ส่งต่อความหวังผ่านเสียงของ แม็กซ์ เจนมานะ กับ EP Let There Be Light
- Writer: Peerapong Kaewthae
- Photographer: Noppadon Saeaed
- Artwork: Kanith
ส่งต่อความหวังผ่านเสียงของ แม็กซ์ เจนมานะ กับ EP Let There Be Light
การเดินทางอันเจ็บปวดของ แม็กซ์ เจนมานะ ในระยะเวลาสองปีที่เขาเติบโตขึ้นในฐานะศิลปินที่หลายคนจับตามอง ร้อยเรียงประสบการณ์ทั้งดีและร้ายถ่ายทอดออกมาเป็น EP แรกของตัวเอง Let There Be Light ชายผู้ดำดิ่งลงไปสู่ความมืดมิดในใจของตัวเองมาแล้วครั้งหนึ่งจะมีอะไรมาเล่าให้เราฟังผ่านเสียงหวาน ๆ ของเขาบ้าง ลองฟังจากปากเขาเองว่าทำไมเขาถึงอยากให้อัลบั้มนี้เป็นเพื่อนกับคนฟังทุกคน
ลองเล่าที่มาที่ไปของ Let There Be Light ให้ฟังหน่อย
ผมเลิกเล่นดนตรีมาประมาณ 2 ปี เพราะสับสนตัวเองว่าอยากทำอะไรกันแน่ มีช่วงหนึ่งที่เราผิดหวังกับวงการดนตรี ผิดหวังกับคนรอบ ๆ ตัวด้วย ไม่รู้จะทำยังไงต่อ เป็นช่วง coming of age ด้วย พยายามต่อสู้กับตัวเอง มีช่วงหนึ่งจับกีตาร์ไม่ได้ ร้องเพลงไม่ได้ รู้สึกเกลียดตัวเอง สุดท้ายเราก็ฮึดขึ้นมา เราไม่ได้เข้ามาทำตรงนี้เพื่อที่จะสับสนยิ่งขึ้นไปอีก เราอยากทำเพลงจริง ๆ ในแบบที่เราคิดว่า ศิลปินที่เราชอบควรจะเป็นยังไง ผมเลยรื้อเพลงทั้งหมดที่มี ตัดทอนจนเหลือแค่ 5 เพลงที่ใช้การได้ ที่มาที่ไปแต่ละเพลงเลยต่างกันหมดเลย บางเพลงคือรวมสองเพลงเข้าด้วยกัน บางเพลงเขียนเป็นภาษาอังกฤษก่อนแล้วค่อยแปลเป็นภาษาไทย บางเพลงก็เขียนใหม่เลย ซึ่งผมก็ได้รับความช่วยเหลือจาก พี่เหวิน เรืองกิจ ที่เป็นโปรดิวเซอร์ของผมและ พี่เก่ง บุรินทร์ ช่วยมิกซ์และมาสเตอร์ สามคนนี้เป็นสเปซที่ผมสบายใจ ทำงานกับพวกเขาแล้วเป็นตัวเองมาก ๆ เลย The Unicorn ก็เป็นคนสอนผมว่าเขียนเนื้อเพลงที่ดีควรจะทำยังไงในแบบที่เป็นตัวเองด้วย ภาษาไทยเป็นภาษาที่ยาก ผมก็ทำการบ้านว่าชอบฟังเพลงไทยแบบไหนจริง ๆ ปรากฎว่าผมชอบเพลงเพื่อชีวิตกับเพลงลูกทุ่งที่ใช้ภาษาไทยรุ่มรวย และ 5 เพลงนี้เลยออกมาเป็นภาษาที่ผมชอบมากที่สุด
แนวเพลงใน EP เป็นแบบไหน
Alternative folk ครับ ถ้าผมทำเพลงไทยเป็นโฟล์กจะง่ายกว่า มันคือการเล่าเรื่องแบบ folklore เพราะผมอยากเล่านิทาน มีเพื่อนฝูงนั่งฟังรอบกองไฟ จริง ๆ 5 เพลงในอัลบั้มนี้ก็ต่างกันเกือบหมดนะ แค่มันอยู่ในโทนเดียวกัน เพลงที่สามเนี่ยเป็นเปียโนตัวเดียว เพลงสี่เป็นร็อกแบบคนตบน่องแล้วร้องว่า เช้ดโด้ว! แน่ ๆ ส่วนเพลงสุดท้ายก็เป็นเพลงกล่อมเด็กอะไรเงี้ย
