เส้นทางชีวิตที่ไม่ง่ายของ Nana The Rapper – นานา ภัทรวรินทร์ ซู
- Writer: Gandit Panthong
- Photographer: Chavit Mayot
สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน สบายดีกันไหมครับ เกริ่นก่อนเลยหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสดูรายการยอดฮิตของประเทศไทยรายการนึงที่ชื่อว่า The Rapper การแข่งขันในวันนั้นที่ผมได้ดูเป็นรอบ battle หรือรอบที่ผู้เข้าแข่งขันต้องมาแข่งกันร้องเพลงในรูปแบบไรห์มที่ตัวเองคิดค้นมา ซึ่งก็มีคนนึงที่ผมสะดุดตามาก ๆ นั้นก็คือน้อง นานา—ภัทรวรินทร์ ซู น้องเป็นผู้เข้าแข่งขันที่มีน้ำเสียงเป็นเอกลักษณ์และใช้ภาษาได้อย่างน่าสนใจ จึงทำให้ผมไม่รอช้ารีบติดต่อน้องทันทีเพื่อพูดคุยกันว่าที่แท้จริงแล้วน้องเป็นใคร แถมน้องยังเป็นคนไทยที่ได้มีโอกาสไปเป็นศิลปินฝึกหัดที่ประเทศเกาหลีใต้อีกด้วย เพราะฉะนั้นแล้วบทสัมภาษณ์นี้จะเป็นบทสัมภาษณ์ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวชีวิตทั้งหมดที่เกิดขึ้นรวมไปถึงดราม่าต่าง ๆ ที่เธอได้รับมา และเธอมีความคิดเห็นกับเรื่องราวเหล่านี้อย่างไรบ้าง
จุดเริ่มต้นในการเป็นนักร้องของเด็กสาวที่ชื่อ นานา
สิ่งนี้มันเริ่มต้นมาตั้งแต่เด็ก ๆ เลยค่ะ คุณแม่จะชอบส่งเราไปประกวดตามเวทีต่าง ๆ อยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นร้องเพลงหรือเต้น มันเริ่มตั้งแต่ช่วงอนุบาลเลยนะ (หัวเราะ) เริ่มจากงานโรงเรียนมาเลยและจากจุดนั้นเอง มันก็ทำให้เราซึมซับมาเรื่อย ๆ พอโตมาเราก็ไม่เครียด เราชอบที่ได้ออกไปทำ ชอบที่ได้ไปออดิชันตามสถานที่ต่าง ๆ
เพลงแรกที่หัดร้องในชีวิตคือเพลงอะไร
จำชื่อเพลงไม่ได้อะ แต่เป็นเพลงลูกทุ่ง ตอนเด็ก ๆ ร้องได้นะ แต่ตอนนี้หนูร้องไม่ค่อยได้ละ สมัยก่อนคนเขาจะฮิตลูกทุ่งกันเยอะ งานโรงเรียน งานประจำหมู่บ้านก็ไปประกวดร้องเพลงแนวนี้ตลอด
จุดพลิกพลันของสาวน้อยจากประเทศไทยสู่การเป็นศิลปินฝึกหัดของประเทศเกาหลีใต้
ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เราไม่ได้ประกวดอะไรเลย เราหยุดเรื่องนี้ไปพักนึง เนื่องจากเพิ่งเข้าเรียนโรงเรียนนานาชาติ แล้วที่โรงเรียนของเราก็จะมีการไปศึกษาต่อในต่างประเทศเป็นช่วงระยะเวลาสั้น ๆ เป็นการฝึกและเรียนภาษาไปในตัว ประกอบกับช่วงนั้นดนตรีเกาหลีใต้เขาบูมมาก ยุคที่มีเพลง Gangnum Style มันเลยทำให้เราอยากจะไปเรียนภาษาที่นั่น แถมศิลปินหลาย ๆ คนก็มาแสดงที่ประเทศไทยเยอะมาก ๆ ตอนแรกที่ไปหนูก็เรียนเต้น เรียนร้องเพลง เรียนภาษาตามปกติเลย แต่ช่วงประมาณ 3 เดือนเขาก็มีแมวมองมาดูที่โรงเรียนสอนเต้น เขามาเจอเราก็เลยพอไปออดิชันดู ซึ่งเป็นการออดิชันในต่างแดนครั้งแรกของเราอีกด้วย
