Interview

Moderndog 22 ปี ขอบคุณโชคดี..ที่ฉันมีเธอ

  • Writer: Gandit Panthong
  • Photographer: Nattanitch Chanaritchai

การเฉลิมฉลองครบรอบวาระต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่น่ายินดีทั้งสิ้น ครั้งนี้ก็เช่นกัน 22 ปีที่พวกเขาเดินทางกันมาในเส้นทางดนตรีเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นสำหรับแฟนเพลงอย่างพวกเราเป็นอย่างมากที่ผมกำลังกล่าวทั้งหมดนี้ ผมกำลังพูดถึงวงดนตรีที่มีชื่อว่า Moderndog วงดนตรีขวัญใจวัยรุ่นที่อยู่กับคนฟังเพลงมาทุกยุคทุกสมัยและเร็ว ๆ นี้พวกเขากำลังจะมีคอนเสิร์ตใหญ่ฉลองครบรอบ 22 ปีของตัวเองกันแล้ว ในฐานะที่ทุกคนในกองบรรณาธิการฟังใจซีนเป็นแฟนคลับของ Moderndog พวกเราจึงไม่พลาดแน่นอนที่จะสัมภาษณ์พวกเขาถึงเรื่องราวคอนเสิร์ตที่กำลังจะเกิดขึ้น ไหนจะเรื่องอัลบั้มป๊อด โป้ง เมธี อีกว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร รวมไปถึงเจาะลึกแต่ละเพลงในอัลบั้มนี้แบบหมดเปลือกจากปากของทั้ง 3 คน เรื่องราวจะดำเนินไปเช่นไร ขอให้ทุกท่านสนุกกับการอ่านบทสัมภาษณ์วง Moderndog ในครั้งนี้ครับ 

ปล.บัตรคอนเสิร์ตของพวกเขามีขายแล้วที่ www.thaiticketmajor.com ครับ  

จุดเริ่มต้นของคอนเสิร์ตครั้งใหญ่ครั้งนี้เกิดขึ้นจาก…

ป๊อด: จุดเริ่มต้นคอนเสิร์ตครั้งนี้ มันเป็นตามธรรมเนียมของพวกเราอยู่แล้วครับที่จะจัดคอนเสิร์ตใหญ่ทุกครั้งเวลาออกอัลบั้มใหม่ ซึ่งช่วงเวลานี้ก็เป็นโอกาสอันดีหลังจากพวกเราได้ออกอัลบั้มชุดที่ 6 ไปแล้วพร้อมผนวกกับเราจัดคอนเสิร์ตใหญ่ไปแล้ว ตอนครบรอบวง 10 ปี 15 ปี ด้วยความบังเอิญในขั้นตอนการทำงานต่าง ๆ มันจึงมาลงล็อคที่ช่วงเวลา 22 ปีพอดีครับ

อัลบั้มป๊อด โป้ง เมธี ความจริงแล้วรายละเอียดการทำงานทั้งหมดเสร็จสิ้นตั้งแต่ปี 2556

ป๊อด: ความจริงอัลบั้มใหม่มันเสร็จตอนปีที่ 19 ของวงแล้วนะ แต่ว่าเราเปลี่ยนวิธีการปล่อยเพลงออกไป โดยปล่อยเพลงทีละซิงเกิ้ล ซึ่งก็ออกมาเรื่อย ๆ ในระยะเวลาทั้งหมด 2 ปี พอถึงจุดนึงเราก็คิดได้ว่า อัลบั้มใหม่มันควรออกมาได้แล้วนะเลยตัดสินใจออกในปีนี้ครับ ระยะเวลาการทำงานทั้งหมดของอัลบั้มนี้มันจะเป็นช่วงปี 2556 ถึง 2559

Impact Area กับเป้าหมายสุดท้าทายของ Moderndog

โป้ง: จริง ๆ ถ้าพูดถึงคำว่า การเฉลิมฉลองมันก็ควรเป็นการเฉลิมฉลองยิ่งใหญ่ แต่ว่าพวกเราก็กลัวการเล่นในสถานที่ใหญ่ ๆ มาตลอด ไอเดียที่จะเล่นใน Impact Area เนี่ยมันมีมาตลอดนะ โจทย์นี้เป็นสถานที่ที่ท้าทายสำหรับพวกเรามาก ก่อนหน้าที่จะตัดสินใจเลือกสถานที่เป็นที่นี่ ตัวเราเองก็แอบคิดว่า มันอาจจะไม่ต้องใหญ่ขนาดนี้รึเปล่า แต่พอมานั่งคิดดี ๆ มันถึงเวลาที่ต้องสู้กับมันแล้ว ฉลอง 22 ปี ความเข้มข้นอะไรหลาย ๆ อย่างของมันควรจะเป็นที่นี่ ตัดสินใจอยู่นานเหมือนกันนะกว่าจะเคาะได้

เมธี: ตอนแรกพวกเรากะจะเล่นโรงภาพยนตร์สกาล่านะ บางทีวงเราไปเล่นโชว์ในที่ที่คนไม่เยอะ เล่นดีนะ แต่พอไปเล่นสถานที่คนเป็นหมื่นมันเล่นสู้ที่เล็ก ๆ ไม่ได้ แต่ถ้ามองอีกแง่นึงมันเป็นการสนุกอีกแบบ สถานที่แบบนี้มันจะมีความพิเศษมากกว่าสถานที่ที่เล็กกว่า เหมือนอย่างที่โป้งบอก มันท้าทาย คือจะทำอย่างไรให้สื่อสารกับคนจำนวนเยอะ ๆ ได้ ก่อนหน้านี้เราก็เล่นที่ Impact Area มาบ่อยนะ แต่ไปในนามแขกรับเชิญของคนอื่นซะมากกว่า ไม่กล้าเล่นเป็นวงเราวงเดียว (หัวเราะ)

