“ถ้าเศร้ามาก ๆ ก็ร้องไห้ออกมาให้หมดเลย” คุยกับ ‘H I N A N O’ ศิลปินรุ่นใหม่ที่ถ่ายทอดความรู้สึกผ่านเพลง
- Writer: Donratcharat Phromsoonthornsakul
- Visual Designer: Sirikorn Pornanong
H I N A N O – คิตตี้ ฮินาโนะ ศิลปินรุ่นใหม่อีกคนที่น่าจับตามองในปีนี้ มาพร้อมกับซิงเกิลแรก Tomorrow I’ll be twenty-two เพลงที่เล่าชีวิตและความกังวลของอายุในปีที่ 22 ของตัวเอง ไม่รอช้า MILK.BKK ก็ได้ชวนไปอยู่ภายใต้ชายคาเดียวกัน และปล่อย Wish Upon A Star ซิงเกิลแรกภายใต้บ้านหลังนี้-
จุดเริ่มต้นของ H I N A N O
ชอบเขียนเพลง ชอบคิดเมโลดี้ คอร์ด มาตั้งแต่มัธยมฯ แล้ว โรงเรียนมีงานดนตรีตลอด เราก็พาตัวเองไปอยู่ใกล้ ๆ มาเสมอ ตอนขึ้นม.3 เขามีให้เลือกวิชา เริ่มเข้าสายแล้วแต่ยังเรียนพื้นฐานกันอยู่เป็นปกติ คิตตี้ก็เรียนดนตรี ต้องส่งงานไฟนอลเป็นแต่งเพลง คิตตี้ก็เลยเขียนสกอร์เป็นเพลงป็อป นั่นคือครั้งแรก ๆ ที่ทำเพลงแบบเป็นรูปเป็นร่าง เอามาเล่นได้จริง ๆ ตอนส่งก็อัดเล่นเป็นเดโม่จริง ๆ แล้วหลังจากนั้นก็ชอบแต่ไม่รู้เลยว่ามีโปรแกรมทำเพลงได้ รู้ว่ามีแต่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงไม่ได้ใช้ แต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้ทำเพลงบ่อย มีทำบ้าง ส่วนใหญ่ชอบเขียนไดอารี มีเปียโนก็เล่นแล้วอัดไว้ ไม่ได้ทำมากขนาดนั้น เพราะเราไม่ได้มีความรู้ขนาดนั้น พอเข้าปีหนึ่ง ก็เรียนคลาสสิก เราเห็นเพื่อน ๆ ที่เรียนสาขาอื่นทำเพลง เลยสงสัยว่า เอ้ย ทำไมคนในคณะเราปล่อยเพลงกันเยอะจัง เริ่มรู้สึกอยากทำบ้าง อึดอัดที่ทำไม่เป็นเพราะไม่รู้พื้นฐาน ตอนนั้นก็แอบคิดว่า หรือต้องออกรายการเหรอ หรือต้องทำอะไรให้คนรู้จักรึเปล่า แต่พอขึ้นปีสี่ก็เริ่มเปลี่ยนสังคม เปลี่ยนกลุ่ม ก็เริ่มได้ไปอยู่กับเพื่อนที่ทำเพลง เลยเพิ่งรู้ว่า อ๋อมันทำเองได้นี่หว่า เลยพยายามดู ซึมซับสิ่งที่เขาทำ ก็พยายามทำเพลงไป
เพลงแรกก็ให้เพื่อนชื่อ BANGPUN โปรดิวซ์ให้ ดูวิธีที่เขาทำ บางทีก็จดไว้บ้าง เราก็ดูเขาทำแล้ว แต่พอมาลงมือเองจริง ๆ ยังทำไม่เป็น เพลงที่สองเลยลองยืมคอมพ์เพื่อนอีกวง ให้เขาช่วยสอน ก็คือทั้งชีวิตอยู่กับดนตรีมานานมาก แต่ถ้าเริ่มทำเพลงจริง ๆ ก็ตอนปีสาม ช่วงเวลาที่อึดอัดนิดนึงกับคลาสสิก อยากทำอะไรที่ตัวเองอยากทำตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว พอเห็นว่ามันใกล้ตัว ก็เลยรู้สึกว่าอยากทำมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม เป็นช่วงเดียวกับที่เริ่มเขียน Tomorrow I’ll Be Twenty Two
เทคนิคจากการเรียน Classic Voice ที่มาปรับใช้ในเพลงตัวเอง
บางคนอาจจะยังฟังแล้วนึกไม่ออกว่าเพลงได้รับอิทธิพลจากเพลงคลาสสิก แต่ก็แอบดีใจเพราะแสดงว่าเราทำได้เนียน ปกติคิตตี้ฟังเพลงได้หมดจริง ๆ เราว่ามันสนุกดี มันช่วยให้เขียนไอเดียได้ คิตตี้ไม่ต้องคิดมากในการทำงาน เราคุ้นเคยกับมัน ในเพลงคิตตี้พยายามทำโครงสร้าง ไปดึงไอเดียจากโครงสร้างของโอเปร่ามาเลยตรง ๆ การที่เขาทำแต่ละท่อนให้ชัดเจนมาก มันจะมีแบบท่อนหนึ่ง แล้วก็วูบจบ เราก็ทำตามแบบนั้นเลย เหมือนเรื่องราวในโอเปร่า แต่เล่าออกมาให้มันฟังง่าย ๆ หน่อย ใช้เครื่องดนตรีที่ทุกคนคุ้นเคย
ทำไมถึงเลือกหยิบชีวิตที่กำลังจะอายุ 22 มาเป็นเพลง Tomorrow I’ll be twenty-two
เป็นช่วงเวลาที่คิดอยากจะย้ายสาขามาก ๆ ทุกคนได้ทำเพลง ได้เล่นเพลงตัวเอง เรารู้สึกเสียเวลาที่เรียนคลาสสิก เป็นช่วงที่เรียน ๆ อยู่ก็ร้องไห้ออกมาเลย บอกอาจารย์เลยว่าจะไม่เรียนแล้ว จะย้ายสาขา เครียด เป็นคนคิดมาก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ย้ายสาขา แต่ก็พยายามหาเวลาให้ทำเพลงให้ได้ ตั้งเป้าหมายว่าอยากทำเพลง ปล่อยสักเพลงสองเพลงก่อนเรียนจบ ตอนที่ปล่อยเพลงออกมาก็คืออีกสี่เดือนจะเรียนจบเลยแพนิคว่ายังไม่ได้ทำอะไรเลย เลยตั้งเป้าหมายไว้ว่าวันเกิดเราเดือนหน้าแล้ว ก็เลยเอาเป็นเป้าหมายไว้ เป็นเพลงให้กำลังใจตัวเองและคนอื่น พออายุ 22 แล้วก็ยังคงเป็นคนคิดมาก เครียดอยู่บ่อย ๆ เหมือนเดิม เรื่องเพลงก็ยังค่อนข้างกังวลเรื่องแนวเพลงอยู่เรื่อย ๆ เพราะก็ขี้เบื่อมากด้วย ยกเว้นว่าจะชอบเสียงอะไรจริง ๆ ก็จะเอากลับมาใช้เรื่อย ๆ อย่างเสียงฮาร์ปกับเบลล์ เพลงแรกมี เพลงที่สองก็มีเพราะชอบจริง ๆ
เรื่องราวเบื้องหลัง Wish Upon a Star
คิตตี้เขียนให้แมวของคิตตี้ที่เสียชีวิตไปสองตัว ตัวแรกเป็นโรคหัวใจ อีกตัวคือแม่ของตัวแรกที่ไป เป็นมะเร็งเต้านม เราทรมาน เราเห็นเขาค่อย ๆ หายใจไม่ออก น้ำท่วมปอด ทุกวันนี้เรายังมูฟออนไม่ค่อยได้เท่าไร เราเพิ่งมารู้ตัวตอนทำเพลงนี้นี่แหละ ตั้งแต่หลังเขาตายเราไม่ดูรูป ไม่ดูอะไรเลย เรารู้ว่ามีรูปตรงไหน เก็บไว้หมดเลย แล้วมีช่วงหนึ่งที่เพื่อนทำฮาร์ดไดรฟ์พัง เอาไปกู้จนได้จริง ๆ เก็บมาได้บางส่วน ดูแล้วก็ร้องไห้ ช่วงที่ทำเพลงนี้ก็ร้องไห้ตั้งแต่ตอนคิดไอเดีย ตอนที่เล่นกีตาร์ซ้อมเล่นคอร์ดเมโลดี้เข้ามาก็รู้สึกว่า จุก เหมือนอะไรขึ้นคอ รู้ว่าตัวเองคิดถึงเรื่องเขา คอร์ด เมโลดี้ เนื้อร้องมาพร้อม ๆ กันเลย รีบเขียนไว้ ตอนเขียนก็จะร้องไห้ เราก็แอบหนีนิดนึง ไม่อยากเสียใจขนาดนั้น แต่สุดท้ายก็กลับมาทำอยู่ดีเพราะชอบเมโลดี้ พอมาทำก็ร้องไห้อีกทีตอนอัดร้อง ท่อนสุดท้ายในเพลงไม่แก้อะไรเลย ตอนนั้นเรามีเพื่อนที่เล่นกีตาร์ในห้องแล้วร้องด้วยกัน เราน้ำตาซึมและเสียงมันเริ่มร้องไห้ เราไม่อยากให้เพื่อนเห็น เลยพยายามเก็บไว้ เทคนั้นก็คือเทคที่ใช้ในเพลง ตอนตัดมิวสิกวิดีโอก็ทรมานสุด ๆ ทำเพื่อทรมานตัวเองจริง ๆ ก็แค่คิดถึงแหละมั้ง แต่ตอนทำคือช้ามากเพราะเก็บท่อนสุดท้ายไว้ทำสุดท้ายจริง ๆ ไม่อยากจะดูรูป แต่ก็ต้องส่งงานแล้วก็เลยตัดสินใจทำ ใช้เวลานานมาก ต้องมาหารูป ต้องมาใส่รูปอีก ตอนนั้นร้องไห้ เรายืมคอมพ์จากเพื่อนก็อัดเพลงอยู่ เราก็น้ำตาซึมอยู่ข้าง ๆ เพลงนี้ให้แมวเราสองตัวที่รักมาก ๆ มีท่อนหนึ่งที่มันเป็นช่องว่างในตอนแรก ให้มาพูดถึงแฟนเก่าคือตอนเวิร์ส เราเจอเขาที่โรงอาหาร เขาใส่เสื้อกันหนาวที่เราชอบ แต่เราก็ไม่เกี่ยวอะไรกันแล้ว ก็คือแค่ท่อนนั้นที่พูดถึงเขา เหตุผลที่เราเชื่อมถึงเขาเพราะวันที่แมวตัวแรกเราตาย มันเป็นวันเดียวกับที่เขาเลิกกับเราเลย เหมือนโดนยิงสองครั้งเลย
ให้กำลังใจคนที่กำลังหาตัวตนสักหน่อย
If you want to live I know you can do it ฟังดูดาร์กหน่อยแต่มันคือเรื่องจริง สู้ ๆ ทุกคน เราคิดว่าทำได้อยู่แล้ว คนเรามันทำได้จริง ๆ ส่วนเรื่องที่เราต้องเสียคนที่เรารักจากชีวิตไป เราคิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติ ที่มันมูฟออนยาก แต่เราก็ต้องทำให้ได้ เราเข้าใจมาก ๆ เราแทบจะไม่ดูรูปเลย แต่พอกลับมาดู ทุกอย่าง ความรู้สึกที่เก็บไว้ไม่ได้ร้องไห้มาก ๆ ก็ออกมาหมดเลย ถ้าเศร้ามาก ๆ ก็ร้องไห้ออกมาให้หมดเลย
อนาคตเราจะได้เห็นอะไรจาก H I N A N O อีกบ้าง
ตอนนี้พักอยู่นิดนึง แต่เดี๋ยวก็จะกลับมาทำเพลงถัดไป แล้วก็คิดว่าจะปล่อย EP. ภายในปีนี้ อาจจะมี hidden track ด้วยในอนาคต ฝากติดตามคิตตี้ได้ใน Instagram Youtube ติดตามได้เสมอ จะมีงานออกมาในอนาคตชัวร์ ๆ ไปฟังเพลงที่ปล่อยออกมาก่อนก็ได้ ขอบคุณค่ะ
_____