EP นี้ได้กำหนดทิศทางของเรื่องที่จะเล่าไหม หรือแค่รวมเพลงเฉย ๆ
5 เพลงนี้ผมเซ็ตเป็นธีมไว้แบ่งตามช่วงเวลา หัวค่ำ สามทุ่ม เที่ยงคืน ตีสาม และก็เช้า ห้าเพลงก็จะไล่ตามชีวิตผมด้วย อย่างเพลงแรก Wine เป็นเพลงที่ผมเริ่มลงดิ่ง ชีวิตเริ่มแปลก ๆ เริ่มสับสน เพลงที่สอง วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่า คือเราเริ่มรับความจริงไม่ได้ละ แบบ ไอ้เหี้ยเอ๊ย กูหนีเข้าป่าดีกว่า แต่ก็อยากให้มีคนรู้ว่ากูหายไป เพลงที่สาม ดารา เราเริ่มเรียนรู้แล้วว่าบางอย่างก็ไม่ควรจะมาอยู่ด้วยกัน เพลงที่สี่ก็เป็นเพลงที่เกลียดตัวเอง เป็นเพลงที่ดาร์คที่สุด คือเกลียดตัวเองแต่สุดท้ายก็ต้องยอมรับว่าตัวเองเป็นคนยังงี้ และอยากให้เธอรู้ว่าฉันโอเคกับสิ่งนี้เหมือนกัน เหมือนเป็นบรรยากาศกลางดึกก่อนที่จะเช้า เพลงสุดท้ายก็เป็นเพลงที่สว่างที่สุด เป็นเพลงสำหรับความหวัง
เรียกได้ว่าแม็กซ์เขียนเพลงเพื่อบำบัดตัวเองรึเปล่า
ใช่ครับ ส่วนใหญ่ศิลปินที่ผมชอบเขาก็ self-therapy มันก็เลยค่อนข้างจะซื่อสัตย์กับตัวเอง คนจะเชื่อมต่อได้กับอารมณ์และประสบการณ์ของคนฟัง พอเขียนออกมาคนจะเห็นภาพว่า เออแม่งเหมือนกูเลยว่ะ มันจะมีมิติ ผมเลยคิดว่าเป็นเรื่องดีที่ศิลปินจะทำอะไรที่ self-therapy ตัวเอง
มีความหมายอะไรในชื่อ Let There Be Light รึเปล่า
มาจากในพระคัมภีร์ แปลว่า ‘จงมีแสงสว่าง’ เหมือนผมมาเล่านิทานให้เพื่อน ๆ ฟังว่า เชี่ย กูไปเที่ยวในความมืดมา นี่คือสิ่งที่กูเจอมา แล้วมึงไม่ต้องไปเองก็ได้ ไปที่สว่างได้เลย แต่นี่คือเรื่องราวของกู
ผม depressed มาก่อนครับ คนเดี๋ยวนี้เป็นกันเยอะมาก เป็นจริงไม่เป็นจริงไม่รู้เราไม่ตัดสินเขา แต่ว่าถ้าเป็นจริง ๆ แม่งหนัก มันสามารถล้มเราได้จริง ๆ แล้วบางครั้งเราควบคุมมันไม่ได้ มันต้องต่อสู้หลาย ๆ อย่างกับชีวิตการเป็นผู้ใหญ่ ผมเลยอยากเป็นเสียงให้คนที่พูดไม่ได้ให้รู้ว่ามีคนแบบเดียวกันอยู่ เป็นความหวังให้เขา
อัลบั้มนี้มีใครเป็นแรงบันดาลใจบ้าง
John Mayer, Ryan Adams, อภิรมณ์ ไม่มีละ อย่าง John Mayer ต้องมีแน่ ๆ ในงานอื่น ๆ เพราะผมฝึกกีตาร์มาจากเขา แต่ในอัลบั้มนี้ไม่มีเขาเลย ผมไม่ได้เปิด reference มาดูเลยซักเพลงในอัลบั้มนี้
