บอย - ก้อ Melody to Masterpiece

Article Interview

บอย ตรัย x ก้อ ณฐพล เบื้องหลังการทำงานกว่า 20 ปีสู่สงครามทำเพลง ‘Melody to Masterpiece’

  • Writer: Pongtorn Klamdit
  • Photographer: Tas Suwanasang

ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็ต้องยอมรับว่าตอนนี้รายการประกวดร้องเพลงนั้นมีให้ดูเยอะยิ่งกว่าละครหลังข่าวเสียอีก คงจะดีไม่น้อยหากคนรักในเสียงเสียงเพลงได้มีทางเลือกใหม่ ๆ กับรายการดนตรีที่ไม่ใช่แค่ประกวดร้องเพลงอีกต่อไป Melody to Masterpiece สงครามทำเพลง รายการที่ไม่ใช่แค่แข่งร้องแต่จะแข่งกันทำ ซึ่ง บอย—ตรัย ภูมิรัตน และ ก้อ—ณฐพล ศรีจอมขวัญ จะมาเล่าถึงความเป็นมาของรายการและประสบการณ์การทำงานในวงการกว่า 20 ปี ไปพูดคุยกับพวกเขากันได้เลย

จุดเริ่มต้นของรายการ Melody to Masterpiece

ก้อ: เราได้รับการติดต่อจาก True4U ว่าจะมีรายการนี้เกิดขึ้น เราไม่เคยเห็นรายการรูปแบบนี้มาก่อน ปกติจะเป็นรายการเกมโชว์ ประกวดร้องเพลง แร็ปแข่งกัน คนส่วนใหญ่จะเห็นเมื่อเพลงเสร็จแล้วก็จบ แต่รายการที่โฟกัสการทำงานของเพลง ๆ นึงว่ามีขั้นตอนอะไรบ้าง แรงบันดาลใจ จุดเริ่มต้น การเดินทางของเพลง จนเพลงเสร็จ รายการนี้เลยน่าสนใจ ทำให้คนที่รักในเสียงเพลงมีโอกาสเห็นเบื้องหลังของเพลงว่ามีองค์ประกอบอะไรบ้างก็เลยตอบตกลง เพราะผมกับพี่บอยทำเพลงร่วมกันเยอะอยู่แล้ว

บอย: พี่ก้อทำผมก็ทำ พี่ก้อคิดเยอะ ผมไม่ได้คิด (หัวเราะ)

แนวความคิดหลักของรายการนี้คืออะไร

บอย: การที่เพลง ๆ นึงจะเสร็จ โปรดิวเซอร์แต่ละคนก็จะเอาวิธีคิดออกมา นำสิ่งที่โปรดิวเซอร์ตัดสินใจมาเอ็นเตอร์เทน

ก้อ: สิ่งที่น่าสนใจคือโจทย์เดียวกันกับการทำเพลงหนึ่งเพลง เราต้องทำเพลงเกี่ยวกับคนที่มีนิสัยแบบนี้ รายการก็จะมีทีมสองทีมที่ได้ทำเพลงให้แขกรับเชิญซึ่งผลลัพธ์จากสองทีม ศิลปิน โปรดิวเซอร์ มันออกมาไม่เหมือนกันเลย เป็นมุมมอง การตีความ แม้ทีมเราได้ทำเพลงแต่อีกทีมเป็นเพื่อน พี่ น้อง ในวงการ เรารู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งเลยว่ามุมมองเขาจะแตกต่างจากเราตรงไหน เป็นอะไรที่น่าสนใจ

บอย: จริง ๆ ตอนเขาชวนมาทำรายการเขาบอกชื่อรายการว่า ‘สงครามทำเพลง’ ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจสงครามทำเพลงอะไรแต่พอฟังคอนเซ็ปต์ก็เข้าใจว่าไม่ใช่สงครามแบบนั้น แต่มันคือสงครามกับตัวเองมากกว่า สุดท้ายเราต้องแข่งกับความคิดของเรา เราก็ไม่ได้บอกว่าเพลงไหนดีกว่ากัน เป็นความชอบของคนมากกว่า

