คุยกับ HUM ในวันที่เพื่อน ๆ กลับมาสานเจตนารมณ์ทางดนตรีอีกครั้ง ผ่านซิงเกิลใหม่ ‘ฝันที่เป็นจริง’
- Writer: Peerapong Kaewthae
- Photographer: Mono Music
เชื่อว่าทุกวันนี้หลายคนยังร้องเพลง รออยู่ตรงนี้ กันได้ แม้จะลืมเนื้อไปบ้างแต่ท่อนฮุกขึ้นทุกคนต้องประสานเสียงกันแน่นอน ใบหน้าของนักร้องก็คงเลือนรางไปตามกาลเวลาเหลือไว้เพียงแค่ชื่อ HUM และวันนี้พวกเขากลับมาอีกครั้งพร้อมซิงเกิลใหม่อย่าง ฝันที่เป็นจริง ที่เหมือนล้อเล่นกับแฟนเพลงที่รอพวกเขามา 15 ปี
Fungjaizine เคยสัมภาษณ์เขาไว้เมื่อสองปีก่อน วันนี้พวกเขามาเยี่ยมเราถึงบ้านเพื่อมายืนยันว่าพร้อมกลับมาทำเพลงกันอย่างจริงจังอีกครั้ง หลังจากคุยจบ ไม่ว่าชีวิตพวกเขาจะเปลี่ยนไปแค่ไหน แต่วง HUM ก็ยังอยากส่งต่อความรู้สึกดี ๆ ให้กับคนที่ฟังเพลงพวกเขาเหมือนเดิม
สองปีที่ผ่านมาหลังจากที่เรา คุยกับ HUM ทุกคนไปทำอะไรกันบ้าง
กานต์: ตอนที่ Fungjaizine สัมภาษณ์เรายังอยู่เชียงใหม่กันใช่มั้ย แล้วทำเพลงออกมาเพลงหนึ่งลง YouTube แต่ก็ไม่ได้ทำต่อเพราะว่าสมาชิกบางคนย้ายกลับอยู่กรุงเทพ ฯ กัน เมื่อปีที่แล้วกานต์เพิ่งคลอดลูกสาวเลยต้องย้ายกลับมากรุงเทพ ฯ กันหมดเลย พอวง HUM กลับมาอยู่กรุงเทพ ฯ กันหมด เลยมีเวลาได้เจอกันอีก วงก็มีมีตติ้งกันทุกบ่ายวันอาทิตย์ กินข้าวกัน เล่นดนตรีด้วยกัน เอ๊ะ ทำโปรเจกต์กันซักเพลงหนึ่งดีกว่า พอตัดสินใจจะทำก็เจอกับ พี่พีท พีระ เราสนิทกันมาตั้งนมนานละ ก็เลยไปเข้าทาง Mono Music ก็ได้ซิงเกิลใหม่มา
พูดถึง ฝันที่เป็นจริง หน่อย
กานต์: เป็นงานที่เราได้ร่วมมือกับศิลปินหลาย ๆ ท่านที่ทำให้เพลงนี้สมบูรณ์แบบขึ้น ต้นตอมาจากลูกสาวเนี่ยแหละ ผมก็แต่งให้เขา เนื้อเพลงก็เกี่ยวกับคนที่มีความรักมอบให้กัน มันจะมีอยู่ท่อนหนึ่งที่ไปเกี่ยวพันกับเพลงของ พี่หนึ่ง ETC คือ เจ้าชายนิทรา เกี่ยวกับความรักที่สมมติขึ้นมาเอง ไม่ได้จับต้องได้จริงต้องหลับก่อนถึงจะไปเจอคนที่รัก เลยคิดว่าเนื้อเพลงเรามันเกี่ยวเนื่องกับเพลงนี้อยู่แต่เป็นอีกภาคหนึ่งของเพลงเจ้าชายนิทรา ถ้าได้พี่หนึ่งมาร้องน่าจะเพอเฟกต์มากเลย เจ้าชายนิทราก็จะไม่ใช่ความฝันอีกต่อไปแล้วนะ นอกจากนี้ก็มีพี่สึดเจ้าของเพจ ‘โถชีวิตนักดนตรี’ มา featuring ด้วย อีตาคนนี้ (หัวเราะ)
แอบสงสัยเหมือนกัน พี่หนึ่งยังพอเข้าใจได้ แต่พี่สึดเนี่ยมาได้ยังไง
กานต์: ผมสนิทกับพี่สึดมากเลยนะ ก็เล่นดนตรีด้วยกันมาตลอด
ป้อม: แต่เขาจะคงคาแร็กเตอร์เขาไว้ไม่ให้บอกว่าเป็นใคร ซึ่งคนก็คงรู้กันหมดแล้วเนอะ (หัวเราะ)
แล้วคิดว่าเอกลักษณ์ของ HUM คืออะไร
กิ๊ก: เอกลักษณ์จริง ๆ เหมือนเป็นพื้นฐานของพวกเราอะครับ พวกเราเริ่มต้นจากการเป็นเพื่อนกัน ใช้เวลาด้วยกันมานานตั้งแต่มอต้น มันทำให้เกิดเพลงในคาแร็กเตอร์เฉพาะกลุ่มของพวกเรา เหมือนเพื่อนกลุ่มต่าง ๆ แต่ละก๊วนจะเป็นแบบนั้นแบบนี้ วง HUM ก็สื่อเพลงหรืออารมณ์ที่เป็นออริจินัลของเรา ถึงแม้คนอื่นจะมีทักษะทางดนตรีที่เก่งกว่าเรา แต่พอเขามาเล่นปุ๊บมันก็ไม่ใช่ HUM ต้องเอาคนที่เคยเล่นเคยอยู่ด้วยกันออกมา มันถึงจะออกมาเป็น HUM นี่น่าจะเป็นจุดแข็งของเราด้วยความเป็นเพื่อนที่สนิทกัน
กานต์: เหมือนครอบครัวดีกว่าครับเพราะไม่ได้มีแค่ห้าคนที่ออกสื่อ มีอีกหลายคนที่ร่วมงานกันมา เพียงแต่ว่าในช่วงนี้เป็นห้าคนนี้ อีกสองสามคนอาจจะอยู่ที่เชียงใหม่ ตอนนี้ห้าคนสะดวกทำด้วยกันก็ทำไป ตอนแรกเราก็ไม่รู้หรอกว่าเพลงเรามีจุดเด่นอะไรยังไง ก็ตอบไม่ได้หรอก แต่พอทำเพลงมาได้ซักระยะหนึ่ง แฟนเพลงอะจะเป็นคนบอกเองว่าแนวเพลงเราเป็นไปในทางไหน
งั้นถามดักไว้ก่อนเลย จะมีซิงเกิลต่อไปใช่ไหม
กานต์: มีครับ มีแน่นอน เราเจอกันบ่อยขึ้น เรามีกิจกรรมร่วมกันเยอะขึ้น ทุก ๆ อาทิตย์ก็จะมีเพลงใหม่ที่เราทำอยู่แล้ว จะออกไม่ออกค่อยว่ากันอีกที แต่ที่แน่ ๆ จะทำในรูปแบบของวีดีโอหรือไลฟ์บนแฟนเพจของ HUM ไป
นอกจากพี่พีทแล้ว มีเหตุผลอะไรที่เลือกมาอยู่ค่าย Mono Music อีกไหม
กานต์: เขาเป็นค่ายที่ซัพพอร์ตในสิ่งที่เราไม่สามารถทำได้ ณ เวลานี้ อย่างการมีตารางออกสื่อเพราะทุกคนมีธุรกิจส่วนตัวที่วุ่นวาย อยากได้คนมาจัดการให้ อีกอย่างเป็นเรื่องของความสนิทชิดเชื้อด้วย ทำงานด้วยแล้วสบายใจก็น่าร่วมงาน มันไม่มีอะไรยุ่งยากอยู่ละทั้งการทำงานและเพลง เพลงมันคือศิลปะอะเนอะ ต้องทำด้วยความรู้สึกแฮปปี้
เราเคยทำงานกับค่ายใหญ่มาแล้ว พอมาทำกับค่ายปัจจุบันมีอะไรแตกต่างมากน้อยแค่ไหน
กานต์: ผมว่าไม่แตกต่างนะ ทุกค่ายที่เราเลือกจะทำงานด้วยก็ให้โอกาสทำในสิ่งนี้เต็มที่ ไม่มีกรอบจำกัดว่าต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้
ป้อม: ไม่แน่ใจว่าเพื่อน ๆ วงอื่นทำงานกันแบบไหน แต่ของวง HUM เราเกิดมาจากอินดี้ยุคแรก พวกทำเองขายเอง เพราะฉะนั้นสไตล์การทำงานของเราก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่แรก พอมาอยู่กับค่ายเขาก็จะรู้ว่าเนเจอร์ของวง HUM คือจัดการทุกอย่างได้เองหมด เขาก็เลยไว้ใจเราในส่วนของดนตรีเลยล่ะ ค่ายก็จะซัพพอร์ตเรื่องอื่น ๆ เอง ทั้งเรื่องธุรกิจหรือขยายต่อในสิ่งที่เราสร้างสรรค์ให้
กิ๊ก: วงเราทำงานศิลปะขึ้นมาใช่มั้ยครับ เราจะเชี่ยวชาญด้านนี้ แต่การจะทำให้เพลงมันออกไปในวงกว้างขึ้นเราไม่ได้ชำนาญ ช่วงนี้เราก็ต้องอาศับค่ายที่ช่วยเหลือเราอย่างมาก มาจัดคิวหาสื่อ มาช่วยเหลือเราให้เพลงที่เกิดขึ้นมาถึงคนฟังทุกคนได้ ก็เป็นการร่วมงานที่ช่วยเราได้เยอะเลยครับ
มีแฟนเพลงที่ตามเรามาตั้งแต่ยุคแรกเลยมั้ย
กานต์: มี ตั้งแต่แรกเลย ตั้งแต่ยังไม่ได้ออกกับค่ายใหญ่ก็มีอยู่เลย
กิ๊ก: มีคนยังเอาเทปคาสเซ็ตมาให้เซ็นอยู่เลย (หัวเราะ)
ไปอ่านคอมเมนต์ใน YouTube ของเพลง รออยู่ตรงนี้ มีคนคอมเมนต์ด้วยว่าใช้เพลงนี้จีบแฟนจนตอนนี้มีลูกด้วยกันแล้ว
กานต์: เชื่อมั้ยว่า เกิน 150% ใช้เพลงเนี่ยไปจีบสาว แต่มีไม่ถึง 5% ที่สำเร็จนะ (ทุกคนหัวเราะ) ส่วนใหญ่จะแห้ว (หัวเราะ) เราก็ไปสังเกตพัฒนาการของแฟนเพลงด้วย จริง ๆ มันก็ผ่านมานานมากแล้วเนอะ
วงการเพลงในตอนนั้น แตกต่างกับวงการเพลงในตอนนี้บ้างไหม
กานต์: ผมว่าเดี๋ยวนี้มันไม่มีคำว่าแมสกับอินดี้ละ คนจะเลือกเสพเอง ด้วยเครื่องมือที่มันเข้าถึงในสิ่งที่เราชอบได้ง่ายขึ้น ก็จะเลือกในสิ่งที่ตัวเองชอบละ
ป้อม: ทุกคนไม่ว่าจะวัยรุ่นหรือสูงอายุก็ตาม เขาจะเลือกด้วยตัวเองมากขึ้น ไม่ได้มาตามกระแสแล้ว กลายเป็นว่าใครมีรสนิยมแบบไหนก็จะมาเกาะกลุ่มกันแล้วเสพรสนิยมแบบนั้นร่วมกัน แล้วค่อย ๆ ขยายตัวออกมา ถ้านักดนตรีหรือศิลปินในสมัยนี้ถ้าปรับตัวทัน จับแกนตรงนี้ได้ทันก็จะมีกำลังใจในการทำงานต่อได้
แล้ว HUM ต้องปรับตัวไหม
กานต์: HUM อาจจะมีส่วนที่ชัดเจนในตัวของมันอยู่ละ เหมือนเป็นเอกลักษณ์ของเรา ไปเปลี่ยนแปลงมันก็คงไม่ใช่เราอีกต่อไป ถ้าถามเราก็อาจจะต้องปรับตัวในการเข้าถึงแฟนคลับ หรือเราจะเล่าเรื่องราวที่เราเคยเล่าให้มันออกมาในรูปแบบใหม่ได้ยังไง
ป้อม: แฟนคลับยุคนี้น่าอิจฉามากเลยนะครับ เราอยากตอบกลับไปนะ เราอยากบอกเขาว่าขอบคุณมากครับ เราอยากกดไลก์ให้เขาแต่สิบกว่าปีก่อนมันไม่มี แฟนคลับสมัยนี้เขาได้รับการตอบกลับทันที เขาคอมเมนต์มาปุ๊บเราตอบกลับทันที เขาจะรู้สึกใกล้ชิดกับเรามากขึ้น เรามองว่ามันเป็นข้อดีของเทคโนโลยีมากกว่า แล้วเราก็โชคดีมากเลยที่เราคาบเกี่ยวสองยุคเลย ถ้าเป็นยุคนี้คงไม่เข้าใจว่าแฟนคลับสิบปีที่แล้วรู้สึกยังไง แถมเราก็เข้าใจคนในยุคนี้ด้วย สนุกดี
สมัยก่อนการที่เป็นศิลปินหน้าใหม่ก็อาจจะยากเพราะต้องทำให้ทุกคนรู้จัก แต่วันนี้เราเป็นรุ่นใหญ่ที่กลับมาอีกครั้ง เรามีความกังวลอะไรรึเปล่า กลัวไหมว่าคนรุ่นใหม่จะไม่เก็ตดนตรีเรา
หนุ่ม: เปลี่ยนเป็นพวกเราเป็นวงหน้าใหม่ดีกว่า (หัวเราะ)
กิ๊ก: ผมมองว่าวงเราก็จะมีแฟนเพลงรุ่นเดียวกันที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่สิบห้าปีที่แล้ว เราก็อาจจะได้เปรียบที่ไม่ใช่หน้าใหม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ เรายังมีคนรู้จักอยู่บ้าง แต่ความหนักใจคงไม่มีเพราะพวกเราเข้าใจว่าการตลาดสมัยนี้มันไม่ใช่แมสละ มันคือการทำยังไงให้ตัวตนเราแสดงออกมาได้ชัดเจนขึ้นในตัวเนื้อเพลง จนคนสมัยนี้คิดว่าเพลงสไตล์นี้มันก็เพราะนี่หว่า และตัดสินใจมาดูคอนเสิร์ตของเรา ทำความรู้จักเราจนเราค่อย ๆ เติบโตขึ้น
กานต์: คือคนฟังเพลง HUM จะไม่ยึดติดอยู่แล้วว่าพวกเราเป็นใคร เพราะบางคนไม่รู้จักอยู่แล้ว (หัวเราะ) แต่จะรู้จักพวกเราผ่านบทเพลงที่สื่อออกไป อย่างเพลง รออยู่ตรงนี้ ก็ยังถูกเปิด ถูกคัฟเวอร์ รีรันจนถึงปัจจุบัน เพราะเขาไม่ได้สนใจว่าเราเป็นใคร แต่เพลงเหมือนเป็นเพื่อนเขาอยู่ในทุกยุคทุกอารมณ์ เวลาคิดถึงคนที่เขารักก็อาจจะนึกถึงเพลงนี้ หรืออยากมอบเพลงรักเพลงหนึ่งให้กับแฟนก็อาจจะนึกถึง ฝันที่เป็นจริง ซิงเกิลใหม่ของเรา เราไม่ได้ทำผลงานเพื่อให้มันเป็นเรื่องฉาบฉวย แต่อยากจะทำอะไรซักอย่างออกมาเพื่อให้มันอยู่ติดกับความรู้สึก ติดกับอารมณ์ในช่วงเวลาของแต่ละคนไปเรื่อย ๆ ถามผมก็คงไม่มีให้ต้องหนักใจ มันเป็นธรรมชาติอะเหมือนเรากินข้าว เจอหน้าเพื่อน พูดคุยกัน การทำเพลงของวงเราก็เหมือนกัน นั่งคุยกันว่าเราจะกินอะไร งานศิลปะไม่ต้องหนักใจอะ ไม่มีเรื่องต้องหนักใจ
ป้อม: ผมรู้สึกว่าเราพวกเราโชคดี ถ้าอยู่ประเทศไทยแล้วพูดคำว่า ‘ฮัม’ เนี่ย ทุกคนจะนึกถึงเราเป็นอันดับต้น ๆ แล้วโชคดีที่มันเป็นคำกิริยาที่… โทษนะครับ ผมจอง (หัวเราะ) ถ้าใครพูดว่าอยากฮัมเพลงก็ อ๊าาาา พูดถึงวงเราทันที
10 กว่าปีมานี้ สไตล์ดนตรีของพวกเรามีการเปลี่ยนแปลงบ้างไหม
กานต์: แน่นอนครับ เรื่องของแนวเพลงกับสไตล์ดนตรีต้องมีเปลี่ยนไปอยู่แล้ว อยู่ที่เพลงด้วยเนอะ เราอยากจะเราเรื่องนี้ให้ใครฟังแบบไหน สไตล์เพลงก็ขึ้นอยู่กับตรงนั้น ทุกอย่างมันก็ต้องเปลี่ยนแปลงไป แต่ถ้าจะให้เปลี่ยนไปแบบสุดขั้วเลย คงไม่ใช่วิธีการเล่าเรื่องของเรา เราอาจจะเล่าฮิปฮอปได้ก็อาจจะชวนคนอื่นมาช่วยเล่าให้ ถ้ามันสนุกอะ มองว่ามันเป็นเรื่องของไอเดียดีกว่า
หนุ่ม: แต่ HUM ก็จะเป็นเพลงให้กำลังใจเหมือนเดิม เอ้ย เพื่อนคุยกับเพื่อน ยังมีเพื่อนนะแกไม่ได้อยู่คนเดียว มาฟังเพลงดีกว่า ทำไมซึ้งวะ (หัวเราะ)
ป้อม: ถ้าพูดในเชิงสกิลนะครับ ผมว่าตัวเองสกิลต่ำลงนะครับ (หัวเราะ) เพราะว่าเราไม่ค่อยได้ฝึกซ้อมแล้วเราก็เลิกคิดเรื่องนี้ไปเลย เพราะเรามองดนตรีเปลี่ยนไปละ เราไม่ได้มองเรื่องสกิล มองเป็นการสื่อสาร เมื่อก่อนจะมียุคหนึ่งที่แบบทุกคนเก่งจังเลยว่ะ พัฒนาฝีมือตลอดเวลา เป็นเรื่องของสกิลล้วน ๆ พอเราโตขึ้น ไปทำงานหลากหลายไปเจอคนมากขึ้น ได้เห็นอะไรมากขึ้นก็เข้าใจมากขึ้น เรามองดนตรีละเมียดขึ้น ไม่ได้เก่งขึ้นแต่เข้าใจมากขึ้น
กานต์: คนฟังจะรู้สึกได้ในสิ่งที่เราสื่อสารออกไป จากความเป็นตัวตนของเราตอนนี้ เออเนี่ยเพลง HUM แต่เชื่อว่าทุกคนจะหาข้อแตกต่างชัดเจนได้ว่าสมัยก่อนเป็นยังไง สมัยนี้เป็นยังไง มีอะไรที่เหมือนหรือต่างกันบ้าง คนฟังเท่านั้นที่จะรู้ได้
เหมือนสมาชิกทุกคนสนิทกันมาก มีเคล็ดลับยังไงให้ยังวงยังทำงานด้วยกันได้มาหลายสิบปี
กานต์: ทำให้เป็นพื้นฐานที่มาจากคำว่าเพื่อนอะครับ ไม่ใช่พื้นฐานของคำว่านักดนตรี ยิ่งถ้าความสัมพันธ์คำแรกที่ปูพื้นทางมาตรงนี้ยิ่งกลมเกลียวรักกันแค่ไหนมันก็จะยิ่งแน่นหนามาแค่นั้น และอีกอย่างคือทัศนคติในการทำงานหรือทำเป็นวง มองภาพว่าเราจะเล่นดนตรีต่อไปทำไม เราจะทำวงนี้ออกไปแบบไหน อันเนี้ยสำคัญ ยกเรื่องความฝันที่คิดในอนาคตไว้ก่อนถ้าจะคิดถึงว่าทำยังไงไม่ให้วงแตก ควรที่จะคำนึงถึงความสัมพันธ์ของวงก่อน วงเราก็ไม่ได้หวานแหววไปซะทุกอย่าง มีเถียงกันบ้าง วันอาทิตย์ไม่มาบ้าง (หัวเราะ) งอนกันบ้าง งอนไม่ใช่เรื่อง (หัวเราะ) วงจะแตกก็คราวนี้แหละ
ป้อม: พวกเรามีความเกี่ยวพันในมิติอื่นที่ไม่ใช่แค่วงดนตรี สมัยเรียนอยู่กับกิ๊กทุก section ตอนเย็นเราเจอกันทุกวัน เราย้ายมาอยู่กรุงเทพ ฯ ในห้องเล็ก ๆ ด้วยกันหกปี มันไม่ใช่แค่เล่นดนตรีแต่ชีวิตมันผูกพันกันในหลายมิติ พื้นฐานตรงนี้เลยค่อนข้างเหนียวแน่น ส่งผลให้วงไม่แตก วงอื่นผมไม่แน่ใจอาจจะมีเหตุผลอื่นที่ทำให้วงแตก อาจจะเป็นเรื่องการทำงานหรืออะไร หรือไม่ได้ผูกพันกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน (หัวเราะ) มาเจอคนนี้แล้วถูกชะตามากเลยทำด้วยกัน พอถึงจุดหนึ่งเธอเป็นแบบนี้หรอ ฉันไปก่อนนะ ก็ไม่มีผิดไม่มีถูกด้วย เรื่องปกติ
กิ๊ก: อย่างหลายคนก็ตั้งเป้าหมายว่าอยากได้เงินจากการเล่นดนตรี อยากดัง อยากออกอัลบั้มจนถึงจุดนี้ พอมันไม่ถึงเป้าหมายหรือมีปัญหาอะไรก็จะแตกกันไปได้ ถ้าคุณมีเป้าหมายเรื่องการเงินก็ไปทำธุรกิจแล้วเอาเวลาว่างมาเสพดนตรีมาทำเพลงมีความสุขกับเพื่อน ๆ ดีกว่า วงเราก็ใช้วันอาทิตย์มารวมกันเหมือนวันครอบครัว มาเล่นดนตรีแล้วผลพลอยได้ของมันก็อาจจะเป็นเพลงใหม่ ได้กินข้าวกันรู้จักกันลึกขึ้น พาลูกพาหลานมาเจอกัน จนมันเป็นมิติที่เราทำแบบนี้ได้ไปจนตายเลย พื้นฐานความเป็นเพื่อนมันคุยกันได้ สะสมมานานพอที่จะฝ่าฟันไปด้วยกันได้ ทะเลาะกันในการทำงานได้ ถ้าเป้าหมายเราชัดว่าจะมีความสุขกับมันแล้วผลิตผลงานเพื่อเป็นผลดีต่อสังคมอะไรก็ตาม มันเลยทำให้วงเราไม่แตก (ทุกคนปรบมือ)
หนุ่ม: ผมได้ร่วมงานกับใครหลายคน หลายวงไม่ค่อยมีใครเป็นแนวนี้นะ ต่างคนต่างเล่นดนตรีมาก็มาจอยกัน คุยกันแค่เรื่องดนตรีมากกว่า พอรวมกันแล้วไปไม่ถึงฝั่งฝันบางคนก็คิดว่าเสียเวลาก็เฟดออกไป เรื่องผลประโยชน์ เรื่องชีวิตอีก มันเป็นปัญหาอยู่ในนั้น สุดท้ายพอเบื่อก็แยกกัน การจะหาวงแบบเนี่ยมันยากมากที่ทุกคนไม่ได้มองว่าจะต้องทำผลงานสุดยอดหรือเล่นเก่ง เราแค่อยากเข้าใจภาษาเพลงเดียวกันแล้วส่งต่อผลงานให้คนอื่นฟัง แต่วงอื่นพยายามใช้ความสามารถทั้งหมดเพื่อสร้างเพลงขึ้นมาสนองอะไรบางอย่าง แล้วแต่คน บางคนอาจอยากมีตัวตนมีชื่อเสียง อยากมีทัวร์เยอะ ๆ เพราะจะได้มีเงิน แล้วแต่คน แต่วง HUM จะเป็นอีกแบบหนึ่ง
แล้วเป้าหมายของ HUM ตอนนี้คืออะไร
กานต์: เล่นดนตรี เจอกันบ่อยที่สุด ทำเพลงเพราะ ๆ ออกมาอีก ทำเพลงออกมาเหมือนหนุ่มบอกอะ เหมือนเพื่อนให้กำลังใจเพื่อน (หนุ่ม: แล้วคนฟังจะรับรู้ได้ว่าผูกพันกับเพลงนั้น) เมื่อเช้าไปโปรโมตเพลงในรายการทีวีรายการหนึ่ง ตอนแรกก็ไม่มีอะไรน้องเขาคุยสัมภาษณ์ปกติ แต่พอเล่น รออยู่ตรงนี้ เสร็จ น้องเขาร้องไห้ (หัวเราะ)
กิ๊ก: เหมือนเป็นหนึ่งในเป้าหมายของวงเราโดยที่เราไม่รู้ตัวมาก่อน เราอยากจะมีคนที่เพลงของเรากลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเขา ในเรื่องอะไรก็ตาม พอฟังแล้วนึกถึงบางโมเมนต์ วันนี้อาจจะมีน้องคนนั้นคนเดียว แต่วันหนึ่งอาจขยายเป็นสิบยี่สิบหรือร้อยคน เติบโตไปด้วยกัน เขาฟังเพลงอะไรก็ได้แหละ ถ้าเป็นโมเมนต์นี้ก็อาจจะนึกถึงเพลงของวง HUM เราเล่นดนตรีด้วยกันทุกอาทิตย์ก็อาจจะชวนแฟนเพลงซักสิบยี่สิบคนมากินข้าวฟังเพลงกันเป็นคอมมิวนิตี้เล็ก ๆ อาจจะยังไม่ได้คุยกันจริงจัง แต่เป็นหนึ่งในเป้าหมายที่เราทำอย่างต่อเนื่อง
ได้ลองฟังเพลงของวงรุ่นใหม่บ้างไหม รู้สึกยังไงกับเพลงสมัยนี้
กานต์: ผมชอบนะ เดี๋ยวนี้ทำเพลงกันออกมาได้มีความหลากหลายมากนะ สมัยเราคิดว่ามันเยอะแล้วนะ มาถึงยุคนี้ทุกคนกล้าทำกันมาก ๆ ซึ่งดีครับ เทคโนโลยีก็ซัพพอร์ตให้เราทำเพลงได้ตรงใจเรามากขึ้น แต่ก็อย่าลืมว่าเราจะทำมันไปแบบไหนยังไง
กิ๊ก: ผมก็ชอบหมดทุกเพลงแหละ แต่รู้สึกว่าสมัยนี้ตัวเพลงกับศิลปินมันไม่ได้ทิ้งความห่างกันมากเหมือนสมัยก่อน สมัยก่อนคนฟังเพลงจะไม่สามารถรู้จักตัวตนจริง ๆ ของศิลปินได้เลย มันจะเผ็นภาพที่เราสร้างขึ้นเอง แต่เดี๋ยวนี้เราชอบเพลงนี้ เราแชตไปคุยกับศิลปินได้เลย ผมกำลังจะบอกว่าลักษณะชีวิตของศิลปินจะมีผลกับตัวเพลงด้วย เพลงเป็นแบบนี้แต่ชีวิตเขาอาจจะไม่ได้เป็นคนแบบในเพลงก็ได้ ทำให้แฟนเพลงรู้สึกไม่ใช่ละไม่อยากตาม หรือบางคนออกเพลงรักมาแล้วตัวศิลปินก็มีความรักด้วยก็ช่วยส่งให้ความให้เพลงมันไปด้วยกัน อนาคตอาจมีแบบนี้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เทคโนโลยีมันเพิ่งมาแล้วคนก็เพิ่งปรับตัวกับเทคโนโลยีที่มี มันเลยมีผลกระทบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เราก็ต้องปรับตัวกันไป เราก็แค่เป็นตัวของเราไป ทำตัวเองให้ชัดไป รู้สึกยังไงก็สื่อสารออกมา เดี๋ยวคนฟังก็จะเข้าใจเอง
ฝากอะไรถึงคนที่เพิ่งรู้จักวง HUM หน่อย
กิ๊ก: วงเราเป็นวงหน้าใหม่นะครับ (ทุกคนหัวเราะ) ฝากเพลงใหม่ ฝันที่เป็นจริง ด้วยนะครับ ฟังแล้วก็ฝากใส่ไว้ในเพลย์ลิสต์ด้วยนะครับ
ป้อม: ฝากเพื่อน ๆ น้อง ๆ ทุกคนที่ไม่เคยรู้จักเรานะครับ พวกเราก็ตั้งใจทำเพลงเพื่อจะมอบความสุขให้ เสียเวลาซักสามนาทีในการฟังดูว่ามีความสุขมั้ย ถ้ารู้สึกดีก็บอกต่อคนที่คุณรู้สึกดีกับเขา แล้วเพลงก็จะทำงานของมันเองครับ
ลองฟังเพลงใหม่ของพวกเขา ฝันที่เป็นจริง แล้วเข้าไปกดไลก์ให้กำลังใจและความสนุกที่พวกเขาอยากมอบให้ได้ที่เพจ Hum