“ที่จริงแล้ว แก้มน้องนาง มันทำให้ผมจนมุมนะ..” เขียนไขและวานิช ชีวิตและรอยแผลของนักเดินทางในโลกดนตรี
- Writer: Tanaphat Kultavewut
- Visual Designer: Karin Lertchaiprasert
เขียนไขและวานิช ศิลปินโฟล์กจากเชียงใหม่ ที่เส้นทางของเขาเริ่มต้นมาจากชีวิตการเล่นดนตรีเพื่อเติมเต็มความสุขในวงสนทนาตามประสาวัยรุ่น สู่นักดนตรีกลางคืน และพุ่งทะยานสู่ศิลปินเจ้าของเพลงสุดฮิตในรอบปีที่ผ่านมา แก้มน้องนางนั้นแดงกว่าใคร, หนีห่าง, ภาพฝันในจักรวาล และอีกมากมาย จนเรียกได้ว่าผลงานเหล่านี้แทบจะเป็น ‘เพลงพลิกชีวิต’ ของเขา
มุมมองที่คนภายนอกมองเข้าไปเต็มไปด้วยความสุข รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และความจริงใจ แต่กลับมีแง่มุมที่น่าสนใจซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังความเป็นศิลปินชื่อก้องจากวงการโฟล์ก นับจากวินาทีนี้เราจะพาทุกคนไปนั่งพูดคุยกับความรู้สึกของนักเดินทางโลกดนตรี ที่ชื่อว่า โจ้—สาโรจน์ ยอดยิ่ง
—จากอดีต สู่ปัจจุบัน และปลายทางความฝันในอนาคต—
ชีวิตเป็นยังไงบ้างในช่วง COVID-19
สบายใจมาก เพราะที่จริงพวกเราจะพักกันอยู่แล้ว บอกไว้ตั้งแต่แรกว่าจะพักวงกัน ทีแรกจะพัก 3 เดือน เจอ COVID-19 พอดีเลยได้พักยาว แต่มันก็ยาวเกินไปแล้ว
ผลกระทบที่หนักที่สุดในช่วงที่ผ่านมา
มันว่างจนเราฟุ้งซ่าน ต้องออกไปข้างนอก แต่อยากออกก็ออกไปไม่ได้ ถามว่ามีเวลาแต่งเพลงไหม มีเยอะมาก แต่คิดไม่ออก เพราะว่ามันอยู่ในพื้นที่ที่เป็นสี่เหลี่ยม มันไม่ได้เห็นอะไร มันคิดงานก็ไม่ได้ เครียดบ้าง เป็นบ้า เขียนแบบที่ร้องไปง่วง ๆ
มีอะไรรออยู่ที่เชียงใหม่
ตอนที่เขาปลดล็อกให้เรากลับได้ ผมวางแผนไว้แล้วกับชาวแก๊งที่เชียงใหม่ว่าจะกลับไปทำเพลงเดือนละ 12 เพลง ที่จริงเพลงมันมีในสต็อกมาตั้งนานแล้ว เราเคยให้สัมภาษณ์ว่ามี 23 เพลง ที่เราเขียนไว้ตั้งนานแล้วตั้งแต่แรก แล้วมันก็ไม่ได้เอามาทำสักที ก็เลยจัดการให้มันเป็นอัลบั้ม 2 ไปเลย
เพลงแรกที่ทำให้ฝึกเล่นดนตรีและหันมาชอบเพลงโฟล์ก
ถ้าเป็นเพลงแรกที่ฟังแล้วทำให้มาเริ่มเล่นดนตรีกันน่าจะเป็นของ พี่พล ตอนนั้นทำงานเขียนรูปด้วยแหละ มันชื่อเพลงว่าอะไรผมจำไม่ได้… ‘ลืมดอกไม้ไว้บนยอดเขา ปีนป่ายใหม่อีกหน’ มันอยู่ในหนังสือของพี่พล—ชุมพล เอกสมญา ลูกจ่าเพียร คนนี้เป็นคนเขียน มันเป็นการถามตอบกันของกวี ที่เขาเอามาทำกันในเพลง แล้วทุกคนก็เริ่มแต่งเพลง
ง่าย ๆ คือไม่มีพื้นฐานดนตรีเลย คอร์ดแบบธรรมดา คอร์ดแบบ G มันจับยังไงวะ ก็ไปเสิร์ชดูผัง ที่เป็นรูปจุดที่เป็นช่องมีนิ้วกด อ๋อแม่งกดอย่างนี้ รู้ละ กดบอดบ้างอะไรบ้าง จนมันเป็นอย่างทุกวันนี้ เอาจริง ๆ เรื่องพื้นฐานดนตรีไม่มีเลย คือแบบได้แค่เนี้ยก็เอาแค่เนี้ยแหละ เพราะว่าอยากเล่น
แล้วไปเล่นร้านได้ยังไง
เล่นร้านนี่มันเป็นจุดเริ่มต้นของ เรย์—ประชา หลุยจำวัน (สุขเสมอ) อยู่ดี ๆ วงมัน ITSYA ได้เดินทางไปเล่นงานที่กรุงเทพ ฯ เนี่ยแหละ ร้านหลังแรกบาร์มั้ง แถวเสาชิงช้า มันไปเล่นครั้งแรก วันนั้นตรงกับวันที่มันมีเล่นร้านในเชียงใหม่ แล้วร้านนี้เขาให้เล่นเพลงแต่ง มันก็เลยคิดถึงเราว่า ‘เอ๊ย ไอโจ้มันเล่นเพลงแต่ง’ มันมีเพลงแต่งของมันนี่หว่า ให้มันไปแทนดีกว่า ตอนนั้นผมยังเรียนราชภัฎอยู่ ก็เลยลองไปเล่นแทนมันดูชั่วโมงนึง พี่เจ้าของร้านก็ให้เล่น จัดสรรเวลาให้เราทุกวันพฤหัสบดี
เพลงแรกที่เขียนขึ้นมาในวันนั้น
สิบล้อที่หายไป อาจจะเพียง เป็นเพลงแรก ๆ ที่แต่ง ก็ได้เล่นพวกนั้นซ้ำ ๆ ซาก ๆ จนมีแบบคนเดินทางมาขอฟัง เล่นให้ฟังหน่อยเพลงนี้ เหมือนเป็นชนกลุ่มน้อยที่ตั้งใจมาฟังเพลงที่เราแต่งเอง (FJZ: ตอนแต่งได้อิทธิพลมาจากอะไร) ช่วงนั้นชะตากรรมชีวิตนี่โคตรลำบากเลย หดหู่ เพลงก็เลยเป็นอย่างนี้ตลอด
หนังสือที่อ่านมีผลกับภาษาในเพลงของ เขียนไขและวานิช
ความจริงผมอ่านหนังสือน้อยมาก แต่ผมชอบอ่านเป็นประโยคสั้น ๆ บทกวีเล็ก ๆ มันอ่านง่ายและอ่านจบ แต่ถ้าเป็นเรื่อง นาน ๆ ทีจะตั้งใจอ่าน บางคำก็เอามาใช้ได้ ส่วนมากได้จากหนังจีนนี่แหละ ผมดูบ่อยมาก โคตรชอบเลย มันดีมากเลยนะครับอย่าทำเป็นเล่น หนังจีนมันจะมีบางประโยคที่พระเอก หรือคนร้ายพูดออกมาดีมาก ก็เอามาทำเป็นเพลงได้ อย่าง ‘จอมใจบ้านมีดบิน’ (House of Flying Daggers), ‘The Hero’ ก็เซนเหมือนกัน แต่อันที่มีแรงบันดาลใจจริง ๆ ผมแนะนำหนังการ์ตูนของญี่ปุ่น ‘Ghibli’ นั่นแหละ
—สหายคู่คิดที่ชีวิตผูกกันด้วยจริตทางความรู้สึก—
สังคมสมัยเรียนมีอิทธิพลในการเดินทางของ เขียนไขและวานิช
ต้นทุนชีวิตพวกเรามัน งู ๆ ปลา ๆ มาเรียนสาย ไม่เอาอะไรเลยสักอย่าง นอกคอกอะ คือเมาแฮงก์ไปเรียน ไปถึงก็ตอนเขาเลิกเรียนแล้ว เหมือนเรย์โดน อาจารย์เจอทีไรก็จะบอกว่า “อ้าว..ประชามาแล้ว ทุกคนเลิกเรียนได้ เก็บของ ทำไมถึงมาสาย” ก็บอก “ผมช่วยคนแก่ข้ามถนนมาครับ” แถไป
เด็กศิลปะมันเป็นเด็กที่จากอยู่ในรั้วโรงเรียนแบบแต่ก่อน มีห้องปกครอง มีสารวัตรนักเรียนคอยตามตอนเราเรียน พอเรามาเจอชีวิตเปิดแบบนี้เราเละตุ้มเป๊ะกันหมดเลย สุดทาง ติดเกม แต่ก็ยังแต่งเพลง ทำเพลงกันแบบเฮฮา ทำเพราะว่าเอาไว้แข่งกันในวงเหล้า ว่าใครมีเพลงเจ๋ง ๆ มาเล่นให้ฟังกันแบบ ‘แหมมึงมีเพลงใหม่หรอ ได้ กูก็แต่งได้’ แต่งกันมั่ว ๆ ตั้งใจบ้างไม่ตั้งใจบ้าง อกหักจากผู้หญิง เมาขับมอเตอร์ไซค์กลับมา เขียนเพลงด่าเขา มีหมด บางทีก็ฮาตัวเองเหมือนกันนะ ไม่ได้รู้ด้วยซ้ำว่าเพลงจากตรงนั้นจะทำให้เราเป็นแบบนี้ในทุกวันนี้
จุดเริ่มต้นของการเขียนเพลงแบบไม่รู้ตัว
ใช่ แล้วเราก็ติดเป็นนิสัยเวลาเราทำงานอะไรพวกนี้ อีกอย่างเราไม่ได้คาดหวังอะไรกับมันด้วย สุดท้ายมันกลายเป็นสิ่งที่ทำงานให้เรามีอยู่มีใช้เฉยเลย
ตอนเรียนกับตอนเล่นร้านเป็นเวลาคาบเกี่ยวกันไหม
คาบเกี่ยวกันเลย เพราะไปสายทุกครั้ง เมาอยู่ร้าน ชีวิตไม่มีอะไรดีเลย สมัยนั้นเตร็ดเตร่ เจอพวกที่มีจริตเหมือนกัน คุยกันรู้เรื่อง ทุกคนก็ส่งเสริมกัน มึงไปลองไปทัวร์อย่างนี้ดู เราก็ไป
ช่วงนั้นมันมีความสุขมาก เพราะพลังชีวิตเรามีเหลือเฟือ เราออกจากโรงเรียนมา ออกจากมหาวิทยาลัยมา เพราะเราทำตัวเองนะ จริง ๆ แล้วเราก็ไปลุยเป็นมือปืน รับหมด งานปั้น ไปวาดรูปรับจ้าง เด็กนิเทศเอาผังทฤษฎีสีมาให้ทำ จ้างเราหลักร้อย พันห้า หรือห้าพัน ก็เอามา ๆ ก่อน เดี๋ยวทำให้
—บริบทชีวิตบทใหม่ในแง่มุมที่ต่างไปจากเดิม—
สิงโต นำโชค
เราสนิทกับพี่แฟรงค์ แล้วพี่สิงโตก็ชอบผลงานเรา ได้มาเจอกัน นัดมากินข้าว กินเบียร์ เอาง่าย ๆ ก็คุยกันถูกคอ เรากวนตีน แซวแก แล้วแกก็พามาทำเพลงร่วมกัน
พี่โตเป็นคนที่เป็นเหมือนอาจารย์เลยนะ แกเก่งมาก เป็นคนเรียบง่าย สอนการใช้ชีวิต ผมดูแล้วอบอุ่นเวลาแกเขียนเพลง เรานั่งเล่นกันนี่แหละ ในวงกินกาแฟกัน เล่นกันเสร็จสักพักแกได้แล้วอะ ‘ฉันเขียนบทกวีไม่เก่ง’ อะ ลองเอาคำนี้ใส่เข้าไปดีกว่า ปุ๊บ เข้าอัดกันวันนั้นเลย ทุกคนก็รู้ว่าเรื่องจังหวะผมเนี่ย นรกมาก แกเป็นครูดีมาก แกสอนผมนับจังหวะ ผมไม่ได้ใช้นอม ผมดูมือแกจากห้องอัดที่อยู่ในห้องที่เราอัด ‘เอาเลย ไอโจ้ ท่อนเนี้ยแหละ’ เข้าไม่ถูกบ้างก็หัวเราะกัน เป็นการทำงานที่ผมชิลและสบายใจที่สุด เป็นเหมือนครูที่สอนทุกอย่างจริง ๆ
ทำไมต้องเป็น ‘บทกวีไม่เก่ง’ ทั้ง ๆ ที่ผ่านมาเพลงก็มีความเป็นกวี
เราบอกเขาไงว่าเราไม่ใช่กวี แต่เขาชอบเรียกว่าเราเป็นกวี แกเลยบอกว่า เออ ก็ลองเป็น ‘บทกวีไม่เก่ง’ เขียนบทกวีไม่เก่งแต่อยากลองเขียนให้ผู้หญิงคนนึงดู
มึงลองนึกภาพดิเวลามึงแอบชอบคนหนึ่งแล้วมึงอยากแต่งเพลง แต่ไอผู้ชายคนนั้นแม่งมันเสือกแต่งเพลงได้ดีกว่าและเท่กว่า มึงลองเอาเรื่องเล็ก ๆ เรื่องขำ ๆ ที่เราคุยกันเนี่ย มาทำเป็นเพลงดู — สิงโต นำโชค
บางทีตั้งใจมากเพลงมันก็ไม่ดี ก็เลยลองใช้อะไรก็ได้ที่มันไร้สาระมาลองทำเป็นเพลงดู ก็เลยได้ร่วมงานกับแก แต่ถ้าถึงเวลาถ้ามีใครจ้างไปเล่นจริงนี่ร้องไม่ได้นะเนี่ย ลืมแล้ว แกก็คงบอก ‘ตายห่าแล้ว เราต้องซ้อมว่ะ’ เพราะเราไม่เคยซ้อมกันเลย (หัวเราะ) เหมือนกับ แม่กำปอง อยู่ดี ๆ มีคนขอให้ผมเล่น ผมแบบ ‘ชิบหาย ไม่เคยเล่นเลยว่ะ’ มีหน้าที่ไปร้องอย่างเดียวเลยตอนนั้น แล้วก็ลืมไปแล้ว หลัง ๆ นี่เริ่มไปทำการบ้านกับพวกนี้บ่อย เพราะชอบเจอเพลงที่ไป feat. กับคนอื่นแล้วเขาชอบขอ เกมตัวเองชัด ๆ เลย
ชีวิตนักดนตรีกลางคืนตอนนั้น กับตอนนี้ที่เป็นศิลปินเต็มตัว
ยังเหมือนเดิม แต่การเจอคนในอีกรูปแบบหนึ่งมันทำให้ผมสั่นเหมือนกันนะ จริง ๆ ผมก็สั่นทุกครั้งแหละ เวลาผมขึ้นเวที มือสั่น ใจสั่น ต้องกินเหล้าให้ตัวเองนิ่งก่อน สังเกตผมจะหลับตาตลอด ไม่อยากสบตาคนฟัง ไม่งั้นผมเป๋ลืมเนื้อร้องเลย จนทุกวันนี้ก็พยายามทำให้มันชิน แต่ก็ยังประหม่าตลอด ตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่ ไม่มีความเป็นมืออาชีพเลย อย่าเรียกว่าวง เขียนไขและวานิช เป็นวงมืออาชีพนะ ไม่ใช่เลย คุณอาจได้ยินเนื้อที่มันเพี้ยน หรือว่าเพลงที่คุณเคยร้องตาม YouTube มา แต่ว่าเนื้อมันดันสลับกัน เพราะพวกเราไม่เป๊ะ โชว์พวกเรามันไม่มีที่มันมาตรฐานหรือว่าจริงจังกันเลยนะ เราจับ โอ๊ต—ณพล ประสพ (ITSYA) จับเรย์มาอยู่ด้วย เพราะจริตมันเหมือนกัน ลองมามีคนที่เป็นมืออาชีพมาอยู่กับเราดิ เขาจะแบบ ‘มึงเป็นเหี้ยอะไรกันวะแม่ง’ จังหวะพวกมึงนี่คือแบบอะไรกัน บางทีก็พูดซ้ำ เนื้อหามันก็อยู่แค่ตรงนั้นอะ การทำงาน เอาจริง ๆ เราก็บอกกันอยู่แล้วว่าเราไม่ได้คาดหวังกับเพลงมาตั้งแต่แรก แต่มันดันทำให้เรามาถึงตรงนี้
ทำไมถึงต้องเป็น เรย์ สุขเสมอ และ โอ๊ต Itsya
ที่จริงมันน่าจะสงสารผมแหละ (หัวเราะ) เอาจริง ๆ ต้นทุนชีวิตเรากับมัน เจอเรื่องเลวร้ายเหมือนกันหมด ปัญหาชีวิตครอบครัว การเรียน แล้วเราคุยกันถูกคอ มันเป็นคนชอบด่าผมเวลาผมทำอะไรผิดผมก็จะไม่สน ก็ด่าไปดิ คืออยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เรียนเป็นสิบปีแล้ว มันสอนผมเยอะมาก มันเป็นพี่ผมด้วยซ้ำ เวลาเล่นด้วยกันมันรู้นิสัยใจคอ ‘กูว่ามึงต้องเพี้ยนแน่ เดี๋ยวกูขึ้นตรงนี้ให้’
ไม่ได้ตั้งใจจะให้มันถูกเรียกว่า ‘วานิช’ หรอก มันไม่ชอบด้วยซ้ำ มันเริ่มจากที่ว่ามันบอกว่า ‘เดี๋ยวกูไปโซโล่ช่วยมึงก็ได้ถ้ามึงไม่ไหว’ จนทุกวันนี้มันเลยออกมาไม่ได้ มันเลยเฟดตัวเองออกจาก เขียนไขและวานิช ไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่วงมันด้วยซ้ำ
แต่มันเป็นคนที่แบบ ‘กูรำคาญ ใครอย่ามายุ่งกับกู กูอยากอยู่คนเดียว’ แต่เราเป็นคนดึงมันเข้ามา ก็เลยชีวิตเปลี่ยน จริง ๆ มันจะหนีด้วย เรารู้ว่ามันพร้อมจะหนีเสมอ แต่เราให้เกียรติมันเสมอ มันมีสิ่งที่มันอยากทำมากกว่าดนตรี เราคุยกันในวงเหล้า บางทีอนาคตภายภาคหน้าทุกคนอาจจะเห็นเขียนไขเหลือคนเดียวนะครับ หรือว่าอาจจะเห็นเขียนไขและวานิชมีทีมแบ็คอัพเป็นคนอื่นหน้าตาใหม่ ๆ เพราะว่ามันถึงเวลาละ ทุกคนมันอิ่มตัวหมดละ ทุกคนพอใจในสิ่งที่ทุกคนก้าวมาแล้ว บอกเอาแค่นี้ พอดีพองาม ไม่อยากเยอะ ซึ่งผมก็อยากได้คำนี้เหมือนกัน รอจังหวะให้ตัวเองถึงเวลาที่ตัวเองต้องพอ กลับไปอยู่ในสิ่งที่ตัวเองปรารถนาและอยากทำจริง ๆ ก็ใกล้แล้วล่ะนะ
—การเดินทางที่ปลายทางถูกกำหนดไว้แล้ว เพียงแต่รอเวลาเท่านั้น—
แก้มน้องนางนั้นแดงกว่าใคร ในความรู้สึกของ เขียนไขและวานิช
เปลี่ยนเพราะมันเยอะมาก จากเป็นเพลงที่ไม่ชอบเลย ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ดันเป็นเพลงที่ทำให้เราเดินทาง แล้วก็มาเจออะไรเยอะแยะ ที่จริงแก้มน้องนาง ฯ มันทำให้ผมจนมุมนะรู้มั้ย มันทำให้ผมแต่งเพลงอะไรขึ้นมาแล้วทุกคนก็จะเปรียบเทียบว่า เพลงใหม่ที่ออกมาเนี่ยมันจะดีกว่าแก้มน้องนาง ฯมั้ย มันจะเอาชนะได้มั้ย แล้วทุกคนจะคาดหวังว่ามันต้องมีสิ แต่ผมไม่มีเลย ผมบอกตรง ๆ เลยว่า
เวลาผมทำเพลง ถ้ามีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวแล้วผมไม่มีความสุขนะ ผมจะไม่แต่งเลย เพลงทุกเพลงมันมีความหมายของมันอยู่แล้ว ผมทำมันเพื่อตอบสนองความสุขของตัวเองและอารมณ์ของตัวเองล้วน ๆ
แล้วพอวันนึงมันมีเรื่องรายรับรายจ่าย การบังคับให้ว่าเพลงนี้ต้องเสร็จเพราะว่าจะเอาไปประกอบโฆษณานี้ มันไม่ใช่การทำงานที่แบบ ‘เฮ้ย ไอเหี้ยนี่กูทำเพื่อเงินแล้ว เพลงกูแม่งไม่ได้เดินทางแล้ว เพลงกูมันเป็นตอบสนองการตลาดไปแล้ว’ มันไม่ใช่กูแล้ว มันไม่ใช่เขียนไขแล้วนะ จริง ๆ แก้มน้องนาง ฯ เนี่ยเป็นตัวบีบคั้นผมจริง ๆ เลยนะ เอามันไม่ลง แต่สักวันแน่นอนต้องมีเพลงที่มาล้มมันได้ ของคนอื่นนะ วงอื่นเข้ามาปุ๊บผมหนีเลย (หัวเราะ)
คนนอกมักมองว่าเราจะมีความสุข แต่มีความจนมุมที่คอยต้อนอยู่ในใจ
เอาจริง ๆ เราบอกกับทุกคนตลอดว่าเราพอแล้วนะ เราอยากกลับบ้าน กูจะทำเพลง กูทำอยู่แล้วล่ะ แต่จะให้กูมาอยู่อย่างนี้ทุกวันหรอ ถามว่าชอบกรุงเทพ ฯ มั้ย ก็ไม่ได้ชอบอะไรมาก แต่ว่าเวลาทำงานมันต้องหาเงินอะ เราต้องเอาต้นทุนของเราให้เต็มก่อน เราถึงจะกลับไปทำงานในสิ่งที่เรารัก
มันบีบผม มันต้อนผมยาวเลยนะทุกวันเนี้ย จะให้ผมไปรายการ ผมไม่ไปเลย ผมแบบพอแล้ว ขอร้อง อับอายตัวเองชิบหายแล้วเนี่ย กูเป็นตัวตลกอะไร คิดถึงบ้าน เอากูไปทำอะไรตรงนั้น มีเรื่องเล่าตอนผมไปรับรางวัลศิลปินหน้าใหม่ การ์ดไม่ให้เข้า ชั่วโมงครึ่งยืนอยู่ตรงนั้น จนเจ้าของงานโทรมาหา เขาจะประกาศรางวัลกันแล้ว พอเข้าไปเราแบบเราบ้านนอกอะ เขาใส่สูทกันหมดเลย แล้วเขาอยู่กันเต็ม ผมอับอายตัวเอง คุยกับเรย์สองคนว่า ‘เรามาทำเหี้ยอะไรกันตรงนี้วะ’ เราแบบหิวข้าวอะ เขาก็มีข้าวมีไรให้กินนะในหอประชุม มีเค้กเป็นชั้น ๆ แต่เราไม่กล้ากิน กลืนน้ำลายกันอยู่ในหอประชุม แต่พอเขาประกาศชื่อเพลง แก้มน้องนางนั้นแดงกว่าใคร กับเพลง หนีห่าง เข้าชิง ตบมือกันเสร็จเราเผ่นเลย
อนาคตเห็นตัวเองเป็นยังไง 10 ปีข้างหน้า
คงจะมีที่ทำกิน มีครอบครัว จบ ถ้าเอาง่าย ๆ ก็คือ อย่าคาดหวังอะไรกับผม ผมไปของผมเรื่อย ๆ แหละ ถ้ามีที่ที่ผมอยากไปผมก็ไป ไปเพราะตัวเองอยากไป ผมเห็นน้อง ๆ ที่บอกว่าผมเป็นแรงบันดาลใจ ผมบอกเสมอนะว่าอย่าไปเชื่อผมมาก
อะไรที่มันดีคุณก็เอาไปใช้ คำนี้ผมจะพูดเสมอ อะไรที่มันไม่ดีคุณก็อย่าไปใส่ใจนะ คุณอย่าไปตามผมมากนะ
ผมชอบคนเอาเพลงอะไรมาเสนอแบบ ‘ฟังเพลงผมครับ ผมมีเพลงแต่ง’ เอ้ยดีนะ แต่ทำแนวทางของตัวเองนะ อย่าไปเชื่อผมมาก ผมจะไปถึงตอนไหนถึงตอนที่เฟดตัวเองออกมาได้ คือถ้าอนาคตของผมมีที่ทำกิน มีครอบครัวแหละ ถ้าอยากเจอกันก็ไปหากันได้ เหมือน พี่คลี (KLEE BHO) เหมือน พี่บอย (Boy Imagine) เขาทำกัน เขาก็อยู่ของเขา คิดถึงก็มาหากัน แต่เราคงไม่เจาะตลาดดนตรีไปตลอดหรอก เราทำเพราะเรามีความสุขกับมัน แล้วเราก็เสพมันด้วยตัวเอง และทุกคนก็ได้เสพ
เร็ว ๆ นี้จะมีปล่อยเพลงใหม่
มีเพลงใหม่ที่เพิ่งมาปล่อย ปีกแห่งความฝันหรือปีกแห่งความจริง, อดีต , บอกลา บอกลามานานแล้วนะ แต่บอกลาไม่เคยได้ลงในอัลบัมแรกเลย สงสารมันเหมือนกัน มิวสิกวิดิโอก็เสร็จแล้ว แต่ตัวเพลงยังไม่ได้ทำให้มันดีเลยไม่อยากปล่อย mv บอกว่าจะปล่อยตั้งแต่ปีที่แล้วก็ยังค้าง จนคนทำ mv บอกว่า ‘ไอเหี้ย มันเป็นปีแล้วนะ’ ใหม่ล่าสุดก็คือ เดินทางไกล เนี่ยแหละครับ ยังไม่ได้ปล่อยที่ไหนเลย เกือบเสร็จแล้ว ขอเวลาอีกนิดนึง
เร็ว ๆ นี้เพจ ฟังใจ จะปล่อย live session รายการ ‘ตีคอร์ด’ ที่ เขียนไขและวานิช มาเล่นให้ทุกคนฟังกับเพลง เดินทางไกล และ ปีกแห่งความหรือปีกแห่งความจริง รอติดตามกันนะ ยินดีที่ได้พบครับ พี่โจ้
ติดตามบทสรุปการพูดคุยกับ เขียนไขและวานิช ได้ ที่นี่
อ่านต่อ
ภาพพิมพ์ บทกวี และดนตรีโฟล์กซองของ ‘เขียนไข และ วานิช’