ก้อ: จริง ๆ ผมเห็นด้วยกับพี่บอยเพราะธรรมชาติของเราไม่ชอบแข่งอะไรกับใคร แค่บอกว่าเราต้องแข่งกับใครเราก็ไม่อยากแข่งแล้วแต่ความท้าทายอยู่ที่แข่งกับตัวเองจริง ๆ เราจะทำออกมายังไงให้มันดีที่สุด

ทำไมถึงเป็นสตูดิโอเรียลลิตี้

ก้อ: มันไม่ได้ตามติด 24 ชั่วโมง แต่ก็มีความเป็นเรียลลิตี้อยู่บ้างเพราะตอนอยู่ในห้องอัดเป็นอย่างนั้นจริง ๆ สิ่งที่ทำให้เราเครียดคือความเป็นเรียลลิตี้เพราะเวลาที่มีจำกัด ธรรมชาติของเราคือทำไปเรื่อย ๆ จนออกมาดีที่สุดแต่ตอนอัดบางเพลงมีเวลาแค่ 5 วัน

บอย: 5 วันคือแต่งเสร็จ อัดร้อง มาสเตอร์ มิกซ์ พี่ก้อสิวขึ้นเลย (หัวเราะ)

ความยากง่ายในการทำงานครั้งนี้

ก้อ: ยากในแง่ของความรู้สึก พอมีเวลามาเป็นข้อกำหนดก็จะเครียด อันนี้มันเป็นเปลี่ยนทัศนคติว่าเรามีเวลาแค่นี่ เราจะทำให้ดีที่สุดได้ยังไง

บอย: ถ้ายังไม่ดีก็ยังไม่อยากให้เสร็จ ทำให้ดีก่อนแล้วค่อยปล่อย กับอีกเรื่อง สมาธิ ทุกอย่างมันถูกจับตาอยู่ การถ่ายทำระหว่างการคุมร้อง คนที่ร้อง คนที่อัด ต้องการสมาธิเพราะกล้องก็จับอยู่ตลอด มันก็มีความเครียดเกิดขึ้นแต่ก็ต้องแลกเพื่อให้ได้ภาพในรายการออกมา

ประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมามีส่วนช่วยในการทำงานครั้งนี้ไหม

บอย: ผมกับพี่ก้อทำงานกันมาหลายปีเลยช่วยได้มาก ๆ การทำงานของทีม Spicy Disc เลยไม่มีปัญหา ส่วนมากอยู่ที่การแก้ปัญหาที่เข้ามาเป็นเรื่อง ๆ ไป

ถือว่าเป็นก้าวสำคัญไหมกับความแตกต่างครั้งนี้เพราปัจจุบันมีรายการประกวดร้องเพลงเยอะมาก

บอย: ก่อนหน้านี้ผมไปเป็นกรรมการประกวดร้องเพลง เป็นโค้ชให้นักร้องในรายการ จนเราบอกกับตัวเองว่า พอแล้ว มันไกลตัวเรา แต่คิดในใจว่าถ้ามีรายการสำหรับโปรดิวเซอร์คงเจ๋งเนอะแล้วปีนี้ก็มีจริง ๆ

คาดหวังกลุ่มคนดูรายการนี้ไว้ไหมว่าอยากให้เป็นคนทำเพลง คนฟังเพลง หรือคนทั่วไป

บอย: จริง ๆ ไม่แน่ใจเลยว่าจะเข้าถึงจำนวนคนมากได้แค่ไหน เรื่องของโปรดิวเซอร์มันจะสนุกสำหรับคนทั่วไปไหม แต่เราอยากให้คนเห็นเยอะ ๆ จะได้ว่ารู้ว่าเพลงหนึ่งเพลงเราต้องทำอะไรขนาดไหน

 

พูดถึงจุดเด่นของ 4 ค่ายเพลงในครั้งนี้หน่อย

ก้อ: จริง ๆ ทุกค่าย ศิลปิน โปรดิวเซอร์ เป็นเพื่อนพี่น้องกันอยู่แล้ว เรารู้จักกันมานาน เป็นแฟนเพลงของกันละกัน ค่าย LOVEiS ของพี่ บอย โกสิยพงษ์ ก็เป็นเจ้านายเก่าของพวกเรา เราก็ยังสนิทสนมกันเหมือนเดิม (บอย: ไม่ได้อยู่ในสายตาเท่าไหร่ (หัวเราะ)) LOVEiS ก็มีนโยบายชัดเจน สุภาพ ไม่พูดคำหยาบ คิดบวก ค่าย I AM อาจารย์แม็ค นักเรียนดนตรีนอกฝีมือการทำเพลงมือฉกาจ อาจารย์โซ่ ก็เป็นนักดนตรีที่เก่งมาก ๆ จากวงอันดับต้น ๆ ของประเทศอย่าง ETC. Muzik Move ก็จะเห็นสงกรานต์เป็นสายร็อกชัดเจน ฟองเบียร์ก็เป็นผู้บริหารนักแต่งเพลงฮิตเยอะแยะมากมาย เอก Season Five ก็มีเพลงดังเป็นของตัวเองเยอะ เป็นส่วนผสมของศิลปินและนักแต่งเพลงส่วน Spicy Disc ก็แล้วแต่มุมมองของแต่ละคน

บอย: จริง ๆ เราอยู่ในอุตสาหกรรมเพลงไทยมา 20 ปี ค่ายเราน่าจะมีประสบการณ์มากที่สุดแต่เราจะไม่บอกหรอกว่าเราดีกว่าเขา (หัวเราะ)

ระหว่างอัดรายการมีการสปอยล์งานของตัวเองกันบ้างไหม

บอย: ตอนไปถ่ายเราก็พูดกันว่ามาร่วมสนุกกัน ไม่มีใครเอาจริงหรอก พอถึงวันแข่งจริง ใครเตรียมตัวมาไม่ดีก็ร้อน ๆ หนาว ๆ

ก้อ: ตอนถ่ายก็สนุกสนานเฮฮา แต่หารู้ไม่ว่าเขาเตรียมปืน ระเบิด ไม้ (หัวเราะ)

บอย: อย่างสงกรานต์มาอัดรายการ 9 โมงเช้าแต่ก่อนมาเขาเพิ่งอัดเพลงเสร็จ หลอกให้เราไม่เต็มที่

EP 6 ที่ Spicy Disc ชนะ การทำงานในครั้งนั้นเป็นยังไงบ้าง

บอย: บ้าให้สุด เป็นเทปที่มันมาก ซ่อนอาวุธลับกันไว้เยอะ

ก้อ: เป็นตอนของพี่โต้ สุหฤท คือตัวพี่โต้เขาก็เป็นคนมัน ๆ อยู่แล้ว เป็นคนสุดขั้วคนนึง เราก็นึกถึงมุมความสุดของพี่เขา เราตีโจทย์ออกมาเป็นอิเล็กทรอนิกเพราะว่าพี่โต้ก็เป็นพ่อมดอิเล็กทรอนิก เราได้โจทย์เป็นน้องหมิว Boom Boom Cash เราอยากจะไปให้สุดอีกขั้น เราเลยอยากได้ศิลปินจากค่ายเรา เพราะศิลปินค่ายเรามี Funky Wah Wah เป็นวงอินดี้ที่ไม่ได้ออกเพลงมา 10 ปีแล้ว เขากำลังกลับมาทำเพลง เราอยากให้มันมีกลิ่นอายอิเล็กทรอนิกที่เป็นเรโทรด้วย โมเดิร์นด้วย ก็เลยเชิญ เป้ วง Mild มาเป็นอาวุธลับของเรา (บอย: เขาให้เงื่อนไขเราแค่นี้แต่เราขอเพิ่มอีก) เหมือนแซนวิชไส้แน่นกว่าปกตินิดนึง ด้วยเนื้อเพลง ตัวเพลง

บอย: เพลงพูดถึงคนมีความฝันเราเป็นแบบนี้แต่ก็ไม่เคยโกหกตัวเอง สร้างมาจากคาแร็กเตอร์ของพี่โต้ พอนึกพี่เขาก็นึกถึงคำว่า บ้าเลย เห็นคนบ้าแบบนี้แล้วเราเอาใจช่วย

ก้อ: แล้วคู่แข่งในเทปนั้นเป็น LOVEiS ที่พี่บอย โกสิยพงษ์มาเอง ก่อนหน้านั้นพี่บอยไม่ได้มาเลยนะส่งคนอื่นมาตลอด แต่เทปนั้นพี่บอยเป็นคนแต่งเพลง (บอย: กะมาขย้ำเราเต็มที่เลย) เพลงของ LOVEiS เจ๋งมาก

บอย: ผมยืนตบมือแล้วนะเพลงเขาชื่อ พญาแรด

ก้อ: จำ tagline ของเพลงได้จนถึงวันนี้เพราะว่ามันเจ๋งมาก กลางวันขายแฟ้มตราช้าง พอกลับบ้านขายแฟ้มตาแรด ประเด็นคือพี่โต้เป็นเจ้าของแฟ้มตราช้างเปรียบเหมือนคนไฟแรง

บอย: พอได้ยินประโยคนี้เราก็แพ้แล้วแต่พี่โต้เลือกเพลงเราเลยเป็นเสน่ห์ของรายการมันวัดแค่ความชอบของแขกรับเชิญที่แต่งเพลงให้เขา

ก้อ: เราก็ไม่ได้คิดว่าเพลงเราจะดีกว่าเพลงพี่บอย เพราะเขาคืออาจารย์ของเราสองคน ถึงแม้ชนะแต่เราก็ไม่ได้คิดว่าขนะเลย ความสนุกก็อยู่ตรงนี้แหละการได้เห็นผลงานของพี่น้องร่วมวงการ

พูดถึงแขกรับเชิญที่รอเซอไพรส์ในรายการ

บอย: แขกรับเชิญหลักประจำรายการจะเรียกว่า ‘The Melody’ คือคนที่จะมาให้แรงบันดาลใจให้เราแต่งเพลงจากเรื่องราวของเขา แอ๊ด คาราบาว มาทีก็เป็นคนเรียบร้อยกันไปหมดเลย

ก้อ: แขกรับเชิญแต่ละคนมีจุดเด่นเราก็อยากแต่งเพลงให้กับทุกคน บางอาทิตย์เราไม่ได้ถูกเลือกเราก็เสียดายมาก

ศิลปินที่มาร่วมในรายการนี้จะมีโอกาสร่วมงานกับค่ายเพลงไหม

ก้อ: เขาก็มีค่ายกันหมดแล้วนะแต่ดีตรงที่เราได้ร่วมงานกัน บางทีศิลปินจากค่ายเราก็ไปเป็นอาวุธให้ค่ายอื่น (บอย: ซีซั่นหน้าจะไม่ให้ละ) (หัวเราะ)

การร่วมตัวกันจาก 4 ค่ายใหญ่จะมีอะไรที่มากกว่าทำรายการร่วมกันไหม

บอย: ตอนนี้ยังไม่มีนะแต่รายการก็สร้างโอกาสที่ดีให้ 4 ค่ายมาจอยกัน เวลามีโปรเจกค์อะไรก็น่าจะง่ายขึ้น

ผลตอบรับรายการเป็นยังไงบ้าง

บอย: มีเพื่อนที่ได้ดูเขาชอบ ผมก็ไม่รู้ว่าฟีดแบ็กเป็นยังไง คนได้ดูเยอะไหม แต่หลายคนที่ได้ดูก็บอกว่ามันไม่ได้เป็นแบบที่เขาคิด เขารู้สึกว่ามันเจ๋งดี

ในการทำเพลงหนึ่งเพลงเรามองเรื่องอะไรบ้าง

บอย: มันก็มีหลายปัจจัยนะ เราต้องมีเป้าหมายว่าเราต้องการพูดอะไร กลุ่มเป้าหมายคือใคร ทำให้ศิลปิน ศิลปินเป็นตัวแทนเรื่องอะไร เป้าหมายต้องชัดเจน