โป้ง: ก่อนหน้านี้เวลาที่ไปเล่น Impact Area วงเราเองก็ไม่กล้าที่จะใส่เต็มที่ เพราะด้วยความที่มันเป็นคอนเสิร์ตของคนอื่น ๆ ด้วย เราเป็นแค่แขกรับเชิญ แต่พอมางานนี้เราทำได้ทุกสิ่งที่เราต้องการมันก็น่าจะสนุกไปอีกแบบ

โชว์ในคอนเสิร์ตใหญ่จะไม่เหมือนโชว์งานจ้างทั่วไป

ป๊อด: โชว์ปกติอาจจะเป็นโชว์จ้าง เราเข้าใจได้ ในโจทย์ของโชว์จ้างเขาอยากให้มีความฟินเป็นหลัก เพลงฮิตต้องมา ถึงแม้เขาเองอาจจะไม่ได้บอกเราก็ตาม เพราะฉะนั้นวงเราเองต้องเลี่ยงหลาย ๆ เพลงไป บางครั้งจะได้ยินพวกเราพูดเสมอเวลาสัมภาษณ์กับสื่อต่าง ๆ ว่า พวกเราเหมือนเป็นตู้เพลง มีเพลงให้หยอด 8 เพลง แต่จริง ๆ แล้วคลังเพลงเรามี 60 กว่าเพลงเลยนะ มันมีหลายโหมดมาก โหมดลึกซึ้ง โหมดดำดิ่ง โหมดดุดันหรือแม้กระทั่งโหมดตู้เพลงก็ตาม เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะไม่เหมือนงานจ้างทั่วไปในงานคอนเสิร์ตนี้ก็คือ เราจะรวมทุกโหมดนั้นเข้าไว้ด้วยกัน คนที่เข้ามาฟังก็คือผู้ที่พร้อมจะเข้ามาเจอกับเราทุกโหมด เขาต้องรู้ว่าโหมดต่าง ๆ ของเราเป็นไงบ้าง ถึงซื้อบัตรมาดู จะได้ยินเพลงจากทุกอัลบั้มแน่นอนครับในงานนี้ ใบ้ ๆ ว่าคนที่มางานวันนั้นจะมีความสุขกับเพลงอีสานคลาสสิกแน่นอน

โป้ง: ตามป๊อดบอกเลย น่าจะเป็นอย่างนั้นครับ เพราะตอนนี้มีคนดูที่ซื้อบัตรแล้วเขาก็เริ่มหางานเพลงเก่า ๆ ของเราฟัง เริ่มศึกษาว่าแต่ละยุคของวงเราเป็นแบบไหน ไปทำความรู้จักกับเพลงอีกรอบ เพื่อที่เขาจะได้มาดูคอนเสิร์ตได้อย่างเต็มอรรถรส ซึ่งมันก็ดีเหมือนกัน ปกติเวลาไปเล่นตามห้างหรือสถานที่ต่าง ๆ บางคนเขาอาจจะไม่ได้ตั้งใจมาดูวงเราก็ได้ เขาอาจจะมาซื้อเสื้อแล้วได้ยินเพลงเราก็แค่นั้น แต่ในคอนเสิร์ตนี้มันจะเต็มไปด้วยคนที่ตั้งใจทำการบ้านเผื่อมาดูคอนเสิร์ต ความรู้สึกมันก็ต่างกันออกไป

เมธี: คือ พวกเราไม่ใช่ว่าจะไม่พยายามเล่นเพลงอื่นนะ เราก็พยายามเล่นมาหลายงานแล้ว แต่หลายครั้งบางเพลงเครื่องเสียงมันไม่ถึง มันก็คุมโทนของเพลงทุกอย่างไม่ได้ เราก็เลยต้องกลับไปเล่นเพลงโหมดตู้เพลงเหมือนเดิมดีกว่า เคยมีช่วงนึงเราเอาเพลงยุคดำดิ่งมาเล่น ปรากฏว่า ควบคุมมันไม่ได้ แต่สำหรับงานนี้เราดูแลทุกอย่างทั้งเครื่องเสียง แสงสีต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น มันจะมีตัวช่วยของมันที่เข้ากับเพลงเรามากขึ้น

ครบรอบ 22 ปี Setlist ไม่ได้เรียงกันง่าย ๆ

ป๊อด: ขั้นตอนการเรียง Setlist เป็นขั้นตอนที่ยากมากสำหรับพวกเรา หน้าที่หลักของวงช่วงนี้คือการคิดเรื่อง Setlist เราจะรวมกันแบบไหนให้มันเป็นโชว์เดียวที่ยังกลมกล่อมอยู่ พวกเรา 3 คนก็เลยไปคิดวิธีลองทำโพลกันดูใน Facebook ให้คนฟังโหวตว่าอยากฟังเพลงอะไรมากที่สุด 3 เพลง คำตอบที่ได้มาก็ทำให้เราพอเข้าใจว่าโชว์เรามันจะออกไปทางไหนเหมือนกัน

โป้ง: มีคนตอบเป็นพันเลย ส่วนใหญ่จะเป็นเพลงสิ่งที่ไม่เคยบอก, ก่อน, ตาสว่าง (หัวเราะ) ซึ่งก็จะเป็นเพลงฮิตของวงอยู่แล้วล่ะครับ

