LOSERPOP วงหน้าใหม่ ที่นำเสนอดนตรีป๊อปสดใสได้แบบไม่เลี่ยนหู
- Writer: Montipa Virojpan
- Photographer: MILK
LOSERPOP เป็นหนึ่งในวงดนตรีป๊อปหน้าใหม่ ที่กำลังได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก จากผลงานสามเพลงก่อนหน้าที่ปล่อยมาแล้วทั้ง ยังรอ ทางที่ดี และ เคย กับแนวดนตรีฟังสบาย แต่มีสไตล์การเรียบเรียงที่น่าสนใจ และสามารถเขียนเนื้อร้องได้อย่างสละสลวยแบบที่หาได้ยากในยุคสมัยนี้
ล่าสุดพวกเขาได้รับการทาบทามจาก MILK แพลตฟอร์ม artist development จากค่าย What the Duck ที่อาสาเป็นพี่เลี้ยงให้ LOSERPOP พร้อมกับปล่อยเพลง ดาวตก ออกมานำเสนอสีสันดนตรีที่ต่างออกไป ตอนนี้ก็น่าจะเป็นเวลาอันสมควรที่เราจะชวนวงดนตรีวงนี้มาแนะนำตัวให้แฟน ๆ ได้รู้จักกันมากขึ้น
สมาชิก
อั้ม กีตาร์
ทัช กีตาร์
กอไผ่ เบส
แพรว คีย์บอร์ด
ปืน กลอง
แบงค์ ร้องนำ
ก่อนจะมาทำวง Loserpop อั้มเคยอยู่ชมรมดนตรีของมหาวิทยาลัยมาก่อน และชวนเพื่อน ๆ คนอื่น ๆ มาเล่นด้วยกัน
อั้ม: TU Folk Song มันเป็นชมรมที่เล่นดนตรีที่ใช้เครื่องดนตรีอะคูสติก และเล่นในรูปแบบอะคูสติกครับ แต่ก็มีการรีอะเรนจ์โชว์ที่อาจมีเครื่องดนตรีไฟฟ้าออกมา คือจะทำยังไงให้เข้ากับดนตรีอะคูสติกที่สุด นี่คือสิ่งที่แตกต่างจากการอยู่ชมรมดนตรีชมรมอื่น ๆ
นอกเหนือจากการเล่นดนตรีเราก็ได้เจอคนที่ชอบอะไรเหมือนเรา ได้แลกเปลี่ยนเรื่องเพลง หรือรสนิยมดนตรี ได้ค้นพบดนตรีใหม่ ๆ อย่างสมาชิกวงเราก็มีคนที่อยู่ TU Folk Song ก็เป็นคนที่ชอบอะไรเหมือน ๆ กัน คือ แพรว แบงค์ กอไผ่ ส่วน ปืน กับทัช ก็เป็นเพื่อน ม.ปลาย
เริ่มเขียนเพลง Loserpop ตั้งแต่อยู่ในชมรม
อั้ม: ใช่ครับ แต่ตอนทำ Loserpop พวกเราไม่ค่อย active กับชมรมเท่าไหร่ ตอนนั้นผมกับกอไผ่มือเบส เราทำวงไปเล่นดนตรีประกวดตอนอยู่มหาลัย เราอยากทำโชว์ที่แตกต่างจากดนตรีแนวอื่น ๆ ในมหาลัย (FJZ: ตอนนั้นส่วนใหญ่เล่นอะไรกัน) ส่วนใหญ่เป็น r&b ฟังก์ ร็อก ครับ ตอนนั้นเราเองก็เล่น Toe (หัวเราะ) เราพยายามทำอะไรก็ได้ที่เรารู้สึกว่าอยากทำจริง ๆ เราเล่น math rock ลากยาวไป Red Hot Chili Peppers แล้วมาจบที่ David Bowie เลยทำให้รู้สึกว่าเราเป็นคนชอบทำอะไรที่ไม่เหมือนคนอื่นเท่าไหร่มั้ง พอได้ทำวงดนตรีกับเพื่อนเลยรู้สึกว่า Loserpop คือหนึ่งผลลัพธ์ที่ได้จากการประกวดตอนนั้นครับ ทำให้เราอยากทำดนตรีต่อ
ทำไมถึงมาทำเป็นป๊อป
อั้ม: ก่อนจะมีเป็น Loserpop ก็ออกแนวฟังไม่ได้เหมือนกันนะ (หัวเราะ) ก็คือฟังยากครับ ตอนแรกผมทำกับกอไผ่แค่สองคน ตอนนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับแนวดนตรีที่พวกผมฟังด้วย ผมฟัง Homeshake เลยทำให้ Loserpop ก็ไม่ใช่วงที่เหมือนตอนนี้เลย การมีสมาชิกคนอื่นเข้ามามันเป็นการทำให้วงเป็นรูปเป็นร่าง จับต้องได้มากขึ้น อยู่ในกึ่งกลางที่ผมกับทุกคนรับได้ แล้วก็ไม่ได้รู้สึกอายที่เล่นมันออกไป
ทำไมตั้งชื่อว่าตัวเองเป็น ‘วงป๊อปขี้แพ้’
อั้ม: ตอนนั้นคิดง่าย ๆ คือผมกับกอไผ่เป็นเด็กเรียนไม่เก่ง (หัวเราะ) เรียนจบช้า เหมือนเราเป็นเด็กเดินเตร็ดเตร่ในมหาลัย ดู loser ๆ แล้วก็ตั้ง pop ละกัน คนชอบจำแนกว่าดรีมป๊อป อินดี้ป๊อป อันนี้เราเลย Loserpop ละกัน ง่าย ๆ เลย ละเรียกเข้าปากด้วย
สังเกตว่าคนในบ้านเราชอบเรียกตัวเองว่าเป็น loser คิดว่าตัวเองไม่เอาไหน ไม่คิดว่ามันจะทำให้วงยิ่งดูไม่ดีหรอ
อั้ม: ผมเป็นคนที่ไม่คิดว่า loser เป็นคำที่แย่ด้วยมั้ง มีหลายคนบอกว่า ‘ตั้งชื่อแบบนี้ไป ทำเพลงไป สักพักถ้าไปได้ไกลขึ้นมา รู้ไหมว่าชื่อวงแบบนี้มันจะกลับมาเชปงานเราให้มันดูแย่ลง’ ผมก็ไม่รู้ ณ ตอนนี้ แต่ผมยังโอเคอยู่ แล้วก็ไม่ได้จะเปลี่ยนด้วย ไม่ได้รู้สึกแย่ เป็นชื่อที่น่ารักดีออก
ทัช: ก็รู้สึกเหมือนกันว่ามันไม่ใช่คำด่า หรือคำที่ไม่ดีอะ สองคำรวมกันมันเข้าปาก ดูน่าสนใจ และไม่ได้คิดว่ามันจะเป็นกรอบที่เราต้องแต่งเพลง loser ตลอดไป มันเป็นแค่ชื่อของพวกเรา 6 คนที่ใช้เรียกร่วมกัน
ปล่อยเพลงแรกเมื่อตุลาคมปีที่แล้ว รู้สึกยังไงบ้างที่กระแสตอบรับเป็นไปในทางที่ดีมาก มีคนจับตามองอยู่ประมาณนึง
แพรว: เหนือความคาดหมายเหมือนกันนะ เราไม่ได้คาดหวังอะไรแต่แรกแล้ว พอมีผลตอบรับดีก็ดีใจ (ทัช: ดีใจแบบงง ๆ)
เป็นเพลงที่แต่งเก็บไว้หรือเปล่า
ทัช: ส่วนมากอั้มทำพาร์ตดนตรีมาเยอะพอสมควร ดนตรีล้วน ๆ ไม่มีเนื้อร้อง แล้วพอมารวมกันจริง แบงค์ก็เอาไปฟัง แล้วเอาไปใส่เนื้อร้อง อันไหนดูเข้าท่าสุดก็ปล่อยเพลงนั้นออกมา
คนเป็นนักร้อง ถ้าเขียนเพลงเองได้ ก็จะถูกโบ้ยให้เขียนเนื้อเองเสมอ
แบงค์: มันก็คล้ายคนคุยกัน พี่มีภาษาพูดของพี่ ผมมีภาษาพูดของผม พอเราเลือกที่จะถ่ายทอดอะไรให้คนฟังสักอย่าง หรือสื่อสารอะไรบางอย่าง มันก็จะเป็นคำที่เราชอบพูดออกมา มันจะมีประโยคที่ไม่เหมือนกับคนอื่น ผมอาจจะเข้าใจไปเองนะ ว่านักร้องส่วนใหญ่ ถ้าเขาแต่งเพลงได้ มันจะรู้สึกเข้าปาก และสื่อสารได้ตรงจุด แต่เรื่องราวเนี่ยเวลาผมแต่งเพลง ก็จะมีพี่ ๆ ในวงทุกคนช่วยดู
เป็นคนอ่านหนังสือเยอะ หรือได้อิทธิพลการเขียนเนื้อเพลงมาจากไหน เพราะคำในเพลง Loserpop มีความสละสลวย
แบงค์: เอาจริงผมขี้เกียจอ่านหนังสือมาก สมมติอยากรู้เรื่องสารคดีอะไร ผมจะไม่อ่าน จะเปิด YouTube ดูทุกเรื่อง แต่ไม่อ่าน หนังบางทีก็ขี้เกียจอ่านซับ ภาษาอังกฤษเราก็ไม่ได้เก่งอยู่แล้วก็ฟังพากษ์ไทยไปเลย
แต่เหมือนพ่อผมเป็นนักแต่งกลอนมั้ง เขาแต่งกลอนแล้วชอบบอกว่าคำนี้มันลงวรรค แล้วสละสลวย พ่อผมเป็นคนเข้มงวดเหมือนกันนะ ตอนเขาอายุ 20 เขานั่งอยู่ตรงระเบียง เห็นรถชนกันเขาก็แต่งกลอน เขาเคยแต่งกลอนเก็บไว้เป็นปึก มาเอามานั่งอ่าน แต่งจีบแม่ แต่งจีบแฟนเก่าเงี้ย เราก็จะติดการใช้คำลงวรรณยุกต์ สังเกตดี ๆ Loserpop จะพูดตรง ๆ แต่บางเพลงจะมีอะไรลึกกว่านั้น หรือดูความหมายดี ๆ มันจะซ่อนอะไรอยู่นิดหน่อย
เริ่มเขียนเพลงตอนไหน
แบงค์: ตอน ม.2 ตอนนั้นก็มีวงดนตรีสมัยม.ต้น แต่อันนี้ไม่ได้จะแต่งให้วง นะแอบชอบคนนึง อยากระบายออกมา ไม่เอาแต่งกลอนละ แต่งเพลงดีกว่า นั่งอยู่คนเดียวเรื่อยเปื่อย ทำ ๆๆ เสร็จ วิ่งไปหาพี่สาว เหมือนเด็กที่แสดงความยินดีกับตัวเองอะ ‘เจ๊ ๆ เพลงแรกในชีวิตได้แล้ว’ เราก็ร้องให้ฟัง เจ๊ก็มองหน้า แบบ ไม่ได้สนใจอะไรเราเลย (หัวเราะ) (FJZ: แล้วได้ส่งให้คนที่แอบชอบไหม) ไม่ ผมแต่งแล้วเก็บไว้
ดนตรีได้อิทธิพลจากอะไรบ้าง
อั้ม: ตอนนั้นเราอยู่กับเพื่อน ก็จะเล่นเพลงที่อินกับเพื่อน แต่พอมาอยู่กับตัวเองจริง ๆ ก็ได้ฟังดนตรีที่หลากหลายมากขึ้น เรากลับไปฟังแบบกับเพื่อนก็ไม่ค่อยชอบ พวกนิวเวฟเก่า ๆ เราก็ไม่ได้ฟังแล้ว แต่อย่าง Jakob Ogawa, Rex Orange County, Sunset Roller Coaster ดรีมป๊อปทั่วไป ฟังแล้วก็ได้แรงบันดาลใจ มันเห็นภาพ และรู้สึกว่าเราทำได้ เลยค่อย ๆ เปลี่ยนตัวเองจากซีนร็อกมาเป็นแนวนี้ทีละนิด ๆ (FJZ: เพลงที่เข้าแก็ปวงที่ยกมาที่สุดก็เพลง ดาวตก นะ) เป็นเพลงที่แต่งเสร็จมานานแล้ว เหมือนเป็นเพลงแรกที่ทำ ตอนนั้นทำด้วยความอยากได้ฟีลนั้นเลย
ทัช: พอเป็น ยังรอ ทางที่ดี เคย มันดูเก่งขึ้น (หัวเราะ)
ที่มาของแต่ละเพลง
อั้ม: ยังรอ (Still) ตอนนั้นผมฟัง Erlend Øye, Fleetwood Mac พวก country beat แล้วเราก็รู้สึกว่าอยากมีเพลงแบบนั้นเป็นของตัวเองบ้าง ประจวบกับช่วงนึงที่พวก Prep เอาบีตแบบนี้มาใช้ ผมเลยติดกับบีตนี้ ฟีลแบบนี้ เลยพยายามโปรดิวซ์เพลงบีตแบบนั้นขึ้นมา แต่จนแล้วจนรอดทางคอร์ดมันก็จะกลับมาที่ตัวเอง ว่าเราก็คือคนไทย เมโลดี้เราก็จะไทยนิดนึง มันก็จะผสมปนเปกันไป ได้พี่ทัชมาช่วยทางคอร์ด
แบงค์: เนื้อหาตอนนั้นผมนั่งอยู่ออฟฟิศแล้วแต่ง งานไม่ทำ (หัวเราะ) เวอร์ชันแรกเศร๊าเศร้า เหมือนอยากจะลืมใครสักคนนึง ตอนนั้นผมก็อกหัก มันก็มีเนื้อเพลงที่สมบูรณ์อะนะ แต่พอไปซ้อมก็ยังไม่พอใจ
วันนึงเลยรวมตัวกัน คือเพลงนี้มันแต่งยากด้วยแหละ ผมก็เริ่มตัน พี่อั้มเลยโยนเมโลดี้มาให้ คิดฮุกก่อนกันเลย เหมือนพี่อั้มหรือใครสักคนร้องขึ้นมา ‘ก็ทำได้เพียงแค่เฝ้ารอ พอเจอ เธอแค่ในฝัน’ ทั้งวงช่วยกันแต่งจนจบฮุก แล้วพี่อั้มก็วางเมโลดี้ท่อนอื่นให้หมดเลย แล้วบอกให้แบงค์ไปใส่ ๆ ทำมาหน่อย ว่าถ้าเกิดฮุกมันเล่าเฝ้ารอมาแล้ว จะเล่าอะไรต่อให้มันจบเพลง
ตอนนั้นซีเรียสมากว่าเราชื่อวงว่า Loserpop เราเป็นคน loser หรอ เลยจินตนาการตัวเองว่าเป็นฝ่ายที่ต้องยอมเขา ยังไงก็จะรอ เขามีแฟนแล้ว เราก็จะรอเขาใช่ไหม ถ้าเขามาปรึกษาความรักกับเรา ของเขากับคนนู้น เราก็จะเป็นผู้ฟังที่ดีได้ใช่ไหม และจะรอเป็นคนสุดท้ายเลยได้ใช่ไหม ก็เลยแต่งออกมาเป็นเนื้อหาอย่างที่ได้ฟังกันทุกวันนี้
ทางที่ดี (Butterscotch)
อั้ม: ตอนนั้นแต่งเพลงนี้มาให้แฟน ก่อนที่จะเป็นแฟนกัน แต่งจีบหญิงอยู่ แต่งดนตรี ใส่เนื้อร้อง ขึ้นเสร็จไม่กี่วันเอามาฟังได้ทั้งวันทั้งคืน เนื้อหาประมาณก็จะรอเธอ เป็นเนื้อร้องเวอร์ชันตัวเองที่จะไม่มีใครได้ฟังเด็ดขาด ตอนนั้นอิน บอล จารุลักษณ์ ด้วยแหละ
ทัช: ผมเคยได้ยินแว่ว ๆ แต่ไม่ใช่แบบนี้ (หัวเราะ) แต่มันเพราะมาก เลยบอกอั้มว่าขอเพลงนี้มาทำเถอะ
อั้ม: ก็เลยขอแฟนที่ตอนหลังคบกันแล้วอะ เอามาเปลี่ยนเนื้อร้อง ให้เป็นหน้าที่แบงค์ มีเรื่องแบบนี้บ้างมั้ยครับแบงค์ (หัวเราะ)
แบงค์: ตอนนั้นไปซ้อมปกติ เพลง ยังรอ เวอร์ชันเก่าอยู่เลย แล้วพี่อั้มก็บอกอยากทำเพลงที่สองว่ะ เขาก็โยนเมโลดี้ที่พี่ทัชแต่งไว้ ท่อนฮุก เราก็นั่งอยู่มุมห้องซ้อม ร้องออกมา ‘รับความเป็นจริงไว้ ทุกความรู้สึกเก็บมันเอาไว้’ จนได้จบฮุก ทิ้งอันนี้ไว้ 8 เดือน ไม่ได้แต่งต่อ ผมก็พยายามแต่งทุกวันนะ เราก็คิดจากโจทย์ที่ให้มา แต่เพลงแม่งเศร้าว่ะ จะเล่ายังไงดี ก็นั่งญาณ แปลงร่างเป็นตัวคนที่ต้องแอบคุย ถ้าสังเกตคำพูดคำจาในเพลง ทางที่ดี มันจะมีความขี้น้อยใจอยู่นิดนึง ก็แต่งตอนนั้นครึ่งชั่วโมง จบ ด้วยความที่มันเป็นเพลงของคนที่เป็นชู้กัน แล้วรู้ตัวว่าตัวเองเป็นมือที่สาม ก็ไม่ต้องมีเหตุผลอะไร ทุกอย่างเธอเองก็รู้ดี มันเป็นทางที่ดีถูกแล้ว ก็แต่งจนจบ ชื่อเพลงก็ให้พี่อั้มคิด
อั้ม: ตอนแรกจะไม่มีชื่อไทยด้วย แต่ก็ยอมมีด้วยก็ได้ (ปืน: ทะเลาะกันในร้านสุกี้) (แพรว: คิดชื่อไทยกันนานมาก)
ทัช: ก่อนหน้านี้มีอีกดราฟต์นึง แต่เราไม่เอา ‘ฝืนไปให้ไกลห่าง ไปทั้งน้ำตา แม้เรายังรักกัน’ โอ้โห อะไรวะ จะอ้วก (หัวเราะ)
เพลงสมัยใหม่ทำไมชอบเขียนเนื้อกับทำนองให้ contrast
อั้ม: รู้สึกเหมือนกัน แต่เราไม่ได้ตั้งใจนะ
ทัช: เหมือนเราทำดนตรีมาก่อน ก็ไม่ได้นึกถึงว่าจะเป็นเพลงเศร้าหรือเพลงไม่เศร้า ถ้าแบงค์ไปใส่เนื้อเป็นเพลงเศร้า และถ้ามันเพราะ ก็เอาเลย
เคย (Stranger)
อั้ม: ผมอยากให้มันมีเพลงไม่ใช่ดนตรีกีตาร์นำบ้าง อยากให้เป็นเสียงคนนำ ผมก็เลยแต่งลูปฮัมอันนี้ให้เพื่อนฟัง ตอนแรกมีเพลงอื่นจะทำก่อนหน้านี้ด้วยแต่เลือกไม่ถูกว่าจะทำอะไร แต่พอมีเพลงนี้ขึ้นมาเราลัดคิวให้ทุกเพลงเลย ‘ทุกคนพักทุกอย่างแล้วมาทำเพลงนี้ให้เสร็จกันเถอะ ไปคริสต์มาสกันเถอะเพื่อน ๆ เราจะให้มันเป็นเพลงส่งท้ายเพลงเก่า’
ผมทำดนตรีเพลงนี้เสร็จ แล้วอยู่ดี ๆ ชื่อ Stranger ก็เข้ามาทันทีในหัว มันมีความรู้สึกว่าแต่งให้ใครก็ได้ที่เคยเป็นคนแปลกหน้ากัน ฟังแล้วคิดถึงคนที่เคยเจอ เคยรู้จักกัน แล้วตอนนี้เลิกรู้จักกันไปแล้ว หรือมีเหตุผลไหนก็ตาม ฟังแล้วมันจะนึกถึงความทรงจำเก่า ๆ แค่ดนตรี และผมเอาเรื่องเหล่านี้มาส่งต่อให้แบงค์ มันเหมือน miracle ลงตัวมาก ๆ รู้สึกถึงคำเดียวกันหมดเลย
ทัช: อั้มส่งมาให้ฟังครั้งแรกผมฟังก็รู้สึกว่า มันนึกถึงแสงไฟหลอดเล็ก ๆ เยอะ ๆ ตอนเย็น ๆ โบเก้ ๆ ก็บอกว่าต้องปล่อยช่วงคริสต์มาสละ เราก็รีบทำเลย วันต่อมาก็มาห้องอั้ม ฟังรอบเดียว ฮัมทำนองสดเดี๋ยวนั้น สองเทคก็ได้เลย แล้วส่งให้แบงค์ ทางนั้นก็เนื้อเลย จบเร็วมาก ทำแบบคิดไม่เยอะ เอาความรู้สึกนำอย่างเดียวเลย เพลงอื่นทำ 7-8 เดือนกว่าจะเสร็จ เพลงนี้มาเลย ไม่ถึงอาทิตย์อะ
อั้ม: ตอนนั้นผมคุยกับพี่ตาล ภักดี เป็นชมรม กับพี่ที่ Welfare ถามว่าฟังแล้วคิดถึงอะไร พี่ตาลบอก ‘คิดถึงคำว่า จูบลา ก็จริงอะ จูบสุดท้ายมันก็น่าจดจำพอ ๆ กับจูบแรกป่าววะ’ พอได้คำนั้นเสร็จแล้วก็คิดว่ามันเป็นไอเดียที่ดีนะ ทุกคนชอบจำจูบแรก แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าจูบสุดท้ายมันจะคือตอนไหน แล้วมันก็สำคัญพอ ๆ กัน ก็ส่งไอเดียนั้นให้แบงค์ไปแต่งต่อ
แบงค์: ทางพี่อั้มตั้งชื่อมาว่า เคย (Stranger) ก็คิดว่าเพลงชื่อเคย น่าจะมีคำว่า ‘เคย’ เยอะหน่อย ‘แด่เธอที่เคยพบ ในคืนใต้แสงจันทร์ นั่งมองดาวด้วยกัน และฉันเคยกอดเธอไว้’ แล้วจะเคยอะไรต่อดี ทำนองเพลงมันบังคับให้มันลงสระอุ๊น ก็ต้องเป็น ‘เคยคุ้น กลับอบอุ่นหัวใจ’ มันเลยเหมือนเป็นเพลงคิดถึงความหลังที่โรแมนติก กลายเป็นว่าจะเศร้าก็ไม่เศร้า โรแมนติกสุดมั้ยก็ไม่ แต่มันลงตัว จริง ๆ มีหลายดราฟต์ แต่อยากให้จบวันนั้น แล้วเพลงมันบรรยากาศกลางคืน ก็เลยแต่งตอนกลางคืน จนจบ แล้วส่งให้เขาตอนนั้นเลย 3-4 ทุ่มวันนั้น เปลี่ยนคำนิดหน่อย จนกลายมาเป็นเพลงปัจจุบัน
ปืน: ส่วนมิวสิกวิดิโอมันเกิด miracle เหมือนกัน
ทัช: ตอนแรกสุดเลย เราเริ่มรู้สึกเหมือนกันว่า เฮ้ย รถมาสองเพลงแล้วว่ะ ตัวต่อไปผมกะจะพายเรือกันละ (หัวเราะ) อันนี้พูดจริงนะ ก็มีคนนั่งบนเรือ ลอยไปเรื่อย ๆ แล้วเราก็เล่นดนตรีกันบนอีกเรือ
อั้ม: แต่ปืนมันไปญี่ปุ่น มันก็ถามว่าเอาถ่ายที่นู่นไหม ก็เลยเอา (ทัช: ตัวหน้าพวกผมจะนั่งซาเล้งกันแล้ว (หัวเราะ)) รถพ่วงข้าง ๆ อะ
ปืน: เหมือนตอนพี่ทัชบอกว่าฟังแล้วรู้สึกถึงแสงไฟ บรรยากาศนั่นนี่ แล้วความบังเอิญคือช่วงก่อนจะปล่อยเพลง ก็คุยกันว่าเพลงนี้ mv ต้องมาว่ะ ว่าจะให้เพื่อนที่ญี่ปุ่นทำเพราะตอนนั้นจะไปญี่ปุ่นพอดี คือก่อนหน้านั้นเกริ่นไว้นิดนึงแล้วกับ ดอม (Domu) คนที่กำกับให้ Scrubb, temp. เรื่อง mv เอาเพลงให้มันฟังแล้ว อยากได้เกี่ยวกับบรรยากาศแบบนั้น แต่พอไปญี่ปุ่นจริง ๆ แล้วผมไปทำงาน ก็ลืมไปเลย
จนตอนนั่งรถกลับจากชิบะ ดอมปลุกผมขึ้นมาดูพลุ ผมก็นึกขึ้นได้ว่ามี mv จะให้มันทำ ก็คุยกันต่อว่าทำอะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับบรรยากาศ มีคนเดินเรื่องซักคนหรือสองคน เดินเหงา ๆ หรือไปที่ที่เขาคุ้นเคย นึกถึงเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้น กลับมาเคาะโปรดักชัน สร้างไลน์กรุ๊ปกันเรียบร้อย จู่ ๆ วันถ่ายน้องมันมาเปลี่ยนคอนเซ็ปต์หมดเลย
ทัช: ตอนแรกที่ญี่ปุ่นมันจะมีเทศกาลไฟอะไรสักอย่าง จะเอานางเอกไปเดินชมไฟ ถ่ายโบเก้แบบที่มีภาพในหัว
ปืน: เออ อยู่ดี ๆ ก็เปลี่ยนกัน ไอ้ดอมบอกมันอยากได้การนั่งรถอ้อมเมือง ผมแบบ ฮะ ยังไงวะ คือก็เปลี่ยนจากการเดินตามถนน ไปเป็นบรรยากาศในรถแทน นึกถึงการเล่าเรื่องผ่านรถคันนั้น มันเดินทางผ่านความทรงจำ ทุกที่ที่เราเคยเจอคนคนนึง พวกผมก็ไม่ได้อยากไป strict อะไรมาก ก็คิดว่าปล่อยเลยละกัน แต่พวกผมก็รู้แหละว่า ไอ้เหี้ย mv มีรถอีกแล้วหรอวะ (หัวเราะ) ก็ไม่เป็นไร ปล่อยน้อง พอเป็นญี่ปุ่นมันก็น่าจะสร้างความแตกต่างได้อยู่มั้ง (อั้ม: เหมือนเซ็นทรัลเวิร์ลเลยอีเหี้ย (หัวเราะ) ล้อเล่นนะ ตอนแรกจะเป็นรถกระบะด้วย แต่ญี่ปุ่นมีกฎหมายว่าห้ามนั่งหลังกระบะ เลยไม่ได้นั่ง) ก็มานั่งหลังรถแทน แล้วนางเอกตอนแรกก็จะไม่ใช่คนนี้ด้วย เหมือนคิวเขาไม่ได้ accident เลยเปลี่ยนมาเป็นคนนี้ ชื่อนัตสึอะไรสักอย่าง ก็เลยปล่อยน้องจัดการเรื่อง mv ไปเลย ปรากฏออกมาก็โอเค ผสมกับเพลงแล้วมันก็ไปด้วยกันหมดอย่างที่พี่เคยเขียนถึง คือทุกอย่างมันลงตัว ทั้ง mv เพลง เนื้อร้อง ทุกอย่าง มันก็เลยดี เกิดจากความบังเอิญอะ ถ้าวันนั้นผมไม่ตื่นก็อาจจะลืมไปแล้ว (หัวเราะ)
ตอนหลังมาอยู่กับ MILK ได้ยังไง
ปืน: Miracle อีกแล้ว
ทัช: ผมกับปืนมาห้องอั้ม ทำเพลงหรืออัดอะไรกันสักอย่าง ทีนี้กำลังกลับกัน แล้วคุยกับปืน
ปืน: คุยกันว่าอยากทำงานกับพี่บอลว่ะ (บอล Scrubb ผู้บริหาร What the Duck) ผมกับพี่ทัชก็สนิทกับแก ถ่าย Scrubb แล้วรู้สึกว่าเขามีวิสัยทัศน์ เขาเก่ง ก็คิดว่าถ้ามีค่ายก็อยากทำกับพี่บอล ก็คุยกันขำ ๆ
ทัช: ถ้าอยู่ ๆ พี่บอลชวนให้ไปอยู่ดัค เงี้ย แล้ววันนั้นขี่มอไซค์กลับ กำลังจะถึงห้อง พี่บอลทักมา ‘มีแพลตฟอร์มใหม่ว่ะ สนใจไหมวะ’
ปืน: แบบ เชี้ยยย เหมือนผีหลอก พี่เขาได้ยินที่เราคุยกันหรอวะ จอดมอไซค์มองหน้าดูข้อความกัน (หัวเราะ) ก็เลยมาบอกเพื่อน ๆ กัน แล้วก็เข้าไปคุยเลย
พอมาอยู่แล้วเป็นยังไงบ้าง
อั้ม: มันก็ทำงานง่ายขึ้นนะครับ จากตอนแรกที่เราจะเอาเวลาไปทำเพจ ทำทุกอย่างกันเอง ต้องติดต่อดิจทัล สตรีมมิงเอง โปรโมตเอง พอมี MILK เข้ามาเขาก็ช่วยตรงนี้ ช่วยโปรดักชันทำเพลง ทำมิวสิกวิดิโอ แล้วสิ่งที่เราอยากได้ในหัวก็ไม่ได้ไกลกว่าความเป็นจริงเท่าไหร่ มันก็บอกไม่ได้เต็มปากนะว่าเป็นค่าย เพราะหลาย ๆ ข้อจำกัดมันก็ไม่ใช่ แล้วเราอยากทำอะไรก็ได้ ความสร้างสรรค์ในการทำเพลงมันก็ไม่ได้ลดลง (ทัช: เขาไม่ได้มาบังคับอะไรเรา) เหมือนให้คำแนะนำมากกว่า พวกเราไม่ค่อยรู้อะไร เราใหม่มากในวงการ ก็จะไม่รู้ planning การปล่อยเพลง เขาก็จะแนะนำสเต็ปเป็นงี้ ก็ให้ปล่อยให้กระแสเป็นงี้ไปก่อน มองในแง่ธุรกิจมากขึ้น จริง ๆ ผมว่ามันก็สนุกนะครับ เป็นเหมือนอีกเกมที่เราสามารถทำได้ แล้วก็พยายามทำความเข้าใจมันอยู่
ทัช: เมื่อก่อนเราโพสต์ไปเรื่อย ลงรูปเล่นไปเรื่อย แต่ตอนนี้เราทำอะไรก็คิดแบบหวังผลมากขึ้น
อั้ม: ผมก็คิดเหมือนกันว่าเพลงแรกที่เราจะทำหลังเพลง ดาวตก อะ ก็คิดมาก่อนที่จะเข้า MILK แล้ว แล้วตอนหลังที่เข้า MILK แล้วก็มาถามตัวเองว่า อยากทำเพลงให้มันแมสขึ้นไหม ผมก็ไม่ได้รู้สึกว่าอยากทำอย่างนั้นนะ ทุกอย่างมันก็ยังเหมือนเดิมในการทำเพลง ค่ายก็ไม่ได้เชปอะไรเราเลย มันเป็นความรู้สึกของตัวเองล้วน ๆ
แพรว: แค่มีคนมาซัพพอร์ต เป็นพี่เลี้ยง
แล้ววงอื่นที่อยากเข้า MILK ต้องทำยังไง
พลอย ทีม MILK: ทาง What the Duck จะเป็นคนเลือก แล้วก็จะเปิดโอกาสให้ส่งเดโม่มาทางอีเมลค่ะ
พอมาเป็นเพลง ดาวตก ไม่ทำ mv รถแล้ว เป็นราพันเซลผมสั้นแทน
อั้ม: เราอยากจะลองทำงานกับคนหลาย ๆ แบบดู ดนตรีมันไม่ใช่รสชาติแบบสามเพลงก่อนแน่ ๆ แล้วผมเองก็เป็นมือกีตาร์อีกวงด้วย (Laika) ก็ได้ตุลย์—ณัฐดนัย ป้อมบ้านต้า ที่ทำวงด้วยกัน มาช่วยกำกับ mv ให้หน่อย อยากได้กลิ่นที่มันมีความฝรั่งมากขึ้น ตุลย์ไม่ว่างเลยชวน กิ๊ม—ธนรัมร์ เปรมบุญ ที่ทำ Hello Filmmaker มาช่วยแทน แต่บอกก่อนว่าพล็อตราพันเซล ผู้กำกับคิดหมดเลย เขาเอาเพลงเราไปฟัง แล้วค่อย ๆ ย่อย ค่อย ๆ คิดทีละนิด เขายังถามพวกเราเลยว่า ‘พี่ จะเอารถด้วยไหม’ ไม่เป็นไร สามเพลงแรกไม่ได้ตั้งใจ (หัวเราะ) ไม่ต้องฝืน แบบ เอาไหม บ้านแบงค์มีเวสป้ามาขี่ป่าว เราแบบ ไม่เป็นไร ๆๆๆ
แต่ละคนเคยทำอะไรที่ดู loser มาบ้าง
ทัช: เป็นคนไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองอะครับ แล้วก็จะคิดว่าตัวเองไม่เก่งตลอด แต่จริง ๆ อาจจะเก่งมากก็ได้
อั้ม: เฮ้ย ๆๆๆ เดี๋ยวมึง เรามีความเป็นเป็ดอะ ทำได้หลายอย่าง เราสามารถทำเพลงได้ก็จริง แต่ถ้าให้ไปทำงานที่ซับซ้อนมากขึ้นก็ยังไม่มั่นใจอยู่เหมือนกัน ก็คิดว่า แบบนี้น่าจะ loser ปะ
ปืน: เพื่อนไม่ค่อยส่งบอลให้ตอนเตะบอล อันนี้เรื่องจริงพี่ คล้าย ๆ กัน เวลาไปเตะบอลทีม 5 คน แต่พอเพื่อนคนที่ 6 มา มองหน้ากัน คือกูต้องเป็นคนออกให้มึงใช่ไหม อะ ก็ได้ โดนเพื่อนแกล้ง ถอดกางเกง นั่นนี่ ผมประวัติโชกโชนมากตอนเด็ก มันก็เลยหล่อหลอมให้เป็นคนแบบนี้ (หัวเราะ)
กอไผ่: ผม loser เรื่องออกกำลังกายทุกอย่าง ตั้งแต่เด็กมีคนส่งบอลให้แล้วผมเตะวืด เขาก็ว่าผม ตอนโตขึ้นลูกบาสก็ลอยมาโดนหัวอะ ผมเลยรู้สึกว่าทุกครั้งที่ลงสนามกีฬา โคตร loser เลยอะ
ทัช: ผมก็เป็นแบบกอไผ่ เล่นกีฬาประเภททีมไม่ได้ (อั้ม: ผมก็เล่นไม่เป็น) ถ้าเล่นก็ต้องเล่นปิงปอง อันที่เล่นคนเดียว พวกเล่นน้อยคอยนาน เล่นไปแปปเดียว รออีกตั้งนานกว่าจะวนมาตาตัวเองอีก
แบงค์: เคยแข่งบาสแล้วชูตเข้าฝั่งตัวเองอะ (ทัช: อันนี้ไม่ใช่ละ) (อั้ม: มึงโง่)
ทำอะไรนอกเหนือจากการเป็นนักดนตรี อย่างปืนเป็นช่างภาพ Gundercuss ต้องมาถ่ายวงเองไหม
ปืน: บ้างเล็กน้อยครับ (อั้ม: ออกจากวงแล้วมาถ่ายให้เต็ม ๆ เลย (หัวเราะ)) เปลี่ยนไปเป็นช่างภาพประจำวง Loserpop แทนเลยมั้ย? ก็มีถ่ายเล่น ๆ พี่ทัชก็เป็นช่างภาพเหมือนกัน ก็ไปถ่ายงานฟังใจบ้าง พวกเราก็อยู่เบื้องหลังกันมาก่อน เราก็จะเก็บดีเทลพวกนี้ มองเห็นภาพรวมค่อนข้างละเอียด ช่วยกันคิดว่าจะเป็นยังไง เซฟตรงไหนดี อะไรควรทำไม่ควรทำ
ทัช: ผมถ่ายงานราคาถูกกว่าปืน (หัวเราะ) (ปืน: สมมติได้เล่นงานฟังใจ ผมคุยกับพี่ทัชแล้วว่าเดี๋ยวขึ้นไปเล่น แล้วลงมาถ่ายต่อ) ไม่มีรูปวงตัวเอง (หัวเราะ) เหมือนเป็นทั้งคนหน้าและหลังเวทีมาโดยตลอด อะไรที่เราคิดว่าจะทำได้ พอมาทำจริง ๆ ก็ทำไม่ได้ เพราะมันมาอยู่คนละจุดกัน
แพรว: แพรวก็เป็นช่างภาพเหมือนกันค่ะ แต่ไม่ได้อยู่คอนเสิร์ตเยอะ จะเป็นรายการทีวี พวกงานวิดิโอตัดต่อ
กอไผ่: ผมเป็นโปรแกรมเมอร์ครับ เทสต์พวกซอฟต์แวร์ (FJZ: อนาคตจะทำแอพของ Loserpop ให้แฟน ๆ เล่นกันไหม) ผมคิดอยู่นะ ได้ดูคอนเสิร์ต Whal & Dolph ของ What the Duck อะ ก็อยากทำบ้าง สมมติเราไปเล่นที่ไหนแล้วให้แอพมัน interact ตามที่เราเล่น
แบงค์: ตอนนี้ผมเป็นเจ้าหน้าที่การตลาดของดอยคำครับ (อั้ม: เสียงมึงเปลี่ยนเลยนะ) มีผลิตภัณฑ์ใหม่ครับ เป็นน้ำสควอตช์เข้มข้น (ทัช: มึงมาขายของอะไรเนี่ย)
อั้ม: ผมทำกราฟิก UX UI จ้างได้นะครับ
แล้วพอ lockdown แบบนี้ทำอะไรกัน
ทัช: พยายามทำเพลงต่อไป พอปลายปีก็อยากรีบทำอัลบั้มให้เสร็จ
อั้ม: ตอนแรกเราบอกว่าอยากปล่อย EP แต่เขาบอก ‘หยุดก่อนไอ้น้องช่วงนี้ รอทีเดียวดีกว่า’
หมดจากโควิด จะทำอะไรเป็นอย่างแรก
ทัช: กินหมูกระทะ
ปืน: นวดครับ
แพรว: ไปไหนดีอะ ปกติอยู่บ้านอยู่แล้ว ชีวิตไม่ค่อยเปลี่ยนเลย
อั้ม: อยากเล่นดนตรีมาก ๆ ครับ
กอไผ่: อยากไปดูคอนเสิร์ตครับ
แบงค์: อยากไปเล่นงานฟังใจครับ
ฝากผลงาน
แบงค์: ก็ขอฝากเพลง ดาวตก เพลงใหม่ล่าสุดของพวกเรา Loserpop ความจริงก็เป็นการเปลี่ยนบรรยากาศของสามเพลงทั้งหมดก่อนหน้านี้ครับ ก็อยากให้เรา enjoy กันบ้าง ช่วงโควิด อยู่บ้าน บางคนเครียดไม่ได้เจอเพื่อน ก็ฟังเพลง หรือหากิจกรรมยามว่างทำ แต่อย่าลืมดูแลสุขภาพด้วย นอกจากเพลงใหม่ล่าสุดก็ขอฝากเพลงเก่า ๆ ด้วย อาจจะมีคนที่ยังไม่ได้ฟัง ก็ลองฟังทั้ง ยังรอ ทางที่ดี เคย ครับ และอย่าลืมซื้อน้ำสควอตช์ดอยคำครับ
อ่านต่อ
loserpop ทำให้คืนสุดเหงาในโตเกียวกลับอบอุ่นอีกครั้งใน ‘เคย (strangers)’
‘ทางที่ดี’ (Butterscotch) งานป๊อปที่ดือ จากวงป๊อปที่ดือ loserpop
วอนให้ดวงดาวสุกสกาวอย่างเธอ ตกลงมาใกล้ ๆ กัน ใน ดาวตก (Fall) จาก loserpop