ก้อ: แน่นอนว่าพอเรามีจุดหมายก็ต้องมีขั้นตอน เราจะทำยังไงให้ไปถึงจุดหมายที่เรามองไว้ได้ สิ่งสำคัญก็คือตัวเพลง เนื้อร้อง ทำนอง จุดเริ่มต้นของทุกอย่างมันต้องใช่ก่อน เราสองคนเป็นนักแต่งเพลงเราก็จะเน้นไปที่เป้าหมายเป็นหลัก

มีเพลงไหนไหมที่ตอนทำแล้วนึกในใจว่าเพลงนี้ไปไม่รอดไม่แน่

บอย: เยอะแยะ (หัวเราะ)

ก้อ: จริง ๆ ไม่มีนะ ถ้าทำแล้วยังไม่ใช่เราก็ยังไม่ปล่อย

บอย: พี่ชอบซิงเกิ้ลหน้า B อยู่ละ (หัวเราะ)

ก้อ: แต่งเพลงให้โดนอะยาก มันไม่มีสมการตายตัว

แก้ไขอะไรแบบนี้ยังไง

บอย: ทุกเพลงต้องมีเป้าหมาย เป้าหมายมันอาจจะไม่ใช่เพลงฮิตติดชาร์ตแต่ต้องตอบอะไรบางอย่างกับเรา เช่นเพลงนี้เราอยากทำงานร่วมกับคนนี้ เพลงนี้เราอยากทำสไตล์นี้แต่ว่าจะฮิตไหมนี่ก็อีกเรื่องนึง

ก้อ: พวกเรามาจาก Bakery Music มันทำให้เรากลายเป็นคนนิสัยเสียพอสมควร อยากทำอะไรก็ทำ ทำตามใจตัวเอง พอต้องทำตามใจคนอื่นบ้างก็งอแงเพราะเอาแต่ใจกันมาตลอด แต่มันก็ดีตรงที่เราทำจากใจ ไม่ใช่เพลงนี้ฮิตทำดีกว่า

บอย: พูดตรง ๆ เพลงที่ฮิตไม่ได้ตั้งใจ (หัวเราะ)

ก้อ: เราจะบอกว่า กูเก่ง ก็ไม่น่าได้

ศิลปินรุ่นใหม่ที่ทำเพลงด้วยตัวเองยังต้องได้รับการสนับสนุนจากค่ายอยู่ไหม

บอย: ยุคนี้มันเหมือนต้องลองกันหมด ไม่มีสูตรตายตัว เป็นไปได้ทุกทาง ค่ายซัพพอร์ตดีก็พาศิลปินไปไกลได้ ต้องการ mv 3 ตัว คอนเสิร์ตใหญ่ ค่ายก็ช่วยเรื่องนี้ได้มากกว่า

ค่ายจะเข้ามาสนับสนุนด้านใดบ้าง

ก้อ: ความต้องการ ความสามารถ การทำ marketing ด้วยตัวเองของแต่ละศิลปินไม่เหมือนกัน การโปรโมต บางศิลปินเก่งมากแต่โปรโมทไม่ดี ค่ายก็น่าจะเข้ามาช่วยเรื่องพวกนี้

บอย: บางคนโปรโมตดีแต่เพลงโคตรห่วยเลยก็มีนะ (หัวเราะ)

พฤติกรรมคนฟังในปัจจุบันเปลี่ยนไปเยอะมาก มองการเปลี่ยนแปลงนี้ไว้อย่างไร

ก้อ: เปลี่ยนไปมากถึงมากที่สุด เทคโนโลยีก็เป็นส่วนสำคัญแต่ก็เราฟังเทปคาสเซ็ตตั้งแต่หน้า A เพลงแรกยันเพลงสุดท้ายเพราะกรอกลับมาฟังเพลงซ้ำ ๆ มันเหนื่อย ตอนนั้นมันดีเพราะเราได้ฟังเพลงทุกเพลงแล้วอินตาม ปัจจุบันไม่มีแล้ว ถ้าไม่ชอบเพลงนี้ใน 5 วิแรกกดทีเดียวก็เปลี่ยนเพลง