ป๊อด: เราเห็นมีเพลงแปลก ๆด้วยนะ ผมเห็นเลยว่า มันมีคนที่ฟังเพลง Moderndog หลายโหมด อย่างคนที่เลือกเพลงเป็นพวกเคว้ง เพลงคล้าย คนกลุ่มนี้อีกงานคอนเสิร์ตนึงเลย โหมดนี้มันต้องเฉพาะงานจริง ๆ แต่ในคอนเสิร์ตครั้งนี้ถามว่ามีโหมดแบบนี้รึเปล่ามีนะ แต่จะกี่เพลงเดี๋ยวต้องดูก่อน แต่จะเล่นครบทั้ง 6 อัลบั้มแน่นอน

คอนเสิร์ตใหญ่ของวงทั้งทีต้องมีแขกรับเชิญ

เมธี: มีครับมีแน่นอน แต่ไม่บอกว่าใคร งานนี้มีคนเดียวครับ

โป้ง: วงเราเคยมีแขกรับเชิญเยอะไปแล้วนะ 15 คน ตอนคอนเสิร์ต 5 3 15

ป๊อด: ตอนจัดคอนเสิร์ต 5 3 15 เนี่ยจะมีคำถามเยอะมากตอนสัมภาษณ์ว่า แขกรับเชิญเป็นใคร ซึ่งมาคิดอีกทีอ่อเรื่องนี้มันสำคัญมากนะ เราก็เลยไปชวนมาทั้งหมด 15 คนไปเลย ใครที่ไปน่าจะจำกันได้ดี ทำให้คราวนี้มาคิดว่าใช้คนเดียวก็น่าจะพอแล้ว เพราะรอบที่แล้วใช้คนเยอะไปแล้ว งบมันเยอะนะ (หัวเราะ)

เตรียมเสื้อลายขวางให้พร้อม เพราะนี่คือคำสั่งของ Moderndog

โป้ง: เรื่องเสื้อลายขวางถ้าใครที่ตามวงเรามาตั้งแต่สมัยก่อนจะเห็นว่า วงเราใส่เสื้อลายขวางบ่อยมาก ใส่กันแบบไม่ได้นัดหมายด้วยนะ มันเป็นเสื้อที่ใส่ไปสักพักแล้วช่วงหลัง ๆ เริ่มรู้สึกว่ามันเป็นกิมมิคของวงเรานิหว่า ถ้าเห็นเสื้อแบบนี้ต้องนึกถึงใครสักคนในวงแน่ ๆ

ป๊อด: พูดง่าย ๆ พวกเราเป็นสายแพทเทิร์นนะในการแต่งตัวเนี่ย เราจึงหยิบตรงนี้มาเป็นกิมมิกของงานครั้งนี้ บังคับเลยให้ทุกคนใส่เสื้อลายขวางมาดูวงเราครับ ประกาศอีกทีตรงนี้ อยากให้งานนี้มันเหมือนงานปาร์ตี้ฝรั่งที่เขาใส่เสื้อขาว ๆ กันในงานทุกคน งานเราขอทำบ้าง ทุกคนใส่ลายขวางมาทั้งฮออล์ภาพมันจะออกมาสวยมาก

เมธี: อย่างเมื่อตอนแถลงข่าวคนก็ใส่กันมานะ เราแฮปปี้มาก ๆ เกือบทั้งโรงภาพยนตร์สกาล่าเลย มองไกล ๆ มันก็เป็นภาพที่สวยดี

BEC – Tero entertainment ผู้ช่วยสำคัญของงานคอนเสิร์ตครั้งนี้

โป้ง: งานคอนเสิร์ตครั้งนี้ที่เรามาทำกับบริษัท BEC เพราะว่า เราไม่มีความสามารถในการดูแลคอนเสิร์ตระดับใหญ่ขนาดนี้ ปกติเราก็ทำแค่สเกลอินดอร์สเตเดี้ยม หัวหมาก ก็เหนื่อยแทบจะแย่ล่ะ ครั้งนี้เราต้องหาทีมงานมืออาชีพทำให้คอนเสิร์ตครั้งนี้มันไปได้ ซึ่งก็คิดว่าเลือกคนทำงานด้วยไม่ผิด ส่วนเรื่องการขายต่าง ๆ ในคอนเสิร์ตนี้เราแทบจะปล่อยวางทั้งหมดได้เลย ไม่ต้องมากังวลเรื่องหาเงินต่าง ๆ ที่ใช้จ่ายในงาน

ป๊อด: พวกเราค่อนข้างเป็นวง D.I.Y นะ ถึงแม้จะอยู่ในวงการเพลงนี้มานานอย่างที่ใครหลายคนบอกก็ตาม พวกเรานี่โครตทำตัวอินดี้เลย ความจริงแล้ว (หัวเราะ) คือ ทำเองทุกอย่างทั้งหมด ตรวจปรู๊ฟหน้าปกอัลบั้ม ทำมิวสิควิดีโอ ถ่ายทำเองทุกขั้นตอน เรียกได้ว่า รายละเอียดทั้งหมดเราจะทำเอง แต่พอมาถึงงานคอนเสิร์ตครั้งนี้มันเป็นงานใหญ่ ทีมเราก็ต้องใช้ทีมงานที่ใหญ่และแข็งแรงนิดนึง ตอนนี้เราก็มาหน้าที่ของเราคือซ้อมให้ดี ดูแลโชว์ให้ยอดเยี่ยม ดูแลร่างกายและจิตใจของเราก็พอแล้ว เพราะฉะนั้นเรื่องต่าง ๆ ในส่วนของการขายบัตร เรื่องงบประมาณเราไม่ต้องซีเรียสตรงนี้จุดนี้มากเท่าไร

ปีนี้หากคุณพลาดคอนเสิร์ตนี้ อนาคตพวกเขาไม่สามารถตอบได้ว่าจะมีคอนเสิร์ตครบรอบ 30 ปีอีกครั้งทีรึเปล่า