เห็นแม็กซ์เคยเล่นเพลง tribute ให้ Chris Cornell ด้วย
ผมเข้าใจเขานะ เขามีปีศาจในตัวก็คือตัวเขาเอง มันเป็นคำสาปของคนที่พยายามบาลานซ์ตัวเอง เขาก็เป็นคนจิตใจดี มันเลยแปลกไง ส่วนใหญ่เป็นศิลปินร็อกเขาก็ sensitive กันมาก ผมเลยอยากจะให้อัลบั้มนี้เป็นเพื่อนกับคนคล้าย ๆ เขาคล้าย ๆ พี่สิงห์ Sqweez Animal คล้าย ๆ ผม
แม็กซ์ก็มีปีศาจของตัวเอง
ใช่ครับ เพลงที่สี่ของผมชื่อ ปีศาจ คนที่จมลึกจะเจอปีศาจแน่ ๆ เขาพยายามพูดออกมาให้คนเข้าใจ อัลบั้มเนี่ยผมอุทิศให้ คนเหล่านี้ เพราะมัน self-therapy ผมได้ ก็เลยอยากให้ self-therapy คนอื่นด้วยเหมือนกัน
มีเทคนิคในการแต่งเพลงยังไงถึงโดนใจคนฟังขนาดนี้
ก็เขียนไปเรื่อย ๆ ครับ ผมไม่รู้ว่าโดนใจใครรึเปล่าด้วยซ้ำ (หัวเราะ) ผมอยากแนะนำว่าให้ซื่อสัตย์กับตัวเอง ถ้าโดนใจเรานี่ดีสุดละ แต่ว่าถ้าบาลานซ์ได้ ทำให้คนอื่นโดนใจด้วยก็จะดีมาก แล้วแต่เป้าหมายด้วย อย่างถ้าผมอยากทำเพลงป็อปก็จะตั้งเป้าหมายไว้ที่ให้คนฟัง 70 และทำเพลงให้เราพอใจ 30 มันก็บาลานซ์ดี
แม็กซ์ปราดเปรืองในการเขียนเนื้อเพลงภาษาอังกฤษอยู่แล้ว ใน EP นี้จะมีเพลงภาษาอังกฤษไหม
มีเพลงนึง ผมเลยปรึกษา The Unicorn ว่าผมขึ้นดนตรีแบบนี้มาแล้ว ผมมีเรื่องจะพูดแล้วแต่คิดภาษาไทยไม่ออก เขาเลยแนะนำให้เขียนเป็นภาษาอังกฤษก่อนเผื่อเมโลดี้จะไหลออกมา ก็เขียนแป๊ปเดียวเสร็จเลย ซึ่งผมชอบมันมาก ทุกคนชอบมาก เป็นเพลงที่ผมชอบที่สุดในอัลบั้ม แต่ยังไงอัลบั้มนี้ก็เป็นเพลงไทย เราไม่อยากทิ้งมันเลยให้เป็น bonus track โดยที่คิดว่าถ้าเพลงนี้แปลเป็นไทยแล้วเราต้องชอบมากเหมือนกัน
จะได้ฟังซิงเกิ้ลต่อไปเมื่อไหร่
ชื่อเพลง ดารา ครับ ผมพูดถึงวงการหรือกลุ่มคนบางประเภทที่ควรจะเป็นแค่แสงสว่างส่องไกล ๆ ดีแล้ว อย่าเข้าไปใกล้ ผมพูดถึงตัวเองด้วยซ้ำ เตือนใจตัวเอง เตือนใจคนธรรมดาที่คิดจะเข้ามาในวงการ มันอาจดูสุกสวย แต่จริง ๆ มันฉาบฉวย นี่คือคอนเซปต์ของเพลงนี้ ซึ่งก็ได้ เบสท์ ณัฐสิทธิ์ กับ อาย กมลเนตร มาเล่น mv ให้ด้วย ซึ่งจะปล่อยพร้อมให้ pre-order อัลบั้ม และจะได้ฟังพร้อมกันวันที่ 17 สิงหาคมครับ สามารถโหลดฟังบน Apple Music และ iTunes ได้เลย
จากนักร้องที่ทุกคนเทใจให้ตอนประกวด The Voice จนมาเป็นศิลปินเต็มตัว แม็กซ์มองดนตรีเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน
ตอนนี้ผมยังไม่แน่ใจเลยว่าตัวเองเป็นศิลปินรึเปล่า ผมนิยามตัวเองว่าเป็นนักเขียน นักแต่งเพลง นักดนตรี แต่คำว่าศิลปินให้คนอื่นเป็นคนมอบให้ดีกว่า สองปีที่ผ่านมามันเปลี่ยนไปเยอะจริง ๆ ผมเหมือนโงกุนที่ไปฝึกในห้องกาลเวลาอะ (หัวเราะ) ผมก็ใช้เวลานั้นค้นจิตใจตัวเอง ผมเลยแฮปปี้กับตัวเองช่วงนี้ ถ้ามองย้อนกลับไปตัวเองก็อ่อนต่อโลกมาก ไม่ค่อยเข้าใจอะไรหลาย ๆ อย่าง ตอนนี้ก็ยังไม่แน่ใจว่าเข้าใจแล้วรึเปล่า แต่ก็พยายามที่จะไม่ตัดสินใคร เพลงเป็นยังงี้ก็โอเคค่อย ๆ ไปทีละสเต็ป ไม่ต้องกดดันตัวเอง ก่อนที่จะไปคิดว่าอยากทำอันนี้ อยากไปเล่นที่นี่ อยากรู้จักคนนี้ อยากแต่งเพลงกับคนนี้ ผมว่ามันไร้สาระเว้ย แม่งอยู่ที่ตัวกูเองหมดเลย กูมีอะไรจะพูดก็เขียนเก็บไว้ กูไม่ต้องสนใจใครละ ช่างแม่งทุกอย่าง เรารู้อยู่แล้วว่าสิ่งที่ต้องทำคืออะไร คือทำเพลง
การเป็นนักดนตรีที่ไม่มีค่าย เป็นงานหนักสำหรับแม็กซ์บ้างไหม
ตอนนี้ผมก็ยังเป็นนักดนตรีไม่มีค่ายนะ ผมก็เฮิร์ทจากระบบค่ายมา ก็เคยมีคุยกับหลายค่ายมาก แต่เหมือนผมก็เป็นแค่ศิลปินอีกคนหนึ่งที่ค่ายเขาคุย ๆ ไปทั่ว ผมเลยรู้สึกไม่อินกับที่ไหนเลย จนผมได้คุยกับ พี่เหวิน เรืองกิจ เขาเป็นคริสเตียน เขาสอนอะไรหลาย ๆ อย่างในเชิงทัศนคติทำให้ผมสงบลงเยอะมาก แล้วเขาก็ถามว่ามาทำเพลงกับพี่มั้ย พี่ไม่มีค่ายแต่สร้างมันขึ้นมาด้วยกันเลย แล้วเขาไม่อยากเรียกมันเป็นค่ายแต่ให้เรียกเป็นกลุ่มคน ซึ่งก็คือ LoF หรือ Leap of Faith คนต้องมีความเชื่อ ซึ่งตอนนั้นผมไม่มีความเชื่อเลย self-esteem ไม่มี ผมไม่เชื่อว่าตัวเองแต่งเพลงได้ ผมไม่เชื่อว่าตัวเองเล่นกีตาร์หรือร้องเพลงดี ผมเลยไปหาเขาเพื่อทำ LoF ขึ้นมาด้วยกันดีกว่า ผมก็เป็นศิลปินคนเดียวของที่นี่ (หัวเราะ) ผมก็ต้องทำทุกอย่างเอง มันเหนื่อยแต่ก็ต้องแลกกับการได้เป็นตัวเอง แต่เราก็ได้ทำเต็มที่ เราด่าใครไม่ได้ด้วย ด่าได้แค่ตัวเอง เป็นระบบที่ดีไว้ดัดสันดานผม (หัวเราะ) ใครจะไปรู้ว่าคนฟังชอบอะไร งั้นก็เอาที่ตัวเองชอบก่อนละกัน ผมก็ยังเชื่อเซ้นส์ป็อปของตัวเองนะ ถึงป็อปของผมจะไม่ใช่ป็อปที่ทุกคนชอบก็พยายามบาลานซ์เพลงตัวเอง เพราะอยากให้ทุกคนฟัง นี่คือโจทย์ยากในการทำงานด้วยตัวเอง
พอมาทำงานกับค่ายเพลง มันส่งผลต่องานเพลงเราในด้านไหนบ้าง
ไม่เลยนะ ผมขีดเส้นเอาไว้ อย่างผมทำกับ BOXX Music ผมก็คุยกับ พี่พล Clash กับ พี่ปอย Portrait ว่าผมทำเพลงกับค่ายนี้ก็อยากได้กลิ่นของ BOXX มาด้วย ที่มีความอิเล็กทรอนิกขึ้นมานิด ๆ ความวัยรุ่น ความ Billboard เราก็อยากบาลานซ์ระหว่างเพลงเรากับเขา respect เขาว่าเราอยากอยู่ในกลุ่มของคุณ แต่นี้ขนาด อยากอยู่ตรงนี้ ผมคิดว่าป็อปแล้วนะ แม่งยังไม่ป็อปเลย (หัวเราะ) อีกสามคนเขาก็ป็อปกว่า เราก็ต้องยอมรับว่าเซ้นส์ป็อปเราได้แค่นี้จริง ๆ เพลงคนอื่นก็จะแตะคนฟังได้เยอะกว่า เพลงผมก็จะแตะคนได้กลุ่มหนึ่ง ซึ่งผมก็แฮปปี้มากกว่าเพราะผมก็ได้คุยกับคนฟังที่ผมอยากจะคุยจริง ๆ เราก็ป็อปในแบบของเรา
เพราะตัวเองมีชื่อเสียงเลยมีอำนาจต่อรองกับค่ายรึเปล่า
ไม่จริงเลย ผมไม่มีชื่อเสียงไม่มีอำนาจต่อรองใด ๆ สิ่งที่จะต่อรองได้คือเพลงที่ดี คนฟัง ค่าย ใคร ๆ ก็รู้ว่าเพลงไหนดี ผู้บริหารเขาก็คนรักเพลงเหมือนกัน เขาก็รู้แหละว่าเพลงไหนดีไม่ดี เพราะฉะนั้นโฟกัสกับการทำงานดีกว่า
แล้วศิลปินไม่มีค่ายจะทำยังไงให้มีชีวิตรอดในวงการดนตรี
ถ้าพึ่งวงการเพลงอย่างเดียวไม่มีทางหาแดกได้ เพราะทัศนคติคนเล่นดนตรีด้วยกันยังดัมพ์ราคากันเองเลย ทำเพลงไปเหอะ ทำแบบไม่ต้องคิดอะไร แล้วถ้ามันจะรุ่งเดี๋ยวมันก็รุ่งเอง อย่าง The Toys เขาทำกันเอง เขาทำจริง เขารักจริง เขาก็เกิดไปละ ผมอิจฉาเขานะ เขาอายุเท่านี้แล้วโฟกัสได้ ซึ่งแบบเจ๋งอะ ผมชอบเขา อย่างพี่แสตมป์เขาก็โฟกัส ใครจะไปนึกว่าเขาจะไปเข้า The Voice แล้วมีชื่อเสียง สุดท้ายทุกคนนับถือในฝีมือเขาจริง ๆ มันอยู่ที่ทำ ทำไปเรื่อย ๆ ถ้าอยากจะได้ตังก็ไปทำอย่างอื่น ผมพูดจริงนะ
เป้าหมายต่อไปของแม็กซ์คืออะไร
อยากทำ Henri Dunant ให้เสร็จ เสร็จอัลบั้มนี้จะไปโฟกัสกับ Henri Dunant ให้สะใจเลย ให้แบบ โว้ว มีเพลงแบบนี้ด้วยหรอเนี่ย
เร็ว ๆ นี้จะไปเล่นที่ไหนบ้าง
เดี๋ยวมีไปเล่นโคราช มหาสารคาม แล้วก็ Cat Expo ตอนนี้ก็มีโปรเจกต์โน่นนี่นั่นที่รอคอนเฟิร์มอยู่
ฝากผลงาน
อย่างน้อยอยากให้ลองฟัง ถ้าฟังแล้วรู้สึกอะไรก็ดีใจ ถ้าไม่รู้สึกอะไรให้มันเพราะก็พอ นี่เป็นข้อดีของเพลง ถ้ากระทบจิตใจก็เป็นผลดีไป มันคงมีความหมายต่อคุณ ผมจะดีใจมาก ฝากด้วยละกันนะครับ ผมอยากให้เพลงนี้เป็นเพื่อนของคุณ ไปฟังเถอะ
ลองฟัง Wine และ วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่า สองซิงเกิ้ลใน EP ที่กำลังจะออกกลางเดือนนี้ได้ ที่นี่