‘Morvasu’ อีกด้านของ มอร์ Ten To Twelve สู่อัลเทอร์เนทิฟโฟล์กที่เขาหลงใหล
- Writer: Montipa Virojpan
- Photographer: Chavit Mayot
เราต่างคุ้นหน้าคุ้นตา มอร์—วสุพล เกรียงประภากิจ กันดีในฐานะนักร้องนำวง Ten To Twelve และได้เห็นบทบาทอื่น ๆ ของเขามาบ้าง ทั้งการเป็นผู้กำกับโฆษณาและมิวสิกวิดิโอ เจ้าของธุรกิจ ไปจนถึงนักแสดงหนังอิสระหลาย ๆ เรื่อง ล่าสุดเขาก็คันไม้คันมือเดินหน้าทำโปรเจกต์เดี่ยวในนาม Morvasu นำเสนออีกความชอบของเขาด้วยซิงเกิ้ลแรกที่ชื่อ เวรกรรม ด้วยกลิ่นอายดนตรีอัลเทอร์เนทิฟโฟล์กที่เราอาจไม่คุ้นเคยนักเมื่อถ่ายทอดโดยเขาคนนี้ แต่ก็เป็นเพลงที่มีโครงสร้างที่น่าสนใจทีเดียว
ทำไมถึงมาทำโปรเจกต์เดี่ยว
ตอนนี้ Ten to Twelve ปิดเทอมกันอยู่ครับ ยังไม่มีโครงการจะทำเพลงใหม่ ส่วนเราก็คันมืออยากทำเพลง ซึ่งหลังๆมาเราก็ชอบเพลงที่ต่างจากเพื่อนๆในวงบ้าง เราก็เลยเก็บก้อนนี้มาทำ Morvasu
แล้วทำไมถึงทำเป็นอัลเทอร์เนทิฟโฟล์ก
(หัวเราะ) เฮ้ย เพลง เวรกรรม มันไม่มีกีตาร์โปร่งไม่ใช่เหรอ รู้ได้ไงว่าเราชอบโฟล์ก ความชอบของเราเป็นสิ่งผสมผสานกันมั่วซั่วมาก ๆ ไม่ได้เฉพาะโฟล์กอย่างเดียว ระยะนี้เราชอบ Lorde, James Bay, Troye Sivan, Death Cab For Cutie, ชอบ Seafret บางเพลง ศิลปินเหล่านี้คงทรงอิทธิพลกับเราช่วงนี้แหละ เออ รากมันเลยมีความโฟล์กบ้างล่ะมั้ง
เพลงนี้มีซาวด์ดีไซน์เยอะขึ้น เพราะค่อนข้างต่างจาก Ten to Twelve ที่เป็นแบนด์เล่นสนุก ๆ
ก็อยากทำอะไรที่มันไม่เหมือน Ten to Twelve เลย ถ้าคิดอะไรออกมาคล้ายเดิมเราก็ไม่ทำ ไม่งั้นก็ทำกับวงสิวะ ทำ solo lo lo lo lo lo ทั้งทีก็เอาให้ไม่เหมือนไปเลย
ถ้ากลับไปทำ Ten to Twelve เพลงจะยังเหมือนเดิมไหม
เราว่าไม่น่าเหมือนเดิมละ ด้วยเวลาผ่านไป รสนิยมก็เปลี่ยนไป การได้รับอิทธิพลของสมาชิกแต่ละคนในเวลาที่ผ่านไปก็ไม่เหมือนกัน ง่าย ๆ ที่เราเห็น เช่น Blink-182 พอ Tom DeLonge ไปทำ Box Car Racer แล้ว ตอนกลับมาทำ Blink-182 ก็ไม่ใสเท่าเดิมแล้ว อะไรแบบนั้น เราว่าถ้า Ten to Twelve กลับมาทำด้วยกันคงซาวด์ไม่เหมือนเดิมแหละ
จากที่เว้นมาประมาณสองปี วิธีการทำเพลงตอนนี้เปลี่ยนไปด้วยหรือเปล่า
วิธีการทำงานมันก็คล้าย ๆ เดิมนะ สมัยตอนทำกับวง เรากับวงก็จะขึ้นโครงเมโลดี้มาก่อนแล้วมาช่วยกันตบ ทำโครงเพลงด้วยกัน ได้ song form คร่าว ๆ แล้วค่อยไปเขียนเนื้อ แล้วค่อยให้พี่โฟร์ 25 Hours ที่เป็นโปรดิวเซอร์เราฟัง ส่วนตอนนี้คือต้องจบเนื้อร้อง ทำนองมาก่อนเลยแล้วค่อยทำดนตรีกับพี่โฟร์ คือไม่มีวงช่วยละ แง