ป๊อด: ถ้าคอนเสิร์ตแบบไซส์นี้ในอนาคตจะมีอีกรึเปล่า ตอบยากเลยเดี๋ยวมารอดูกันครับ (หัวเราะ)

เมธี: จริงๆ พวกเราไม่ค่อยได้ทำนะคอนเสิร์ตใหญ่เนี่ย เหมือนมันเป็นการแข่งกับตัวเองด้วยว่าแต่ละโชว์เราเล่นเป็นอย่างไรบ้าง คอนเสิร์ตแนวอคูสติกก็เล่นไปแล้ว ถ้ามีโจทย์ใหม่ๆ ที่ท้าทาย พวกเราก็ยังจะทำต่อไป แต่ส่วนตัวเราแล้วก็ไม่ค่อยคิดอะไรไกลนะ คิดเป็นขั้นตอนไปดีกว่า พออัลบั้มชุดนี้เสร็จ เราปล่อยเพลงแล้วทำคอนเสิร์ตกัน ด้วยอายุวงแล้วมันก็ตอบยากว่าจะมีครบรอบ 30 ปีรึเปล่านะต้องมารอดูกัน เอาเป็นว่ามาดูคอนเสิร์ตครั้งนี้ก่อนครับแล้วค่อยคิด สเต็ปต่อไปกัน

“มันเป็นสิ่งที่อยู่กับเรามาตลอดนะชื่อพวกนี้ แต่ไม่เคยเห็นว่ามันสำคัญ เราพูดชื่อนี้มา 22 ปีแล้ว แต่ไม่มีใครเคยคิดถึงเลยว่า มันมีความพิเศษหรือสำคัญมากน้อยขนาดไหนจนกระทั่งเราคิดว่า ชื่อนี้ล่ะมันเหมาะสมกับพวกเราที่สุดแล้วในอัลบั้มนี้”

ป๊อด โป้ง เมธี ชื่ออัลบั้มสุดแสนจำง่ายและสุดจริงใจของพวกเขา

เมธี: ชื่ออัลบั้มนี้เรียกง่าย ๆ มันคือ พวกเรา 3 คนเนี่ยล่ะครับ พวกเราต้องการกลับมาสู่ความเป็นตัวตนที่เป็นอยู่ของตัวเราเองอีกครั้ง

โป้ง: มันเป็นสิ่งที่อยู่กับเรามาตลอดนะชื่อพวกนี้ แต่ไม่เคยเห็นว่ามันสำคัญ เราพูดชื่อนี้มา 22 ปีแล้ว แต่ไม่มีใครเคยคิดถึงเลยว่า มันมีความพิเศษหรือสำคัญมากน้อยขนาดไหนจนกระทั่งเราคิดว่า ชื่อนี้ล่ะมันเหมาะสมกับพวกเราที่สุดแล้วในอัลบั้มนี้

เมธี: วิธีคิดชื่ออัลบั้มครั้งนี้เราย้อนกลับไปใช้แนวคิดแบบอัลบั้มแดดส่อง คือ ใช้อะไรง่าย ๆ ใช้ความเป็นตัวเรามานำเสนอ เพราะที่ผ่านมาอัลบั้มอื่น ๆ ตั้งแต่อัลบั้มแรกจนมาถึงอัลบั้มชุดที่ 5 เราพยายามจะเลี่ยงการเอาตัวเองขึ้นปกมาโดยตลอดจะมีแค่อัลบั้มแดดส่องที่เป็นรูปพวกเรา ซึ่งผมก็มองว่าอันนี้วิธีคิดมันก็คล้ายแบบนั้นเช่นกัน แต่มันเป็นขั้นที่เหนือขึ้นไปอีก คือ เอาชื่อคนมาตั้งชื่ออัลบั้มไปเลยง่ายดี

ป๊อด: มันเหมือนวงดนตรีที่ใช้ชื่อเพลงในอัลบั้มมาเป็นชื่ออัลบั้ม แต่ชื่อที่มันลึกลงไปกว่าชื่อเพลง ชื่อวงดนตรีก็คือชื่อสมาชิกไงครับ เราก็เลยลองใช้แบบนี้ดู แต่ถ้าเกิดเราใช้วิธีคิดแบบวงปกติเขาทำกันนะ อัลบั้มนี้มีโอกาสชื่อโอ น้อย ออก หรือไม่ก็ใช้ชื่อว่า สกาล่า สูงมาก (หัวเราะ)

เมธี: จริงๆ ตอนอัลบั้มทิงนองนอยก็เป็นวิธีคิดแบบนี้นะ แต่เพลงที่ชื่อว่า ทิงนองนอย มันโดนตัดออกไปก่อนก็เลยเอามาเป็นชื่ออัลบั้มแทนครับ

การแจมทำให้เกิดเพลงในอัลบั้มนี้

ป๊อด: เพลงทั้งหมดมันเริ่มจากมุมคิดที่ง่ายที่สุดในเรื่องของการอยากทำเพลงมาเติมตู้เพลงของเรา เรารู้สึกว่าพวกเราออกไปแสดงด้วยข้อจำกัดของเพลงที่มันทำงานในแบบของตู้เพลง เพราะฉะนั้นเราเลย อยากจะทำเพลงที่เล่นสดแล้วมันเพลิน เลยกลับไปทำงานแบบการแจมอีกครั้ง ทุกคนได้ใส่ไอเดียของตัวเองเต็มที่ทำให้มันเกิดเคมีใหม่ ๆ ของเพลงขึ้น พอเกิดสิ่งนี้ขึ้นเราก็ไปดึงมันออกมาเลือกใส่ในอัลบั้มของเรา แต่จะมีความช้าเกิดขึ้นอยู่ในอัลบั้มนี้ตรงที่ทุกอย่างในเป็นการทำงานในค่ายตัวเอง ก็จะไม่มีใครมาจี้ไม่มีข้อกำหนดในการทำงานต่าง ๆ ทำให้เพลงมันเลยออกช้าครับ

