คุยกับ “Mindfreakkk” ในอีกบทบาทที่เป็นศิลปิน ถึงความ “freak out” และเสียงดนตรีมีไว้ปลอบใจคนฟัง
- Writer: Donratcharat Phromsoonthornsakul
- Visual Designer: Rada Muksikarat
คุยกับ Mindfreakkk – มายด์-กษิรา พรนภดล ถึงอีกหน่ึงบทบาทของเธอ นั่นก็คือการเป็นศิลปิน กับสองเพลงที่ปล่อยออกมาได้ไม่นาน Have You Ever และ Pluto Bay ที่ตอนนี้ก็กลายเป็นเพลงโปรดของใครหลาย ๆ ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มาทำความรู้จักกับเธอให้มากขึ้นจากบทสัมภาษณ์ที่พาให้เข้าใจความเป็น Mindfreakkk มากกว่าที่เคย!
Mindfreakkk is freaking out เรื่องไหนที่ทำให้ freaking out ที่สุด และวิธีรับมือ
Mindfreakkk: คำนี้ได้มาจากเพื่อนเราตอนที่เคยไป exchange แล้วเพื่อนที่เป็นชาวนอร์เวย์เค้าก็อยากเรียกชื่อเราให้มันแบบเป็นชาวร็อกมากขึ้น เค้าก็เลยแบบเหมือนตั้งชื่อวงเป็นสเตจเนมเล่น ๆ เขาบอกว่าเอามาจากชื่อวงอะไรสักอย่าง หรือไม่ก็เป็นแบบเหมือนคนที่มีชื่ออยู่แล้ว แต่เป็นอารมณ์ว่ามีความร็อก ๆ ก็เลยเป็น “mindfreakkk” แล้วเราก็รู้สึกว่ามันเข้ากับเราดี เพราะเราก็ freak out บ่อย ๆ อยู่ด้วย ก็เลยโอเค เป็นชื่อ mindfreakkk ไป ด้วยความที่เราเป็นคนขี้กังวล คิดมาก ตื่นเต้น เป็นประจำเลย คิดว่าคำนั้นน่าจะบรรยายถึงตัวเราได้มากระดับหนึ่ง แต่ก็พยายามพัฒนาไม่ให้ freak out เกินไปนะ มันก็ทรมาน มัน freak out อยู่ตลอดเวลาถึงแม้ว่าภายนอกเราอาจจะดูแบบนิ่ง ๆ แต่ว่าภายในคือร้องกรี๊ด
ส่วนเรื่องที่ทำให้ freak out มากที่สุด คิดว่าน่าจะเป็นเรื่องที่เวลาเราพรีเซ็นต์ตัวเอง เรื่องงานอะไรประมาณนี้ ถ้าสมมติจังหวะที่ต้องพรีเซ็นต์กับผู้ใหญ่ตอนสมัยเด็ก ๆ หรือตอนสมัยที่เราทำงานใหม่ ๆ เราก็จะตื่นเต้นมาก จะพูดผิด ๆ ถูก ๆ พูดไม่รู้เรื่อง บางทีก็รู้สึกแย่กับตัวเองนะที่พูดไม่รู้เรื่อง แล้วอีกอย่างหนึ่งที่ใกล้ตัวก็คือการแสดงงานร้องเพลง ถ้าเป็นการแสดงปกติเราค่อนข้างชินระดับนึง แต่ว่าถ้าเป็นเรื่องการร้องเพลงอะ เราค่อนข้างมี self conscious เกี่ยวกับการ perform ของเรา คือเราคิดว่าเราเองก็ไม่ใช่นักร้องขนาดนั้น สำหรับเรามันเป็นงานอดิเรกอันใหม่ที่อยากลอง แต่เรารู้สึกว่าเสียงเรา ความสามารถเรายังสู้คนอื่นไม่ได้ มันมี self doubt ว่าเราไม่ดีพอที่จะมาอยู่ตรงนี้ คือมันเป็นความรู้สึกที่แย่มากเลย เหมือนเวลาเราร้องเพลง ก็ต้องนั่งสะกดจิตตัวเองบอกตัวเองว่า อย่าร้องเพี้ยน ๆ (don’t f**k up) พอถึงเวลาใกล้แสดง หัวใจก็เต้นแบบ ตุ้บ ๆๆๆ แล้วเราเพิ่งแสดงนับครั้งได้เลย ซึ่งทุกครั้งก็คือตื่นเต้นโคตร แล้วเราอยากสนุกกับมันมากกว่านี้ แต่ร่างกายเรามันตื่นเต้น และเรายังพยายามควบคุมมันอยู่ตลอด พอจบแต่ละครั้งเราก็จะถามตัวเองว่ามันแย่แบบที่เราคิดไหม แล้วบางทีมันก็ไม่ได้แย่อย่างที่เราคิด เพราะพอเรา perform ไปมันเหมือนเราค่อย ๆ ชิน แล้วก็ เราจะใช้วิธีหลับตา เราไม่เห็นคน เราจะอยู่ในมู้ดแบบห้วงความคิดของตัวเองไปละกัน (ขำ) แล้วก็ร้องเพลงไป
แต่มันก็มีบางครั้งที่แย่จริง ๆ (ขำ) เราก็มาคิดกับตัวเองทีหลัง เราก็คุยกับแฟนอยู่เรื่อย ๆ เพราะต้อง perform กับแฟนเราเนอะ ก็จะพยายามพูดกันว่า อันนี้มันเพิ่งเริ่มต้น เราต้องเก็บชั่วโมงบิน มันต้องใช้ประสบการณ์ มันก็เรียกว่าใช้ความคิดนี้ได้กับทุกเรื่องเหมือนกันนะ เวลาที่เราพลาด เวลาที่เราเหมือนรู้สึกว่าตัวเองทำไม่ได้ ก็เหมือนเป็นการบอกตัวเองว่า เออเรากำลังเรียนรู้อยู่อะ เราไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบถึงแม้ว่าเราอยากจะให้มันเป็นตั้งแต่แรก สำหรับคนที่ยังไม่มีประสบการณ์ด้านนี้มากพออย่างเรา มันก็มีผิดถูกบ้าง มันก็คงต้องเรียนรู้กันไป don’t be so hard on yourself ถ้าสมมติว่าเราทำไม่ได้ดีตามที่คาดหวังเอาไว้ มันคือสิ่งที่เราต้องบอกตัวเองเรื่อย ๆ ปลอบใจตัวเอง ไม่ได้ดีขนาดนั้นแต่ก็พยายาม
มุมมองจากความเป็น “เป็ด” ของ Mindfreakkk
Mindfreakkk: เราเข้าใจคำว่าเป็ดมาก ๆ เพราะว่าเราก็รู้สึกอย่างงั้นเหมือนกัน อย่างแรกคือเราไม่ได้มองว่าเราเก่ง เราเหมือนจะทำหลายอย่างอะเนอะ แต่เราดันมีความคิดที่ว่าเราไม่ได้เก่งพอขนาดนั้น ซึ่งมันเป็นความคิดที่ต้องแก้นะ เรามองว่ามันมีข้อดี ข้อเสียตรงที่เราสามารถปรับใช้มันได้กับทุกสถานการณ์ เรามีสกิลหลายแบบ มันทำให้เราเอามาปรับใช้กับสถานการณ์อื่น ๆ ที่มันจำเป็นต้องใช้หลายสกิลได้ แล้วถ้าสมมติว่าเราเก่งแค่อย่างเดียวจริง ๆ ก็อาจจะเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านนั้น ๆ ซึ่งก็ดีนะ ดีมากด้วย แต่ถ้ามองในโลกปัจจุบัน บางทีมันอาจเป็นเพราะสังคม หรืออะไรสักอย่างที่มันพยายามคาดหวังให้เราต้องสมบูรณ์แบบในทุก ๆ เรื่อง หรือต้องตามให้ทัน ซึ่งเราว่ามันก็ค่อนข้างสมเหตุสมผลระดับนึงกับการที่โลกมันเปลี่ยนแปลง แต่ว่ามันค่อนข้างเร็วแล้วเราตามไม่ทัน บางทีมันก็เหมือนเป็นดาบสองคมนิดนึงเนอะ ความจริงมันเพิ่มโอกาสให้แสดงความสามารถหลาย ๆ อย่าง แต่ว่าอีกด้านก็คือมันทำให้คนที่อาจจะไม่ได้ถนัดในด้านนั้นรู้สึกแย่ได้ เพราะฉะนั้นเราว่าการที่เป็นเป็ดอะ มันไม่ได้แปลว่าเราไม่มีจุดยืนเลย เราคิดว่ามันยังพอมีพื้นที่ให้อยู่อย่างน้อยก็คือการที่เรามีความสามารถหลายด้าน ถึงแม้ว่ามันอาจจะแบบกลาง ๆ แล้วเรารู้สึกว่าอย่างน้อย ๆ เลยนะ มันแปลว่าเราก็พัฒนาความรู้ที่เรามีให้เกิดสิ่งใหม่ไปเลย หรือ มีพื้นที่ในการเรียนรู้เพิ่ม เพราะอย่างเราก็ค่อนข้างเปิดที่จะเรียนรู้ เรารู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ มันดูมีช่องทาง มีโอกาสมากขึ้น
การหวนคืนสู่การทำเพลงอีกครั้งในรอบ 4 ปี
Mindfreakkk: เอาจริง ๆ เราก็ไม่รู้ว่ามันเกิดจากอะไรเหมือนกัน คือพอเราปล่อย Pluto Bay เสร็จ เราก็อยากทำเพลงต่อไปแต่เวลายังไม่ลงตัว เหมือนยังมีข้อจำกัดบางอย่างในชีวิตอยู่ที่ทำให้ยังไม่สามารถทำได้ ที่กลับมาจริง ๆ จัง ๆ มันเริ่มต้นจากการที่เริ่มมีค่ายเพลงติดต่อมา แล้วอยากให้เราร่วมค่ายเพลง รวม ๆ แล้วประมาณ 3 ค่ายได้เลย แต่โดยส่วนตัวคือเรายังไม่สามารถและพร้อม ถ้าจะไปในทางนั้น เลยคิดว่าเราทำเอง ได้ทดลองเอง อาจจะสบายใจกว่า แล้วแทนเองก็จะอยู่กับเราตลอด เหมือนคู่หูที่อยู่ด้วยเสมอในเรื่องการทำเพลงอะ แล้วรู้สึกว่ายังอยากหาจุดที่ทำงานด้วยกันแล้วมันสบายใจก่อน ก็เลยจบที่ทำกันเองจริง ๆ อีกครั้ง
Fungjai: แล้วพอกลับมาทำแล้วแฮปปี้ไหม
Mindfreakkk: ก็แฮปปี้นะ สนุกดี ความจริงตั้งแต่ตอนที่เราแต่ง Pluto Bay เราก็คิดว่า เอ้อการแต่งเนื้อนี่มันสนุกดีว่ะ เพราะมันแต่งเนื้อได้แปลก ๆ ตามใจเรา คือความจริงแล้วเราต้องบอกก่อนเลยว่าเราเล่นดนตรีไม่เป็น ถึงแม้เราจะเล่นกีตาร์ได้โง่ ๆ เราก็ท่อง ๆ เอา สกิลการเล่นดนตรีก็คือศูนย์มาก แต่ว่าเราจะพอมีเซนส์เรื่องของเมโลดี้บ้าง เลยต้องใช้วิธีแบบร้องฮัมๆเอาอะ (ขำ) เราทำได้แค่นั้น ณ ตอนนั้น แล้วที่เหลือแทนก็จะเป็นคนทำให้ แทนก็จะช่วยคิดเลย พอคิดท่อนฮุกออก แทนก็จะแบบนำเสนอ ก็รู้สึกว่าเราสนุกดีเวลาเราได้ครีเอทอะไรขึ้นมาเอง อย่างที่บอกคือพอเราเล่นดนตรีไม่เป็นใช่ไหม การที่เราจะครีเอทอะไรได้อะมันรู้สึกแบบ เชี่ยทำได้ว่ะ เออกูก็พอทำได้นี่หว่า แต่รู้ตัวว่ายังสู้นักดนตรีคนอื่นไม่ได้เท่าไร ต้องพัฒนาอีกเยอะ หนทางยังอีกยาวไกล
Track by track
Pluto Bay
Mindfreakkk: ถ้าให้ดูความหมายรวม ๆ ของ Pluto Bay มันเหมือนคนที่สิ้นหวังระดับนึงอะ แบบคนที่จะหดหู่จนแบบอยากตาย ถ้าตามเนื้อเพลงเลย เหมือนพูดถึงคนที่อกหัก ความรักไม่ได้สมหวัง อีกฝ่ายขอเลิกแล้วสมมติไว้ว่าเหมือนอยากหนีไปไกลมาก ๆ จนไปไกลถึงดาวพลูโต อารมณ์แบบมึงทิ้งกู และทิ้งกูไปไกลมาก ๆ แล้วก็รู้สึกว่าทำไมถึงทำอย่างนี้ ซึ่งตอนที่เรานึกถึงเรื่องนี้ก็รู้สึกว่า ถ้ามึงจะเอาเรื่องเศร้าขนาดนี้ก็เอาให้เซอร์เรียลไปเลยละกัน ซึ่งตอนแรกแทน บรีฟเราว่าอยากได้เนื้อเพลงที่มันขัดแย้งกัน ซึ่งการตีความคำว่าขัดแย้งของเราเนี่ย มันก็ออกมาในรูปแบบพูดถึงเรื่องสิ่งของต่าง ๆ ให้มันขัดแย้งกันไปเลยอย่างเช่น เราพูดว่า เงาของพระอาทิตย์มันสว่างสุด หรือว่าพระอาทิตย์ตกแต่ว่ามันตกไปสูงมาก (พอแปลไทยแล้วแปลกเลยว่ะ) (ขำ)
แต่ท่อนที่เราชอบที่สุดอะคือ ท่อนช่วง verse แรก ๆ อย่างเช่น wish upon the stars take my bones to mars leave the ashes far away ก็คือเหมือนถ้าเราตายอะก็เอาอัฐิของเราแบบโปรยไปที่ดาวอังคารเลย paint the sky with tears เนี่ย เหมือนนึกสภาพว่าน้ำตาเราเยอะมากจนสามารถเอามาระบายท้องฟ้าได้อะ (เชี่ยพรรณนาว่ะ)
แต่ว่าความจริงที่เราแต่งท่อนนี้ เราขอยอมรับว่าช่วงนั้นเราค่อนข้างหดหู่ระดับนึง เราค่อนข้างแต่งจากความรู้สึกที่เราเศร้า แต่ไม่ได้เศร้าอกหักนะ เราก็อยู่กับแฟนดี แต่เราเศร้าเพราะความซึมเศร้าของเรานี่แหละ ความเศร้าจากภายใน จริง ๆ เราไม่ค่อยบอกใครเลยว่าเราเองก็เป็นซึมเศร้านะ เหมือนคนส่วนมากจะมองว่าเรามีพลังบวกอยู่เสมอแต่ว่าเราก็มีมุมซึมเศร้าอยู่ช่วงหนึ่งแหละ เลยใช้วิธีระบายออกมาโดยการเขียนในเนื้อเพลงแทน คนอาจจะไม่รู้ว่าเราเป็น แต่เราก็แอบ ๆ เข้าไป
Fungjai: สารภาพว่าตอนแรกที่อ่านเนื้อเพลงคือไม่ได้คิดว่า based จากความรักด้วย เหมือน based จากการสูญเสียคนในชีวิตไปแบบจากไปเลย ตอนแรกที่ยังแบบตีความไม่ได้ก็แบบเอ๊ะ อันไหนกันแน่นะ (ขำ)
Mindfreakkk: มันสามารถตีความจากความสูญเสียได้เหมือนกัน เหมือนเอ็มวีที่เรากำลังทำอยู่อะ (ที่กำลังจะมา) แต่ความจริงก็ based จากความสูญเสียแหละ ซึ่งอันนี้ก็เป็นนัย ๆ สูญเสียความเป็นตัวเองด้วยเหมือนกัน หรือสูญเสียทุกอย่างจนแบบเราไม่สามารถมองอะไรเป็นตรรกะได้แล้ว
พอพูดถึงเรื่องความสูญเสีย ในเนื้อเพลง verse ที่สองก็มีความชัดขึ้นนิดนึงมั้ง เราแต่งเนื้อประมาณว่า stars under the sea drowning there for me ความจริงเรานึกถึงภาพกลางคืนเวลาที่น้ำมันสะท้อนดวงดาว แล้วก็กลายเป็นดวงดาวที่ตัวทะเล แต่ความจริงแล้วมันเหมือนความหวังที่ตายไปแล้ว
Have You Ever
Mindfreakkk: ตอนแรกเราตั้งใจแบบว่าให้มันสื่อถึงภาคต่อ ของ Pluto Bay ด้วยซ้ำ แต่ว่าเอาจริง ๆ จนถึงจุดนี้เราก็ไม่แน่ใจว่ามันก่อนหรือหลังแล้วอะ เอาเป็นว่าเข้าใจว่ามันปะติดปะต่อกันแล้วกัน ความจริงเพลงนี้แทนเป็นคนแต่งท่อนฮุกให้ แล้วก็ร้องมามั่ว ๆ แหละ ร้องมามั่ว ๆ เลย have you ever wondered why the sea เราก็ไม่รู้ว่าทำไมต้อง the sea ด้วยแต่ว่าเราก็เพิ่งมาเข้าใจทีหลังแบบว่ามาตีความเอาเอง งั้นเราจะแต่งเพลงนี้ให้สำหรับคนที่เหมือนไม่สามารถพูดความรู้สึกของตัวเองได้อย่างเต็มที่ เหมือนประมาณว่าถึงแม้ว่าเราพูดไรออกไป คนอาจจะไม่ได้ยินเราจริง ๆ คนอาจจะไม่ได้สนใจ พูดว่าแบบเออกูโอเคให้มันจบ ๆ มันง่ายกว่า แล้วมันก็เป็นเหงา ๆ ไปเลย พอแบบไม่มีใครเข้าใจใช่ไหม กูตามหาสิ่งที่จะเติมเต็มกูด้วยตัวเองก็ได้ ความจริงเราไม่ค่อยคิดว่าเรา complex ขนาดนั้นนะ แต่ว่าก็รู้สึกว่าเราชอบใช้คำที่มันค่อนข้างตีได้หลายความหมายมั้ง มันสนุกเวลาเห็นคนอื่นตีความมัน
Fungjai: ในแต่ละเพลงของ Mindfreakkk ดูเป็นเนื้อหาที่ดูเป็นคนที่รู้และเข้าใจอะ หมายถึงว่าดูเป็นคนที่มีความเข้าอยู่สูงมาก แบบพูดแทนคนอื่นได้ดี จริง ๆ คือมีความตั้งใจว่าอยากทำเพลงเป็นเพื่อนคนฟังด้วยรึเปล่า
Mindfreakkk: จริง ๆ เราตั้งใจ แต่อย่าง Pluto Bay อาจจะไม่ได้ตั้งใจขนาดนั้น (ขำ) แต่ว่าอาจจะเป็นตัวแทนคนที่ซึมเศร้าในทางอ้อมมั้งนะ มันไม่ได้มีกำลังใจเท่าไร เราเลยอยากพัฒนาเพลงที่มีกำลังใจให้นิดนึง ซึ่ง Have You Ever เลยมีคำว่าแบบ เออ wait a little while it’s gonna be alright อยู่ด้วย คือ Have You Ever เราก็รู้สึกว่ามันน่าจะมีหลายคนที่รู้สึกแบบนี้ เออมันเหนื่อยที่จะขวนขวายการเติมเต็มตัวเองไร แล้วมันเหนื่อยถ้าจะต้องพูดทุกเรื่องในชีวิต หมายถึงเหนื่อยที่จะพูดไปแล้วไม่มีคนได้ยินอะ แล้วก็เหมือนอยากให้กำลังใจนิดนึงว่าแบบเออความจริงมันต้องดีขึ้นสิวะสักวันหนึ่ง เราจะไม่สามารถให้กำลังใจได้ทั้งเพลงแหละ แต่ว่าเรารู้สึกว่าเราอยากสื่อว่าเราเข้าใจนะว่ามันรู้สึกยังไงเวลาที่ไม่มีใครได้ยิน มันพูดเรื่องของตัวเองยาก เราเข้าใจที่บางทีมันรู้สึกเหมือนเราไม่ได้เต็มสักที ข้างในมันไม่ได้แบบ fulfill ข้างในมันแบบขาดหายอะ แล้วเรารู้สึกว่ามันค่อนข้างทรมานในบางทีที่เรารู้สึกแบบนั้น เพราะฉะนั้น อาจจะต้องใช้เวลาระดับหนึ่งกว่าจะแบบดีขึ้นได้ ซึ่งไม่อยากให้รู้สึกว่ามันจะเป็นแบบนี้ตลอดไป
อนาคตจากศิลปินนามว่า Mindfreakkk ที่เราจะได้เห็น
Mindfreakkk: เราแต่งเพลงหนึ่งไว้ตั้งแต่ปีที่แล้วเหมือนกัน แล้วตอนแรกก็นึกว่าจะเอาเพลงนี้ขึ้นมาก่อนเลย แต่ไป ๆ มา ๆ ก็รู้สึกว่าแบบต้องพัฒนาอีก เป็นเพลงให้กำลังใจแบบป็อปเลย แล้วความจริงเรามีอีกหลายเพลงเลยที่เราอยากแต่ง รวมไปถึงเพลงคลั่งรักด้วย คิดว่า based จากชีวิตเราเองกับแทน เราเขียนเนื้อให้แทน อันนี้คือเราก็แบบแต่งเอง ลองเล่นกีตาร์เองแต่ว่ายังแต่งได้แค่ครึ่งหนึ่ง แต่งยากนิดนึง เราเล่นดนตรีไม่เก่ง (ขำ) จริง ๆ เราลืมเล่าไปอย่างนึงอะ เรื่องความสนุกกับการทำเพลงอะ คือเรื่องของการทำเพลงมันสนุกใช่ปะ แต่สองเอ็มวีแรกอะ เราดันทำกันเอง แล้วมันเหนื่อยกว่าที่คิดเอาไว้ เพลงแรกไม่เท่าไร แต่ Pluto Bay นี่แหละ คือไปถ่ายกันมาแล้วถ่าย green screen แต่ว่าทีนี้อยากได้เรื่องอลังการงานสร้างให้มันเหมาะกับเพลงนี้ ก็คือให้แทนทำ แต่ก็มีฌอน และ บอม DONBOY ช่วยบ้าง (ซึ่งตอนนี้ทั้งสามไปอยู่ A49 เป็นทีม XD49 แทนละ) ก็ทำกันเองเลย คือเอาเป็นว่า ถ้าสมมติว่าเราจะให้เครดิตใคร ขอร้องให้ใส่ชื่อแทนลงไปด้วย เพราะทำแทบทุกอย่างจริง ๆ ทั้งเพลง ทั้งเอ็มวี ทำ green screen ปั้นพวก 3D modelling ขึ้นมาเอง แล้วก็กำลังตัดต่อเองอีกตอนนี้ คือเรารู้สึกง่อยไปเลย เราช่วยอะไรไม่ได้นอกจากส่งคลิป ส่งแบบรูปที่เค้าสามารถนำไปแบบทำ 3D modelling ต่อ (แง) ขอโทษนะที่เราแบบห่วยแตกขนาดนี้ มันก็ทำให้รู้สึกว่าเราต้องอัพสกิลด่วนๆ แล้วถ้าไม่ไหว จะใช้เงินแก้ปัญหาแล้ว (ขำ) เพราะฉะนั้นถ้าเอ็มวีเพลง Pluto Bay มาช้าก็ต้องขออภัยทุกคนเพราะเรายังปั้นเอ็มวีกันอยู่
กลับมาที่ฝากเพลงต่อ ก็อยากให้ทุกคนลองเปิดใจให้ฟัง Pluto Bay, Have You Ever, และเพลงใหม่ที่กำลังจะมาเร็วๆนี้ และสามารถติดตามมายใน Spotify, YouTube, Facebook หรือว่า Instagram นะคะ แล้วก็ เราก็ทำพอดแคสต์ WHAT ศัพท์ อยู่ด้วย ซึ่งเป็นการสอนภาษาอังกฤษจากข่าว แต่ส่วนมากก็สอนภาษาอังกฤษจากข่าวการเมืองนี่แหละ เราสามารถรู้วิธีด่าได้อีกแบบหนึ่งด้วย เพราะฉะนั้น ฝาก The MATTER Shows & Podcast ไว้ด้วยนะคะ เป็นงานประจำที่เราแบบตั้งใจทำมาก ๆ และขอฝากผลงานอื่น ๆ ที่จะมีให้ชมบ้าง ขอบคุณค่ะ