‘Technicolor’ สีสันแปลกตาในความทรงจำที่ยังเคลื่อนไหวจาก Greasy Cafe
- Writer: Montipa Virojpan
- Photographer: Tas Suwanasang
Technicolor อัลบั้มเต็มชุดที่ 4 ของ Greasy Cafe ถูกปล่อยออกมาได้ประมาณปีครึ่งแล้ว แต่มาจนถึงตอนนี้ก็ยังรู้สึกว่าทุกเพลงในนั้นยังมีความล้ำอยู่ และยิ่งฟังบ่อยขึ้นก็พบว่าแต่ละเพลงมีรายละเอียดที่น่าสนใจที่แตกต่างกัน ไม่ต่างไปจากการได้ดูภาพยนตร์แนวสัจนิยมมหัศจรรย์อันเต็มไปด้วยสีสันแปลกตาและน่าตื่นเต้นในทุก ๆ ฉาก
นี่เป็นครั้งแรกที่เราได้พูดคุยกับ เล็ก—อภิชัย ตระกูลเผด็จไกร ถึงที่มาที่ไปของอัลบั้มนี้โดยละเอียด รวมถึงมุมมองในการทำงานของเขาตลอดระยะเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา
ตอนที่ทำ Techinicolor ตั้งใจจะให้ดนตรีในอัลบั้มมีความเป็น timeless รึเปล่า
เราว่าแต่ละอัลบั้มที่ทำ เราไม่ได้ตั้งใจว่ามันจะเป็นอะไรเท่าไหร่ เพียงแต่ในช่วงขณะที่ทำเรารู้สึกอะไรมากกว่า โดยเฉพาะอย่างอัลบั้ม 4 มันอาจจะชัดเจนมั้ง เพราะมันค่อนข้างกระโดดมาจากสามอัลบั้มที่ผ่านมา ด้วยซาวด์อะไรต่าง ๆ มันเกิดจากการที่ปกติเราขึ้นโครงเพลงด้วยกีตาร์หรือเคาะเปียโน แล้วเครื่องดนตรีแบบนี้มันไม่พาเราไปไหน เราเอาเรื่องในใจออกมาไม่ได้เท่าไหร่ เราเลยรู้สึกว่า เอ๊ะ หรือเราจะลองเครื่องดนตรีอย่างอื่นที่เราไม่เคยใช้ เราไม่ค่อยคุ้นชินกับมัน เพราะฉะนั้นตอนจับแล้วมันจะเกิดเป็นอะไรบางอย่างที่เราไม่รู้มาก่อน อย่างอันนี้กดมาแล้วเจอว่าคอร์ดนี้เพราะดี หรือขึ้นด้วยเปียโนไฟฟ้าพวก Nord มันก็ให้ซาวด์อีกแบบนึง หรือการที่เราทดลองใช้พวกซินธ์ มันเหมือน เฮ้ย มันเป็นซาวด์แปลก ๆ ที่มันสามารถเอาความในใจของเราออกมาได้แทนที่จะเป็นพวกกีตาร์หรือเปียโนแบบเดิม
เป็นการลองใช้ซินธิไซเซอร์ครั้งแรกในชีวิตเลยหรือเปล่า
ใช่เลย (FJZ: มีใครช่วยสอนเล่นไหม) ไม่มีเลยฮะ เราอยากลองก็เลยลองเซิร์ชหาข้อมูลดู เราว่าซินธ์ที่เราใช้มันไม่ได้เป็นซินธ์ที่หวือหวาขนาดนั้น มันเป็นพวกแพดหรือคุมบีตมากกว่า อาจจะมีลูกวื้ดว้าดบ้างนิดหน่อย
ตลอดเวลาที่หายไป 4 ปีคืองมอยู่กับการหัดเล่นตรงนี้
มันใช้เวลานานมากจนช่วงท้าย ๆ แบบ อืม… หรือว่าเราต้องหาโปรดิวเซอร์แล้ว เพราะไม่อย่างนั้นเราก็ไม่เสร็จสักที แต่ก็พอรู้สึกอย่างนั้นก็ยังดื้ออยู่ แบบ เฮ้ย เราได้ลองเต็มที่แล้วจริง ๆ หรอ ลองดูอีกหน่อยไหม นั่นแหละฮะ จนเกิดเพลงแรกออกมาเป็นเพลง ยามวิกาล ที่ทำให้รู้สึกว่า เออว่ะ เรามาถูกทางแล้ว แค่นี้พอแล้ว ไม่เห็นต้องใช้วิธีคิดแบบเดิม ๆ แบบกีตาร์เล่นซ้อนกัน 3-4 ไลน์ มันแบบ เอ้า ก็แค่เสียงนี้เสียงเดียวอาจจะพอแล้วหรือเปล่า รู้สึกว่ามันสดชื่นมาก ๆ
ไม่กลัวว่าคนฟังจะไม่เปิดรับแนวใหม่ของ Greasy Cafe หรอเพราะมันฉีกจากงานก่อน ๆ มาก
ไม่กลัว เรามีความสุขมาก เมื่อไม่กี่วันที่แล้วยังมีคนมาบอกเราอยู่เลยว่าชอบ Greasy Cafe แบบเดิมที่มีกีตาร์โปร่งมากกว่า แต่เราแค่รู้สึกว่า อัลบั้มนี้เราอยากทำแบบนี้จริง ๆ เราไม่ได้รู้สึกว่าเราต้องการทำเพื่อจะเท่หรือเพื่อจะอะไร แต่เพราะหัวใจเราต้องการ เพราะงั้นเราไม่ได้ห่วงสิ่งที่จะตามมาขนาดนั้น ไม่ใช่เพราะว่า โอ้โห เก่งเหลือเกิน หรืออีโก้นะครับ แต่เราว่างานแบบนี้มันต้องมาจากการที่คนสร้างเพลงเขาอยากทำแบบนั้นจริง ๆ เพราะฉะนั้นถ้ามันจะตามมาด้วยการชอบแบบนั้น แบบนี้มากกว่า ไม่เป็นไรครับ คือมันเหมือนกับเราเชื่อว่าตอนนี้ ณ ขณะที่เรากำลังสัมภาษณ์กันอยู่ คนอาจจะเพิ่งเริ่มฟังอัลบั้มหนึ่งก็ได้ เมื่อหลายปีที่ผ่านมาอาจจะบอกว่าฟังยากจัง ในที่สุดแล้วเราควรทำสิ่งที่เราอยากทำจริง ๆ ก่อนแล้วค่อยมาดูว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น
เหมือนเป็นการ mix and match เพราะยังมีความร็อกอยู่ แล้วก็ไม่ใช่อิเล็กทรอนิกแนวเดียว เวลาเลือกใช้ซาวด์แต่ละแบบในแต่ละเพลง มีวิธีการเลือกยังไง
เราว่ามันเกิดจากสิ่งที่เราลองกด ๆๆๆ ดูมั้ง เราว่าอันที่มันเป็นเสียงกลอง บางทีไม่ได้เป็นโต๊ะ ตึก ตึก แต่เป็นแบบ ตุ้มมม มันแทนเสียงแบบแทนที่เราจะเอาไม้หวดสแนร์ลงไป เสียงที่ได้ใหม่มันก็ได้อารมณ์อีกแบบเหมือนกัน เราเลยรู้สึกว่ามันเป็นการทดลองที่มีความน่าค้นหาในทุก ๆ วันที่เราทำเพลงเลย เพราะเราก็ไม่ได้มีความเชี่ยวชาญที่จะมากดอะไรพวกนี้ เพราะงั้นคนที่เขาเก่งอาจจะรู้สึกว่า เฮ้ย เสียงนี้หรอ ผมไม่ใช้หรอกพี่ แต่สำหรับเราเท่านี้พอแล้วจริง ๆ
เพลงของ Greasy Cafe ส่วนมากจะเล่าเรื่องความสัมพันธ์ในอดีต ในอัลบั้ม Technicolor มีแง่มุมที่แตกต่างจากงานชุดก่อน ๆ ยังไงบ้าง
ถ้าจะพูดแบบเซอร์เรียล สามอัลบั้มที่ผ่านมามันเหมือนกับเราพาคนเดินทางออกไปที่ไหนสักที่ แต่พออัลบั้มสี่ มันเหมือนเรานั่งอยู่กับที่แล้วเราเปิดหัวของเราให้คนฟังเข้าไปอยู่ในนั้น เพราะงั้นเขาอาจจะไม่ได้ไล่เรียงเวลาก็ได้ ว่าจะไปเจอกับอะไร จะเจอสีอะไร กลายเป็นเราไม่ได้ออกไปไหนแล้วแต่จะเป็นการทบทวนสิ่งที่ผ่านมามากกว่า
ทำไมต้องเป็น Technicolor
เรารู้สึกว่าคำว่า ‘technicolor’ มันเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านจากภาพยนตร์ขาวดำมาเป็นภาพยนตร์สี เพราะงั้นถ้าเรามาดูตอนนี้ สีของ technicolor ในภาพยนตร์ตอนนั้นมันจะแปลก ๆ มันจะไม่แดงเป็นแดง เขียวเป็นเขียวเหมือนในจอคอมพิวเตอร์หรือมือถือที่เราเห็น เพราะฉะนั้น ไอ้ความที่มันแปลก ๆ ไม่สมบูรณ์แบบในประมาณนึง เรารู้สึกว่าตรงนั้นมันมีเสน่ห์มาก มันเหมือนช่วงเปลี่ยนผ่านจากการเล่นกีตาร์โปร่งมาเป็นอันนี้ อย่าลืมว่าเราเล่นซินธ์แต่เราแทบจะไม่รู้จักมันเท่าไหร่เลย มันเป็นแค่การทดลอง เพราะงั้นที่เราเอามาใช้มันอาจจะไม่ได้เป็นเพลงที่มันอิเล็กทรอนิกขนาดนั้น แต่สำหรับเราการเล่นได้เท่านี้มันเป็นการทดลองที่เกิดเป็นเสียงที่ เออ ใช้คำว่ามันมีเสน่ห์สำหรับเรา เป็นสิ่งที่เรากำลังมองหาจริง ๆ
ตั้งใจให้เพลงในชุดนี้เล่าเรื่องแบบภาพยนตร์ด้วยหรือเปล่าจากการตั้งชื่อว่า Technicolor
อาจจะไม่ได้ขนาดนั้นครับ แต่เพียงว่ามันเป็นช่วงเวลาแห่งการทดลอง แล้วเรารู้สึกว่าอัลบั้มนี้เป็นสีมากเลย แล้วเราเห็นว่าอัลบั้มนี้มันเป็นบรรยากาศในเมืองตอนกลางคืนจริง ๆ เราจะเห็นไฟ สำหรับเรามันน่าจะมีสีมากขึ้นกว่าขาวดำ ๆ ที่ผ่านมา
จากการที่เคยถ่ายภาพมาก่อน คิดว่าการเล่าเรื่องผ่านเพลงเป็นผลพลอยได้จากตรงนั้นไหม คิดว่าภาพถ่ายกับเพลงสามารถถ่ายทอดเรื่องราวได้เหมือนหรือต่างกันยังไงบ้าง
เราว่าวิธีคิดแต่ละซีนเราอาจจะได้มาโดยบังเอิญ ตอนแต่งเพลงเราเห็นภาพค่อนข้างจะชัดเจน เราก็เลยมีวิธีอธิบายเรื่องในแบบที่มันเป็นภาพมากกว่ามั้ง สมมติว่าในเพลง ฝืน อย่างที่ร้องว่า ‘มุ้งหลังนั้นที่แขวนอยู่บนเพดาน พัดลมเพดานที่พัดเอื่อย ๆ’ เราเห็นมันเป็นภาพสุด ๆ วิธีเล่าของเรามันเลยอาจจะมาจากภาพในหัวเราในวันเกิดเหตุ
แปลว่าส่วนใหญ่เรื่องราวในเพลงมาจากตัวพี่เล็กเอง
ใช่ครับ ตั้งแต่อัลบั้มหนึ่งแล้ว 90% จะมาจากตัวเรา แล้วที่เหลือก็มาจากสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา หรือคนรอบข้างที่เราสนิทมาก ๆ แล้วมันมีผลกระทบต่อใจเรา
บางคนบอกว่าการเขียนเพลงคือการเยียวยา แต่เคยไหมที่บางทีการเขียนเพลงยิ่งเป็นการย้ำความรู้สึกกว่าเดิม
เป็นทั้งคู่เลยครับ ก็จะมีบางเพลงที่เกิดเหตุปุ๊บเขียนเลย หรือบางเพลงที่เกิดเหตุปุ๊บ คิดถึงไม่ได้เลย ต้องทิ้งเวลาไปประมาณนึงถึงจะเริ่มกลับมาคิดถึงมันแล้วเขียนมันออกมา เพราะงั้น การเขียนมันเป็น therapy ไหม บางทีมันก็เป็นนะ อย่างมีเวลาบางช่วงที่เรารู้สึกไม่ดีอะไรเราจะเขียน ๆๆๆ มันออกมา ซึ่งในที่สุดแล้วมันก็เหมือนเราได้เอาบางส่วน แต่ไม่ทั้งหมดจากในใจเราออกมา ซึ่งมันก็ช่วยเหมือนกัน แต่ว่าในทางกลับกันมันเหมือนเพลงบางเพลงในช่วงที่เราแต่งเนี่ย เราฟังสิ่งที่เราเขียนเอง มันก็กระเทือนมาก ตอนนั้นเราจำได้ว่าไปสเกาต์โลเคชันถ่ายหนังเรื่อง ‘ชัมบาลา’ พอเปิดเพลงนั้นขึ้นมา กำลังอยู่ในรถโฟร์วีล มองออกไปนอกหน้าต่างเรื่อย ๆ แล้วน้ำตาเราไหลจากเพลงเราเอง เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราเขียนเราต้องรู้สึกจริง ๆ เราถึงจะพูดมันออกมาได้ ถ้าเราไม่รู้สึก คนอื่นก็จะไม่รู้สึก ถ้าเราเป็นนักแสดงเราต้องเชื่อก่อนว่าตัวเราเป็นแบบนั้น ไม่งั้นไม่มีใครเชื่อเราอยู่แล้ว
นักแต่งเพลงบางคนจะมีปัญหาว่าช่วงที่เขียนเพลงตอนที่รู้สึกมาก ๆ แต่พอเอามาเล่นสดอีกทีก็ไม่อินแล้ว พี่เล็กเคยมีปัญหานี้ไหม
ไม่ฮะ เราแค่รู้สึกว่าเราก็ยังอินอยู่ แต่แค่มันทำร้ายเราไม่ได้แล้ว (ยิ้ม)
เป็นคนเลือกผู้กำกับมิวสิกวิดิโอสำหรับ Greasy Cafe เองหรือเปล่า
ช่วยกันเลือกกับแฟนครับ เราว่าผู้กำกับอะสำคัญ เขาจะมาพร้อมกับภาพและวิธีคิดประมาณนึง คนแต่งเพลงก็จะมาพร้อมกับวิธีเล่าประมาณนึง ซึ่งอาจจะเฉพาะตัว อย่างเช่นเพลง หมุน ที่ เต๋อ นวพล ทำ มันก็เป็นเต๋อมาก ๆ แต่ก็สะเทือนมาก หรืออย่างพี่ย้ง ทรงยศ ที่ทำเพลง ระเบิดเวลา เงี้ย มันก็เป็นวิธีแบบย้งที่ก็สะเทือนจริง ๆ อย่างจีน คำขวัญ ที่มาทำ ปะติดปะต่อ ก็ดีมาก เราว่าเขาถ่ายทอดออกมาได้แบบ โห มัน Technicolor มาก ๆ แต่ละคนก็ชัดเจนในแต่ละวิธีของตัวเอง เพราะงั้นผู้กำกับแต่ละคนที่เลือกก็คิดว่าเขาน่าจะทำเพลงนี้นะ แต่อย่างตอนของเต๋อเราจะให้เต๋อทำอีกเพลงนึง แต่เต๋อชอบเพลงนี้ ก็คิดว่าถ้าเขารู้สึก ก็ควรให้เขาทำเพลงนั้นเลยถึงจะถ่ายทอดออกมาได้ดี เพราะนี่คือการมาร่วมงานกัน เขาน่าจะมีส่วนเยอะในวิธีคิดของงานชิ้นนั้น ๆ
หรือโรส พวงสร้อย จริง ๆ เขาทำเพลง ยามวิกาล ก่อนนะ แทบจะเสร็จแล้ว แต่เราให้มาทำเพลง รอยกระพริบตา เพราะเพลงนั้นคือมันยังไม่ถึงเวลาของมัน ก็เลยปล่อยอีกเพลงไปก่อน ตอน ยามวิกาล คือโชคดีมาก ๆ ที่ตอนนั้นโรสยังอยู่ที่เบอร์ลิน ก็คุยกับทรายว่าถ้าโรสถ่ายทำที่นั่นก็น่าจะได้บรรยากาศอีกแบบนึง ที่น่าสนใจมาก ๆ คือซีนที่เป็นไฟสีฟ้า ๆ ไม่ใช่แค่เอาสีฟ้าเพราะเท่ จริง ๆ แล้วตรงนั้นมันเป็นสถานที่ที่คนชอบแอบมาปักยากัน ทีนี้รัฐบาลหรือคนที่ดูแลพื้นที่ตรงนั้นเขาเปิดไฟสีฟ้าเพื่อให้คนหาเส้นเลือดตัวเองไม่เจอ คือมันมีเรื่องราวที่น่าสนใจของมันอยู่
Track by track
ปะติดปะต่อ
เป็นการพูดถึงอดีตและความทรงจำแหละ เรามีความคิดมาตลอดว่าเออ ทำไมบางคนปล่อยอดีตไม่ได้จริง ๆ พอปล่อยไม่ได้มันเลยมีผลกับปัจจุบันที่ทำให้เราไปข้างหน้าไม่ค่อยได้ เพลงปะติดปะต่อมันเป็นเพลงที่ทดลองหนักเหมือนกันเพราะเล่นส่วนกับดนตรี เราอาจจะอินกับเพลงอะไรประมาณนั้นในช่วงนั้นด้วย ซึ่งตอนนี้ก็ยังรักมันมาก
ยามวิกาล
เคยเป็นไหมที่สถานที่บางสถานที่ หนังบางเรื่อง เพลงบางเพลง ที่เราบังเอิญผ่านไปเจอ มันฉุดให้เรากลับไปในช่วงเวลานึงที่เราเคยอยู่กับใครบางคน คือเพลงทั้งอัลบั้มนี้มันคือบรรยากาศในเมืองมาก แล้วเราจำได้ว่ามันมีครั้งนึงที่เรารู้สึกแย่ ๆ ชวนรุ่นน้องออกไปดื่มที่นึง พอนั่งที่ร้านแล้ว สั่งมา ยังไม่ได้เริ่มดื่ม เปิดมาเพลงแรก จำไม่ได้ว่าเขาเปิดเพลงอะไร ก็รู้สึกแล้วว่า โห เอาเพลงนี้เลยหรอ ก็ยังไม่อะไรมาก นั่งกินต่อปึ๊บ เพลงสองตามมา อีกละ อันนี้เริ่มสะเทือนหนัก จนเพลงสามเราเริ่มรู้สึกว่า เราทนอยู่ไม่ได้ละ เราต้องกลับ เพราะงั้นบางทีมันมีผลจริง ๆ มันทำให้เรานึกถึงช่วงเวลาที่เราเคยมีคนบางคนอยู่ตรงนั้นแล้ววันนี้ก็ไม่มีเขาอีกแล้ว ยามวิกาลมันคืออันนั้น
แล้วทำไมมันเป็นยามวิกาล เพราะเรารู้สึกว่าในช่วงกลางวันมันมีสิ่งที่ทำให้เราไม่ได้โฟกัสมันมากเท่าไหร่ มีเรื่องงาน เรื่องนั้นเรื่องนี้ที่เราไปโฟกัสมากกว่า พอกลางคืนลองคิดดูว่าในเวลาที่เรากลับบ้าน แล้วอยู่บนรถคนเดียวเงียบ ๆ มันทำให้ใจเรานิ่งมากขึ้นมั้ง เรื่องแบบนี้มันชอบเกิดขึ้นเวลากลางคืนตอนที่เราอยู่คนเดียว
ดนตรีในเพลงนี้มันค่อนข้างโยกได้ คือเรารู้สึกว่าสามอัลบั้มที่ผ่านมาทำไมมันย้วยมาก เพลงเศร้ามันไม่เห็นต้องนั่งคอตกอย่างเดียว ไม่เห็นต้องนั่งจมปลัก มันสามารถขยับได้
วันสีแดง
พูดถึงวาเลนไทน์เลยครับ คือในวันวาเลนไทน์ที่หลายคนอาจจะได้เจอกับใคร หลายคนไปเที่ยวกับใครสักคนที่มีความสัมพันธ์ดี ๆ แต่มันก็มีใครบางคนที่มันเคยมีใครที่ไปด้วยกัน วันนี้ไม่มีเขาอีกต่อไปแล้ว เพลงไม่ได้ซับซ้อนมาก
รอยกระพริบตา
โห ขยี้แต่ละเพลงนี่แบบ… รอยกระพริบตามันก็เป็นเรื่องความทรงจำที่อันนี้มันอาจจะอยู่ในแค่ช่วงที่เรากระพริบตา แต่มันอาจจะทำให้เราคิดถึงใครบางคนและรู้สึกว่าเขายังอยู่ตรงนั้นนะ ไม่ได้หายไปไหน อยู่ที่ว่าเราจะเห็นภาพคนคนนั้นชัดมากแค่ไหน เราทำใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นและยอมรับมันได้มากแค่ไหน ลองคิดดูว่าคนบนโลกมันมีมากมายแค่ไหน เราได้เจอคนคนนึง มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ทุกวัน สมมติว่า บ่ายสาม สามทุ่ม เดินออกมาเซเว่นแล้วจะเจอคนรัก มันเป็นไปไม่ได้ใช่ไหมครับ ดังนั้นเวลาเจอใครแล้วมันเป็นไปได้แหละว่ามันต้องจบลงในวันนึง ไม่สั้นก็ยาว เพียงแต่ว่าในช่วงเวลาที่เราได้เจอคนคนนั้นแล้ว ทำไมเราไม่ทำทุก ๆ วันให้ดีที่สุด อย่างน้อยแล้วเมื่อเวลาที่มันจบลง เราจะได้รู้สึกว่าเราได้ทำดีที่สุดแล้ว เราจะไม่เสียใจมาก คือมันเสียใจอยู่แล้วที่เรื่องมันจบลง แต่เราจะไม่เสียใจที่เราไม่ได้พยายามมากพอ
ระเบิดเวลา
เป็นเรื่องที่วันนึงเราเข้าไปหาแม่เราที่บ้าน แม่เราก็แก่มากแล้วแหละ แล้วเขาก็พูดถึงพี่สาวที่เสียไปนานแล้วตั้งแต่เรายังเด็ก ๆ แล้วอยู่ดี ๆ เขาพูดวนอยู่นั่นแหละว่าเขาคิดถึงนะ เป็นหนึ่งในลูกที่เขารักมาก นิสัยดีมาก แล้วเขาก็เหมือนจมอยู่ในโมเมนต์นั้น เราก็รู้สึกว่าถ้าเราสามารถดีดนิ้ว โป๊ะ แล้วพี่สาวเรามาอยู่ตรงนั้น แล้วมีเวลาให้เขาประมาณนึง เขาอยากทำอะไรด้วยกัน เขาอยากพูดอะไรอีกที่เขายังไม่เคยให้พี่สาวเราได้รับรู้เลย นั่นแหละฮะ มันก็เป็นที่มาของเพลง ที่ร้องว่า ‘เราต่างได้ครองเวลาทั้งหมดด้วยกัน แต่กลับไม่มองเห็นความสำคัญ’ แบบ อย่าบอกดิว่าตอนนั้นไม่ได้ทำอะไรที่เราอยากทำด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง แต่อย่าลืมว่าตอนนั้นคุณมีเวลาทั้งหมดเลยนะ คุณจะทำอะไรกับเขาก็ได้ ทำไมไม่ทำ มันก็เหมือนกับ… ถ้าเกิดเวลาจะให้โอกาสเราอีกครั้งในขณะที่ยังไม่สาย เราจะทำอะไรกัน เราอาจจะเคยคบใครบางคนแล้วมันอาจจะเป็นเรื่องเบา ๆ งี่เง่า ๆ ว่า เฮ้ย ไปเสม็ดกัน หรือเฮ้ย ไปเชียงใหม่กัน ไปภูเก็ตกัน เอาแค่ในไทยก็ได้ แล้วบอกว่าไว้ไป ๆ แต่ไม่ได้ไปสักที พอเวลามันผ่านไปก็มานั่งคิดว่าทำไมตอนนั้นเราไม่ไปกันวะ มันก็เป็นเรื่องของการให้เข้าใจถึงการที่ยังได้มีเวลาอยู่ แล้วทำให้ดีที่สุดตอนยังอยู่กับเขา
เสียงในฟิล์ม
เราจำได้เลยว่าเราเขียนเพลงนี้ที่บ้าน แล้วมันเหมือนกำลังมาแล้ว แต่ทำไมมันขาด ๆ เกิน ๆ ตก ๆ หล่น ๆ ไม่ได้สักที เราเลยบอกทรายว่า เออ ไปนั่งร้านพี่ต่อตรงนั้นแปปนึง ตอนนั้นยังไม่มีร้าน Love at Sun Down แล้วเราเขียนเพลงนี้แบบฟลุ๊กมาก เขียนด้วยเวลาประมาณครึ่งชั่วโมง แล้วจบจริง ๆ แบบไม่ต้องแก้แล้ว เพลงมันพูดถึงแบบ… เคยดูไหมครับเวลาเราเห็นภาพเก่า ๆ ของเราถ่ายกับเพื่อนตั้งแต่สมัยเรียน ม.ต้น ม.ปลาย หรือเมื่อไหร่ก็แล้วแต่ ภาพเหล่านั้นเวลาเราดู เราจะรู้สึกว่าได้ยินเสียงคุยของเพื่อน ๆ ทั้งหลายแหล่ในตอนนั้นอยู่ ถ้าเรายังไม่ลืมนะครับ หรือจำบรรยากาศของสิ่งที่เกิดขึ้นในภาพบางภาพได้ แล้วมันลิงก์กับ Techinicolor ด้วย
บางคนต่อให้เวลาผ่านไปมากแค่ไหน คนคนนั้นยังอยู่กับเขาตลอดเวลา ในสิ่งที่เขายังเก็บเอาไว้เป็นภาพจำในหัวเขา ซึ่งมันอาจจะเป็นลักษณะของเสียงที่มันถูกใส่เอาไว้ในแผ่นฟิล์มสมัยก่อน มันจะมีฟิล์มเงียบ กับฟิล์มที่มันมีเสียง มันเหมือนจะมีเส้นเสียงที่ซ่อนอยู่ในแผ่นฟิล์มอันนั้นด้วย เวลาเราเล่นฟิล์มแล้วเสียงมันจะมา ก็เป็นเรื่องอะไรแบบนั้นครับที่อดีตไม่เคยจะหนีจากเขาไปไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม เพลงนี้คีย์บอร์ดจะเด่น เป็นอะไรที่เราลองเล่นให้เสียงตัวนี้นำไปเลย
ตาบอดแสง
เราว่าคนอาจจะชินกับตาบอดสี ดูสีเพี้ยนจากกันทั้งที่มันเป็นวัตถุชิ้นเดียวกัน แต่คนที่ตาบอดแสงสำหรับเราคือมันมองไม่เห็นอะไรในแสงนั้นอีกแล้ว มันเหมือนกับภาพจำที่เขาจำเอาไว้มันเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย ในความรู้สึกช่วงท้ายของเพลงบอกว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เขาก็จะยังไปต่อเพราะชีวิตมันต้องไปต่อ แล้วมันเหมือนกับว่าบางคนมันจมจริง ๆ นะ เราก็เจอใน inbox บ่อย ๆ ว่า ‘ผมไปต่อไม่ได้จริง ๆ เรื่องนี้มันทำให้ทุกอย่างหยุดหมดเลย’ เขาทำอะไรไม่ได้ บางทีมันก็เป็นการที่เราต้องค่อย ๆ ปล่อยเรื่องนั้นวางลง
เมื่อไม่กี่วันมานี้ก็ยังมีคนมาเล่าถึงสิ่งที่เคยเกิดขึ้นแล้ว มันไม่มีแล้ว แล้วไปต่อไม่ได้ เราก็ให้คำแนะนำไปมา ๆ ประมาณนี้แหละ แต่สุดท้ายแล้วตัวเขาเองก็เลือกที่จะเดินกลับไปเอง ไปเจอสิ่งนั้นในสถานการณ์และสถานะที่เปลี่ยนไปแล้ว เพราะงั้นมันเป็นแบบ อ้าว ถ้าอย่างนี้เราเป็นคนเลือกที่จะยังเดินกลับไปตรงนั้นน่ะ หัวใจเราก็ต้องยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นให้ได้ดิว่าถ้าเดินกลับไปก็ต้องเจออย่างนี้ ถ้าจะไปต่อให้ได้มันต้องวางเรื่องนี้ลง ต้องเอาตัวเราออกมาจากตรงนั้นให้ได้ ซึ่งเราเข้าใจว่ามันยาก ไม่งั้นมันก็วนอยู่อย่างนั้นไม่ไปไหนสักที
ในที่สุดแล้ว
เราเป็นคนที่ติดพูดว่า ‘ในที่สุดแล้ว’ มาก ๆ ซึ่งเราไม่รู้ตัว แล้วตอนเอาเพลงเข้าไปมิกซ์กับนิ้ม วง Goose เขาทักว่า ทำไมพี่เล็กชอบพูดว่า ในที่สุดแล้ว เราก็เฮ้ย ไม่รู้จริง ๆ แต่นิ้ม ในที่สุดแล้วอะ… ก็ยังพูดอยู่อีก ส่วนในเพลงมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับ มันจะดีกว่าไหมถ้าความรักมันเป็นเรื่องของการที่… เหมือนเรายืมมาจากห้องสมุดอะ เราขอยืมความรักหน่อย แล้วพอไม่ใช้ ก็เอากลับไปวาง แล้วคนอื่นจะได้มาใช้ต่อ อันนี้พูดแบบเซอร์เรียลนะ แต่ว่า เพลงนี้มันพูดถึงการที่ให้เรายอมรับว่าเรื่องนั้นมันไม่มีอีกต่อไปแล้ว ต่อให้เราพยายามกันมากแค่ไหน เหมือนกับเวลาคนเลิกกันก็บอกว่า ‘อ้าว ทำไมเลิกกันล่ะ ไม่เห็นจะมีเหตุผลอะไรที่น่าจะเลิกกัน’ ก็แค่ความรักมันหมดไปแล้วแค่นั้นเอง มันไม่เห็นต้องหาเหตุผลเลย
อันนี้เราเคยพูดเหมือนกันว่า เคยเจอไหม คนบางคนบุกบ้านเข้าไปทำร้ายผู้หญิงเพราะเขามาอยู่กับแฟนใหม่ แล้วถามหน่อยดิ ทำจนเขาตาย เอาหัวใจเขากลับมาได้เหรอ ความรักมันไม่มีอยู่เพราะหัวใจเขาไม่ได้อยู่กับเราแล้วจริง ๆ ยอมรับเถอะ เพราะงั้นก็แค่ยอมรับว่ามันเคยเกิดขึ้น แต่ตอนนี้มันไม่มีแล้ว ไม่ต้องหาเหตุผลอะไรเลย ยิ้มแล้วเดินจากมาแค่นั้นเอง จะมาบอกว่าเธอเป็นอย่างนู้น ฉันก็เลยเป็นอย่างนั้น อย่าโทษกัน อย่าหาเหตุผลฉลาด ๆ มาทุ่มใส่กัน มันแค่ไม่มีความรักกันอีกต่อไปแล้ว ไปเถอะ
9
เป็นโจทย์ของแสงโสมที่เขาอยากได้เพลงที่ให้กำลังใจ ก่อนหน้าเพลง 9 เราก็เหมือนได้ทำเพลงให้กำลังใจคนบ้าง ซึ่งก่อนหน้านั้นเราไม่คิดว่าเราทำได้ เพลงเรามันไม่เคยให้กำลังใจใครอยู่แล้ว (หัวเราะ) เราฟังเรายังแย่เอง แต่มันก็ผ่านหลาย ๆ เพลงมาทั้ง ร่องน้ำตา มันก็เป็นเพลงที่พูดถึงการให้กำลังใจคนอื่น พอเพลง 9 ก็เป็นโจทย์เดิม แต่จะพูดยังไงให้คนรู้สึกกับเรื่องนี้ในรูปแบบอื่น
มันก็มีหลาย ๆ ครั้งที่ เคยเป็นไหม ‘ฉันอยากเล่นเปียโน’ แล้วเพื่อนจะบอกว่า ‘เฮ้ย มึงเล่นไม่เป็น อย่าเล่นเลย’ เอ้า จบเลยหรอ ยังไม่ทันได้ลอง ทำไมเราต้องรู้สึกว่าเราทำไม่ได้ มันคงมีหลายเรื่องในชีวิตแหละที่เราทำไม่ได้จริง ๆ แต่ในหลาย ๆ ครั้งเราจะยอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มต้นเลยหรอ เพลงนี้เหมือนกับทำให้คนลุกขึ้นมาทำอะไร ให้พยายามมองเข้าไปหาตัวเองให้เจอจริง ๆ ว่า ที่จริงเราทำตรงนี้ได้ แต่อาจจะรู้สึกไม่เก่ง รู้สึกว่ายังทำได้ไม่ดี เพราะเราอาจจะยังไม่ได้ให้เวลากับมันเต็มที่หรือเปล่า หรือบางทีมีบางคนที่ทักเรา อย่างครอบครัวเราเองบอกว่า ‘อย่าไปเลยลูก ทำไม่ได้หรอก’ คือถ้ามันไม่ได้เป็นเรื่องผิดกฎหมายหรือทำร้ายคนอื่น มันไม่เห็นต้องกลัว เราลองได้ในหลาย ๆ อย่างเลย อยู่ดี ๆ เราจะไปเดินหิมาลัย จะดำน้ำใต้ละเทลึกเงี้ย เราลองได้อยู่แล้ว มันไม่ได้เป็นเรื่องไปรบกวนใครหรือตำรวจจะจับ
ตอนเขียนเพลงนี้เป็นช่วงที่แม่เราเข้าโรงพยาบาล เราก็เข้าไปเยี่ยมเขา เราเห็นคนบางคนที่อยู่ในโรงพยาบาลเขาอยากแค่กินน้ำสองหยด เขาแค่ต้องการแค่นั้นอะ ขณะที่บางคนอยากไปปีนเขา ดำน้ำ เข้าป่าหนึ่งเดือน หรือทำอะไรที่มันเรื่องใหญ่มาก ๆ ความต้องการของคนเรามันไม่เหมือนกันจริง ๆ เราแค่รู้สึกว่า ถ้าทุกคนตั้งใจที่จะทำอะไรแล้วทำได้ แล้วประสบความสำเร็จ มันน่าจะเป็นเรื่องดี
เราเชื่อว่าเพลงบางเพลงที่เราได้ฟัง เพลงต่างประเทศที่มันดังมาก ๆ ทั่วโลก เขาอาจจะเขียนให้ผู้หญิงแค่คนเดียวคนนั้นก็ได้ เพราะสิ่งที่พูดในเพลงเพลงนั้นมันอาจจะทำให้คนอื่นรู้สึกได้เช่นกัน เลยคิดว่าบางทีเราทำอะไรเล็ก ๆ ก็ได้แล้วจะกลายเป็นเรื่องใหญ่โต ก็เป็นไปได้ทั้งนั้น ดังนั้นก็อย่าดูถูกตัวเอง (FJZ: ทำไมถึงเอาเพลงนี้มารวมในอัลบั้ม) มันเป็นช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกันมาก ก็เลยรู้สึกว่าเราอยากเอาเพลงนี้มาไว้ในอัลบั้มเหมือนกันนะ เพราะมันก็ยังเป็นเรื่องที่เราอยากพูดให้คนได้ฟังจริง ๆ ก็เลยคุยกับทางแสงโสม ซึ่งเขาก็ไม่ได้ติดอะไร แค่เนื้อหากับดนตรีมันจะโดดจากเพลงอื่น
เมื่อวันนี้
เพลงนี้เราถูกแก้เนื้อครั้งใหญ่มาสองครั้ง จริง ๆ มันจะไปอยู่ในหนังเรื่องนึง แต่ก็นานมากแล้ว พอถูกแก้ไขเนื้อแล้ว มันก็เลยกลายเป็นสิ่งที่เราพูดถึง เมื่อวันนี้ สำหรับเราเนื้อเพลงมันก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไร พูดถึงแบบ เธอจะยอมทิ้งเมื่อวานลงได้หรือเปล่าเมื่อเราจะอาศัยอยู่ในวันนี้ เราว่ามันขึ้นมาค่อนข้างชัดเจนนะว่าเราพยายามพูดถึงเรื่องอะไร ในการที่คนเราไปต่อไม่ค่อยได้เพราะเราแบกอดีตไว้เยอะมากมายหรือเปล่า ในขณะที่เราเดินไปแล้วรู้สึกว่ามันหนักมาก ถ้าหันกลับมามองเราอาจจะมีถุงใบใหญ่มาก ๆ ที่มันมีอดีตบางเรื่องที่เราไม่ยอมปล่อยมันสักที
นิรันดร์
หนึ่งในสิ่งที่เราคิดว่ามันทำร้ายคนได้ มันคือความทรงจำ แล้วบางทีเราก็ไม่แน่ใจว่าความทรงจำอันนั้นมันไม่ยอมไปไหนเพราะเราเลือกจะเก็บมันไว้เอง ทีนี้มันน่าจะดีกว่าไหม ถ้าเมื่อความสัมพันธ์มันจบลง แล้วคนที่จะเดินจากไปเขากลับมาเก็บความทรงจำไปก่อน ไอ้คนที่อยู่มันจะได้ไม่มีความทรงจำของช่วงเวลานั้น แล้วเขาจะไม่ทรมาน แต่มันจะเกิดขึ้นไม่ได้ไง สิ่งนั้นไม่มีอยู่จริง เพราะงั้นมันเป็นการที่เราต้องฮีลตัวเอง ต้องเอาตัวเราออกมาจากตรงนั้นให้ได้จริง ๆ เราต้องเคลียร์ปัญหาความทรงจำนี้ให้ได้ ในช่วงเวลาที่เราย่ำแย่ ต่อให้เรามีเพื่อนเยอะแยะแค่ไหนก็ตามอยู่รอบตัวเรา แต่เมื่อไหร่ที่เพื่อนเรากลับ ความรู้สึกแบบนั้นมันจะพุ่งเข้ามาชนเราทุกที ก็เลยเป็นที่มาของคำว่านิรันดร์