เจาะลึกเรื่องราวที่เกิดขึ้นของแต่ละเพลงในอัลบั้ม ป๊อด โป้ง เมธี

1. โอ น้อย ออก

เมธี : เพลงนี้น่าจะมาท้าย ๆ อัลบั้มเลย เหมือนเราทำเพลงมาได้ 5-6 เพลงแล้ว เราไปติดต่อกับ Tony Doogan เขาจะมีห้องอัดชื่อ TARBOX STUDIO อยู่ เขาบอกกับผมว่า วงเราจะได้เวลาในการอัดเพลงในอัลบั้มนี้ทั้งหมด 3 สัปดาห์ เพลงนี้เราก็ซ้อม ๆ มาเรื่อย ๆ แล้วก็เอามาปะติดปะต่อ โดยระยะเวลาการทำเพลงนี้มันอยู่ในช่วงที่กำลังจะเตรียมตัวบินไปอัดที่สตูดิโอของเขาแล้วครับ

ป๊อด: ในแง่ของเนื้อเพลง เราอยากจะบอกว่า ผักติดฟัน รักกันต้องบอกนะ ถ้าไปอ่านเนื้อเพลงจะเห็นท่อนที่ร้องว่า “สิ่งที่ฉันเคี้ยวลงไป มองเห็นสีเขียวภายในเมื่อยามส่งยิ้มมา ทุกสิ่งที่โอน้อยออก ให้เธอช่วยบอก ให้ฉันนั้นรู้ความจริง ทุกเศษที่เอาไม่ออก ติดมาช่วยบอกหากเรานั้นรักกันจริง”แล้วมันก็ข้ามไปถึงว่า “โปรดบอกมาให้รู้กันเลย สิ่งที่ฉันทำจนเคย” ท่อนนี้มันเปรียบเปรยถึงความร้ายกาจของมนุษย์เรา เช่น เราอาจจะเป็นคนปากหมา เป็นคนเห็นแก่ตัว ผมก็บอกคนฟังว่า ช่วยบอกฉันนะว่าอะไรที่ฉันแย่ เพื่อฉันจะได้ปรับปรุงให้มันดีขึ้น ฉันจะได้เอาเศษผักที่ติดฟันนี่ออกไปจากชีวิตของฉัน

เมธี: คือมันอยู่ที่การตีความของแต่ละคนด้วยล่ะ ต่างคนต่างความคิดครับ สำหรับเพลงโอ น้อย ออก

“เพลงมันก็เหมือนภาพเขียนที่ผู้ดูสามารถจะลิงค์กับเรื่องส่วนตัว เรื่องที่ตัวเองมีประสบการณ์หรืออินอยู่ได้ สามารถจะสร้างเรื่องราวหรือตีความหมายโดยส่วนตัวได้ ผู้เขียนก็ยินดีที่จะให้มันมีมุม 360 องศา ผมว่ายุคนี้คำตอบมันหาง่าย เข้า Google มันก็มีคำตอบแล้ว เพราะฉะนั้นแล้วบางทีเราก็แทบจะไม่ได้ใช้จินตนาการสักเท่าไร เพราะเราได้คำตอบมาง่ายกันเกินไป ทำให้เราก็อยากทำเพลงของวงเราให้เป็นส่วนนึงที่อยากให้คนได้จินตนาการ ”

2. สกาล่า

โป้ง: สกาล่ามันเป็นเพลงที่เริ่มต้นจากเบสก่อน ตอนนั้นอัลบั้มนี้มันยังไม่มีเพลงที่สนุกอยู่เลย แล้วคุณใหม่ (มือเบสวง Apartment Khunpa) ก็เข้ามาห้องซ้อมแล้วเอาริฟท์เบสท่อนนึงมาเล่นให้ฟัง เราก็รู้สึกว่ามันง่ายและสนุกดี เลยลองหยิบตรงนี้มาทำเป็นเพลงดูครับ ตอนนั้นยังไม่ได้เป็นเพลงสกาล่านะ ไม่มีเนื้อเพลงอะไรเลยเพลงนี้มีแค่ท่อนเบสท่อนนี้จริง ๆ

ป๊อด: เพลงนี้มันเกือบจะถูกตัดทิ้งแล้วด้วยซ้ำ คือ ฟังเดโม่แล้วเราไม่อิน ไม่รู้จะไปยังไงต่อดี แต่ว่า สุดท้ายมันก็มีไอเดียเกิดขึ้น จำได้ว่าเพลงนี้วันนั้นโป้งมาสายครับก็เลยให้เมธีมาตีกลองดู แล้วเขาตีกลองไม่เป็นเลยจะเป็นแบบแนวมั่ว ๆ ไป ทีนี้มันมีไอเดียเรื่องเมโลดี้อยู่ด้วยเลย เริ่มฟังเข้าท่าขึ้นจากนั้นผมก็เริ่มไปเขียนเนื้อเพลง โดยเพลงนี้มันเริ่มมาจากวันนึงผมไปประชุมงานราชการงานนึงมา แล้วก็หาความเห็นที่ประชุมเกี่ยวกับเรื่องประเทศชาติ ผมนั่งอยู่ข้าง ๆ พี่เพชร โอสถานุเคราะห์ เขาก็มากระซิบกับผมว่า ความจริงเราน่าจะแต่งเพลงชวนไปดูหนังกันนะ แค่ประโยคนี้ครับ ผมเลยเอามาเขียนเป็นเพลงนี้ดู เขียนก่อนบินไปอัดอัลบั้มกัน

3. ขอบคุณโชคดี

ป๊อด: เพลงขอบคุณโชคดี เกิดจากแจมกันก่อนบินไปอัดเสียงอีกแล้วครับ (หัวเราะ) เป็นเพลงที่มาท้าย ๆ อีกหนึ่งเพลง ซึ่งก็เป็นเพลงที่มีความหมายมากสำหรับชีวิตของวง Moderndog เรียกว่าเป็น ข้อความที่ส่งออกไปให้ผู้ฟังได้เห็นถึงช่วงเวลาที่พวกทำงานแล้วอยู่ตรงนี้ด้วยกันมา จริงๆ แล้วระยะเวลามันเกิน 22 ปีด้วยซ้ำ ถ้าถอยกลับไปปี 2535 ช่วงที่วงยังเป็นนิสิตกันอยู่ แล้วจากวันนั้นจนถึงการมาทำอัลบั้มถึงชุดที่ 6 มันก็เหมือนเป็นศตวรรษได้แล้ว มันก็เลยเป็นเหมือนเพลงขอบคุณคนฟังด้วย นี่คือสิ่งที่เราเลือกจะรู้สึกจึงถ่ายทอดออกมาเป็นเพลงนี้

4. ดอกไม้บาน

เมธี: ช่วงนั้นเหมือนช่วงที่เพลงมันไม่พอแล้วในอัลบั้ม (หัวเราะ) มันไม่พอ 10 เพลงที่จะไปอัด ผมก็เลยไปขุดเอาพวกริฟท์ต่าง ๆ ที่เคยอัดมาทำเพลงนี้ดู ปรากฏว่าไปเจออยู่ริฟท์นึงที่เขียนว่า “ดอกไม้บาน” เลยนึกถึงช่วงที่ไปกินข้าวกับป๊อดแล้วป๊อดเล่าเรื่องเทศกาลดอกไม้บานที่ 10 ปีมันจะมีครั้งอะไรสักอย่างเนี่ยละครับ ผมก็เลยนำมาแต่งต่อแล้วเขียนชื่อเพลงนี้ไปเลยว่าดอกไม้บ้าน

ป๊อด: แสดงว่าเพลงนี้เราแต่งจากโจทย์เลยนะ

เมธี: ตอนแรกจะให้เราเอาไปเขียนด้วย (หัวเราะ) แต่ผมยุ่ง ๆ กับหลาย ๆ อย่างในอัลบั้มนี้เลยไม่ได้เขียนครับ

ป๊อด: ซึ่งสุดท้ายผมก็เป็นคนเขียนเพลงนี้เองครับ มันจะมีท่อนแยกท่อนนึงที่มีคำว่า “งดงาม” ถ้าฟังดี ๆ ซาวด์ดนตรีมันจะบานออกคล้าย ๆ ดอกไม้กำลังบาน เพราะฉะนั้นมันต้องหาคำที่มันบานเท่ากับเมโลดี้ตัวนั้นเลย ถ้าอยากรู้เป็นอย่างไรแนะนำลองเปิดฟังดูครับ

5. คราว

ป๊อด: เพลงนี้เป็นเพลงที่แต่งที่บ้านครับ หลังจากนั้นเขียนแล้วเอามาให้เพื่อนในวงฟังดูว่าจะประกอบร่างยังไงดี ขั้นตอนการทำงานเพลงนี้จะเร็วมากมันเริ่มจากที่เราหมดเลยครับ

6. เชียร์

โป้ง: เชียร์ เพลงนี้เริ่มต้นด้วยเสียงซินธิไซเซอร์จากเมธีครับ

เมธี: เพลงนี้มันเป็นเพลงแรก ๆ เลยที่เราเริ่มทำเพลงกันในอัลบั้มนี้ ผมคิดพวกเสียงซินธิไซเซอร์ไว้เยอะมาก ลองเล่นดูชอบอันไหนก็เก็บไว้ อันนั้นไม่ใช้ก็โยนทิ้งไป

โป้ง: จากนั้นเราก็ไปขึ้นโครงเพลงนี้กันต่อครับ ค่อย ๆ ทำไปเรื่อย ๆ แต่ไม่มีเนื้อร้อง เนื้อร้องนี่ป๊อดจะได้ตอนอยู่บนเครื่องบิน คือ ทำกันขี้แตกเลยเพลงนี้

เมธี: ตอนที่ไปคิดในใจมีกลับมาไทยแค่ 6 เพลงก็ดีใจแล้ว เวลามันบีบมากครับ (หัวเราะ)

ป๊อด: เพลงนี้ตอนแรกในแง่ของเนื้อเพลง ผมลองไม่มีอีโก้ดูครับให้คนอื่นมาแต่งเนื้อเพลงให้ โทรเรียกตุล Apartment Khunpa มาแต่งให้ครับ ตุลเขาก็มาแบบคล่องมาก

เมธี: จำได้ว่าตุลถามว่า พี่ ๆ ไปอเมริกาวันไหนนะ เราก็บอกพรุ่งนี้แล้ว ตุลเลยเขียนท่อนแรกของเพลงนี้เลยว่า พรุ่งนี้เราจะเดินทาง (หัวเราะ)

ป๊อด: เราก็เชียร์อัพเขาตอนที่แต่งเพลงให้ แล้วเพลงมันก็เสร็จครับชื่อว่า กุหลาบบนทางเท้า (หัวเราะ) แต่ใหม่ (มือเบส Apartment Khunpa) ก็มากระซิบผมว่า พี่ผมว่ามันไม่ใช่เพลงพี่นะ เราก็มานั่งคิดเออเนื้อเพลงมันเป็นตุลเลย ตัดสินใจแต่งใหม่ครับ แต่งบนเครื่องบินเลย ปรากฏว่ามันเวิร์คด้วยไอ้วิธีแต่งเพลงบนเครื่องบินเนี่ย เพราะว่า รอบข้างเราเงียบ ตอนนั้นที่เขียนเพราะเราอยากทำเพลงเชียร์กีฬาครับ อยากให้ไปเปิดในสนามกีฬา ชื่อแรกของเพลงนี้มันชื่อว่า ไมโล โอวัลติน ครับ แต่เราเกรงใจสินค้าเลยไม่เอาดีกว่า อารมณ์ของเพลงคือการเชียร์กีฬาล้วน ๆ เนื้อเพลงประโยคสุดท้ายในตอนแรกเราจะร้องว่า “วันนี้เองเราจะเริ่มกันใหม่” แต่วันที่แต่งปรากฏว่า ฟุตบอลไทยชนะแล้วข่าวใหญ่มาก เราเลยอ่ะไหน ๆ ก็ไหน ๆ ละ เปลี่ยนใหม่เป็น “วันนี้เองที่เราจะถึงเส้นชัย” แต่พอทำออกมาแล้วก็ยอดวิวน้อยมาก ไม่ได้รับการเข้าถึงเท่าไร จริงๆ อยากให้มันเปิดในสนามแล้วมีพี่ซิโก้เต้นอยู่มันจะเป็นอะไรที่ลงตัวมากครับสำหรับเพลงเชียร์

7. ทบทวน

ป๊อด: เพลงนี้ก็เป็นอีกเพลงนึงที่แต่งที่บ้าน จำได้ว่าในทำกันในห้องซ้อมก่อนจะบินไปอัดเพลงและเป็นเพลงมีความหวังริบหรี่ที่สุดในอัลบั้มนี้

โป้ง: เป็นเพลงที่ทำแล้วจะทิ้งหลายรอบมันมีหลายเวอร์ชั่นมาก

ป๊อด: เรารู้สึกว่ามันเป็นเพลงที่อ่อนในอัลบั้ม

เมธี: มันจะเหมือนคราวด้วย

ป๊อด: แต่มันไปพลิกเกมที่ Tony Doogan เขามีเสียงประสานพวกไลน์กีต้าร์ต่าง ๆ เรื่องของ Wall Of Sound เรียกว่าพอทำเสร็จแล้วเพลงนี้ ถือว่าเป็นเพลงแข็งแรงที่สุดในอัลบั้มนี้ เราดีใจมากที่มันได้ถูกเอาไปเปิดใน Hormones The Series

เมธี: จำได้ในยูทูปหลัง ๆ จะมีคนมาคอนเม้นท์ว่า มาจากฮอร์โมนครับ

โป้ง: ตอนนั้นยอดวิวอยู่ที่ 9 แสนกว่า ๆ วันต่อมาโดดไปล้านกว่า ๆ เลย ขอบคุณซีรีย์เรื่องนี้มาก ๆ จริง

8. วันนี้เมื่อปีก่อน

ป๊อด: จำได้ว่า เป็นอีกเพลงนึงที่เขียนที่บ้านเช่นเคยครับ ตอนเขียนผมจะนึกถึงความรู้สึกตอนที่เราเปิด Facebook แล้วย้อนกลับไปดู Timehop ว่าเราทำอะไรไปบ้าง มันก็เปรียบเปรยได้ว่า เราทุกคนจะมีวันนึงที่เราจำวันเดือนปีนั้นได้ ซึ่งไม่ใช่วันเกิดเราด้วยนะ ทุกคนต้องมีวันนั้น เราเลยเอาเรื่องราวตรงนี้มาเขียนเป็นเพลงครับ

เมธี: เราก็จำได้นะวันออกเทปชุดแรกของ Moderndog (หัวเราะ)

9. ดาวนำทาง

ป๊อด: ดาวนำทางเป็นเพลงที่ซื้อเปียโนไฟฟ้ามาที่บ้านแล้วลองเล่นมั่ว ๆ ดู จากนั้นเลยเขียนเนื้อเพลงเลย แล้วก็ให้เมธีไปช่วยดูแลต่อในเรื่องของซาวด์ต่าง ๆ ซึ่งเขาก็คิดไปเยอะพอสมควรตอนไปที่อัดเพลงนี้ที่ห้องอัด TARBOX STUDIO

เมธี: แต่พอไปทำจริงๆ แล้วมันไม่ค่อยเวิร์คครับสิ่งที่ผมคิดไว้ ด้วยบรรยากาศของเพลงด้วย เรื่องซาวด์ด้วยมันเลยทำให้ไม่ค่อยลงตัวนิดหน่อยครับ เลยต้องไปปรับใหม่ทั้งหมดหน้างานเลยเพลงนี้ (หัวเราะ)

ป๊อด: แถมท่อนสุดท้ายของเพลง ผมจำได้ว่า ผมงัดข้อกับโปรดิวเซอร์อย่างหนักมาก คือ ผมชอบที่เมธีแต่งเพราะมาก แล้วโปรดิวเซอร์มาบอกว่า เพลงนี้เหมือนกับเพลงในงานแต่งงานเลย คุณจะเอาท่อนแต่งงานใส่ไปในเพลงทำไม เขาบอกผม ผมก็บอกว่า เพลงแต่งงานมันไม่ผิดนะ เราเถียงกันจริงจังมาก แต่สุดท้ายก็เถียงชนะเขามา (หัวเราะ)

10. ลอยมา ลอยไป

ป๊อด: เพลงนี้เป็นเพลงที่ถูกใช้มานานแล้ว ถ้าใครที่ได้ไปคอนเสิร์ต 5 3 15 จะเล่นเป็นเพลงแรก แล้วก็เป็นเพลงที่มันยังตราตรึงในความรู้สึกเราอยู่ ก็เลยคิดว่าเราควรจะเก็บเพลงนี้ไว้บันทึกเสียง

โป้ง: ตอนอัลบั้มทิงนองนอย จริง ๆ มันอยู่ในอัลบั้มนั้นนะ แต่ทำแล้วมันไม่ดีก็เลยทิ้งไป

เมธี: พอมาอัลบั้มนี้เลยกลับมาทำใหม่อีกที จริง ๆ มันจะไม่เหมือนกันนะ 7-8 ปีที่แล้วมันจะคนละเวอร์ชั่นกัน

ป๊อด: เพลงนี้มันคือผลผลิตจากอัลบั้มที่แล้วละ เราก็เลยเอากลับมาทำให้มันสมบูรณ์แค่นั้นเลยครับ

มิวสิกวิดีโอเพลงต่อไปที่ Moderndog จะทำออกมาในอัลบั้มนี้

ป๊อด: มิวสิกวิดีโอเพลงต่อไปเราจะออกเป็น 4 เพลงพร้อมกันครับ

เมธี: เดี๋ยวรอดูพร้อมกันดีกว่าครับ

โอกาสที่เพลงในอัลบั้มป๊อด โป้ง เมธี ทั้งหมดจะถูกนำมาเล่นในงานคอนเสิร์ตครั้งนี้มีมากน้อยแค่ไหน

ป๊อด: อยากเล่นหมดนะ เมื่อเช้าตอนอาบน้ำก็คิดอะไรง่าย ๆ ว่า ถ้าเราเล่น 30 เพลง 6 อัลบั้ม หาร 5 เพลง ตกชุดละ 5 เพลง ก็จะต้องทำให้มันพอดีนะ (หัวเราะ) คือ ตอนที่เราทำคอนเสิร์ตครบรอบ 10 ปี ส่วนผสมของเพลงดำดึ่งกับเพลงที่คุ้มคลั่งมันจะต้องอยู่ด้วยกันได้ จริง ๆ อาจจะมีคอนเสิร์ตที่เล่นทีละอัลบั้มก็เป็นได้ ต้องรอดูครับ

เพลงที่ชอบที่สุดในรอบ 22 ปีของสมาชิกแต่ละคนในวง Moderndog

ป๊อด : เอาเป็นว่าชุดนี้เป็นชุดที่เราฟังบ่อยสุด ปกติไม่ค่อยฟังเพลงตัวเองนะ แต่ชุดนี้ฟังตลอดเลย มันฟังได้ทุกที่ พลังงานในอัลบั้มนี้มันดีนะสำหรับตัวเอง

เมธี: เราไม่ฟังวนนะ (หัวเราะ) รอฟังจากไวนิลเลยละกัน

ป๊อด: บางทีเราฟังเพลงตัวเองก็เหมือนมนุษย์ทั่วไปนะชอบไปจับผิดมัน

โป้ง: มันเหมือนไปสกิดแผลอ่ะ ตรงนี้เล่นแป้กเล่นอะไรกันอยู่ แต่เราไม่ค่อยเป็นนะ เอาเป็นว่าเราก็ชอบอัลบั้มนี้มากเช่นกันครับ

โอกาสที่อัลบั้มเก่า ๆ ของ Moderndog จะถูกนำมาทำและขายใหม่อีกครั้ง

ป๊อด: มีแน่นอนครับ เราอยากจะ Remasterd หลาย ๆ เพลงใหม่เหมือนกัน ยังไงต้องรอดูอีกทีแต่มีแน่นอน

ความสุข คือ สิ่งที่คุณจะได้รับจาก Moderndog ในคอนเสิร์ต 22 ปีครั้งนี้

ป๊อด: ผมมองภาพรวมนะคอนเสิร์ตนี้มันเหมือนเป็นการเฉลิมฉลองของเพื่อนเก่า เพื่อนใหม่ เราอยู่ด้วยกันมา 22 ปีแล้ว อยากจะเอาเพลงที่ดีที่สุด ที่ทุกคนรักออกมาบรรเลงในงานนี้ ถ้าพลาดครั้งนี้ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะมีอีก เราก็ไม่แน่ไม่นอนเหมือนกัน เพราะฉะนั้นแล้วช่วยกันสนับสนุนพวกเราด้วยนะครับ

พื้นที่โฆษณา

เมธี: ฝากอัลบั้มชุดใหม่ของเราก็คือ ป๊อด โป้ง เมธี แผ่นซีดีเพิ่งผลิตเสร็จครับ (หัวเราะ) สำหรับคนที่ไม่สะดวกซื้อซีดีก็ฟังกันได้ ที่เว็บฟังใจครับ

ป๊อด: แล้วก็ไวนิลสำหรับคนที่ต้องการซาวด์ละเอียดกว้าง ตอนนี้ส่งไปปั้มที่อังกฤษเลยนะครับ เดี๋ยวจะกลับมาด้วยไวนิลอีก Format นึง รวมถึงคอนเสิร์ตนี้ด้วยก็นั้นแหละสำหรับเด็กรุ่นใหม่ก็มาลองสนุกสนานกันได้ ขอบคุณทุกท่านมาก ๆ ครับ แล้วเจอกันนะ

Facebook Comments

Next:


Gandit Panthong

กันดิศ ป้านทอง อดีตนักศึกษาฝึกงานนิตยสาร Hamburger Magazine, ทำงานในกองบรรณาธิการ MiX Magazine และ บก.คนแรกของ Fungjaizine ที่มีความมุ่งมั่นว่าจะตั้งใจสร้างสรรค์วงการเพลงให้เกิดแต่สิ่งดี ๆ ต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง