก็แบบ yeah! เราควรเขียนเรื่องเกี่ยวข้าวนะ หลังจากนั้นก็ไปชวนพี่บอย Lomosonic พี่แจ๊ป The Richman Toy พี่เชาวเลข Smallroom ก็เป็นทีมที่ มี่ทำงานด้วยกันเรื่องเขียนเนื้อ เราจะเรียกว่าทีม ‘Tuesday’ เพราะเราจะนัดกันวันอังคาร ชื่อโง่ปะ (หัวเราะ) ก็มานั่งที่บ้านแล้วมี่ก็ขึ้นเพลงมาก่อน verse พี่บอยก็พูดว่า ‘พี่ ผมอะ เพิ่งปลดหนี้ ธกส ผมลูกชาวนา’ มี่แบบ oh man! มันเหมือนพระเจ้าส่งมา มี่ไม่รู้มาก่อนว่าเขามีมุมนี้ แล้วเขาทำงานได้ละเอียดละออมาก เขียนจบภายในวันนั้น ละมี่ก็ทิ้งเพลงนี้ไว้ มันเหมือนขาดท่อนนึง คือท่อน bridge ก็ไปใช้ชีวิตต่อ ไปเที่ยวเคนย่ากลับมาก็เขียนได้ ทีนี้มันออกมาทั้งเมโลดี้และเนื้อเลย มี่เขียนด้วยอารมณ์โกรธตัวเองด้วยว่าทำไมทำอะไรแบบไม่จบเป็นเพลง สักที ทำไมมันไม่สำเร็จ มีทั้งความโกรธ ความอยากจะเดินต่อไปข้างหน้า จะฮึดแล้ว ไม่มีใครช่วย จะทำเอง มันก็เลยเป็นเรื่องนี้ ใจนึงมี่ก็นึกอินเรื่องจำนำข้าว เพราะมี่ก็ปลูกผักปลูกหญ้า มี่รู้สึกว่ามันเป็นงานที่หนักมาก แล้วมันก็คล้ายคลึงกับชีวิตของการเป็นนักร้อง นักดนตรี มันมีฤดูกาลของมัน มีช่วงที่ต้องนั่งทำเพลง นั่งบ้าอยู่คนเดียวโดยที่คนข้างนอกก็ไม่รู้ว่าเราทำอะไรอยู่ เราหายไปไหน จริง ๆ ไม่ได้หาย เราพยายามของเราอยู่ แล้วมันก็มีช่วงที่เพลงออก ได้ออกไปเห็นโลก ไปทัวร์คอนเสิร์ต ได้เก็บเกี่ยวผลผลิตที่เราได้ซุ่มทำ ที่เราได้หว่านมันมา มี่พยายาม blend สองเรื่องเนี้ย ชีวิตของมีกับสิ่งที่มี่เห็นในชีวิตมนุษย์

เพลงส่วนใหญ่ที่จะออกมาในชุดนี้จะเป็นเรื่องประมาณนี้หมดเลยหรือเปล่า

ยังไม่แน่ใจ แต่ว่ามีช่วงดาร์ก มีเพลงนึงชื่อ ฤดูใบไม้ร่วง ทุกคนต้องมีช่วงร่วงหล่นในชีวิต มันเป็นใบไม้ที่แห้งใบสุดท้ายแล้วก่อนที่ต้นไม้ต้นนั้นจะโกร๋นไป มี่รู้สึกว่าตัวเองเป็นใบนั้นในบางเวลาที่เราพยายามอยู่ มันก็จะมีช่วงนึงที่เป็นเพลงชีวิต เมื่อสักสองปีที่แล้ว แต่เมื่อคืนมันก็เริ่มเปลี่ยนอีกแล้ว เพราะมู้ดเราเปลี่ยน

สีสันดนตรีในอัลบั้มนี้จะออกไปในทิศทางไหน

มี่ว่ามันคงเป็นป๊อปร็อก มี่จำกัดความไม่ได้ว่า แม่เกี่ยว มันเป็นอะไร มีแค่รู้สึกว่ามันขาดเสียงนี้ มี่ก็เติมเข้าไป บางคนก็บอกว่ามันเป็นเพื่อชีวิต บางคนบอกว่าเป็น world music มี่ให้เพื่อนคนญี่ปุ่นฟังเขาก็บอก เออมันมีความแจ๊สในนั้นด้วยนะ มี่แบบ ไปนั่นเลยหรอ (หัวเราะ) ไม่ได้คิดเรื่องนี้เลยว่ะ มันมีความเป็นเพลงจิตวิญญาณ มีโซลนิดนึง แล้วสรุปเราควรจะจำกัดความมันเป็นยังไง ฟังแล้วได้ยังไงก็เป็นอย่างนั้นแหละ

อัลบั้มมีกำหนดออกไหม

ไม่มีค่ะ เอางี้ดีกว่า จะเสร็จหรือเปล่า คือเพลงมันเยอะมาก มี่ทำอยู่ตลอด ไม่เคยได้ห่าง แต่ไม่ได้โพสต์ภาพเพราะรู้สึกว่าจะมีคนทักว่า พี่ทำอีกแล้ว แต่พี่ไม่ออกเพลงสักที (หัวเราะ) มันบ่อยจนมี่เขิน มี่เลยไม่โพสต์เลย ถ้ามี่ทำมี่จะทำเงียบ เนี่ยเขาทวงกันตลอดเลย

จะมีคอนเสิร์ตเร็ว นี้ไหม

น่าจะยังนะ คอนเสิร์ตใหญ่เรื่องใหญ่มาก แล้วก็เพิ่งมี G19 ไป (FJZ: เป็นยังไงบ้าง) ก็ดีนะคะ โชว์มันสั้นยังไม่ทันรู้สึกอะไร มี่ก็ใส่ไปในแบบที่พอจะทำได้ เพราะมี่ก็ทราบว่าตัวเองเป็นน้องใหม่ในวงจร Genie Records แล้วคนที่ฟังก็เป็นขาร็อก มี่ไม่ใช่ขาร็อกประเภทนั้น เลยไม่ได้ตั้งความหวังกับวันนั้นเท่าไหร่

palmy-fungjaizine-3

ทำไมถึงเลือกเพลง ผงาดง้ำค้ำโลก มาเล่นกับ Paradox

มี่ชอบเพลงนั้นของ Paradox ที่สุด มันเป็นเพลงเดียวที่มี่นึกถึงเลย มี่ไม่ชอบ ฤดูร้อน ทะเลสีดำ มี่ไม่เอาเลย แล้วถ้าจะแจมต้องเป็นเพลงนี้เท่านั้น (FJZ: แล้วตอนที่แจกกีตาร์นี่แจกจริงใช่ไหม) แจกจริง เราเอาคืนได้ปะ (หัวเราะ) ล้อเล่นนะ ก็ตั้งใจนะที่ถ้าคนดูมันมากก็เอาไปเลยดีกว่า แต่จริง แล้วคนที่ได้ไม่ใช่คนที่มี่มองไว้ด้วย ทีแรกมี่เล็งกีตาร์ทิ่มไปที่หน้าผู้ชายคนนึง โอเคนะ รอรับนะ แล้ววืด ตอนจบกลายเป็นผู้หญิง ขึ้นรูปมาว่า ดีใจมากได้กีตาร์พี่มี่ มี่แบบ… (ทำหน้าเหวอ) สงสารคนนั้นนนน แต่เขาได้ก็ดีค่ะ

เซ็ตลิสต์ที่หยิบไปเล่นเลือกเองหมดเลยหรือเปล่า

ใช่ มี่ก็ไม่ได้อยากเล่น อยากร้องดังดัง นะเอาจริง แต่ว่ามันเกิดขึ้นไปแล้ว มี่เลิกไม่ได้แล้ว มันเป็นเพลงที่คนรู้จักมี่ มี่ถึงบอกไงว่ามี่ไปล้างจุดที่เป็น Stay ทบทวน กลัว ไม่ได้ มันคือมี่มาก แต่ว่าไอ้ความพุ่งพล่านมันก็คือมี่เหมือนกัน เพลง ทำเป็นไม่ทัก มี่เล่นตลอดทุกโชว์ ไม่เคยทิ้งเพลงนี้เลย

เบื่อเพลงตัวเองบ้างไหมเวลาต้องเล่นซ้ำ

เบื่อค่ะ แต่ก็ต้องทำต่อไป เพราะคนที่มาดูเมื่อวานไม่ใช่คนเดียวกันกับวันนี้ เราต้องคิดแบบนี้ แต่อย่างที่บอก มี่เป็นคนดูคอนเสิร์ตด้วย วันนั้นมี่ไปดู Erykah Badu กับ KT Tunstall เขาไม่เล่นเพลงนึงที่มี่อยากฟัง แล้วมี่รู้เลยว่าเขาเบื่อ มี่ก็ยืนรอแล้วมี่โกรธเขา ทำงี้เลยหรอ เอางี้ช้ะ เรากับนายขาดกัน (หัวเราะ) หรือว่าเล่นแบบ arrange ใหม่แบบที่ส่วนตัวเกินไป come on! อยากได้ยินสิ่งนั้นอะ พอเอาใจไปวางจุดนั้นเราก็ได้รับรู้ วันที่มี่ต้องขึ้นเวทีจริง อยากร้องดังดัง เขาเคยฟังตอนเขาเด็ก มี่ก็คงต้องเล่น ไม่เล่นไม่ได้ ทั้งที่มี่ร้องมาหมื่นกว่ารอบได้แล้วมั้งเนี่ย รวมซ้อมด้วยนะ เหมือนเปลี่ยนวงทีก็ซ้อมมันอยู่นั่น (หัวเราะ)

มีเพลงไหนที่อยากเล่นแต่ไม่ค่อยมีโอกาสได้เล่นบ้าง

Private Sky ค่ะ หลายเพลงเลยอะ ไม่ใช่ว่าไม่เคยเล่นนะ เล่นแล้วเขาไม่ฟัง ทุ่งสีดำ ก็อยาก เราชอบมาก ชอบไลน์ประสานตรงนั้นมาก ยังจำตอนที่อัดเพลงนี้ได้ ขนลุกไปหมด คือพี่ ธีร์ ไชยเดช เล่นกีตาร์อยู่อีกห้องนึง แล้วเราเล่นกับร้องพร้อมกัน มี่ไม่เคยทำอย่างนี้มาก่อน เคยแต่มีใครไม่รู้อัดกีตาร์มาแล้วให้มี่ร้อง แต่อันนี้ได้มาเห็นหน้า พอเล่นเสร็จต่างคนต่างขนลุกอะ เม็ดเมื่อกี้ชอบมากเลยค่ะที่พี่เล่น พี่เขาก็บอกท่อนนี้ดี มันดีต่อใจมี่ เพลงนี้เคยเล่นด้วยนะ แต่เล่นแล้วเงียบกันทั้งห้อง แล้วให้มี่ทำไง พอเอาไปเล่นอย่างนั้นแล้วเขาไม่รับ คนที่จ้างมาเล่นคงรู้สึกไม่สนุกด้วย แม้กระทั่งมี่เล่นเพลงเร็วติดกัน 4 เพลง เขายังบอกว่า อ๋อ เดี๋ยวนี้ปาล์มมี่เล่นแต่เพลงช้า ทั้งที่อีก 9 เพลงเป็นเพลงเร็วหมดเลยเว่ย เต้นขาจะหักแล้วอะ คือมันยังไง จะต้องบาลานซ์ยังไง แบ่งที่ตรงนี้ให้มี่บ้างเหอะ ถึงบอกไงว่าต้องรักษาบรรยากาศการเล่นคอนเสิร์ต ไม่งั้นความรู้สึกมี่จะไปแล้ว

เป็นคนที่ได้รางวัลเยอะมาก ในหลายปีที่ผ่านมา สำหรับ PALMY คิดว่ารางวัลสำคัญกับศิลปินไหม

มาถึงจุดนึงไม่สำคัญนะ วันนั้นที่ได้รางวัลมี่ดีใจแหละ พอมาถึงสักประมาณอัลบั้ม 5 มี่รู้สึกว่า สุดท้ายแล้วคนก็ลืมสิ่งพวกนี้ไป มันก็ไม่ได้สำคัญอะไรนอกจากทำงานที่มีคุณภาพออกมา แล้วคนพูดถึงมากกว่ารางวัลที่มี่ได้อีก มันแค่นั้นเอง

มีเคล็ดลับยังไงที่ทำออกมากี่เพลงก็ดัง มันเป็นสิ่งที่ศิลปินหลายคนอยากทำได้

ขอบคุณนะคะสำหรับคำถาม รู้สึกว่าตัวเองเป็น passion ให้ใครหรืออะไรสักอย่าง… เคล็ดลับคืออะไรหรอคะ มี่ว่ามี่เป็นคนที่ทุ่มเทมาก ทุกเรื่องที่มี่ทำเลย ไม่ใช่เฉพาะเรื่องเพลง มันคงจะเป็นยีนนี้มั้งที่มี่ได้รับมาจากครอบครัวมี่ แล้วเวลาเราเริ่มอะไรแล้วเราต้องจบมัน เราทำมันแล้วต้องทำให้ดีที่สุด ไม่ว่าจะปลูกต้นไม้ จะแต่งบ้าน มี่จะไปให้สุดเลย เวลามี่ทำงานกับใครแล้วคนจะบอกว่ามี่บ้ามาก บ้างานเกินไป relax บ้างดิ ตั้งแต่อัลบั้มแรกเลย ห้องนี้เป็นห้องอัดที่มี่เคยอยู่ค่าย RPG (ชี้ให้ดูห้องข้าง ๆ ที่สัมภาษณ์) มี่มาซ้อมตั้งแต่สมัยมี่ยังสอนภาษาอังกฤษเด็กอนุบาล แล้วมี่ต้องนั่งรถมานี่ จันทร์ พุธ ศุกร์ มี่เอาเงินที่ได้จากค่าสอนมาเป็นค่ารถ เพราะว่ามันไกลมากจากตรงนี้ (อโศก) ไปโรงเรียนที่มี่สอนที่สาธรอะ มี่มาซ้อมแบบไม่หยุด จนเกินความจำเป็น เพราะเพลงที่ซ้อมมันไม่ได้จะออกไง มันแค่วอร์มเสียง แต่มี่เอาให้ดีที่สุด มี่ไม่อยากให้ใครผิดหวัง แล้วทุกคนมักจะพูดว่าแบบ มี่พอได้แล้วมั้ง เลิกร้องเหอะ แต่มี่ไม่เคยอยากหยุดเลย มี่คิดว่าตอนนั้นมี่ตอบคำถามนี้ไม่ได้หรอกนะเพราะมันไม่ได้ผ่านวันต่าง มา มี่อยู่ โมเมนต์นั้น วันนี้มี่ตอบคำถามนี้ได้ มันคงเป็นเพราะอันนี้มั้ง

ถ้าย้อนกลับไปตอนออกอัลบั้มแรกคิดว่าจะมาถึงตรงนี้ไหม

ไม่คิดค่ะ เพราะคิดว่าจะเลิกตลอดเวลา แม้กระทั่งทุกวันนี้ เมื่อสักแบบสองวันที่แล้วเพิ่งกลับมาจากทัวร์ มี่เก็บบ้านอยู่ แล้วมี่ก็คิดว่าอยากเลิกแล้วอะ เหนื่อยนะ เพลงที่ค้างอยู่ยังไม่เสร็จเลย ต้องออกไปทัวร์อีกแล้ว มี่ไม่มีเวลาใช้ชีวิตเลย การใช้ชีวิตมี่ว่ามันสำคัญมากเลยนะ เพลงบ้านี่มัน bullshit thing, come on! ทำอะไรอยู่ แวบนึงมันเป็นอย่างนี้ แล้วมี่คิดตลอดเวลาตั้งแต่มี่ทำอัลบั้มแรก พอมี่ทำเสร็จมี่จะพอแล้ว แม่มี่อยู่ที่ซิดนีย์คนเดียว มี่คงต้องกลับไปอยู่กับเขา แต่โปรดิวเซอร์ก็บอกว่า เออ ทำอีกสักชุดละกัน เราก็ทำ พอทำเสร็จ สัญญาเหลืออีกสามปี แต่ค่ายไม่อยู่แล้วเพราะออกไปทำ Craftman มี่ก็ติดอยู่ในแกรมมี่ นั่งว่าง สามปี ผู้ใหญ่ก็ชวนมี่ทำเพลง มี่ก็ทำ พอจบมี่ก็คิดเลิกอีกละ (หัวเราะ) แต่รอบนี้มี่เลิกจริง เลิกไปทำอย่างอื่น ไปดูเฟอร์นิเจอร์ คุยกับแม่ว่าแม่ทำร้านอาหาร ก็คงไปช่วยแม่ ระหว่างนั้นก็เริ่มทำเพลง เหมือนมันอยู่ข้างในแล้วมันเริ่มคิดออกว่าอยากพูดเรื่องนี้ มีเพลงแบบนี้ก็อยากทำ จนสะสมเพลงมาได้แล้วไปเจอพี่เล็ก Greasy Cafe พี่ต้า Paradox ไปนั่งอยู่ในสตูดิโอเขาแล้วลองแต่งเพลงกัน มันก็ได้มาอีก มันก็เลยเป็นอย่างนี้ แต่เมื่อไหร่ที่อยากพักแล้วมันจะไปตลอดเลย (หัวเราะต้องให้เวลาชาร์จตัวเองก่อน นักดนตรีวงมี่น่าสงสารสุดเลย แบบ เอาอีกแล้วหรอ เราก็เลยต้องรักษาบรรยากาศในการเล่นดนตรีด้วยกันให้มันดี

แล้วพอมาถึงจุดที่เพลงใหม่คนร้องตามไม่ค่อยได้แล้ว รู้สึกยังไง

มี่ต้องเดินหน้าต่อไป มี่ต้องยืนยันสิ่งที่มี่เป็น feedback ถามว่ามันดีเหมือนเมื่อก่อนไหม มันก็ไม่เป็นอย่างนั้น มี่มาจากอีกยุคนึง แล้วมันเดินทางเข้าสู่อีกยุคนึง เดี๋ยวนี้คนสัมภาษณ์มี่ก็เป็นรุ่นเด็กหมดแล้ว ไม่เหมือนเมื่อก่อนมี่เป็นเด็กแล้วมีผู้ใหญ่มาสัมภาษณ์มี่ มันก็ก็ต้องไปต่อ มี่ต้องทำต่อไป มี่ก็มีหน้าที่เอาเพลงใหม่ไปทัวร์คอนเสิร์ตเหมือนเดิม คนก็ไม่ค่อยตอบรับสักเท่าไหร่นะ มี่ต้องเล่นอะ ไม่เล่นไม่ได้ และมี่จะไม่มีวันหยุดเล่นเพลงนี้ด้วย ไม่มีวันออกไปจากเซ็ตลิสต์มี่ เพลง แม่เกี่ยว ไม่เสียใจที่ feedback มันจะไม่เยอะอะไร แต่ที่มี่เข้าไปอ่านคอมเมนต์อันนี้มี่ภูมิใจสุด เลย คนที่เข้าถึงมันเขารู้สึกว่ามันไม่มีที่ติ พอมันถึงแก่นที่เขาเข้าไปแตะได้ มี่รู้สึก… (ถอนหายใจ) ขอบคุณมาก จะไม่ยอมแพ้ด้วย

มาถึงจุดนึงไม่สำคัญนะ วันนั้นที่ได้รางวัลมี่ดีใจแหละ พอมาถึงสักประมาณอัลบั้ม 5 มี่รู้สึกว่า สุดท้ายแล้วคนก็ลืมสิ่งพวกนี้ไป มันก็ไม่ได้สำคัญอะไรนอกจากทำงานที่มีคุณภาพออกมา แล้วคนพูดถึงมากกว่ารางวัลที่มี่ได้อีก มันแค่นั้นเอง

เคยเห็นรูป PALMY ในสตูดิโอที่บ้าน แล้วใช้ที่ช้อนปลาคลุมไมค์ เป็นคนชอบทดลองอุปกรณ์หรือเปล่า

ไม่ใช่ เราไม่มีของ (หัวเราะ) เราไม่ได้ซื้อ แล้วเราก็แบบ เฮ้ย ขี้เกียจขับรถไปแล้ว ไม่งั้นมันต้องเซ็ตไอ้นั่นไอ้นี่ มันหลายเรื่อง แต่เราดันลืมฟิลเตอร์อันนี้ได้ยังไง เราเลี้ยงปลาที่บ้านก็ลองเอาที่ช้อนปลามาใช้ เฮ้ย มันได้อยู่เหมือนกัน (หัวเราะ) แล้วก็มีอันที่คนอื่นทักเรื่องที่มี่ไม่ได้คิดว่ามันแปลก เขามาที่บ้านแล้วก็จะทักพวกของประดิษฐ์ พวกที่เป็นเหมือนของขลังของมี่ ทั้งพระ เขี้ยว อะไรมาปัก ๆๆ เวลามี่ร้องเพลงมี่จะเห็นทุกอย่างที่มี่ชอบ ที่มีคัดมาแล้วว่ามี่อยากเห็นหินก้อนนี้ อันนู้น อันนี้ แขวนอยู่เต็มตรงนั้น เป็นสเปซของฉัน แล้ววันนั้นร้องเพลงอะไรก็ต้องใส่เสื้อแบบนั้น ต้องแต่งชุดธีมนั้น (หัวเราะ) ถ้าเพลง นวด ก็ใส่ชุดนวด เสื้อป้าย กางเกงเล โพกหัว ชุดพื้นเมืองไทย (FJZ: ช่วยให้อินเวลาร้องหรือเปล่า) ไม่อะ ตามอารมณ์ คนมาเห็นก็จะขำ วันนี้ใส่ชุดล่าสัตว์ออกมา แจ๊ปก็ถามว่า ‘โอ้ วันนี้เราจะเขียนเรื่องล่าสัตว์กันหรอครับ’ เปล่า มี่แต่งไปกินส้มตำ (หัวเราะ) คนอื่นสังเกตแล้วบอกมากกว่า นี่คือเล่าให้ฟังจากมุมมองของเขานะคะ

นอกเหนือจากแต่งเพลง ปลูกต้นไม้ เลี้ยงปลา ทำอะไรอีก

ตอนนี้จะบ้าเรื่องน้ำผัก เริ่มมาจากเราปลูกผักแล้วเอาผักมาปั่น เริ่มรู้สึกว่าไม่ได้อยากกินคะน้าทุกวัน จะเป็นเก๊ามั้ยเนี่ยได้ยินว่ากรดยูริกเยอะ (หัวเราะ) เราต้องทำอย่างอื่นบ้าง ก็จะดูสูตรมาคั้นเอง คิดค้นไปเรื่อย เติมอะไรแล้วอร่อย เจออันที่ชอบละ คือ ผักโขม ผสมกล้วย ใส่ขมิ้น น้ำมะพร้าว เสาวรส ผงสไปรูลีน่า บางทีก็หั่นแตงกวาลงไป ใส่อโวคาโด ว้าว… เหมือนกินไอติมที่มันเละแล้ว

รู้สึกยังไงที่ตัวเองมีแฟนคลับเยอะมาก ที่ตามไปให้กำลังใจเราทุกที่ ตลอดเวลา

ก็เกรงใจเขานะ บางทีเขาก็ดูเราซ้ำ งานติดกันสี่วันเขาก็ไปสี่วัน ก็เป็นจุดนึงที่มีคิดว่าต้องหาอะไรใหม่ มาเล่นบ้างละกัน เขาจะได้ไม่เบื่อ หรือบางทีเขาก็ทำให้มี่รู้สึกว่ามี่ไปโฟกัสกับกลุ่มเขามากเกินไป ทำให้มี่เองไม่ปลดปล่อยกับกลุ่มอื่น ที่มาดูมี่ เหมือนมีจะคอยพะวงว่าเขามายืนจุดนั้น จุดนี้ มี่ต้องคอยดูแลเขา บางทีมี่แค่อยากเป็นตัวเองโดยที่มี่ไม่พะวง มันก็มีสองมุม แต่มี่ซาบซึ้งตลอดที่เขามาให้มี่เห็น อย่าง G19 เราเห็นป้ายไฟ 4 อัน เราแบบ มีป้ายไฟด้วยหรอ วงอื่นเขามีไหมเนี่ย อย่าชูขึ้นมา! (หัวเราะ) มันก็มีเหมือนกัน แฟนเพลงเราเป็นผู้หญิงไง แต่มันไม่ใช่ที่ร็อก แบบนี้ปะวะ เอาป้ายไฟลงก่อน! เราไม่รู้ว่ามันไม่ใช่วัฒนธรรมที่ไม่เกิดขึ้นในวงห้ำหื่นแบบนี้ (หัวเราะ) ก็ appreciate ครับ แต่ดูหน่อยว่าเราไปอยู่ที่ไหน

เวลาแฟนเพลงมาชวนคุยจะตอบกลับยังไง

มี่จะไม่ชอบเลยเวลาที่เขารู้ว่ามี่เป็นใคร มี่จะชอบคุยกับคนที่ไม่รู้จักมี่ มี่จะรู้สึกเป็นตัวเองสุด จะไม่มีการคาดหวังว่าเราต้องเป็นแบบไหน มี่จะคุยทะลุเลย แต่ถ้ามาแล้วมี่ก็จะ… อืมมม ก็คงเป็นเรื่องเดิม ที่เขาจะพูดกับเรา ก็คงอารมณ์นั้น

palmy-fungjaizine-1

ตอนที่ต้องร้องเพลงลูกทุ่งที่ได้ tribute ให้ พุ่มพวง ดวงจันทร์ ในงาน a day Legend ตอนนั้นรู้สึกยังไง

ชอบมาก ตอนโจทย์มาคือซ้อมเละเทะเลย โทรหาพี่เล็ก Greasy Cafe อีกละ ‘มี่คิดว่า มี่ไม่ร้องแบบนั้นที่เราซ้อมแล้วนะ มี่จะร้องอีกแบบนึง’ ไปถึงวันนั้นมี่ว่าตัดสินใจถูกนะที่มีใช้ร่องเสียงนั้นร้อง ไม่ใช่แบบตอนแรกที่จะร้องเบา ก็คิดว่าไปทางนี้ดีกว่า พอร้องเสร็จคนก็ตบมือแปะ  ไม่ได้ดังมาก เราก็รู้สึก… oh fuck เราตัดสินใจผิดนี่หว่า แต่สุดท้ายแล้วเรามาดูคลิปก็ยังชอบอันนั้นอยู่ ชอบมากเลย

จะมีโอกาสได้ทำอะไรแบบนั้นอีกไหม

มิบังอาจนะ ยากมาก มี่ไม่ได้มีกำพืดโตมากับวัวกับควาย ฟังเพลงอย่างนั้นมาตั้งแต่เด็ก วิธีคิดมี่ก็ไม่ใช่แบบนั้น ที่สำคัญเสียงของมี่มันก็ไม่ได้ไปทางนั้นเลย แล้วเดี๋ยวคนที่มาฟังก็จะแอนตี้อีก อะไรอะ มาร้องเพลงลูกทุ่งแล้วเสียงยังไม่ถึงเลยนะ มันก็จะมีคนแบบนี้อยู่ แล้วมี่จะรับได้ไหมที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์แบบนั้น แต่มี่ก็ชอบร้องเพลงลูกทุ่งนะ ก็ยังฟังเพลง น้ำตาฟ้า ของ สามโทน ชอบมาก เนื้อหามันซาบซึ้งอะ การเขียนเปรียบเปรยเขาชั้นเชิงดีมาก มี่อยากร้องนะ แต่มิบังอาจละกัน

มีช่วงนึงไปเล่นละครเวทีกับ โน้ส อุดม ใน ‘หมู่’ ด้วย

ตอนแรกก็ปฏิเสธไปแล้วนะ มี่ทำไม่ได้อะ ยิ่งอ่านบทยิ่งทำไม่ได้ ผู้ชายชื่ออัครเดช แล้วมี่ชื่อพรประภา ในขณะที่ซ้อมพูดกันนี่ มีอ่านออกเสียงออกมา อัครไม่ได้อะ!  การทอดเสียงมันไม่ได้เลย มี่เขินมาก ได้ยินเสียงตัวเองแล้วขนลุกกราวเลย พี่เขาก็บอกว่า ‘เอางี้ไหม เสริมความมั่นใจ เดี๋ยวพี่ให้ครูมาสอน ให้เวิร์กช็อปกัน’ วันนั้นมี่เครียดมากคือมี่ต้องตัดสินใจว่าจะเดินออกไปแบบจากกันตรงนี้ดีกว่าไหม… ไม่เอาอะ ขนาดมี่พูดชื่อพี่โน้สมี่ยังเขินเลย

ตอนนี้มี่มองว่าทำไมตอนนั้นทำไม่ได้ เพราะมี่รู้สึกว่าตอนนั้นทุกอย่างของมี่มันจริงมาก มี่ไม่สามารถสวมบทเป็นใครได้เลย แล้วมี่ไม่ได้เป็นสุภาพสตรีอย่างในบทที่จะต้องใส่กระโปรงสอบและใสรองเท้าส้นสูง นั่นเป็นครั้งแรก เลย เพราะพี่โน้สถามว่า ‘มี่ มี่ใส่กระโปรงรัดรูปได้ปะ’ มี่แบบ โอ๊ยยย ไม่! นั่นเป็นจุดนึงที่มี่ตัดสินใจว่าจะไม่ทำ แล้วตอนทานข้าวกัน เหมือนพี่เขามาล่อลวงอะ ตบไหล่แล้วพูดว่า ‘มี่ เชื่อพี่ เอ็งทำได้’ เราก็แบบ ก็ได้ฮะ ลองดูก็ได้ ก็เอาครูมาเวิร์กช็อป เริ่มกล้าออกเสียงมากขึ้น เขาเริ่มเอาคนจริง ที่เล่นบทเวทีมาวันนั้น เราก็แบบ นี่มันเริ่มจริง แล้วใช่มั้ยเนี่ย แล้วพอมี่เริ่มออกเสียง คุณป้าที่เล่นเป็นปอบหยิบเขาก็หันมามองมี่แบบ เหมือนมี่ทำได้ไม่ค่อยดี คุณป้าก็บอกว่า ‘ไม่เป็นไรลูก เดี๋ยวก็ได้ ๆ’ (หัวเราะ) มี่ซ้อมมาเรื่อย จนตอนนี้เขาเอาไม่อยู่เลย คิดมุขแบบ กะจะแก้แค้นเลย (หัวเราะ)

ถ้าให้กลับไปเล่นอีกจะเล่นไหม

เล่นแน่นอน น่าจะเป็นอันเดียวแล้วก็เป็นคนเดียวที่มี่จะเล่นด้วย (FJZ: พี่โน้สช่วยปลดล็อกต่อมตลกของปาล์มมี่?) (หัวเราะ) เป็นไปได้ เพราะเพื่อนที่มี่เรียนด้วยที่เมืองไทยตั้งแต่เด็กเขาไลน์มาหาแล้วบอกว่าอีฟ นี่มันอีฟมาก ฟสุด นี่คือเหมือนตัวจริงสุด ที่คนไม่เคยรู้’ คือเขาเรียกมี่ว่าอีฟ เมื่อก่อนตอนเด็ก เพื่อนจะขำเพราะเราชอบพูดตลก แล้วก็ทำท่า Charlie Chaplin ก็เป็นตัวโจ๊กของห้อง แต่ก็เป็นคนนิ่ง นั่งอยู่เงียบ ด้วยเหมือนกัน ช่วงหลังเพื่อนก็จะเห็นแต่มุมนักดนตรีทำหน้าที่ร้องเพลง พาร์ตขรึม แต่อันนี้คือเหมือนเขาไม่ได้เห็นมานานแล้ว รู้สึกว่ามันคือตอนนั้น เขาก็จะเล่าเรื่องว่าเราเคยขำเรื่องนี้ ที่อีฟพูดใช่ เขารื้อออกมาแหละ

ได้ดูตัวเองเล่นอีกครั้งแล้วรู้สึกยังไง

เหมือนกะเทยเลย ท่าเดินจะโยกไปไหน ก็ซ้อมใส่ส้นสูงอยู่หลังเวที

คนจะจำภาพว่า PALMY เป็นคนสนุก จริง แล้วเป็นคนแบบไหน

ถ้าพาร์ตใหญ่ มีเป็นซึม เงียบ แต่ถ้าเมื่อไหร่บอกว่าวันนี้จะปาร์ตี้ละ มี่จะสุดเหวี่ยงเลย (FJZ: แล้วตอนโชว์ต้องเค้นไหมว่า ฉันต้องสนุก) ไม่นะ มี่แค่คิดว่ามี่อยากให้เขาคุ้มที่เขามา แล้วมันก็ออกมาเอง ไม่อยากให้เขาเดินกลับบ้านไปแล้วผิดหวังว่ะ มันเดินทางมาไม่ได้ง่าย นะ ซื้อตั๋วมา บางทีงานเล่นต่างจังหวัดต้องหาที่พักอีก คือมี่เป็นคนเสพเพลง ไปดูคอนเสิร์ตด้วยเหมือนกัน เรามองย้อนกลับไปเราเห็นทั้งสองฝั่ง ก็เลยไม่อยากพลาดกับสิ่งที่เราต้องขึ้นไป perform แล้วเราต้องให้เขาที่สุด มี่เลยไม่ยั้งเลย กลับมาก็เอวเคล็ด เข่าเจ็บ (หัวเราะ)

มองรูปตัวเองหน้าค่ายแล้วกดดันไหมกับความคาดหวังในเพลงต่อไปจากแฟนเพลง

ไม่เห็นรูปตัวเองแล้วกดดันนะ เห็น Paradox ซะก่อน วันนั้นบอกว่าจะทำเพลงแล้วหายไป คืออะไร สองปีแล้ว นะ พี่ต้า วันหลังไม่ต้องพูด แม้กระทั่งวัน G19 ยังเดินมาหลอกเราเลยมี่ เนี่ย (ทำท่าจับปกคอเสื้อ ทำเสียงยานแบบต้า Paradox) เราทำเพลงไว้เพลงนึง เราว่ามี่จะต้องชอบ…’ ใครสั่งอะ? หรอคะ มี่จะชอบเลยหรอ งั้นขอฟังได้ปะอ๋อ ฟังตอนนี้ไม่ได้หรอก เพราะว่ามันยังไม่ครบ เรากลัวมี่ฟังแล้วไม่เข้าใจว่าเพลงตอนที่ครบมันจะเป็นแบบไหน สีมันยังไม่ได้สีประเภทไหนอะ สีน้ำหรืออะคริลิก มี่มีนะ มี่แบบ เนี่ย จนวันนี้เขาหายไปเลย พูดเพื่อ! ไม่ทวง ไม่อยากคุยด้วยแล้ว มี่ว่ามี่เดินเข้าค่ายมามี่อาฆาตเขาที่สุดแล้ว ทุกวันนี้สองปีแล้วนะ จน G19 บอกว่ามีอีกเพลงนึง แล้วเราไม่เคยฟัง มันคืออะไรเนี่ย

มีใครชวนทำเพลงอีกไหม

ก็มีพี่อู๋ The Yers ก็เคยทำเพลงด้วยกัน มีเพลงอยู่ในเครื่องแล้วอู๋ก็ถามว่า ‘เมื่อไหร่พี่จะปล่อยเนี่ยผมรอฟังอยู่’ (หัวเราะ) ที่เหลือก็ยังไม่ได้สนิทกับใครเป็นพิเศษ เขาก็ผู้ชายกันหมดอะนะ

ที่ผ่านมาได้ร่วมงานกับใครแล้วได้แรงบันดาลใจกลับมาเยอะ  บ้างไหม

พี่ ก้อ ณฐพล ก็ inspired นะ เขาเป็นคนที่ทำงานหนัก ทุ่มเท ละเอียด ไว้ใจได้เลย เขาไม่ปล่อยอะไรไม่ดีออกมาแน่นอน มี่หายห่วง ไม่ต้องพะวงหน้าหลังว่างานจะไม่เนี้ยบไหม จะไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้นในชื่อของพี่ก้อแน่นอน ทำให้มี่รู้สึกว่า come on! มีคนทำงานหนัก มี่ไม่ได้รู้สึกเรื่องนี้คนเดียว มี่ไม่ได้บ้าไปแน่ พี่เล็ก Greasy Cafe ก็ด้วย เขาเล่าเรื่องอะไรได้เด็ดขาดมาก ก็หายากที่จะเจอคนที่คมคายและเข้าใจครบแบบนั้น แม้กระทั่งเรื่องที่มันอยู่ก้นลึกในใจ เขาเขียนเปรียบเปรยได้เป็นอย่างนั้นจริง มี่ทำงานกับทีม ‘Tuesday’ มี่ได้ในเรื่องความสนุก อะไรก็ตามที่แวบเข้ามาในหัว มาจากอากาศ มันเกิดงานขึ้นได้โดยที่ไม่ต้องมีกำแพงอะไรมากั้น หรือต้องมานั่งคิดว่าพูดออกไปจะดีไหม เพราะคนสามคนนี้พร้อมฟังเรื่องยุงตัวเล็ก ก็ได้ หรือไข่แมลงวัน อยากพูดอะไรก็พูดได้เลย มี่รู้เลยว่าเขาเปิดและรอ รู้สึกดีมากที่มีทีมนี้คอยบอกว่า ‘ได้เลย เมื่อไหร่จะแต่งเพลงก็บอกมา’ นี่เป็น inspiration อย่างนึงเลยนะ เพราะทำให้มี่มีความสุข แสตมป์ก็เก่ง เป็นคนที่ชอบยิงมุขกันในแชต เขาจะถามแบบ ทำไมช่วงนี้มี่พีคอะ เราก็บอก สมองมันโฟลวมั้ง (หัวเราะ) ก็จะมีอะไรอย่างนี้ที่เป็นเพื่อนทางใจ

ได้ฟังเพลงของศิลปินใหม่ บ้างไหม

ที่มีฟังพี่ ต่าย อภิรมย์ มี่ก็ว่าดีนะคะ เขามาช่วยมีทำเพลงนึงด้วย เขียนเอาไว้ปีนึงแล้วยังไม่ได้เอามาออกเลย (หัวเราะ) My Life As Ali Thomas มี่ก็ชอบ มี่ว่าเขาเก่ง Jelly Rocket มี่ก็ฟัง Yellow Fang มี่ก็ชอบ มี่ว่ามันไม่มีค่อยวงผู้หญิงในซีนทั้งที่เพลงก็ไม่ได้ฟังยากขนาดนั้นเท่าไหร่ ก็ฟังหมดนะ บางทีก็จำชื่อไม่ได้

ใจนึงมี่ก็นึกอินเรื่องจำนำข้าว เพราะมี่ก็ปลูกผักปลูกหญ้า มี่รู้สึกว่ามันเป็นงานที่หนักมาก แล้วมันก็คล้ายคลึงกับชีวิตของการเป็นนักร้อง นักดนตรี มันมีฤดูกาลของมัน มีช่วงที่ต้องนั่งทำเพลง นั่งบ้าอยู่คนเดียวโดยที่คนข้างนอกก็ไม่รู้ว่าเราทำอะไรอยู่ เราหายไปไหน จริง ๆ ไม่ได้หาย เราพยายามของเราอยู่ แล้วมันก็มีช่วงที่เพลงออก ได้ออกไปเห็นโลก ไปทัวร์คอนเสิร์ต ได้เก็บเกี่ยวผลผลิตที่เราได้ซุ่มทำ ที่เราได้หว่านมันมา

ตอนเด็ก อยากเป็นอะไรถ้าไม่ได้เป็นนักร้อง

อยากเป็นนักร้องมาตลอด ไม่เคยอยากเป็นอย่างอื่นเลย แม่เราส่งไปที่บริษัทโฆษณาตอนช่วงปิดเทอม ไปทำกับบริษัทเพื่อนแม่กะให้ใช้คอมพิวเตอร์ทำกราฟฟิก ตอนนั้นมี่เรียนศิลปะ ชอบวาดรูป ทำ sculpture ทำโปรเจกต์ จะเก่งมาเรื่องศิลปะแต่วิชาอื่นทำได้ไม่ดี แม่เลยคิดว่า งั้นทำอะไรที่มันได้ตังด้วย คิดว่าเขาจะส่งเราเรียนกราฟฟิกดีไซเนอร์ ยุค 90s มันเป็นยุคที่คอมพิวเตอร์เริ่มบูมแล้ว ในบริษัทโฆษณาเริ่มใช้คอมวาดรูปแล้ว พอเราไปแล้วรู้สึกใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้เลย ขนาดมี่เป็นเด็กที่โตมาจากยุคนั้นยังใช้ไม่เป็นอะ ไม่ชอบเลย เครียด ร้องไห้ ไม่อยากไป กลับบ้านมาซ้อมร้องเพลง อัดในเทป กรอกลับแล้วฟัง มันเป็นเหมือนการเตรียมตัวในแบบที่ข้างบนเขาส่งมา เหมือนให้มี่ชอบอันนี้เหลือเกินจนไม่อยากทำอะไร ไม่ไปเที่ยวกับเพื่อน พบปะผู้คน ไม่เลย ไม่เสียดายเวลา

มี่มีความสุขมาก เป็นลูกคนเดียว อยู่บ้าน เงียบดี แม่มี่อยู่ร้านอาหาร พอกลับมาก็จะมาฟังสิ่งที่มี่ร้อง เสียงยูยังไม่ถึงนะตรงนั้นตรงนี้ จนตอนนั้นอยู่ .5 ตัดสินใจแน่ แล้วว่าจบ .6 จะไม่เรียน จะเป็นนักร้อง ขอแม่ไปเรียนพิเศษติวเรื่องร้อง ทั้งที่ไม่มีเวทีจะให้ไปขึ้น พ่อเพื่อนที่โรงเรียนมัธยมก็มาชวนว่า เดี๋ยวยูจบ year 12 แล้วยูมาร้องเพลงในร้านอาหารไอได้ไหม แต่มันต้องมีภาษาอิตาเลียนอะไรด้วยนะ เราก็ได้ ลองดู แล้วเราก็กลับมาเมืองไทย เรื่องทุกอย่างก็ดำเนินมาจนถึงตอนนี้

การที่ PALMY เข้าวงการตั้งแต่เด็ก ทำให้ต้องเจอกับอะไรที่ท้าทายตัวเองมาบ้าง และได้อะไรกลับมาบ้าง

อืมตลอดนะ สิ่งนึงที่มี่รู้เลยคือ มี่ได้เรียนรู้อุปนิสัยของคนที่หลากหลายมาก ได้เรียนรู้ว่าเวลาที่เราจริงใจ บางทีมันไม่มีประโยชน์ เพราะว่าเขาไม่รับมัน แถมยังเอาความปลอมนั้นมากระทบจิตใจ แล้วเราสะเทือนอะ มันเลยรู้สึกว่าเราต้องต่อสู้กับเรื่องนี้ไปจนวันตายกับการที่เราต้องเจอความคิดที่หลากหลายมาก และอะไรที่เราไม่เข้าใจในความถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง เหมือนบางคนมันแยกแยะไม่ได้ แล้วบางคนก็ทำอะไรแบบฉาบฉวย โกหก พูดไม่จริง หลายอย่างเลย

มี่เรียนรู้ตลอดเวลาว่า โอเค เราต้องเข้าใจว่าเราอยู่ในสังคมแบบนี้ ต้องอย่ากระเพื่อมมาก ไม่งั้นกว่ามี่จะจบอาชีพนี้มี่คงเป็นคนแก่ที่เป็นโรคจิต ประสาท แล้วก็กลัวการที่จะรู้จักกับคน มันก็ต้องผ่านผลกระทบนี้มาเรื่อย เพราะพอมี่ได้รับอะไรมาปุ๊ป มันก็มาติดอยู่ตรงนี้ (ชี้ที่อก) มี่เลยชอบอยู่คนเดียว ไม่สังคม แต่บางทีมันทำให้คนอื่นชอบบอกว่าเราเข้าถึงยาก อย่างนู้นอย่างนี้ ตอนแรกมี่ไม่เข้าใจเว่ย เข้าถึงยากแล้วมันเกี่ยวอะไรกับการฟังเพลงอะ มี่เคยเห็นคอมเมนต์อันนึงเขียนว่า ‘ถึงพี่แกจะเข้าถึงยากไปหน่อย แต่ฟังเพลงก็โอเค’ มันคนละทิศเลยอะ มี่ก็เฟรนด์ลี่นะ มี่แค่ไม่ได้ทำเสียงสูงแค่นั้นเอง (หัวเราะ) มี่รู้สึกนะทุกครั้งที่คน appreciate มี่ มี่เก็บมาแทบอกเลย คนที่เจอกับมี่จะรู้เลยว่ามี่ซาบซึ้งแค่ไหน และมี่รู้สึกจริง ไม่แกล้งทำแน่นอน แต่ก็นั่นแหละ มี่ได้ความรักที่เขามอบให้มา และเขาเห็น มันไม่ได้แค่ผ่านมาและผ่านไป เจอกันวันหน้า แม่เป็นอย่างนี้ พ่อเป็นอย่างนี้ คุณทำอาชีพนี้ มี่จำได้ทุกคน แต่ขอคุณภาพได้ปะ หรือใครมาปลอมใส่มี่ก็จะหนีเลย

อีกเรื่องที่มี่เรียนรู้คือเราหยุดพัฒนาไม่ได้ ไม่ว่าจะอาชีพอะไร ตราบใดที่เราจะเดินขึ้นเวทีนั้นอยู่ ถ้าเราไม่ขึ้น จะหยุดแล้ว ก็เรื่องของคุณ อยากทำอะไรก็ทำ แต่ถ้าอยู่ในอาชีพอะไรก็ตาม อย่าอยู่กับที่ มันเป็นภาระคนอื่นด้วย โห พี่แกเล่นแบบไม่ซ้อมมาเลย มันก็อยู่ไม่ได้ ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ไม่ซื่อสัตย์กับสิ่งที่ทำก็ไม่ได้ เราต้องซื่อสัตย์กับสิ่งที่เราทำ ถึงแม้ว่าคนมันไม่ได้รู้สึกขนาดนั้นนะ แต่มี่รู้สึกว่ามันสำคัญมาก กับมี่ อีกอันที่ได้จากวงการคือได้บ้านหลังใหญ่มาหลังนึง รางวัลการทำงาน (ยิ้ม)

ปีนี้ PALMY อายุเท่าไหร่ และเป้าหมายที่ตั้งไว้ตั้งแต่เข้าวงการมายังอยู่เหมือนเดิมไหม ถ้าอายุ 50 จะยังร้องเพลงไหม

37 แล้ว แล้วก็ยังเหมือนเดิม แต่ถ้าอายุ 50 ก็คงจะไม่ร้องเพลงแล้ว คงจะนั่งเหี่ยวอยู่ที่ไหนสักที่ แต่ก็คงจะติดตามวงการเพลงอยู่ เพราะชอบฟังเพลง แล้วก็คงจะเริ่มมีเพื่อนในวัย 50 มั้งคะ (หัวเราะ)

palmy-fungjaizine-2

ติดตามความเคลื่อนไหวของ PALMY ได้ ที่นี่

Facebook Comments

Next:


Montipa Virojpan

อิ๊ก เนิร์ดดนตรีที่เพิ่งกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนตอนอายุ 25 ชอบเดินเร็ว นอกจากขนมปังกับกาแฟดำแล้วก็สามารถกินไอศกรีมกับคราฟต์เบียร์แทนมื้อเช้าได้