ได้ค้นพบสิ่งใหม่อะไรบ้างในการทำโปรเจกต์ Morvasu
คงเป็นการรู้จักตัวเองมากขึ้นแหละครับ พอทำคนเดียวเป็นหลักทำให้รู้ว่าชอบเพลงแบบไหน ถนัดร้อง ถนัดเขียนแบบไหนมากขึ้น รู้สึกเหมือนฟ้ามันเปิดโล่ง รู้สึกกลับไปเป็นศิลปินใหม่อีกครั้ง ซึ่งก็จริง (หัวเราะ) ปีนี้คิดว่าจะลุยทำรวดเดียว 4-5 เพลงเลย ไม่งั้นมัน จะหาย ๆ ไป
เวลาเขียนเพลงได้มองภาพรวมไว้เผื่ออัลบั้มไหมให้มันเกาะกลุ่มกัน หรือเขียนทีละเพลงไปก่อน
ด้วยความสัจจริงก็เขียนทีละเพลง เราเขียนเพลงรับใช้เมโลดี้เพลงนั้นแหละ ถ้าเมโลดี้มันพูดกับเราด้วยความรู้สึกนึง เราก็ต้องเขียนเรื่องที่มีเนื้อหาตรงกับมัน ก็เลยไม่ได้คิดภาพรวมเผื่ออัลบั้มไว้ครับ เพลงต่อ ๆ ไปก็ไม่แน่ใจว่าซาวด์จะเป็นแบบเพลงนี้ไหม เป็นข้อเสียของเราตั้งแต่ตอนทำ Ten To Twelve แล้วที่เราชอบอะไรหลายอย่างมาก เรากำกับโฆษณาด้วยไง พอเราเป็นผู้กำกับ เราต้องหา source ก็เสพของมาหลากหลาย ทำให้ความชอบหลากหลายเกินไป เพลงเราเลยค่อนข้างหลากหลายอารมณ์และแนว (หัวเราะ)
แล้วแบบนี้ลายเซ็นของ Morvasu จะเป็นอะไร
คงเป็นเรื่อง songwriting มั้งครับ การเล่าเรื่องจริงที่เรารู้สึก ถ้าเราไม่รู้สึก เราก็ไม่รู้จะเขียนเพลงนี้ทำไม
เพลง เวรกรรม ได้คอนเซ็ปต์มาจากอะไร
เราอยากทำเพลงเพื่อชีวิตบนดนตรีสมัยใหม่ อยากใช้คำที่สละสลวยแบบเพลงเพื่อชีวิตมาอยู่บนซาวด์ดนตรียุคปัจจุบันน่ะ
ทำไมเวรกรรมถึงมาในรูปของความรัก
เพลงมันเกี่ยวกับความสัมพันธ์แบบ love-hate relationship น่ะ คือรักมากแล้วก็เกลียดมาก อยากหนีออกจากความสัมพันธ์นี้แต่ก็ทำไม่ได้ เราเลยหาคำคู่ตรงข้ามมาเขียนให้มันรู้สึกย้อนแย้งในเกือบทุก ๆ ประโยค แต่ไม่ใช่คำตรงกันข้ามกัน งงไหม เช่น เวิร์สแรกเราเขียนว่า เกลียดเธอยิ่งนักที่ช่าง ‘เลวร้าย’ และ ‘แสนวิเศษ’ ทำให้ ‘ลุ่มหลง’ และทำให้ฉันแทบ ‘ใจสลาย’ เวิร์สนี้พอเมโลดี้น้อยมาก มันเลยเขียนยากมาก ใช้เวลาเป็นเดือน ๆ เลยตอนเขียน
เป็นคนเชื่อโชคลางไหม ตั้งแต่เพลง ภาวนา มาจนถึง เวรกรรม ก็ดูเป็นเรื่องความเชื่อ
ไม่นะ ก็ไม่ได้เขียนในเรื่อง superstitious แต่เล่าในแง่ที่เป็นการใช้คำเปรียบเปรยมากกว่าว่า ‘ที่เรามารักกันและเกลียดกันขนาดนี้ มันคงเป็นเวรเป็นกรรมสินะ’ เห็นเปนคำพูดติดปากคนอื่น เราเลยขโมยมาใช้
ชอบเพลงเศร้าหรอ เพราะส่วนใหญ่เพลงที่ใช้เปิดตัวเป็นเพลงที่ไม่ค่อยแฮปปี้
ตอนเศร้าเราแต่งเพลง ตอนมีความสุขเราไม่หยิบกีตาร์หรือปากกาขึ้นมาหรอกครับ กำลังสนุกอยู่ไงจะมาแต่งเพลงทำไม (หัวเราะ) นึกออกไหม จริง ๆ แล้วมันก็เป็น therapy อย่างนึง ตอนเพลงโลกยังไม่แตก ฟังดูเหมือนเป็นเพลงบวก ๆ นะ แต่เนื้อหามันจริง ๆ คือการปลอบตัวเองว่า ‘เฮ้ย เลิกเครียดได้แล้วนายมอร์ ถ้าฟ้ายังเป็นฟ้าอยู่ โลกก็ยังไม่แตกซะหน่อย’ แต่หลังจากนี้จะลองแต่งเพลงตอนตัวเองมีความสุขบ้างครับ
เคยเอาเพลง เวรกรรม ไปเล่นสดแล้วหรือยัง
เคยครับ เป็นงานของเพื่อนแล้วเราไปเล่นแจม พอขึ้นไปเล่นแล้วหันไปแบบ เพื่อนวงกูไปไหน! (หัวเราะ) ไม่ชินกับการเล่นคนเดียว ปกติหันไปแล้วจะเห็นเพื่อน ๆ วง Ten to Twelve อยู่ข้าง ๆ ตลอด แต่ถ้าอยากฟังเล่นสดแบบฟูลโชว์วันที่ 1 กุมภาก็จะเล่นเป็นครั้งแรกครับ มาดูด้วยนะ
ปกติเวลาเล่นสดวงนี้จะได้ชื่อว่าเอ็นเตอร์เทนคนดูเก่ง แต่เคยเจอฟีดแบ็กที่ไม่ดีบ้างไหม แล้วรับมือยังไง
เคยอ่านทวิตว่า ‘พี่มอร์แม่งก็ไม่ได้เสียงดีขนาดนั้น’ ซึ่งก็จริงครับ ผมรู้ว่าผมก็ไม่ได้เสียงดี อ่านแล้วก็รู้สึกแหละ แต่มันก็ถูกแล้วนี่ ทุกคนต้องมีคนชอบและไม่ชอบอยู่แล้ว เราก็จะพยายามทำให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ครับ
เป็นผู้กำกับโฆษณากับมิวสิกวิดิโอ แล้วเพลงของตัวเองนี่ทำเองด้วยหรือเปล่า
จะว่าอย่างนั้นก็ได้ครับ แต่เป็นแค่ lyrics video หนุก ๆ จริง ๆ ก็อยากทำ mv เลยนะแต่ด้วยอะไรหลาย ๆ อย่าง ตอนนั้น เวลาจำกัด เลยไม่ได้ทำ
เดี๋ยวนี้เห็น lyrics video เยอะมาก คิดว่าเมื่อเทียบกับ music video แล้วสองอย่างทำงานต่างกันยังไง
คือ mv อันที่มันดีจริง ๆ จะเห็นการทำงานระหว่างเพลงกับภาพอย่างสมบูรณ์แบบ ภาพทำให้ความหมายของ เพลงไปไกลขึ้น อย่างของ Childish Gambino พวก element ทำให้เราต้องมานั่งดูซ้ำแล้วซ้ำอีกใน This is America เงี้ย ถ้าเป็นเราก็ชอบดู mv มากกว่า แต่เพลง เวรกรรม คือด้วยข้อจำกัดบางอย่างเลยทำเป็นแค่นี้ เพลงต่อไปก็อยากจะลองทำ mv เองดู ไม่ได้ทำมานานแล้ว คัน ถ้าจะขาดทุนก็ต้องเจ๊งกับเพลงตัวเองสิวะ (หัวเราะ)
นอกจากที่ต้องทำตามโจทย์แล้ว อะไรคือสิ่งที่ท้าทายที่สุดในงานกำกับ จะโฆษณา หรือ mv ก็ตาม
เราว่าไม่ว่าจะทำอะไรมันก็ต้องมีโจทย์อยู่แล้ว ทำเพลงก็ต้องมีโจทย์ โจทย์อยู่ในหัวคนทำอยู่แล้วว่าอยากทำเพลงแบบไหน อยากได้เพลงป๊อปแค่ไหน อยากสื่อสารกับคนฟังแค่ไหน อยากโชว์ความเป็นศิลปินหรืออยากโชว์กีตาร์ปั่นไฟแล่บ แต่สิ่งที่ทำให้เราสนุกตอนนี้คือการคิดไต่กรอบ คือไม่ใช่นอกกรอบนะ เราว่านอกกรอบยุคนี้ มันไม่ได้สนุกเท่าการคิดอยู่พอดีริมกรอบของงานนั้น เช่น โฆษณาของแบรนด์นี้ปกติมันทำได้แค่นี้ เราก็จะพยายามผลักงานไปให้สุดขอบนั้น เราว่าการที่แบรนด์ได้ทำอะไรในสิ่งที่มันไม่เคยทำ ถ้ามันดีคนดูก็คงตื่นเต้นด้วย และเราก็สนุกที่จะทำด้วย แบรนด์ win คนดู win ทุกคน win หมด เราคงอยากเป็นผู้กำกับแบบนั้น จะพยายามเต็มที่ครับ
ก่อนหน้านี้ได้ทำงานกับผู้กำกับเก่ง ๆ เยอะมาก ได้อะไรจากพวกเขาบ้าง
พี่ต่อ ธนญชัย เราได้จากเขาเยอะมาก ได้รากความคิดหลาย ๆ อย่างจากเขา การยึดไอเดียเป็นศูนย์กลาง การคิดถึงคนอื่น ส่วน พี่เต๋อ นวพล อันนี้ตลก รู้สึกว่าการก็อป body language ของเขาทำให้เราเล่น ‘Mary is Happy, Mary is Happy’ ผ่านได้ ไม่ต้องเทคใหม่.. ขอโทษครับ นี่ยังจะเอามาเผา (หัวเราะ)
แล้วอย่างตอนเล่น Motel Mist เห็นบอกว่าทำการบ้านมาเยอะมาก
ก็ไม่ได้เยอะขนาดนั้นนะ อาจจะเยอะกว่าแค่นักแสดงสมัครเล่นคนอื่น ๆ เท่านั้นมั้ง เขาก็ส่งเราไปเวิร์กช็อป อย่างช่วงที่ถ่ายก็พยายามอยู่ในตัวละครตลอด แม้จะไม่ได้อยู่ในกล้อง ตอนอยู่ในกองเราก็จะไม่ค่อยคุยกับคนอื่น จะอยู่เฉย ๆ ซึ่งต่างจากกองปกติที่เราชอบคุยเล่นมาก ๆ ตอนนี้ถ้าถามว่าอยากเล่นบทไหนคือ อยากเล่นบทแบบแข็ง ๆ อะ เป็นคนแข็ง ๆ พูดจาไร้อารมณ์ โคตรอยากเล่นเลย
เป็นทั้งนักดนตรี นักแสดง และผู้กำกับ มีช่วงนึงไปทำธุรกิจ co-working space ด้วย ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง
เจ๊งครับ ตอนนี้ไม่ทำแล้ว ตอนนั้นคือโดดไปทำแบบไม่คิดอะไรเลย คิดแค่ว่าเราอยากออฟฟิศเป็นของตัวเอง แล้วก็มีคนมาแบ่งเช่าก็ดี แต่พอไปทำมันมีดีเทลความเป็นมนุษย์มาก ๆ ตอนแรกคิดว่ามันเป็นเรื่องง่ายแต่เราไม่ได้ศึกษาให้มันมากพอ แล้วจะให้เราทิ้งดนตรีและกำกับมาทำอันนี้หรอ เราก็ไม่เอา เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า จงมีแค่ second job พอครับ อย่ามี thrid job (หัวเราะ) ตอนนี้เราเพิ่งเปิดบริษัทใหม่ครับ เป็นโปรดักชันเฮาส์รับทำโฆษณาชื่อ Bourbon เปิดกับพี่ ๆ ที่สนิทกันมาครึ่งปีแล้วครับ สนุกดีครับ ดู showreel ผมได้ที่ vimeo.com/morvasu ครับ ถ้าสนใจก็เช็กคิวได้ที่เบอร์ที่ขึ้นข้างล่างจอตรงนี้เลย (หัวเราะ) ขายเก่ง
คิดว่าตัวเองเป็นคนบ้างานไหม ดูทำหลายอย่าง
สมัยก่อนเราว่าเราบ้างานกว่านี้นะ ช่วง 3-4 ปีที่แล้ว เราสามารถทำงานแบบไม่มีวันหยุดได้เลยเพราะเราทำสอง อย่าง (เล่นดนตรี, กำกับ) สลับไปสลับมา แต่เดี๋ยวนี้เริ่มต้องการการพักผ่อนแล้วครับ เหมือนเราต้องการการเติมของ เหมือนเราใช้ของที่รับมาในสมอง 27-28 ปี เพลงที่เราฟัง ความหมกมุ่นตอนเด็ก หนัง โฆษณา ต้นปีที่แล้วก็มีความ burn out ประมาณนึง คิดไม่ออก ปีใหม่ที่ผ่านมาก็เลยพยายามนั่งอัพเดทงานอยู่บ้าน ดูว่าเพลง mv โฆษณาตอนนี้มันไปกันถึงไหนแล้ว …เออ ก็ยังบ้างานนี่
วงที่น่าสนใจตอนนี้มีใครบ้าง
เราว่ายุคนี้มันคือการ mix and match แนวเพลงที่เราชอบให้กลายเป็นตัวเอง ช่วงนี้ชอบฟัง Kendrick Lamar, Maggie Rogers, John Mayer ชุดล่าสุด (The Search for Everything) เขาก็ไม่ได้ดังมาก แต่มันในดวงใจเลย Cape Town นี่ก็ชอบ เพลงเนิร์ด ๆ มีความธรรมดา lo-fi มาก ๆ เราแพ้อะไรแบบนี้ เพลงย้วย ๆ เกาหลีพักนี้ก็ชอบครับ พวก offonoff, We Are The Night, DPR Live ลำโพงดี ๆ นี่อย่างย้วย เป็นไงครับมั่วซั่วไหม
ในฐานะที่เป็นศิลปินคนแรกที่ Fungjaizine สัมภาษณ์ในปี 2019 มี New Year resolution กับเขาบ้างหรือเปล่า
อยากเก่งกว่านี้ทุกด้าน อยากฟิตร่างกาย ฟิตไฟ ฟิตความคิด ฟิตเสียงร้อง ฟิตการเขียนเพลง กูจะเอาเวลาที่ไหนไปทำทุกด้านนี่ (หัวเราะ)
การตั้งเป้าหมายเพื่อไปสู่สิ่งที่ดีกว่าในชีวิตจำเป็นไหม
มีโกลก็ดีนะ จะได้รู้ว่าเราต้องไปทางไหน เพราะว่าถ้าไม่มีโกลมันก็ลอย ๆ เช่นปลายปีนี้อยากมี EP Morvasu ครับ (หัวเราะ)
หลังปล่อยเพลง เวรกรรม ไปแล้ว Morvasu จะทำอะไรต่อ
ตอนนี้เอาเพลงเก่าที่ไม่ได้ปล่อยของวงมาเรียบเรียงใหม่ครับ ชื่อเพลง จดหมายจากฟ้า คงจะยึดความเป็นอัลเทอร์เนทิฟโฟล์กไว้แหละครับ เป็นเพลงอุ่น ๆ เศร้า ๆ แต่ยิ้ม ๆ ย้อนแย้งกันเองอีกแล้ว มันเป็นเรื่องของมือกีตาร์คนแรกของวงเราที่เสียชีวิตตอนถ่าย mv ภาวนา เพลงถูกเขียนขึ้นจากความคิดที่ว่า ถ้ามันส่งจดหมายได้ฉบับนึงไปถึงคนรักของมันตอนที่มันเพิ่งเสียชีวิต มันจะเขียนว่าอะไร มันเลยกลายเป็นจดหมายรักของคนที่จากไปแล้วครับ คือเรื่องเศร้า แต่เขียนให้ยิ้ม ๆ ถ้าเสร็จเพลงนี้แล้ว หลังจากนั้นก็จะทยอยทำเพลงใหม่เรื่อย ๆ ครับ
ฝากผลงาน
ขอบคุณที่อ่านมาจนจบนะครับ ติดตามงานทั้งสองด้านของเราได้ที่ facebook.com/morvasu เด้อ แล้วก็ ก่อนจะปิดหน้านี้ ฝากกดไปฟังเพลง เวรกรรม ทีนึงได้ไหมครับ (หัวเราะ)