โอ๋ Futon ศิลปินไทยหนึ่งเดียวที่ได้ไปแสดงงานใน The Alex Blake Charlie Sessions สิงคโปร์
- Writer & Photographer: Montipa Virojpan
The Alex Blake Charlie Sessions เฟสติวัลที่จัดขึ้นเป็นครั้งแรกในโรงงานผลิตไฟฟ้า Pasir Panjang สิงคโปร์ เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ไม่ได้มีแค่วงดนตรีเด็ด ๆ จากทั่วโลก แต่ยังมีผลงานศิลปะของ 4 ศิลปินมาร่วมแสดง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ โอ๋—หทัยรัตน์ เจริญชัยชนะ หรือ OH Futon ศิลปินคนโปรดของหลาย ๆ คน และเราก็ได้มีโอกาสพูดคุยถึงผลงานของเธอที่เฟสติวัล รวมถึงงานเพลงใหม่จาก Styrene Jungle ที่กำลังจะออกมาให้ได้ฟังกันด้วย
รู้สึกยังไงที่ได้มาเป็นส่วนหนึ่งของงาน The Alex Blake Charlie Sessions
ตอนรู้ว่าจะได้มาวาดคือตอบตกลงเลย รู้สึกว่าเป็นโอกาสที่ดีสำหรับเราด้วยที่คนสิงคโปร์จะได้เห็นงานเรา แล้วส่วนตัวก็รู้สึกว่าตัวงานน่าสนใจมาก คอนเซ็ปต์ดี แล้วเราเป็นศิลปิน นักดนตรีอยู่แล้ว ก็อยากฟังเพลงดี ๆ พอลองเข้าไปดูในเว็บก็เห็นว่าไลน์อัพน่าสนใจมาก ๆ
งาน illustration ส่วนใหญ่ของโอ๋ได้แรงบันดาลใจมาจากดนตรีรึเปล่า
พูดจากคาแร็กเตอร์ที่เราวาดก่อน เราเรียนศิลปากรมา แต่ยังไม่เคยทำงานเกี่ยวกับวาด งานชิ้นแรกที่เราทำมันมาจากอินเนอร์ล้วน ๆ มันคือ exhibition แรกตอนปี 2006 เพราะงั้นเราอยากวาดอะไรก็ไม่ผิด คาแร็กเตอร์ที่หน้าคล้ายเรามันเลยออกมาอัตโนมัติ แล้วก็พัฒนาสไตล์ไปเรื่อย ๆ แต่ก็ยังเป็นเราอยู่ ยังชัดเจนในสิ่งที่เราวาด รู้สึกสบายใจที่จะวาดเขา
แล้วถ้าถามว่า inspired มาจากเพลงหรือเปล่า 100% เราตอบคำถามนี้ค่อนข้างบ่อยว่าอะไรเป็นตัวตนที่แท้จริงของเรา งานเพลงหรืองานศิลปะ งานทุกงานที่เราทำไม่ว่าเล่นละคร เล่นหนัง แฟชัน สไตลิส ทุกอย่าง based on art เรารู้สึกว่าเวลาแต่งเพลง ถึงแม้มันจะมีเนื้อเพลง แต่เราแต่งเป็นภาพ ว่าก้อนนี้มันจะเป็นยังไงต่อ เวลาเราขึ้นคอนเสิร์ต ทำ mv เราก็คิดเป็นภาพ เราว่าตัวตนของเรามันคือคนทำงานศิลปะแหละ ตั้งแต่เล็กแล้วที่เราเลือกจะเรียนศิลปากร ไม่ว่าเราจะทำศิลปะทางเสียง ทางเสื้อผ้า มันก็มีจุดร่วมในสิ่งเดียวกัน เรื่อง composition เรื่องสี มันใช้ด้วยกันได้หมดเลย แล้วเรื่องเพลง เราก็ฟังมาตั้งแต่เด็ก ด้วยสไตล์เพลง ด้วยเนื้อหาเพลง หรือตัวศิลปินเองก็ตาม เราย่อมได้จากตรงนั้นมาเป็นแรงบันดาลใจในหลาย ๆ ทีด้วยซ้ำ
ก่อนมาวาดงานนี้เขากำหนดโจทย์มาให้ไหม
ไม่เลย เปิดกว้างมาก เขาอยากให้ศิลปินได้อิสระในการวาดลงบนผืนผ้าใบ เจ๋ง! เหมือนเราได้ทำงาน exhibition อีกครั้ง เราก็คิดว่าเราอยากพูดเรื่องอะไร เราก็เอาตัวเราเข้าไป อย่างงานนี้ชื่อ ‘Hark Back’ เวลาเราไปงาน music festival ทุกครั้ง จะรู้สึกว่า เราฟังเพลงเพลงเดียวกันกับเพื่อน แต่จะรู้สึกต่อเพลงนั้นไม่เหมือนกัน เพราะทุกคนมีมีประสบการณ์ที่ต่างกัน เลยตีความหมายของเพลงต่างกัน เพลงบางเพลง บางคนฟังแล้วเศร้า บางคนฟังแล้วแฮปปี้ ของทุกอย่างถูกตัดสินด้วยอดีตของแต่ละคน เราก็เลยเอาคาแร็กเตอร์ 4 ตัวมาฟังหูฟัง แล้วทุกคนก็มีลักษณะทั้งสีหน้าและอารมณ์ที่ต่างกัน
ตอนที่วาดมีเพลงอะไรเป็น soundtrack
มีหลายเพลงมาก ตั้งแต่ยุค 50s มาจนถึงใหม่ ๆ ฟัง Black Pink ด้วย (หัวเราะ) ส่วนอันที่ inspired ตอนวาด จริง ๆ เราเอาคาแร็กเตอร์มาจากหลาย ๆ คนที่เราชอบ แต่ไม่พูดถึงดีกว่า ไม่อยากไปบล็อกใคร
สนใจงานใครบ้างที่มาร่วมแสดงใน The Alex Blake Charlie Sessions
เอาตัวบุคคลก่อน เราเข้าไปเสิร์ชดูแล้วว่ามีใครบ้าง พวกเขาเป็นคนเจ๋ง เขาทำในสิ่งที่เขารู้สึกว่าใช่สำหรับเขา เรารู้สึกชอบอีก 3 คนแล้วรู้สึกดีใจมากนะที่เราเป็นหนึ่งในสี่นี้ และเนื่องจากเรานอนห้องติดกัน ก็จะได้เจอศิลปิน จะมีถ่ายรูปกันแล้วรู้สึกว่าศิลปินนิสัยดี เขามีลูกมาด้วย เด็กจิ๋ว 3 ขวบ (หัวเราะ) อันนี้ตอบในฐานะคนที่มองงานศิลปะของเขานะ เขาชัดเจนในตัวเอง แล้วพองานเสร็จ 4 คนนี้ไม่มีใครงานเหมือนกันเลย ทุกคนมีคาแร็กเตอร์ของตัวเอง และแฮปปี้ในงานของตัวเอง นี่คือสิ่งที่เรารับรู้ได้
ได้แสดงงานที่สิงคโปร์แล้ว มองกลับมาที่บ้านเรา รู้สึกว่าในไทยมีพื้นที่ให้ศิลปินแสดงงานเพียงพอไหม
มี คนไทยเนี่ยให้โอกาสศิลปินเยอะมากนะ อาจจะไม่ใช่ซีนเราด้วยซ้ำ บางคนเอารูปมาโชว์ บอกว่าไปงานนี้มา ซึ่งเราไม่เคยได้ยิน เราว่ามีเวทีเยอะมาก ๆ อยู่ที่ว่าเราจะยืนตรงไหน เราพูดได้เลยว่าอาชีพวาดภาพทำให้เรามีชีวิตอยู่ตรงนี้ได้ แล้วพื้นที่ก็มีให้เรามาเรื่อย ๆ
ตอนที่เราเริ่มไม่มีใครรู้จักเรา ทุกคนเรียก โอ๋ โจอี้บอย โอ๋ Futon โอ๋ Styrene Jungle ไม่มีใครรู้ว่าโอ๋วาดรูป คนแรกที่โอ๋เอารูปไปให้ดูคือพี่เต๊ด (ยุทธนา บุญอ้อม) นะ ป๋าเต๊ดก็บอก ‘เฮ้ย วาดรูปได้นี่ วาดรูปดี’ ตอนนั้นเขากำลังจะมีนิตยสาร DDT เขาถาม ‘เอามั้ย ให้ 2 หน้า’ แล้วตอนนั้นเพิ่งกลับมาวาดรูปหลังจากไม่ได้วาดนานมาก แล้วป๋าเต๊ดเนี่ยคือคนแรกให้โอกาส อยากทำคอลัมน์ไหนมาเสนอ แล้วตอนเราเล่นคอนเสิร์ตเสร็จ กลับบ้านมาก็จะอยากวาดรูป วาด ๆๆๆๆ วาดแล้วไปอวดคนอื่น ตอนนี้เราเริ่มมีชื่อเสียง ลูกค้าก็จะมาหาเรา
ในแง่ความสามารถ ศิลปินไทยยังมีอะไรต้องปรับปรุงอีกไหม
เราว่าคนไทยได้รับการยอมรับจากศิลปินต่างชาติ หรือคนระดับโลกเยอะเหมือนกันนะ เรามั่นใจว่าเรามีดี มีคนสร้างชื่อให้เราเยอะมาก และมีความคราฟต์ เพราะเป็นพื้นฐานของศิลปะบ้านเรา ด้วยวัฒนธรรม แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดหรอก ทุกประเทศแหละ มันมีทั้งสุดยอด แล้วก็คนที่เพิ่งเริ่มทำ
แต่อย่างนึงที่อยากได้เลยคืออยากให้รัฐบาลซัพพอร์ตศิลปินมากกว่านี้ เพราะรู้สึกว่ารัฐบาลยังไม่เห็นว่าตรงนี้คือสิ่งที่สร้างความแข็งแรงให้ประเทศ แต่ลองคิดดูคนไปญี่ปุ่นเกินครึ่ง ไปดูงานศิลปะ หรือเรามาสิงคโปร์เพราะมาดูงาน Biennale บ่อยกว่ามาเที่ยว เพราะงั้นอย่าเห็นว่าศิลปะไม่ทำเงินให้การท่องเที่ยวของประเทศ ศิลปะมันสะท้อนอะไรบางอย่างให้ประเทศด้วย แต่ใช่ว่ารัฐบาลจะไม่ทำ เดี๋ยวไม่แฟร์กับเขา เขาก็ช่วยแหละ แต่บ้านเรามีเรื่องให้เครียดหลายเรื่อง อย่างเรื่องหนังเหมือนกัน ดูเกาหลีดิ ไต้หวันเงี้ย อยากได้เงินกี่สิบล้านบอกมา ทำหนังแต่ละเรื่อง 60% ได้ทุนจากรัฐบาล ไม่ต้องแบกรับว่าเวลาขาดทุนแล้วทำไง แบบนั้นมันจะเป็นวัฏจักรว่า ถ้าเราทำหนังขาดทุน ก็ต้องเปลี่ยนมาทำหนังเอาใจคนดู แล้วหนังมันก็จะเหลวเป๋ว คนเก่ง ๆ เลยไม่มีที่ยืน เหมือนหนังพี่เจ้ย (อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล) เลยไม่ค่อยดังในบ้านเรา พอเรารู้สึกสบายใจตรงที่มีคนมาซัพพอร์ตค่าใช้จ่าย งานศิลปะก็จะมีพื้นที่มากขึ้น พิพิธภัณฑ์ดี ๆ ก็จะมีมากขึ้น ตรงนี้เราเลยติดขัดอยู่
ส่วนงาน Biennale ที่กรุงเทพ ฯ เราก็ต้องให้เวลาเขาหลายปีนะกว่าจะเข้าที่ เพราะคนไทยหลายคนยังไม่รู้จักเลยนะ ทุกครั้งที่พูดคำนี้คนจะงงว่าอะไรหรอ แล้วเนี่ย เราได้โอกาสสองปีหน ไม่รู้ว่าปีหน้าเขาจะทำหรือเปล่า แต่เราจะรอดู
มีคนเคยบอกว่า บางคนทำ fine art แต่คิดแบบ commercial art แล้วจะทำให้วงการพัง คิดเห็นยังไงกับตรงนี้
เรื่องนี้พูดยากเพราะเราทำ commercial art 100% เราเป็นคนชิล ๆ ไม่มีระบบระเบียบเลย เราเลยไม่เคยแยกว่าใครทำอะไร เราจะพูดคำนี้เสมอ ‘อยากทำไรทำ ชีวิตมันสั้น ถ้าแฮปปี้ก็ทำไปเถอะ’ เราไม่รู้ว่าเดินออกไปจะโดนรถชนไหม เพราะงั้นอย่าไปซีเรียสกับมัน อย่าคีพลุค เราเป็นคนที่ทำงานอะไรก็ได้ที่เราอยากทำเราก็จะทำ ได้เงินบ้างไม่ได้เงินบ้าง แล้วถ้ามีคนมาปรึกษา เราจะถามกลับไปว่า ‘อยากทำอะไรล่ะ‘ ไม่ต้องอายตัวเอง เพราะมัวแต่อายตัวเองมันเหนื่อย ชีวิตเป็นของเรา
ตอนนั้นเรายังเด็ก 20 ต้น ๆ เคยมีแฟนเป็นคนสิงคโปร์ เขาเป็นคน strict ซีเรียส จะบอกว่า ‘ยูจะรู้แบบเป็ดไม่ได้นะ จะเป็นศิลปิน เป็นสไตลิส เป็นนักดนตรี เลือกสักอย่าง’ แล้วเราก็ suffer มาก เหมือนเป็นคำสั่ง แล้วเรารู้สึกว่าหาที่ลงไม่ได้ ก็ทนทำแบบนั้นมา จนตอนนี้หลุดพ้นจากตรงนั้นไปแล้ว เราเป็นคนสบาย ๆ ก็กูทำไม่ได้อะ แล้วอันนี้คือคำตอบที่เราหาได้ด้วยตัวเองที่อายุมากขนาดนี้แล้วว่า คนเราอะ ถ้ามีแบบเดียวในโลกมันน่าเบื่อตายเลย มีคนรู้อย่างเป็ดบ้างโลกก็คงสนุกขึ้น เพราะงั้นคนเราไม่ต้องประสบความสำเร็จด้านเดียว หรือถ้าใครอยากประสบความสำเร็จด้านเดียวก็ดี แต่ไม่ต้องไปตามใคร ใครอยากเป็นแบบไหน ถ้าไม่หนักหัวใครก็ทำไป นั่นคือวิธีใช้ชีวิตของเรา เพราะงั้นถามเราคือผิดคนสุด ๆ เราตอบไม่ได้จริง ๆ
งานล่าสุดที่เล่นสดคือ Cat to the Future ใช่ไหม
ใช่ เหนื่อยมาก มีคนติดต่อมาเยอะมาก แบบ ขอก่อนนะ ของานที่มีเงินบินทุกคนมาได้นะ การรียูเนียน Futon ใช้เงินเยอะจริง ๆ อันนี้พูดเลยว่าติดที่เรื่องเงิน เพราะทุกคนไม่ได้ซ้อมกันมาหลายปี ก็ต้องมาอยู่โรงแรม นอนหลายวัน ต้องบินมาจากอังกฤษคน สเปนคน ญี่ปุ่นคน เรื่องเยอะมาก อาทิตย์นึงก็ไม่พอ ครั้งที่แล้วสิบวีค ต้องเคาะสนิม ใช้คำนี้เลย เพราะพวกเราไม่ได้เล่นดนตรีแบบจีน (Gene Kasidit) หรือไซม่อน Suede ยังทัวร์อยู่เลย อุ๊ย Suede จะมา ฮืออออ ไปเยอรมัน ขาสั่นนนน อดดู พวกโอ๋ก็ไม่ได้เล่นคอนเสิร์ตกันแล้ว เอ้ย แต่โมโมโกะ (Momoko Motion) ก็ทำงานเพลงของเขาที่ญี่ปุ่นอยู่นะ ส่วน Styrene Jungle ไม่ต้องห่วงค่ะ เพราะทุกคนไม่ต้องบิน (หัวเราะ) แต่สังขารอาจจะวิ่งแบบแต่ก่อนไม่ได้แล้ว
โอ๋ เคยทำเพลงเดี่ยว ของ Greenlight Project2
งานนั้นแฮปปี้ Fat Radio ก็ชอบมาก แต่เรารู้สึกว่าเราอาจจะไม่เหมาะกับการเป็นเมนสตรีม ตอนนั้นเราอยู่กับแกรมมี่ แล้วเราต้องไปเล่นให้คนเมนสตรีมดู แล้วเราสงสารคนดูมาก ไปเล่นต่างจังหวัดแล้วคนทำหน้าแบบ นี่อะไรเนี่ยยยยย แล้วเราบ้าอยู่คนเดียว ในที่สุดเราก็เป็นคนที่ไม่ชอบออกอัลบั้มคนเดียว ไม่หนุก เล่นคอนเสิร์ตคนเดียวเงี้ย เราชอบมีวง มีพรรคพวก เราไม่ชอบเปิด backing track เราเลยตัดสินใจไม่เอาดีกว่า แต่เพลงนั้นเราชอบมาก พี่ทวน (Tuan Thailand) ทำให้ รู้สึกภูมิใจนะ เกือบทุกงานที่เราทำออกมา เราค่อนข้างจะคัดและเลือกแล้วว่าเราจะไม่อายกับมันในอนาคต แต่ก็มีอายบ้างนะ (หัวเราะ) ความโง่ของตัวเองก็มีบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะแฮปปี้กับมัน
แต่ดีใจนะที่ได้ลองทำ ไม่งั้นจะตั้งคำถามกับมันตลอดเวลา เพราะทำท่าจะเข้าแกรมมี่ตั้งแต่อยู่ปีหนึ่งนะ ก่อนโจอี้บอยอีก เข้าไปทำเดโม่ ไปออดิชัน ไม่มีโอกาสสักที จนงานนั้นแหละ ก็ไม่ได้ผิดที่แกรมมี่นะ ผิดที่เราไปอยู่ผิดที่ผิดทาง เราว่าเราสงสารเขามากกว่า เขาก็คงงง ๆ อีนี่อะไรของมึง (หัวเราะ) ตอนเล่นคอนเสิร์ตเพี้ยนมากอะ จำได้ว่าไปเล่นที่บิ๊กซีเชียงรายหรืออะไรสักอย่าง แล้วไปกับ Kenneth แป๋ว (แพรว คณิตกุล) สงสารมันมากเลยอะ น่ารักมากกก แต่ของชั้นคือ ‘หนึ่ง ขู่จะฆ่าตัวตาย’ (หัวเราะ)
งาน The Alex Blake Charlie Sessions ชูเรื่องเพื่อนหญิงพลังหญิง โอ๋คิดว่าการที่บอกว่า ‘ฉันเป็นผู้หญิง ฉันทำได้’ หรือ ‘ฉันก็เป็นศิลปินเหมือนกัน’ แบบไหนดีกว่า
พูดตรง ๆ นะ เราอยู่กับผู้ชายมาโดยตลอด ดูจากบุคลิกเราจะเป็นคนไม่มีเพศ เพราะงั้นจะไม่แคร์ว่าใครพลังหญิง พลังชาย หรืออะไร พูดตามตรงว่าเราไม่ได้อินกับความ feminist ถ้าถามว่าเราจะสู้เพื่อสิ่งนี้มั้ย เราก็ไม่ได้ทำไปเพื่อสู้กับสิ่งนี้ แต่เราไม่ได้ไม่ชอบ เราทำงานนี้เพราะคิดว่าสนใจ เราถือว่าเราเป็นศิลปินในงานนี้ แต่เราว่าคอนเซปต์เขาน่ารักดี รวมวงหญิงมาทั้งโลกได้มันก็เจ๋งดีเหมือนกัน แล้วในงานเขาก็ตอบโจทย์หมดเลย มีร้านทำผม มีบาร์ที่พูดเรื่องเพศแบบไม่ต้องเคอะเขินผู้ชายเลย แต่ทำไมไม่มีร้านขายผ้าอนามัยวะ ตอนนั้นเราไปขอผ้าอนามัย เป็นพี่ผู้ชายเขิน แล้วต้องเอาผ้ากอชแปะแผลมาให้ดู (หัวเราะ)
ได้ข่าวว่า ช่วงนี้ Styrene Jungle กลับมาทำเพลง
ทำอยู่ ตีเหล็กต้องตีตอนร้อน แต่ช่วงนี้มาสิงคโปร์แล้วเพื่อนก็ text มาถาม เราก็บอก ‘รอก่อน ๆ เดี๋ยวกลับไป’ แต่รอบนี้เราคุยกับ Styrene Jungle เลยว่า ‘เฮ้ย ไม่ทำเพลงขายนะ ทำเอามันนะ ทำเหมือนงานอดิเรกได้ไหม ถ้าทำเอาเงินเราไม่ทำ’ ตอนนี้ทุกคนมีงานประจำหมด พอเราแก่มาเราเริ่มดูแลตัวเองได้ ไม่ต้องพึ่งเงินที่ต้องขายของ ไม่เหมือนตอนเด็กแล้ว คือสมัยนั้นการทำเพลงต้องเอาตัวรอด ซึ่งอันนี้ทุกคนก็ตกลงทำเอามัน ทำเพลงที่คนไม่ฟังก็ได้ เราเลยเอาด้วย เราได้ทำในสิ่งที่อยากจะทำถึงจะไม่มีคนเสพก็ตาม แต่เราว่ามันก็แอบยากสำหรับเด็กรุ่นใหม่ ส่วนจะออกเมื่อไหร่… ไม่มีกำหนด ขอโทษนะ ครั้งนี้ไม่มีค่ายก็เลยไม่มีคนว่า จะรีบทำค่ะ ได้เพลงสองเพลงละ
อ่านต่อ
The Alex Blake Charlie Sessions ครั้งแรกกับ Music Festival ในโรงงานผลิตไฟฟ้า