บอย: เราไปหาฟังเพลงที่ดีที่สุดของศิลปินทันที ไม่ได้ฟังเพลงแบ็คกราวด์ของเขาเลย เพลงหน้า B จะบอกว่าศิลปินเป็นคนยังไง

ก้อ: เพลงที่สี่หน้า B โคตรชอบเลย ยุคนี้ไม่มี

ส่งผลอะไรต่อคนทำเพลงบ้างไหม

บอย: ก็ต้องเซฟไฟล์เก็บไว้ให้ทำได้หลายฟอร์แมต

ก้อ: แต่ก่อนพวกเราทำอัลบั้ม ปัจจุบันทำซิงเกิ้ล (บอย: แต่ลึก ๆ ก็อยากทำอัลบั้มนะ)

ข้อดีและข้อเสียในตลาดเพลงยุคนี้คืออะไร

บอย: ข้อดีข้อเสียมันมาจากพฤติกรรมคนฟังมากกว่า คนฟังอยากได้แบบนี้ แต่ศิลปินอยากทำเป็นอัลบั้มมากกว่า เหมือนเราสร้างหนังเรื่องนึงไม่ใช่แค่การเล่าเรื่อง 3 นาที

ก้อ: เป็นเรื่องของคุณค่ามากกว่า กลายเป็นว่าทุกคนจะได้เสพเพลงแรกของหน้า A ในอนาคตอาจจะมีเครื่องชี้วัดใหม่ที่ไม่ใช่ยอดวิว อาจจะต้องมียอดคุณค่าด้วยนะ ยอดวิวเยอะไม่ได้แปลว่ามีคุณค่า

หลังจบรายการนี้จะมีอะไรออกมาให้ติดตามกันอีกไหม

บอย: ก็รับงานอยู่ครับ มีอะไรก็จ้างได้ (หัวเราะ) ส่วนมากเราจะเป็นเบื้องหลัง เราสองคนก็ทำวงเดียวกันอยู่ก็คือ 2 Days Ago Kids กำลังจะทำอัลบั้มใหม่

ก้อ: ปีหน้าจะครบ 20 เราต้องฉลองอะไรกันนิดนึง (บอย: ฉลองกันให้เงียบสงัด) (หัวเราะ)

ถ้าในอนาคตมีรายการแบบนี้เกิดขึ้นอีกอยากให้รายการไปในทิศทางไหน

ก้อ: สุดท้ายมันต้องสนุก คนส่วนใหญ่ต้องการเสพสิ่งเหล่านี้เพื่อรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ แต่ขอให้มันมีคุณค่าอะไรบางอย่างสะกิดใจคนดูได้ให้เพลงที่เราผลิตมันมีคุณค่ากับจิตใจคน จะหัวเราะมากน้อยแค่ไหนก็แล้วแต่

บอย: เมื่อก่อนฟังเพลง ๆ นึงอาจจะรู้สึกฟังจบไปก็เพราะดี สนุกดี แต่ถ้าได้ดูรายการนี้หรือรายการอื่นในอนาคต บางทีเขาอาจจะฟังแล้วรู้สึก ต้องนึกคำนี้ขึ้นมาก่อนเนอะถึงจะได้ประโยคนี้ถึงจะเป็นเพลง ไปอัดร้อง มิกซ์เสียง ตบตีกันเพื่อเพลง 3 นาทีมันก็ไม่ง่าย ถ้าเขาฟังเพลงแล้วรู้สึกแบบนี้คุณค่าของเพลงก็จะมากกขึ้นกว่าเดิม

ฝากรายการ Melody to Masterpiece

ก้อ: ฝากรายการด้วยครับ (หัวเราะ)

บอย: เราไม่ใช่คนที่อยากสู้รบอะไรกับใครแต่รายการนี้จะมอบความบันเทิงให้รู้จักอุตสาหกรรมเพลงไทยมากขึ้นก็ฝากติดตามด้วยครับ

Melody to Masterpierce

Facebook Comments

Next: