Article Interview

เรื่องราวบทใหม่ที่ถูกเล่าต่อจากการถูกมองว่าเป็น ตัวประหลาด ของ Mattnimare

  • Writer: Montipa Virojpan
  • Photographer: Narawit Suksawat

เรามีภาพจำกับวง Mattnimare ว่าเป็นวงดนตรีร็อกหนักหน่วง มีบทเพลงที่เล่าถึงอารมณ์ขุ่นมัวได้อย่างบาดลึก เป็นอีกวงที่น่าจับตามองของวงการ จนวันนึงพวกเขาได้รับรางวัลสีสันอะวอร์ดส์จากอัลบั้ม The Regime และได้รับการยอมรับในฐานะศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยม ล่าสุดวงก็ได้ปล่อยซิงเกิ้ล ตัวประหลาด ซึ่งเป็นจุดเริ่มของการเดินทางบทใหม่ในบ้านหลังใหม่ของพวกเขา มาดูกันว่าวงเติบโตและมีมุมมองเปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อหลายปีก่อนอย่างไรบ้าง

อ่านบทสัมภาษณ์ของพวกเขาในครั้งก่อนได้ ที่นี่

Mattnimare

Mattnimare ได้รางวัลสีสันอะวอร์ดส์หลังจากปล่อยอัลบั้ม The Regime

ซุง: รางวัลอยู่ที่บ้านผมเนี่ยครับ ช่วงแรก ที่ได้รางวัลมาเราผยองมากเลยครับ การที่รางวัลตั้งอยู่ที่บ้านคนทำเพลงมันถูกแล้วครับ จะได้มีช่วงเหลิง ให้ได้ผยองว่า เฮ้ย กูเจ๋งว่ะ แต่ผลของมันคือความเหลิงนั้นทำให้เราแต่งเพลงไม่ได้ เพราะว่าเพลงที่เราแต่ง ไปเราไม่ได้แต่งได้เพราะความเก่ง กลับกันเราแต่งเพลงได้เพราะรู้สึกอ่อนแอ แพ้ เป็นมนุษย์ รู้สึกว่าตัวเองกระจอกจังเลย ความรู้สึกด้านนี้ต่างหากที่ทำให้เราแต่งเพลงได้

ใช้เพลงเป็นที่ระบายความอัดอั้น?

ซุง: ใช่ครับ แล้วส่วนตัวผมยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเก่งเมื่อไหร่จะทำงานไม่ได้ งานไม่ออกมา ไม่รู้คนอื่นเป็นไหม พอไปสักพักนึงเราก็ต้องลืมรางวัลไป ทุกเช้าผมเปลี่ยนตัวเองโดยการตื่นมาแล้วไม่มองมัน ตั้งไว้เฉย ก็กลายเป็นว่า ดีใจที่ได้รางวัลครับ แต่เราไม่ได้คิดว่าได้รางวัลแล้วคือเจ๋งแล้ว ความเจ๋งที่แท้จริงที่สุดคือเราต้องทำต่อไป เราไม่สามารถปล่อยความผยองนั้นอยู่ได้

จากตอนนั้นแล้วใช้เวลานานไหมกว่าเพลง ตัวประหลาด จะออกมา

ซุง: ประมาณปีนึง จริง เพลงตัวประหลาดเพิ่งแต่งเสร็จไม่นานนี้ พอแต่งเสร็จก็เข้าสู่ขั้นตอนโปรดักชันแล้วทำออกมาเลย แล้วมันก็แซงหน้าเดโม่เก่า ไปเลยเพราะเรารู้สึกชอบที่สุดชอบไหมครับเพลงตัวประหลาด (ว่าน: ชอบครับผม)

ที่มาของเพลงมาจากอะไร

ซุง: มันเป็นความรู้สึกที่เราสะสมมาตลอดว่าเราเป็นตัวประหลาด เราไม่ได้รู้สึกเองแต่รู้สึกได้เพราะคนอื่นจำกัดความเรา อย่างบางทีเราเป็นวงที่บางทีเพลงเราก็ไม่ได้อินดี้จัดขนาดที่ฮาร์ดคอร์อินดี้จะชอบ ในขณะเดียวกันมันก็ไม่ได้แมสฟังง่ายจนพนักงานออฟฟิศชอบ กลายเป็นว่าเราอยู่ตรงกลาง ไอ้ร่องที่เราไม่รู้จะเด้งไปทางไหนดี จากฝั่งซ้ายก็บอกเราประหลาด จากฝั่งขวาก็บอกว่าเราอินดี้เกินไป มันสะสมมาตลอด บวกกับเรื่องส่วนตัว เรื่องความรักด้วย ทำให้เรารู้สึกว่าเราไม่มีพวก ไม่เข้าพวกไหนเลย ก็เป็นเพลงที่เล่าถึงมุมนี้ว่า ทำยังไงเขาก็ไม่เห็นสิ่งที่เรามีข้างใน เพราะเขาไม่คิดที่จะมารู้จักเรา เราเป็นตัวประหลาดในสายตาเขา

จริง ในซีนอินดี้ Mattnimare ก็เป็นวงที่มีคนพูดถึงเยอะ

ซุง: ผมว่ามันเป็นการมองจากข้างนอกมากกว่าว่า เออ วง Mattnimare มีคนชอบเยอะนี่ มีคนฟังอยู่แล้ว ทำไมรู้สึกอย่างนั้น แต่ในความเป็นจริงถ้ามองจากข้างใน ในฐานะที่เราเป็นศิลปิน เราไม่ได้คิดว่าเราโด่งดัง เราก็ยังกินข้าวร้านเดิน ใช้ชีวิตเหมือนเดิม เราไม่ได้ร่ำรวยเงินทอง มีชื่อเสียง จนถึงจุดที่เราไม่อ่อนแอ เรายังเป็นคนธรรมดาอยู่ อีกอย่างคือการที่เราหายไปช่วงใหญ่ ทำให้เรามองไม่เห็นว่ามีคนชอบเรา มองไม่เห็นว่ามีกลุ่มที่รอเราอยู่ มองไม่เห็นว่ามันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น ก็ค่อนข้างดาร์ก เลยเกิดเป็นเพลงนี้ขึ้นมา ซึ่งไอ้ความดาร์กเนี่ยทำให้เกิดเพลง แล้วเพลงทำให้เราไปเห็นสิ่งนั้นน่ะว่า เฮ้ย มันมีคนที่รอเราอยู่ มีคนที่ฟังเพลงเรา แต่ว่ามันคงเป็นคำสาปของคนเขียนเพลงอะครับ เราต้องปล่อยให้ความรู้สึกแย่เข้ามา เราไม่สามารถ play safe ว่า เฮ้ยไม่ กูไม่ได้รู้สึกแย่ เฮ้ย กูไม่ได้เป็นทุกข์ ไม่ได้เลย อันนี้ถ้าเราทุกข์ก็ต้องยอมรับว่าทุกข์

มีช่วงที่แฮปปี้แล้วเขียนเพลงที่ไม่เศร้าบ้างไหม

ซุง: ไม่มีฮะ เวลาที่ผมแฮปปี้ผมก็ใช้ชีวิตไง สมมติผมอินเลิฟผมก็ใช้ชีวิตกับความรักของผม แต่พอทุกข์มันก็ไม่รู้จะไปทำอะไร ก็กลายเป็นเขียนเพลง

แอ๊ป: คือเมื่อไหร่ที่มันมีปัญหาเรื่องความรัก เพลงมาแน่นเลย

ดนตรีในอัลบั้มนี้จะต่างจาก The Regime ยังไงบ้าง

ซุง: ตอนที่ขึ้นเพลง ตัวประหลาด ก็คิดว่า เราจะเชยมากขึ้น เราจะไม่มีซาวด์ที่มันล้ำ และ จะเป็นร็อกแบนด์ที่มีเครื่องสายนิดหน่อย แต่จะพูดอย่างนั้นซะทีเดียวก็ไม่ได้เพราะเพลงต่อไปก็ชะวี้ดชะแว้ดเหมือนกันแหละ สรุปแล้วคือ เราทำเพลงโดยที่เราไม่ได้จำกัดความว่าดนตรีอัลบั้มนี้ต้องเป็นอิเล็กทรอนิกสิบเพลง หรือดนตรีอัลบั้มนี้ต้องเป็นร็อกแบนด์เก่า สิบเพลง เราวางโครงสร้างอัลบั้มนี้ให้เป็นส่ิงที่พูดมากกว่า โดยให้ ตัวประหลาด เป็นตัวเปิดคอนเซ็ปต์ว่า อัลบั้มนี้มันจะพูดถึงการที่เราเป็นชนกลุ่มน้อยบ้างแหละ เราไม่ถูกมองเห็นบ้างแหละ เราพูดอะไรไปเขาก็ไม่เข้าใจ ไม่ฟัง ไม่ว่าจะเป็นพาร์ตชีวิตการทำงาน ครอบครัว หรือความรัก นี่คือคอนเซ็ปต์ใหญ่ที่เราตั้งใจจะพูดถึงเรื่องพวกนี้เป็นหลัก

ตอนนี้มีกี่เพลง

ซุง: มันยังไม่ครบสิบ แต่ตั้งใจไว้จะให้มีสิบเพลงในอัลบั้มนี้

บทบาทของแต่ละคนในอัลบั้มชุดใหม่นี้

ว่าน: แต่ละคนก็มีหน้าที่ในส่วนต่าง กันไป ของผมคือผู้ส่งสาส์นน่ะครับ ผมเป็นคนดูพูดอะไรแล้วฟังดูมีน้ำหนัก แต่จริง ก็ไม่ใช่ขนาดนั้น มันเป็นสิ่งที่คนอื่นมองผมมากกว่า (แอ๊ป: คือข้างนอกคนเราจะดูแข็งแกร่งขนาดไหน แต่ข้างในมันก็มีความไม่มั่นใจอยู่แหละ) ใช่ แต่ว่าหลัก ผมเป็นคนพูดออกมา สิ่งที่ยากที่สุดคือเราต้องทำให้คนอื่น เชื่อเหมือนซุงด้วย มันเลยสำคัญที่ว่า ถึงซุงจะแต่งเพลง แต่ผมต้องเชื่อในสิ่งที่ซุงเขียนด้วย ถ้าผมมีข้อกังขามันก็จะส่งต่อไม่ได้ เพราะมันเป็นเรื่องที่เป็น negative หมดเลย ถ้าเป็นเรื่องสนุก ตลก คนที่ส่งสาส์นไม่จำเป็นต้องมีน้ำหนัก เพราะความแฮปปี้มันเล่น ก็ได้

แล้วแบบนี้ยากสำหรับว่านไหม

ว่าน: ด้วยความที่ใช้ชีวิตด้วยกันมา 8 ปี มันเลยง่าย แล้วผมก็เป็นคนฟีลแบบมันด้วย มันมีอยู่สองเพลงที่ผมแต่งซึ่งก็ดาร์กเหมือนกัน มันก็เลยเก็ตกันว่าฟีลลิ่งของการมีความสุขแล้วไปใช้ชีวิต กับทุกข์แล้วมาแต่งเพลง มันเป็นเหมือนกัน วงนี้ก็เลยตั้งแต่ต้นไม่มีเพลงแฮปปี้เลย เพลงแฮปปี้มีอยู่เพลงเดียวแต่ก็ไม่ได้ออก มันนานมากแล้วสมัยที่เราพยายามจะเป็น The Strokes แต่ก็เสียดสีการเมืองสุด ไม่ได้แฮปปี้ขนาดนั้น

แอ๊ป: จริง เรื่องเพลงเหมือนเราให้ซุงเป็นเฮดอยู่แล้ว พวกหลัก ซุงจะเทคไปเลย เราจะแก้แค่ ซุงเอาโครงมาแล้วมาคุยกันว่าจะอะไรยังไงในพาร์ตของตัวเอง (ซุง: อย่างตอนบันทึกเสียง) ใช่ เราจะแค่ปรับให้มันเข้ามือ เหมือนเป็นลายเซ็นแต่ละคนมากกว่าตอนที่ไปอัดที่สตูดิโอ

ว่าน: core ของวงคือเพลง เพราะเพลงคือ product แต่มันจะไปได้ไม่ถึงจุดสูงสุดแน่ถ้าไม่มีปัจจัยเรื่องอื่น เช่นการเล่นสดก็ต้องมีการจัดการ ทำการตลาดอะไรรวม กัน (ซุ: เรื่อง technical อุปกรณ์ ไรเดอร์ ทุกอย่าง) แอ๊ปจะเป็นคนจัดการ เพราะมันเป็นคนที่เร็วที่สุดในเรื่องนี้

ซุง: อย่างผมเนี่ยสามารถไปก่อนเล่นได้เลย ไม่ต้องทำอะไรเลยเพราะมีคนอย่างแอ๊ปในการแบกส่วนนี้ไว้ เอาจริง ผมรู้สึกว่าเวลามาสัมภาษณ์หรือรู้ข้อมูลว่าผมเป็นคนแต่งเพลงอะ บางทีผมก็รู้สึกว่าผมถูก overrated เกินไปว่า โอ้ ซุงแต่งเพลง ซุงเป็นหัวหน้าวง แต่ในการทำงานจริงมันไม่ได้มีแค่เพลง โอเคเพลงมันหนักสุดก็จริง แต่หลังจากเพลงแล้วผมไม่ได้ทำอะไร ไม่ได้คิดอะไรเลยครับ เรื่องชะตากรรมหลาย อย่างของวงเป็นแอ๊ปกับบาบูน อย่างบาบูนจะคอยดูเรื่องคิวงาน การรับงาน ค่ารถ ค่าตัว อันไหนคุ้มไม่คุ้ม อันไหนถูกเอาเปรียบ จะแก้ปัญหาพวกนี้ยังไงเพราะบาบูนมีประสบการณ์ในการทัวร์กับ Lomosonic มา มันจะรู้ว่าจริง แล้วร้านมันจ่ายได้  ร้านควรจะให้สิ่งนั้นสิ่งนี้เรา หรือจริง เราสามารถบอกได้ว่าเราต้องการเตียงแบบไหน คือสมมติว่าผมไม่มีคนระวังหลังให้ ก็จะกลายมาเป็นว่าเรายิ่งเหนื่อย

วงมีส่วนร่วมในการคิดมิวสิกวิดิโอเพลง ตัวประหลาด ยังไงบ้าง

ว่าน: เป็นการปล่อยวางที่สุดแล้วในการทำวง ถ้าเมื่อก่อนนี่ไม่มีทางปล่อยเลย อย่างความสุขนี่ พวกเพลงที่กว่าจะมาเป็นแบบนี้พวกเราอยู่ทุกกระบวนการ คอมเมนต์ทุกกระบวนการ แล้วพอคอมเมนต์เยอะมันก็จะมีปากเสียง เหมือนไปทับไลน์เขา แต่อันนี้คือปล่อยที่สุดละ เพราะความความจริงเราชัดเจนในโรลของมัน อยากได้ภาพของวง อยากให้คนได้เห็นหน้าตาของวงเพราะเราหลบมาตลอด พอมาถึงจุด นึงมาคุยกันว่าเรามาทำเพลงมันก็เป็นเซเล็บแบบนึงแต่ไม่ยอมขายหน้าตา (ซุง: อารมณ์แบบ มึงจะเขินเหี้ยอะไรนักหนา) ก็เลยแบบ พอละ มันผ่านยุคนั้นมาละ เลยบอกผู้กำกับว่าขอหล่อ เท่ เลย จะได้ไปต่อยอดงานอื่นได้

เราก็คุยกับก๋วยเตี๋ยว (จตุพงศ์ รุ่งเรืองเดชาภัทร์) บอกว่าอยากได้หล่อ เท่ ผสมกับให้มีเนื้อเรื่องให้คนครุ่นคิดด้วย จะอยู่ดี มาเดินหล่อเท่ตลอดไม่ได้ แต่ทีนี้ผลงานที่ออกมา ผู้กำกับเขาก็ชอบเรื่องนี้แล้วมาเสนอ เราก็ชอบกัน แต่ไม่ได้ลงไปคลุกคลี

ซุง: อย่างความรักนี่ผมไม่ได้นอนเป็นอาทิตย์เลย แต่ต้องเสริมนิดนึงว่าไอ้ที่เราปล่อยเนี่ย ไม่ใช่เราปล่อยปละละเลยนะ คือก่อนที่เราจะปล่อยก็จะมีการนัดคุยกันก่อน ให้ค่ายส่งเรื่องไป เตี๋ยวบอกว่าอยากทำเพราะรู้จักวงอยู่แล้ว คือสิ่งเหล่านี้มันก็พิสูจน์ว่าอย่างน้อยเขาก็รู้จักเราอยู่แล้ว เขาไม่ทำในสิ่งที่เราไม่ได้เป็นหรอก แม้กระทั่งทีมงานทุกคนทำให้เราเชื่อใจ เชื่อในรสนิยมว่าเขาจะพาเราไปในทางที่ถูกต้องได้ มันก็เลยสามารถทำให้เราปล่อยได้ แต่ถามว่ามาถึงปุ๊บปล่อยจอยเลยไหม ไม่ใช่ มันต้องเลือกคนที่ใช่ก่อน พอเขาใช่แล้วเราก็ไม่ต้องไปอีดิตเขาแล้ว

แล้วแต่ละคนจะทำแบบนางเอกในมิวสิกวิดิโอหรือเปล่า (ใครยังไม่ได้ดูก็ดูตรงนี้ได้จ้า)

ซุง: (หัวเราะ) รู้หรือเปล่านางเอกทำอะไรตอนจบ

ว่าน: รู้ mv ที่เราชอบเนี่ยเพราะมันมองได้สองฝ่าย แต่คนอาจจะคิดว่านางเอกเลวร้าย ลองคิดดูดิเหมือนเราเกิดมาในโลกนี้แล้วโดนอะไรยึดอยู่ ซึ่งก็เข้าใจว่ามันเป็นความรับผิดชอบของเรา แล้วคน นั้นก็ต้องทุกข์มาก แทนที่เขาจะไปทำอะไรได้อีกตั้งหลายอย่าง ซึ่งอันนี้มันก็เป็นเรื่องในชีวิตจริงของเราด้วย ส่วนพระเอกเราก็เข้าใจว่าชีวิตแม่งแย่ กลายเป็นแมลงสาบ มันขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ว่ามันเป็นไง สมมติว่ามีคนรักของเราโคม่าอยู่ที่โรงพยาบาล เราตัดสินใจที่จะถอดปลั๊กหรือไม่ถอดปลั๊ก มันคงจะยากเหี้ย เอาไงดี เขาอาจจะฟื้นขึ้นมาก็ได้ แต่ถ้าเขานอนมาสามปีแล้ว คือถ้ามาถามเราตอนนี้อะเราบอกไม่ได้

ซุง: เอาจริงนะผมว่าคนเราสมมติรักอะไรสักอย่าง ใครสักคน หรือรักวง ในตลอดช่วงชีวิตมันเสียสละได้ มันทำได้ทุกอย่าง แต่การที่คนคนนึงตัดสินใจในขั้นตอนสุดท้ายว่าจะทำเพื่อตัวเองไม่ได้หมายความว่าที่ผ่านมาเขาไม่ได้เสียสละอะไร ไม่ได้หมายความว่าที่ผ่านมาเขาไม่เคยรักเลย หรือที่ผ่านมาเขาเป็นคนเลว แต่ต้องตัดสินใจเพื่อตัวเองได้แล้ว

แอ๊ป: ผมมานึกได้ว่าผมเคยมีเหตุการณ์ใกล้เคียงกับใน mv เราเคยจักรยานล้มแล้วหน้าเละไปครึ่งหน้า (ว่าน: มึงก็ยังหล่ออยู่นะ/ ซุง: มันก็มีแผลเป็นนิดนึงปะ) เป็น แต่ตอนนั้นเรามีแฟนอยู่ไง แล้วแค่ตอนนั้นเขาเอาข้าวมาให้ผมยังน้ำตาไหลเลย แต่ถ้ามาคิดว่าถ้าเป็นเราในตอนนั้นเราจะทำยังไง เพราะคำถามนี้ยากมาก สำหรับผมถ้าแทนว่าผมเป็นพระเอก เคยล้มหน้าแหกยังลำบากใจแทนเขาชิบหายเลย ผมว่าต้องอยู่ในเหตุการณ์นั้นจริง ไม่งั้นคิดไม่ได้ ปัจจัยอย่างอื่นรอบข้างมันเยอะเหี้ย ให้การตัดสินใจทำอะไรแบบนี้

บาบูน: งั้นก็สรุปเลยครับว่ามันไม่สามารถบอกได้หรอก (แอ๊ป: มึงเอาโคตรง่ายเลย) ก็จริงปะล่ะ ถ้าเรามองแบบนี้ทุกอย่างก็สอดคล้องกับที่ทุกคนบอก ว่าถ้าถึงจุดนี้ เหตุการณ์ทั้งหมดมันเป็นปัจจัย ทั้งเรื่องจิตใจ ความรู้สึก อนาคตที่เรามอง เรื่องหลาย อย่างมันมาเป็นองค์ประกอบว่าเราจะทำหรือไม่ทำ

ซุง: ผมว่ามีอีกประเด็นนึงคือ เวลาเราเห็นเพื่อนเรามีแฟน แล้วอีกฝั่งนึงโคตรเหี้ย แต่ทำไมเพื่อนเรายังทนอยู่ เราเป็นคนนอกเราจะคิดอย่างนั้น แต่ไอ้ที่เขาทำอย่างนั้นเขามีหลายอย่างถ่วงดุลอยู่ เช่น ช่วงเวลาที่มีให้กัน สิ่งที่สะสมกันมาตลอดเวลาที่คบกัน เราไม่มีทางเข้าใจเขาได้ถ้าเกิดเราไม่อยู่ในนั้น

ว่าน: แต่ถ้าถามว่าจะยิ้มแบบนางเอกตอนจบไหมคงไม่ทำ (หัวเราะ) เดี๋ยวผมกลับไปดูอีกรอบว่ายิ้มยังไง ที่ถือเงินแล้วแบบ (ทำหน้ายิ้มล้อเลียน)

แล้วแต่ละคนมีพฤติกรรมประหลาดหรือเปล่า

ว่าน: 18+ ครับ

ซุง: พูดง่าย ว่าเรื่อง 18+ พี่ว่านประหลาดหมด รสนิยมแม่งแปลกหมด

บาบูน: ชอบเอาต์ดอร์บนดาดฟ้าอะไรงี้ปะ (หัวเราะ) เอาจริงถ้ามองตั้งแต่เด็ก ผมเพิ่งเห็นคอนเทนต์ว่าสมัยที่เราเป็นเด็กประถม เราจะเลี่ยงการไปเขาห้องน้ำถ่ายหนัก เพราะเพื่อนจะล้อเว่ย มันคือเรื่องจริง คือผมเป็นคนแบบไม่รู้ลำไส้สั้นหรือเปล่าแต่ว่าบ่อยมาก (แอ๊ป: แล้วเพื่อนจะบอกว่า เฮ้ย บาบูนไปขี้เว้ย ) ใช่ แบบ เอาละ มึงหายไปนาน กลับมาโดนล้อ จุด นั้นเรามองว่ามันเป็นเรื่องใหญ่มาก มันกลายเป็นตัวประหลาด

แอ๊ป: ไม่รู้ดิ ของเราบางทีมีการแสดงออกบางอย่างที่ประหลาด แบบออกมาเองเรื่อย เล็ก น้อย เป็นบ่อยด้วย อยู่ดี ทำหน้าเหยเก อย่างตอนเป็นไซนัสอะ

ว่าน: เออ อันนี้ประหลาดละ เวลาไปซ้อมกันอยู่ดี ทำหน้าอย่างเงี้ย (ทำหน้าเบ้ ย่นจมูก) เพราะมันไม่อยากให้ขี้มูกมันไหลอะ เราแบบ มึงทำเหี้ยอะไรของมึงเนี่ย

มาอยู่ค่าย Holy Fox ได้ยังไง

ซุง: เขาถามผมว่า กำลังจะเปิดค่ายใหม่กัน สนใจไหม แล้วถามในสายโทรศัพท์ว่า เป้าหมายการทำเพลงของเราคืออะไร แล้วก็ถ้ามีการต้องมาแก้เพลงหรือปรับเพลงกันด้วย โอเคไหม ผมบอกว่าถ้ามาคุยกันอะ โอเค แต่ถ้าเป็นการฟังเพลงแล้วสั่งกลับมาว่าแก้ตรงนั้นดิ๊ แก้ตรงนี้หน่อย ผมไม่เอา ก็กลายเป็นว่ามันก็ได้อยู่ที่จะทำงานด้วยกัน หลังจากนั้นก็เลยมีการเข้าไปคุยกันหลายรอบ พี่ติณ Old Fashioned Kid ก็รู้จักกันอยู่แล้วครับ เป็นรุ่นพี่มหิดล เขาเป็นสามีพี่มณ คือพี่มณ กับพี่โอ Room 39 เปิดโปรเจกต์นี้ขึ้นมาภายใต้ LoveIs อยากได้วงที่มีดนตรีแปลกใหม่หน่อย เป็นทางเลือกนิด แต่เพลงยังฟังง่ายอยู่นะ ซึ่งมันก็ตรงกับที่เราจะทำอยู่แล้ว

ใน bio ที่ส่งสื่อ เขียนมาว่า Mattnimare คือวงที่เป็น cinematic rock 

ซุง: ความจริงผมก็เพิ่งเห็นนะ แต่เอาจริงผมชอบนะ (ว่าน: มันดูยิ่งใหญ่) มันคือแบบภาพยนตร์ปะ คือผมชอบฟังสกอร์หนังอยู่แล้ว และผมรู้สึกว่าตอนผมทำดนตรีก็คิดว่า ดนตรีเป็นเพลงประกอบให้กับอะไรบางอย่าง ให้กับเนื้อเพลงก็ได้ หรือผมยังเคยไปอัดซีนของหนังที่ผมชอบ รื้อเพลง แล้วทำเพลงใหม่ใส่ลงไป เออผมเป็นคนสนใจเพลงประกอบภาพยนตร์อยู่แล้ว ซึ่งเราไม่ได้คิดว่าจะเอามาใช้กับวง แต่มันเหมือนเป็นการสะสมไว้แล้วทำเพลงเรื่อย จนพี่ที่เขียนข่าวให้เขาคงตีความเราเป็นอย่างนั้น ก็คิดว่าถ้าอย่างนั้นก็ถูกแล้ว

ว่าน: มันก็ออกมาเรื่องการแสดงสดนะ ที่ทำให้ตรงนั้นชัดขึ้น เพราะเมื่อก่อนเราเล่นร้านไง แล้วเป็นครั้งแรกที่เหมือนมีพี่มาเสริมว่าเราต้องคิดโชว์นะ จะมาเล่นเพลงต่อเพลง ๆๆๆๆ ไม่ได้ มันต้องมีขึ้นลง ช้าเร็ว ตั้งแต่นั้นมาเราเลยใช้วิธีนี้มาคิด เพราะคนดูเขาก็ตั้งใจมาเสพ เราก็ต้องพาให้เขาไปให้สุด จมดิ่งสุด แล้วก็ขึ้นสุด เราก็วาดเป็นกราฟเลยว่าการโชว์ของเรามันจะเป็นยังไง

ก่อนหน้านี้ได้ร่วมงานกับคนไต้หวันด้วย

แอ๊ป: มันเหมือนเป็นโปรเจกต์แลกเปลี่ยนวัฒนธรรม เท่าที่รู้ คือเราไปเล่น แล้วเขาก็มาเล่นเหมือนกัน แต่เราไม่ได้ไปดู

บาบูน: ตอนแรกเขาจะมาเล่น Cat Expo กับเรา แต่สุดท้ายไม่ได้เล่นเพราะว่าเราไม่ได้เล่นเหมือนกัน

ว่าน: แล้วโปรเจกต์มันเหมือนล้มเลิกไปกลางคัน ก็เลยไม่ได้ต่อยอด ไม่งั้นมันจะมีเขามาเล่น แล้วเราก็ไปเล่นที่นู่นสลับกันไปเรื่อย ซึ่งอันนั้นเป็นอะไรที่ปั่นป่วนชีวิตและมันกระชั้นมาก แล้วผมว่าสำหรับตัวผมเองคิดว่าเราทำกันลวก ไปหน่อย เพราะเวลาที่เขาให้มันน้อยมาก (ซุง: เฮ้ยแต่ผมไม่ลวกนะ! ผมใส่เต็มนะ (หัวเราะ)) เข้าใจ แต่วันนั้นเรามีเวลาคุยกันกี่ชั่วโมงเอง (ซุง: เรายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราต้องทำเพลงด้วย)

แอ๊ป: ครั้งตอนนั้นเรารู้แค่ว่าไปเล่นที่ไต้หวัน เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องทำเพลง คือเขาบอกว่า เออ เดี๋ยวบ่ายนี้มีทำเพลงนะ (ซุง: ไปห้องซ้อมกัน)

บาบูน: ไม่ใช่บ่ายด้วย คือเราเล่นกับเขาเสร็จใช่ปะ กินข้าวปุ๊บ พาไปห้องซ้อมหรือห้องอัดไม่รู้ อยู่ใต้ดินอะ อยู่ยาวจน 4-5 ทุ่มแล้วกลับไปที่ใกล้ ที่พักเพื่อคุยต่อ ทุกอย่างแม่ง blank ว่าเรามาทำอะไรกันวะ นึกว่าเล่นเสร็จแล้วแฮปปี้ ไม่คิดว่าต้องมาเจออะไรแบบนี้

ซุง: แล้วเหมือนตอนนั้นถ้าจะให้เราทำเพลงอะ คือถ้าอยากได้เพลงเป็นมาสเตอร์ คือต้องมีคอม มีอุปกรณ์นั่งกดกลองอะไรกัน เพื่อให้มันเรียบร้อยอะครับ ไม่ใช่ถือกีตาร์กันเข้าไปแป๊ป คนละตัวในห้องซ้อมแล้วจะอัดมายังไง ผมจะเอาไฟล์กลับไปทำที่ไทยได้ยังไง มันวุ่นวายมาก ก็เลยทำเท่าที่ได้ ก็คือ เราก็อัด iPhone ไว้ แจมกัน 2-3 ชั่วโมง แล้วเลือกท่อนที่ชอบไว้ แล้วผมก็เอาอันนั้นมานั่งทำที่ไทยอยู่ดี แต่ถ้าไม่แจมกันก็ไม่ได้นะ ต้องแจมอยู่ดี แต่เราแค่แบบ ทำไมไม่บอกกันก่อนวะ

แล้วตอนไปเล่นที่นู่นเป็นยังไงบ้าง

ว่าน: ดี คนมาฟัง ตอนแรกแบบตกใจเลย เป็นคนมีอายุหน่อย เข้ามานั่งแล้วก็มีหูฟังมา ไม่ได้ยืนฟัง เป็นโต๊ะกลม เหมือนร้านอาหารจีน

ซุง: ทีท่ามันเหมือนจะไม่เวิร์ก แบบ มึงไม่ชอบกูรึเปล่าวะ แต่พอเล่นเสร็จคนเข้ามาชมแล้วก็ซื้อของที่เราขนไปขายหมดเลย

ว่าน: เลยรู้ว่าวิธีการเสพเพลงเขาเป็นแบบนี้ (ซุง: ชอบก็คือชอบในใจ) แล้วเขาก็พาไปดูร้าน พวกไลฟ์เฮาส์ทั้งหลายแหล่ ก็เป็นร้านกาแฟที่คนเข้าไปนั่งดู เงียบมาก

แอ๊ป: ตอนนั้นเป็นงานอะไรไม่รู้ แต่เขานั่งกันเรียบร้อยหมดเลย แต่หลังเก้าอี้ทุกตัวมียกทรงแขวนอยู่ แบบ อะไรวะ (หัวเราะ) เป็นกิมมิกของร้านที่เราก็งง ดู contrast ดี

บาบูน: โซนหนัก เขาก็เป็นที่เมืองไถ่จง มีร็อก เมทัล ในเมืองน้อยมากที่จะเป็นซีนอย่างนี้ ส่วนมากเป็นอะคูสติก หรือ F4 เทือก นั้นไปเลย แต่เล่นสดผมก็เคยเจอนะ แค่มันก็ไม่ได้ขนาดนั้น

ตั้งแต่ปล่อยเพลง รอยต่อ มาจนถึงทุกวันนี้ เรามองซีนดนตรีเปลี่ยนไปยังไงบ้าง

ว่าน: โดยรวมตั้งแต่ตอนนั้นมา เราดิ้นกันมาเองตลอด ก็เห็นหลาย วงว่าทุนมันเข้ามาไม่ถึงสำหรับดนตรีทางเลือก ทุกวันนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้นอยู่ วงดี มีใหม่ เยอะมาก เพราะหลายปัจจัย หนึ่ง ต้องไปหากินละ ทำวงต่อไม่ได้ละ หรือทะเลาะกันในวง สำหรับเราเราเสียดายหลาย วง

แอ๊ป: ผมคิดคล้าย พี่ว่าน แต่ผมยังมองว่ามันคล้าย กับการที่เราออกมา เหมือนตอนนี้ทุกอย่างมันเข้าถึงง่ายแล้ว  แต่ที่เรารู้สึกดีอย่างนึงคือมันมีคนที่ทำสำเร็จในช่องทางนี้อย่าง ภูมิ วิภูริศ หรือ Gym and Swim แบบมันสำเร็จแล้ว วงการก็โตขึ้นอย่างเห็นได้ชัดว่าเราเป็นที่รู้จักจากชาวต่างชาติมากขึ้น แต่ถ้าถามถึงอุตสาหกรรมเราเราก็รู้สึกว่าคล้าย กันอยู่ พวกแพลตฟอร์มใหม่ ยังไม่มีอันไหนที่ทำออกมาแล้วสำเร็จแบบบูม อย่าง Macrowave ก็ใช่ คือมันยังอยู่ในช่วงทดลอง กลายเป็นว่าแกนน่าจะคงอยู่ไปอีกพักใหญ่ ในอุตสาหกรรมนี้

ซุง: ถ้าเรื่องเกี่ยวกับอุตสาหกรรม หรือธุรกิจเนี่ย ผมว่า มันก็ดีนะที่มีวงเยอะมาก หลายแนว แต่สิ่งที่ผมไม่ชอบคือพอวงมีเยอะ ผู้ประกอบการให้มูลค่ากับวงหนึ่งวงน้อยเกินไปครับ เช่น การเอาวง 20-30 วงมารวมในกระชังเดียวกันแล้วให้เขาทำเพลงโดยไม่จ่ายเงิน ถ้าเกิดว่ามึงดัง กูก็ได้ประโยชน์ แต่ถ้ามึงไม่มา กูก็ไม่เป็นไร กลายเป็นว่าคุณค่าของวงหนึ่งวงถูกมองด้อยค่าเกินไปครับ ซึ่งมันก็ช่วยไม่ได้ครับ แต่เราโชคดีที่เราได้ทำงานอยู่กับค่ายเพลงที่มองวงเป็นหนึ่งวงที่เขาต้องเต็มที่ ไม่ใช่แค่เรื่องเงิน เราสัมผัสได้ครับว่าไม่ใช่ปล่อยให้เราวัดดวง มันไปด้วยกันจริง แต่ผมไม่รู้ว่าวงอื่นคิดยังไง ผมเชื่อในการมองตัวเองอย่างมีมูลค่า แต่ไม่ใช่การหลงตัวเองนะ เราต้องชัดเจนว่าเพลงของเราไม่ใช่ขยะ ไม่ใช่เพลงที่ปล่อยไปให้คนฟังรอบเดียวแล้วจบกัน แม้ความจริงจะเป็นอย่างนั้นแต่เราไม่มีสิทธิจะคิดอย่างนั้น เราเป็นคนทำ ต่อให้วันนี้มันจะยังไม่เกิดมูลค่านั้นก็เถอะ แต่มันจะไม่มีทางเกิดถ้าเราไม่ไปมองอย่างนั้นก่อน สรุปผมไม่ชอบการที่ผู้ประกอบการมองวงเป็นเหมือนเบ็ดตกปลาที่เช่ามาหลาย อันแล้วตกปลาไป ผมว่ามันทำให้วงที่ดี แทนที่จะถูกมองเห็นมันไม่ผุดขึ้นมาซักที มันอยู่ในกระชังนั้น

บาบูน: เหมือนเป็นเสือนอนกินอะ คือผมเจอรุ่นน้องแล้วมันบอกว่า มันก็ดูดีแหละ แต่เบื้องลึกแล้วมันคือ เขาทำอะไรไม่ซัพพอร์ต ด้วยตัววงเองผมก็บอกว่ามาทำเองดีกว่า อาจจะไปได้ไกลกว่า อันนี้มันเหมือนต้องมารอคิวกันหรือเปล่า ซึ่ง ถ้ามาชั่งน้ำหนักแล้วคือค่ายมันก็ได้กับได้ ตัวศิลปินไม่เสมอตัวก็จมอะ

ซุง: ถ้าพูดให้ตรงหน่อยคือ ค่าย ผู้ผลิต ผู้ลงทุน ชอบบ่นว่าคนให้คุณค่าดนตรีน้อย เพราะเขาฟังฟรี แต่จริง แล้วคือคุณนั่นแหละที่ให้มูลค่ากับศิลปินน้อยไปตามนั้นเอง มันกลายเป็นว่าถุยน้ำลายขึ้นฟ้าครับ

แล้วตอนนี้ก็มีค่ายเล็ก เกิดขึ้นมาเยอะมากเลยนะ

ซุง: ผมโอเคกับการมองศิลปินเป็นสินค้านะครับ เพียงแต่ว่า ผู้ประกอบการก็ต้องรู้ด้วยว่าสินค้าของเขาเป็นประเภทไหน เช่น long term ต้องทำไปยาวนานถึงจะเก็บผลผลิตมันได้ หรือวงนี้มันเป็นไวรัล เป็นเทรนด์ คุณจุดสองเพลงแล้วเก็บกินเลย ถ้าเข้าใจกันตรงนี้มันก็จะไปด้วยกันได้ จะไม่มีปัญหาว่า เฮ้ย ทำไมมึงยังไม่มาวะ เอ้า ก็กูเป็น long term ไง ไม่ได้เป็นกระแส ผมว่ามองเป็นสินค้าดีแล้ว มันจะได้มีพื้นฐานธุรกิจที่มันเอื้อ

จำเป็นไหมว่าต้องมีซาวด์เหมือนกันทั้งค่ายเพื่อให้เป็นภาพจำ

ซุง: ผมว่าเมื่อก่อนถ้าพูดค่ายนึงเราจะได้ยินซาวด์เลย แต่ถ้าถามว่ามันแข็งแรงกว่าไหม แข็งแรงกว่า แต่ถามว่าจำเป็นไหม ผมว่าไม่จำเป็น คือผมตอบในมุมศิลปินไงครับ คือถ้าผมเข้าค่ายค่ายนึงแล้วผมต้องไปเป็นโทนเดียวกับเขา ผมก็ไม่อยากทำใช่ไหม แต่เขาอาจจะไม่ได้บังคับหรอก ถ้าเกิดเข้าไปแล้วโดนจูนไปเรื่อย สมมติผมเข้า LoveIs แล้วผ่านไปสองปีเพลงผมกลายเป็น easy listening อะ ผมก็ไม่ชอบ คำตอบของผมคือไม่จำเป็นจะต้อง unity ขนาดนั้น ทำวงนั้นให้เป็นวงนั้นดีที่สุด

การได้รางวัลเป็นตัวการันตีความสำเร็จของตัวเองหรือยัง

ซุง: โน! สำหรับผมถ้ายังจำความรู้สึกตอนนั้นได้ ตอนที่ได้รางวัลปึ๊บ พี่ ที่เป็นศิลปินหรือพี่ที่ทำงานเบื้องหลังเดินมาตบไหล่ผมแล้วบอกว่า มึงได้รางวัลละ เป้าหมายอันต่อไปของมึงคือ เงิน อันนี้คือสิ่งที่คนรอบตัวพูดกับผม ถ้ามึงยังฝักใฝ่ในสายทางนี้ต่อไปเรื่อย มึงก็จะเป็นวงที่ได้รางวัลไปอีก 10 ปี แต่ว่าไม่มีตัง ถ้าอยากจะดีดตัวเองให้ดีดตอนนี้เลย เพราะเราพิสูจน์เรื่องโน่นนี่นั่นไปได้แล้ว สมมติได้รางวัลมาแล้วนั่งทำเพลงแบบ โคตรเท่ มันไม่ท้าทายแล้ว มันผ่านไปแล้ว

ว่าน: เพื่อนผมบอกว่าตอนได้รางวัลมึงควรจะดีใจนะ เพราะมันเห็นเราอยู่ตรงนี้มาตลอด แล้วอัลบั้มที่ได้รางวัลกว่าจะมาเป็นอัลบั้มก็รู้แล้วว่ามันต้องผ่านอะไรมาบ้าง

ซุง: แต่ว่าการถือรางวัลเป็นเรื่องยาก ถ้าเกิดว่าเราภูมิใจเกินไปก็น่าหมั่นไส้ แล้วถ้าเราไม่ภูมิใจกับมันเลยก็เท่ากับเราไม่ให้เกียรติคนที่ให้รางวัลเรา ตอนผมได้รางวัล ไอ้เบสท์ ณัฐสิทธิ์ เป็นเพื่อนผม มันได้สุพรรณหงส์อะไรมาละ มาบอกผมว่าเฮ้ยดีใจด้วยได้รางวัล พี่ต้องดีใจ เขาให้พี่ ไม่ต้องรู้ว่าเขาเป็นใคร แต่เขาเป็นคน ถ้ารู้สึกตะขิดตะขวงใจอะไร อย่าขัดดวงตัวเอง อย่าไปขัดดวงจนทำให้รู้สึกว่ารางวัลไร้ค่า รางวัลมีค่า

นิตยสาร Vice บอกว่าเพลงร็อกตายแล้ว รู้สึกยังไงกันบ้าง

ว่าน: อันนี้ผมเห็นจากชาวยุโรป ใช่ เทรนด์โลก แต่คราวนี้พวกการไปฟังอะคูสติก ดนตรีสดทั้งหลายที่เป็นกีตาร์แบนด์เบา มันมีกลุ่มคนที่ฟังแล้วสะอิดสะเอียน เราตกใจมาก ลูกครึ่งคนดำฝรั่งเศสพอเห็นกีตาร์ร้องในร้าน เขาทำหน้าเบ้แล้วเดินออก แล้วมีคนแบบนี้เยอะมากเลยนะ สำหรับเราคือมันจะมีกลุ่มคนที่ชัดเจนขึ้น แต่มันไม่มีทางตายหรอกเพราะยังมีคนที่หลงรักมันอยู่ มันแค่จะน้อยลง

ซุง: ผมว่าเพลงร็อกจะตายไม่ตาย ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนจะฟังหรือไม่ฟัง มันขึ้นอยู่กับคนทำไม่ทำมากกว่า คนที่บอกว่าตัวเองเป็นร็อกอะครับ ยังทำอยู่ไหม รู้ว่ามันจะตาย มันไม่เป็นที่นิยม ยังจะทำอยู่หรือเปล่า ถ้าทุกคนพร้อมใจจะไม่ทำเพราะมันไม่ฮิตแล้ว นั่นแหละตาย แต่ถ้าเกิดว่าเรายังทำอยู่มันไม่ตายหรอกตราบใดที่มันมีเพลงร็อกออกมา ถ้าเกิดว่าไม่นิยมไม่ได้แปลว่ามันตายครับ ผมก็คิดเรื่องนี้แหละว่าเพลงร็อกมันดรอปลง เมื่อก่อนเราทำเพลงที่ผสมอิเล็กทรอนิกเข้าไป แต่พอผมรู้ว่าเพลงร็อกกำลังดรอป สิ่งที่ผมทำคือรีบทำเพลงร็อกเลย ไม่ใช่เพื่อให้ตัวเองสำเร็จนะ แต่เพื่อให้มันไม่ตาย ผมปล่อยมันตายไม่ได้เพราะลึก แล้วเราก็คือคนร็อก

แอ๊ป: ผมว่าจริงเพราะว่าถ้าไม่มีคนทำต่อ มันก็ไม่เกิดแรงบันดาลใจ ไม่เจอตัวอย่างแล้ว ก็ต้องทำต่อไปให้คนรุ่นหลังทำต่อ

ซุง: ไม่มีตะขาบปล่อยไปหาทายาท แล้วผมว่าถ้าคิดอย่างเงี้ย ยังไงก็ไม่ตาย ผมไม่สนหรอกว่าเทรนด์โลกจะหมุนมาเมื่อไหร่ก็แล้วแต่ แต่ประเด็นคือเราเป็นคนร็อก เราจะทำอยู่หรือเปล่า

แล้วที่บอกว่าจะทำเงิน จะทำยังไง

ซุง: ไม่รู้ฮะ แต่แค่ว่า ในใจเราไม่ได้มีมิชชันว่าจะทำเพลงที่เท่ที่สุดเพื่อจะเอารางวัลอีกแล้ว คือเราไม่มีทางรู้หรอกว่าจะทำอะไรแล้วได้ตัง ไม่งั้นก็รวยไปแล้ว แต่เราแค่ก็ไม่ wanna be ที่จะทำเพลงแบบนั้นละ ไม่หยีเพลงแนวอื่นแล้ว

ว่าน: ก็การที่เรามาทำกับพี่มณ พี่โอ มาอยู่กับ LoveIs ก็ถือว่าเราชี้เป้าแล้วแหละว่าจะทำอะไร

ซุง: แต่คำว่าซุง ถึงเวลาเอาเงินแล้วมันไม่ใช่แบบ อุ้ว เรามาเอาตังกัน มันคือการเปลี่ยนทัศนคติข้างในครับ เช่น ตอนที่เราไม่สนใจเรื่องพวกเนี้ย เราก็ใช้ชีวิตปกติ แต่พอเราคิดเรื่องพวกนี้ ก็พยายามเข้าใจคนอื่นมากขึ้น สมมติผมไปกินแมคโดนัล ก็ลองฟังว่ามันเปิดเพลงอะไรกันวะ สนใจสิ่งรอบตัวมากกว่าการอยู่กับตัวเอง ใช้ชีวิตแบบดูว่า เอ๊ย คนนั้นคิดอย่างนั้น อีกคนคิดแบบนี้ ผมเจอคนหน้าใหม่ที่ไม่รู้จักผมก็ให้เขาฟังเพลงผมแล้วถามว่าเขารู้สึกยังไง คือมันไม่ใช่การเอาเงิน มันคือทำให้สมองเราใหญ่ขึ้น เรามองเห็นมากขึ้นกว่าแค่เห็นตัวเอง ซึ่งจะเป็นที่มาของการได้เงินไหมผมไม่รู้ แต่ว่ามันท้าทายครับ เราเคยพยายามทำความเข้าใจตัวเองมาจนตันแล้ว มันไม่สนุกแล้ว ตอนนี้การพยายามเข้าใจคนอื่นสนุกกว่า

ฝากผลงาน

แอ๊ป: ก็ฝากเพลง ตัวประหลาด กับเพลงต่อ ไปด้วยครับ เพราะเชื่อว่ามันน่าจะใหม่เหมือนกัน เพราะเราย้ายที่ด้วย ยังไงมันก็มีสีใหม่เติมเข้าไปในเพลงของเราอยู่แล้ว

ซุง: แล้วก็เป็นการย้ำคำพูดของผมว่าเพลงร็อกจะตายไม่ตายอยู่ที่คนทำไม่ทำรึเปล่า เพลงต่อไปจะเป็นคำตอบนี้ครับ 

Facebook Comments

Next:


Montipa Virojpan

อิ๊ก เนิร์ดดนตรีที่เพิ่งกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนตอนอายุ 25 ชอบเดินเร็ว นอกจากขนมปังกับกาแฟดำแล้วก็สามารถกินไอศกรีมกับคราฟต์เบียร์แทนมื้อเช้าได้