ซึ่งตอนที่ออดิชันติดเราก็งงนะ แต่ก็ดีใจด้วย เพราะโอกาสนี้มันเป็นโอกาสที่หลายคนต้องการมาก ตอนนี้มันมาอยู่ที่เราแล้วก็รู้สึกว่าเราจะทำได้ดีไหม จะรอดรึเปล่า ถ้าไปอยู่ตรงนั้นเราต้องลาออกจากโรงเรียนเลยนะ ที่สำคัญทางบ้านคุณพ่อคุณแม่ก็อยากให้เราตั้งใจเรียนหนังสือ แต่ลึก ๆ ในใจเราก็อยากเป็นนักร้องมากกว่า เป็นช่วงที่คิดหนักมาก ๆ แต่สุดท้ายคุณแม่ก็เลยบอกว่า งั้นลองไปฝึกดูก่อนยังไม่ต้องเซ็นสัญญากับทางค่ายเขา คุณพ่อกับคุณแม่ก็เลยบินมาที่เกาหลีใต้เพื่อเรื่องนี้โดยเฉพาะซึ่งเขาก็ยังถามเราว่าอยากไปทำแบบนั้นจริง ๆ ใช่ไหม และด้วยความที่ตอนนั้นเราเด็กมาก ๆ เราก็เลยตอบตกลงไป เพราะมันก็ไม่มีอะไรเสียหายมันคือความฝันของเรา
การฝึกซ้อมกับการใช้ชีวิตต่างแดนที่แสนหนักหนา
ฝึกหนักมาก ๆ ทั้งวันและทุกวันด้วย ช่วงเวลาซ้อมหลัก ๆ จะเป็นวันจันทร์ถึงเสาร์ วันอาทิตย์เขาจะให้พักหนึ่งวัน แต่ส่วนใหญ่เขาก็อยากจะให้เราซ้อมเพื่อให้เราพัฒนาตัวเองให้ได้ ซึ่งตอนที่ไปเราอายุ 14 ปีเอง มันเจอเรื่องราวมากมายเต็มไปหมดเลย การแข่งขันก็สูงด้วยเราจะเห็นได้ว่า ที่โน้นเขามีวงเกิร์ลกรุ๊ปเยอะมาก แล้วทุกวงก็ฝึกหนัก เอาจริง ๆ เราเป็นเด็กที่ถูกเลี้ยงมาแบบตามใจเวลาทำอะไรก็จะไม่คิดมาก แต่พอไปอยู่ที่นั้นเราเองก็ต้องตัดสินใจทุกอย่างด้วยตัวเอง ไม่มีความงอแงจากตรงนี้มันก็ทำให้เราเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นด้วย
มีช่วงเวลาที่ท้อแท้ขึ้นในจิตใจของ NANA The Rapper
เอาตรง ๆ นะ มันก็ต้องมีทุกคนล่ะ เพราะว่าเราอยู่ต่างประเทศเราอยู่คนเดียว ตอนนั้นยังไม่ได้เป็นวัยรุ่นมากพอ คือการซ้อมมันค่อนข้างหนัก ไม่รู้ว่าค่ายอื่นเป็นไหม แต่ค่ายของหนูก็จะแบบค่อนข้างโหด ดุมาก เขาจะสอนเรื่องมารยาทเป็นหลักด้วย เขาบอกว่าตอนที่ออดิชันเข้าไปหนูก็ไม่ได้เก่งร้องเก่งเต้น พอถู ๆ ไถๆ ไปได้ แต่เขาชอบความตั้งใจ ชอบความขยัน จุดนั้นแหละที่ทำให้เขาเลือกเรา
ส่วนที่บอกฝึกโหดขนาดไหน หนูจะเล่าเหตุการณ์อันนึงให้ฟัง ตอนนั้นเหมือนทำโชว์อยู่หลังจากที่เริ่มฝึกไปได้ 3 เดือนแล้ว เราก็ร้องเพลงอยู่ ร้องไม่ถึงครึ่งเพลงด้วยซ้ำ เขาก็ปิดเพลง เราก็ชะงัก เขาก็บอกให้ร้องต่อไป ตอนนั้นก็งง ๆ เขาก็ทำหน้าเครียดใส่ เราก็หยุดร้องแล้วร้องไห้ออกมา โดยปกติถ้าเป็นคนไทยก็อาจจะบอกว่า ไม่ต้องร้องอะไรแบบนี้ แต่ในตอนนั้นเขาแบบถามว่า ร้องไห้ทำไม ทำหน้าโหดมาก ๆ หนูก็บอกว่า เราทำไม่ดีหรอ เขาก็บอกว่า ถ้าอยากร้องไห้ก็กลับประเทศของคุณไปที่นี่ไม่ต้องการคนอ่อนแอ แล้วเขาก็สอนว่า มีตั้งกี่หมื่นกี่แสนคนที่อยากมาอยู่จุดที่เราอยู่แล้วมาทำแบบนี้ มันอ่อนแอมาก ๆ หลังจากนั้นหนูช็อกเลย เพราะไม่เคยมีใครมาพูดแบบนี้มาก่อน จากเหตุการณ์นั้นก็คิดได้เลยว่า เราต้องสู้ต่อ ตอนนั้นเราท้อมากที่ได้ยินเขาพูดมา แต่มันก็เป็นจุดที่บอกว่าเราต้องสู้นะ
เพราะเส้นทางที่เดินมันไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ สาเหตุใดที่ทำให้นานาถึงต้องหอบความฝันทั้งหมดกลับมาที่ประเทศไทย
ความจริงช่วงนั้นมันเป็นช่วงที่เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นหลายอย่างในชีวิตของหนูเลย มันเป็นช่วงที่หมดสัญญา 3 ปีด้วย แต่ตอนนั้นเราเองก็ฟอร์มวงเตรียมเดบิวต์แล้วนะ ทางค่ายเขาก็วางให้เราเป็น main rapper กับ main dancer แต่ด้วยความที่หลาย ๆ อย่างมันรอนานมาก เจอเหตุการณ์ร้าย ๆ เยอะมาก แถมตัวสัญญาที่ทำไว้มันก็มีเงื่อนไขของมัน คุณพ่อกับคุณแม่ก็อยากให้กลับมาเรียน เขาให้เวลาเรามาพอสมควรยังไงก็ต้องกลับไปเรียนให้จบแล้ว ตอนนั้นก็คิดหลายอย่าง มันก็เลยทำให้เราตัดสินใจกลับไทยดีกว่า เราไม่ได้ท้อหรือยอมแพ้อะไรนะ แต่มันมีปัจจัยหลายอย่างที่เรารู้สึกว่า ณ ตอนนั้นสภาพจิตใจมันก็ไม่โอเคแล้ว เราเหมือนหุ่นยนต์ที่รู้ว่าต้องตื่นเช้าเวลานี้ ทำอะไรบ้างในแต่ละวัน แค่นั้นเลย ซึ่งถามว่ามันดีไหม มันดีนะ เรามีวินัย เราเก่งขึ้น แต่เราไม่ได้มีชีวิตเป็นของตัวเอง อยากจะทำอะไรหลาย ๆ อย่าง ทางค่ายเขาก็ไม่ฟังเรา เขาจะมีรูปแบบในการเติบโตของเราอยู่ บางคนที่เดบิวต์ก็ต้องไปศัลยกรรม ต้องทำหลายอย่าง เราเองก็โอเคนะถ้าทำแล้วดีขึ้น แต่เขาก็ไม่รับประกันว่าเดบิวต์แล้วมันจะโด่งดัง ถ้าทำแล้วมันเฟลล่ะจะเป็นยังไง มันกลัวหลายอย่างมากช่วงนั้น ใจเราเองก็ไม่ได้อยากจะศัลยกรรมด้วย ทำให้คิดว่าการกลับมาที่ไทยมันน่าจะโอเคที่สุดแล้วสำหรับเรา
จริง ๆ ตอนแรกที่กลับมาไทยเราก็ไม่รู้ตัวนะว่าเป็นหุ่นยนต์ จนกระทั่งได้บินกลับไทยมาช่วงสั้น ๆ ก่อนหน้านั้น เราก็ไม่ได้พักเลย เพราะในตารางการฝึก เขาก็จะมีการสอบตลอด กลางเดือนเขาก็จะมีสอบใหญ่ เราก็ค่อนข้างเครียดมาก พ่อแม่ชวนไปเที่ยวทะเลกัน เราก็แบบไม่เป็นไร ขออยู่ในห้องนอน เตรียมสอบดีกว่า ขอซ้อมเต้นแทนได้ไหม เพื่อนโทรมาก็ตัดสาย ไม่ว่างตลอดการกลับมา ชีวิตมันหายไป หลังจากนั้นเหมือนแม่ก็มาบอกตอนจะบินกลับว่า จริงจังมากเกินไปรึเปล่า แถมเพื่อนที่สนิทเราก็หายไปเลยด้วย บางคนเราก็ขาดการติดต่อไป เขาก็ตกใจที่ทำไมเรานิสัยแบบนี้ เหมือนเพื่อนอาจจะคิดว่าเราหยิ่งรึเปล่า เมื่อก่อนคุยได้ทำไมตอนนี้คุยไม่ได้ ไม่ได้มีชีวิตอยู่กับครอบครัว กินข้าวก็ไม่กิน เราก็คิดเหมือนกันว่า เออเราเป็นคนแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร เพิ่งมารู้ตัวตั้งแต่ตอนกลับมารอบนั้นด้วย เราเป็นคนสดใสยิ้มตลอด แต่พอไปอยู่ที่โน่นก็คิดได้ว่าทุกวันเรามีแต่การแข่งขัน พูดตามตรงเราก็เห็นแก่ตัวเองขึ้น เมื่อก่อนถ้าใครเก่งกว่าก็จะชื่นชอบ แต่ถ้าตอนไปอยู่ที่โน่นเราก็ต้องเก่งกว่าเขา ทุกอย่างมันซึมซับมาเอง เพราะอย่างวันสอบมันจะมีคนโดนตัดออกตลอดเวลา บางคนอยู่ด้วยกันมา 2 ปีกว่า อยู่มาวันนึงเขาไปแล้ว มันเหมือนหายไป เพราะ เราก็อยู่ด้วยกันในค่ายตลอด มันหายไปมันรู้สึกแย่ที่เขาออกไป ทุกคนอยู่กันแบบพี่น้องตรงนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่คิดเหมือนกันในช่วงเวลานั้น
ความฝันของการเป็นนักร้องยังคงอยู่ แม้มันอาจจะไม่ได้เริ่มจากการเป็นเกิร์ลกรุ๊ปที่ประเทศเกาหลีใต้ก็ตาม
ตอนนั้นคิดอย่างเดียวว่า เราอยากกลับมาพักแล้ว จิตใจเราโดนมาเยอะ แต่ความฝันของเราก็ยังคงอยู่นะ เราโตขึ้นมากจากการไปที่โน่นจากที่เราไม่ค่อยมีระเบียบวินัย ไม่ค่อยมีความคิดหรือพูดอะไรก็พูด มันทำให้เราเข้มแข็งขึ้น มีมารยาทขึ้น มีไหวพริบต่าง ๆ มากขึ้น
นานา เคยเกือบได้เป็นศิลปินในค่าย Kamikaze
หลังจากมาพักที่ไทยได้สักระยะนึง ตอนนั้นเขาก็จะทำเพลงโปรเจกต์รุ่นใหม่ของทางค่ายอยู่ก็เลยได้ลองไปคุยกับเขาดู เราเองก็เป็นแฟนค่ายนี้ด้วย สัญญาก็ไม่ได้อะไรมาก หลังจากมาออดิชันกับทาง Kamikaze ก็ได้เข้าไปทำที่นี่ได้ 2 ปี ตอนปีแรกจะทำเพลงแล้วเป็นรูปแบบของวงดูโอ้ แต่เหมือนมันมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในปีที่สอง ทางค่ายเขาอยากจะให้เราเป็นนักร้องเดี่ยว หนูก็ไม่ได้คิดมากนะพร้อมเสมอ ทำเพลงเตรียมโปรโมตเตรียมไว้หลายอย่างแล้ว แต่หนูก็เริ่มดูแล้วว่ามันแปลก ๆ เขาลาออกกันหมดทั้งทีมเลย หนูก็งง ประจวบกับช่วงปลายปีมันมีการออดิชัน The Rapper พอดี ทุกอย่างมันก็ลงล็อกพอดีก็เลยสนใจไปลองสมัครดู
The Rapper กับความท้าทายครั้งใหม่ในชีวิตของนานา
ตอนที่ไปสมัครเอาจริง ๆ มันเป็นอะไรที่หนูไม่เคยมาก่อนจริง ๆ สำหรับการมาออดิชันรายการนี้ ตอนที่อยู่ค่ายเพลงเราไม่เคยแรปภาษาไทยมาก่อนเลย ค่ายเขาจะให้ฝึกแต่ภาษาเกาหลีเท่านั้น พอเจอรายการนี้หนูก็รู้สึกว่า เขาเปิดโอกาสให้เราลองทำสิ่งเหล่านั้นดู เราไม่คิดว่าจะเข้ารอบหรือไม่เข้ารอบ ขอแค่ได้เข้ามาเรียนรู้และพัฒนาในส่วนนี้ก็เพียงพอแล้ว ไม่อยากทิ้งไป หนูก็เดินเข้าไปสมัครเลย วันนั้นเป็นวันที่ออดิชันด้วย ตอนออดิชันก็แร็ปภาษาเกาหลีเลย เขาก็สงสัยว่าทำไมเราแร็ปภาษาเกาหลี หนูก็บอกไปว่าเคยไปฝึกที่นั่นมา พอส่งไปห้องต่อไปก็ผ่านเข้ารอบไปเรื่อย ๆ คือ หนูไม่เคยเขียนท่อนแร็ปมาก่อนเลย เอาตรง ๆ ไม่เคยเขียนสด ถ้าเขียนก็ขอเป็นเดือนเลยนะ แต่มีพี่คนนึงเขาซ้อมแร็ปเป็นภาษาไทยได้ เรากลัวมาก เราไม่ผ่านแน่นอน มีแต่คนเก่ง ๆ ตอนนั้น แต่ในใจเราก็ต้องสู้ เรามาถึงขนาดนี้แล้ว ไปตั้งหลายห้องแล้วแถมไปฝึกที่เกาหลีมา เราจะมาอ่อนที่นี่ไม่ได้นะเว้ย เราก็เขียนเนื้อไปสด ๆ ส่งไปให้เขา สุดท้ายก็ผ่านเข้ารอบออกทีวีในที่สุด
พอออดิชันผ่านเข้ารอบมาแล้ว ชีวิตของเธอก็เปลี่ยนไป
ตอนนั้นหนูรู้สึกว่า เราจะแข่งดีไหม หนูรู้เลยว่า เสียงของตัวเองมันแง่ว ๆ เสียงมันเป็นแบบนี้ มันไม่ค่อยถูกใจคนไทย อันนี้รู้ตั้งนานแล้ว หนูก็กังวลและเตรียมใจไว้แล้วว่า คนจะต้องบอกว่า เสียงเราไม่ดี ไม่โอเค ไม่ชอบ เราเตรียมใจไว้แล้ว เราเองจะรับไหวไหม หนูรู้แล้วว่า คนไทยดราม่าแรงแน่ ๆ คิดว่า จะเอายังไงดี ตอนที่เขาเรียกมาเซ็นสัญญาก็คิดอยู่ แต่เราก็ลองดิ ต้องสู้ดิ ก็ไม่เห็นเป็นไร ไม่ว่าใครจะว่า แต่เราต้องมั่นใจตัวเองเข้าไว้ มันไม่ผิดที่เราจะทำตามความฝัน จากนั้นหนูก็โอเคตกลงเข้าไปรายการ
โชว์แรกในชีวิต NANA The Rapper กับการกดแย่งกันของโค้ชทั้ง 4 ท่าน
หนูโชคดีที่เขากดหลังจากเพลงจบ แต่หนูตอนนั้นหนูไม่รู้เลยนะว่าโค้ชคนไหนกด พี่ไอซ์เรียกกลับมาแล้วบอกว่า มีคนกดตั้ง 3 คน ในนั้นมันเสียงดังมาก ๆ เราก็เตรียมใจว่า ถ้าเขาไม่กดก็ไม่เป็นไร เราได้โชว์แล้ว เราไปอยู่ที่เกาหลีมา ไม่เคยได้โชว์หรือแสดงความสามารถให้ใครได้เห็นเลย แค่นี้ก็โอเคพอใจแล้ว สุดท้ายพี่เขากด เราก็ดีใจมาก ๆ
กระแสสังคมที่เริ่มเข้ามามีส่วนในชีวิตของนานา
ตอนนั้นตกใจมาก เทปแรกที่ออนแอร์ กระแสหลาย ๆ อย่างมันค่อนข้างโอเคเลย แต่สักพักพอเทปรอบ battle ออกมาเป็นเทปเปลี่ยนชีวิตเลย เอาตรง ๆ ทุกคนพอเข้าไปในรายการเขาไม่ได้มองเรื่องการแข่งขันเลยนะ ไม่เหมือนที่ประเทศเกาหลีเลย ที่โน่นเขาจะมองเรื่องการแข่งขันกันมากกว่า ที่นี่เขาค่อนข้างช่วยกันเยอะกว่า พี่เขาอายุเยอะกว่ามาเล่นกับเราอย่างกับเพื่อน คือจะแพ้หรือชนะเรื่องพวกนี้ไม่สำคัญเลย ทุกคนต่างเคารพซึ่งกันและกัน รายการนี้มันเป็นครอบครัวจริง ๆ ไม่รู้ว่าคนดูจะอินมากเกินไปรึเปล่า หนูขอเล่าย้อนกลับไปแปปนึง ช่วงที่หนูจะสมัครรายการนี้รึเปล่า รายการเขาให้รายละเอียดมาว่า รายการนี้มันไม่ใช่มาแข่งกันนะ เขาอยากให้ทำโชว์ร่วมกัน พอเขาบอกว่า อยากทำให้โชว์มันโอเค เรามาสายนี้อยู่แล้ว แต่ก็อย่างที่บอกแรปของไทยมันจะมีภาพที่คนจำว่า ต้องรุนแรง สไตล์เกิร์ลกรุ๊ปอาจจะมีน้อยมาก ก็คงแบบเป็นการสร้างสีสันใหม่ในวงการ เชื่อว่า สักพักคนก็น่าจะเข้าใจเรา
อย่างรอบที่แข่งพี่ OG-ANIC กับพี่ยงบอย ก็สนุกสนานมาก ๆ เขาเป็นกันเอง เนื้อเพลงทั้งหมดเขาก็ส่งให้ดูกันหมด คือ ช่วยกันเลย พอเขาประกาศผลออกมา พี่เขาก็มาบอกว่าทำดีสุดแล้ว ยอมรับเลย หนูก็บอกว่าความจริงพี่ก็น่าจะเข้ารอบนะ เดี๋ยวหนูเชียร์รอบ 8 บาร์หนีตายนะ เอาตรง ๆ หนูซ้อมหนักมาก คู่แข่งหนูเป็นผู้ชายด้วย สองคนนี้เขาเก่งเลย หนูจะโดนแน่เลย หนูรู้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว
‘เสียงแบ๊ว’ ‘แอ็บแบ๊ว’ ‘ทำไมเสียงเป็นแบบนี้’ คำวิจารณ์ที่เธอได้รับมาจนทำให้นานาถึงกับหลั่งน้ำตา
หนูเสียใจมาก ๆ ร้องไห้จนตาบวม ในใจคือเราไม่ได้โกรธคนดูหรืออะไรเลย เรารู้สึกแย่กับตัวเองว่า เราทำแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ เราซ้อมหนักจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นตอนซ้อมหรือบนเวทีหนูก็เต็มที่ตลอด หนูมีความตั้งใจมาก เอาตรง ๆ หนูก็ไม่รู้ว่าจะชนะพี่เขารึเปล่า หนูคิดว่าเป็นเวทีสุดท้ายของหนู หนูจะทำให้ดีที่สุด สไตล์หนูก็จะเต้นแล้วร้องและแร็ป เราก็เสียใจที่คนหาว่า เราเสียงเป็นแบบนี้ หนูเองก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน
ครั้งแรกที่รู้ว่า เจอกระแสแบบนี้ เราเองก็ไม่อยากอยู่ในรายการแล้วด้วย มันแรงเกินไป คือหนูจะร้องไห้เวลาไปอ่านตามอินเทอร์เน็ต เขาพูดจากันแรงมาก ความจริงหลายคนก็บอกว่า อย่าไปอ่าน มันก็โดนทุกคนแหละ บางคำวิจารณ์หนูก็รับไว้นะ เสียงควรปรับโทนอันนี้โอเค แต่คนที่มาว่า ‘เสียงแอ๊บ’ ‘ดัดจริต’ หนูเสียใจมาก ๆ และหนูเข้าใจว่า เสียงหนูแปลกกว่าใคร หนูก็คิดว่าเป็นจุดด้อยรึเปล่า แต่หนูก็กล้าที่จะเอาเสียงของตัวเองมาพัฒนาให้เป็นจุดเด่น หนูกล้าที่จะทำตามความฝันของตัวเอง เข้ามาสมัครในรายการทั้ง ๆ ที่โดนกระแสอยู่แล้วก็คิดว่า ไม่เป็นไรหรอก เราก็ต้องเข้มแข็ง เพิ่งมารู้ว่าอยู่ในไทยต้องสตรองให้เป็น
สิ่งที่นานาอยากบอกกับคนทางบ้าน
หนูอยากบอกว่า อย่ารำคาญหรือเกลียดเสียงหนูเลย หนูรู้ว่าหนูไม่ใช่คนที่เก่งที่สุดในรายการ ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องพัฒนาและหนูก็พร้อมที่จะพัฒนาปรับปรุงและแก้ไข จะพยายามพัฒนาความสามารถพัฒนาความสามารถของตัวเองให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ อยากให้ทุกคนให้โอกาสหนูด้วย
บุคคลที่ชอบที่สุดในรายการ The Rapper
หนูชอบทุกคนนะ แต่ถ้าพูดถึงทีมงานหนูชอบ ทีม Freshment มาก ๆ และก็ทีม Rap is Now ด้วย พี่ ๆ เขาให้กำลังใจสนับสนุนหนูตลอด เขาฟังเรา หนูไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ที่เกาหลี อันนี้เราอยากทำอะไรทำได้หมดเลย เราอยากได้เพลงนี้ฟีลแบบไหน เขาถามความเห็นเรา เขาจะดูแลเราตลอดเลย ตรงท่อนนี้มันยังไม่ดีนะ เขาก็ส่งให้เราไปแก้หลาย ๆ อย่างพี่เขาก็น่ารักมาก
ความฝันของ NANA The Rapper ที่อยากให้คุณรู้
หนูมีอีกโปรเจกต์นึงนะตอนนี้ หนูอยากทำหนังสือเล่าเรื่องชีวิตตอนเป็นเด็กฝึกหัด ช่วงที่อยู่เกาหลีด้วย ตอนนี้เขียนแล้ว เหลือเรียบเรียงอีกนิดหน่อย มันเป็นหนังสือที่รวบรวมเทคนิคของการไปอยู่ที่โน้น หลายคนก็มาถามว่าเราไปได้ยังไง มีเทคนิคยังไงบ้าง หนูก็อยากมาแชร์ประสบการณ์ มาแชร์เทคนิค เราเป็นหนึ่งในคนไทยที่ไปอยู่ที่นั้น อยากให้มาเล่าให้น้อง ๆ หรือหลาย ๆ คนฟัง จะได้สนับสนุนให้เด็กไทยไปแสดงความสามารถเหมือนอย่างหนู หากสมมุติว่า ถ้าได้อ่านหนังสือเล่มนี้ก็อาจจะมีแนวทางมากขึ้น ส่วนเพลงตอนนี้จะทำออกมาหลาย ๆ แนว แนวที่ต้องทำก็คงเป็นแดนซ์และฮิปฮอป แต่ยังไงปีนี้จะได้ฟังแน่นอน
สิ่งสุดท้ายที่อยากบอกทุกคน ก่อนจากกันในวันนี้
อยากจะบอกว่า หนูก็เสียใจที่หลายคนไม่ชอบหนู แต่ก็อยากให้หลาย ๆ คนเปิดใจรับฟังหนูบ้าง หนูคิดว่ามันต้องใช้เวลาล่ะ กว่าคนจะยอมรับหลังจากนี้ก็จะพยายามสร้างผลงานและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่า หนูก็มีดีเหมือนกันนะ ติดตามหนูได้ที่ IG, Youtube : Fromnana facebook : Fromnana19.
อ่านบทความอื่น ๆ เกี่ยวกับ The Rapper