เหตุการณ์ล่วงหน้า
ถ้าเรารู้ว่าคนคนนึงเดินเข้ามา แล้วเขาบอกเราว่าเราจะคบกัน 2 ปี 3 เดือน 11 วัน 21 ชั่วโมง แล้วเขาเป็นคนแบบนี้ ๆๆๆ เราจะยังคบเขาอยู่หรือเปล่า ถ้าเรารู้ล่วงหน้าว่า อ๋อ มันจะเกิดแบบนี้ เราจะยอมให้ความสัมพันธ์มันเกิดขึ้นอยู่ไหม เพราะเวลาคนเราคบไป บางคนบางคู่อาจจะรู้สึกว่าไม่น่ามาคบกับคนคนนี้เลย
Technicolor
มันคือเพลงเดียวกับเพลง ตาบอดแสง ซึ่งตอนที่แต่งขึ้นมาเรารู้สึกว่าเพลงนี้มันจบแล้ว เราไม่อยากใส่เนื้ออะไรมันเลย แบบเออ ไม่ต้องมีเนื้อก็ได้นี่ แต่พอคิดไปคิดมาแล้ว เราเอาเรื่องที่เรามีเข้าไปใส่ในนั้นดีกว่า จนมันกลายเป็นตาบอดแสง แต่เราก็ยังเสียดายเวอร์ชันแบบที่มันยังไม่มีอะไรอยู่ ก็เลยทำอีกเพลงนึงขึ้นมา มันอาจเป็นเพลงที่เห็นสีสันของอัลบั้มชัดเจนเพลงนึงด้วย
แรงสั่นสะเทือน
เป็น hidden track ไม่มีอะไรครับ เป็นเพลงทดลองเฉย ๆ อยากทำเอาสนุกแค่นั้นเอง (ยิ้ม)
การเรียงลำดับปล่อยเพลงแต่ละเพลงขึ้นอยู่กับอะไร
อย่าง ยามวิกาล เนี่ย ตั้งใจมาก ๆ เลยว่าจะให้ปล่อยหน้าหนาว เพราะว่าภาพมันเย็น ถ้าเปิดหน้าร้อนมันจะไม่เข้า แต่ในที่สุดแล้วเมืองไทยก็ไม่ได้เย็นขนาดนั้น แค่มันก็มาในช่วงเวลาที่อากาศก็ค่อนข้างเย็นเป็นบางวัน เราว่าวิธีการปล่อยเพลงมันอยู่ที่เราต้องการบอกอะไร อย่างเช่นซิงเกิ้ลแรก ปะติดปะต่อ มันเหมือนเป็นการสะกิดไหล่ว่าอัลบั้มนี้เรามาแบบนี้นะ พอเป็นซิงเกิ้ลสองถึงค่อยเป็น ระเบิดเวลา ที่คนค่อนข้างเก็ต เพราะงั้นวิธีการเลือกเพลงมาปล่อยมันต้องใช้การตัดสินใจประมาณนึงว่าเพลงอะไรก่อนหลัง หรืออย่างการเรียงเพลงในอัลบั้มมันก็สำคัญว่าเราจะเล่าอารมณ์ให้คนรู้สึกอย่างไรตั้งแต่ต้นจนจบ
ถ้า Technicolor เป็นหนังเรื่องนึง จะเป็นหนังแบบไหน
มันจะเป็นหนังที่ไม่เรียงเรื่องแน่ ๆ แต่เป็นหนังที่พูดถึงความสัมพันธ์ของคนในเมือง ที่มีไฟ แสงสีเยอะ ๆ
ใช้เวลานานขนาดไหนกว่าจะเข้าใจชีวิตและความสัมพันธ์ขนาดนี้
เราก็โตนะ เจอเรื่องอะไรมาประมาณนึง ไม่ถึงกับว่าเยอะแยะมากมาย แต่เวลาเราเจอเรื่องอะไรแบบนี้มาเราจะจมนานมาก เราจะไม่พ้นสักที เราก็ค่อนข้างเป็นคนเซนซิทิฟแหละ แต่ถ้าคิดในแง่ดีคือพอเราจมนานเราจะเริ่มเห็นดีเทล แล้วในระหว่างที่จมช้า ๆ เราจะเริ่มเห็นว่ามันเกิดสิ่งนี้ สิ่งนั้น สิ่งนู้น ในวันนั้นที่เกิดเหตุมันมีอะไรบ้าง มันก็อาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้เราเห็นรายละเอียดเพิ่มมากขึ้น
จะเขียนหนังสืออีกไหมนอกจาก ‘Destination to Nowhere’
เราเขียนหนังสือไม่เป็นอะ อันนั้นเป็นแค่การจด ๆๆๆ ที่มา ว่าอยู่ดี ๆ อาจจะมีประโยคแบบ ‘ก็เวลา ยังไม่เดินเป็นเส้นตรง แล้วความรักที่มั่นคง จะมีจริงไหม’ เราก็เอาจากตรงนั้นมาต่อยอดเป็นหน่ึงเพลง เหมือนเป็นแค่ดึงบรรทัดนึง หรือประโยคบางประโยคมาเท่านั้นเอง ถ้าให้เขียนจริงจังอะ เราอาจจะไม่เก่ง แต่ยังไม่เคยลองจริงจัง แค่คิดว่ามันยากมากเพราะต้องเล่าเรื่องยาวมาก ปกติเพลงนึงเราสามารถจบได้ในเวลาเท่านี้ ในหน้ากระดาษเท่านี้ พอเป็นเรื่องสั้นที่มันจะต้องเล่าเยอะก็คิดว่าไม่น่าจะเล่าได้ดี
มีเรื่องราวแง่มุมไหนในชีวิตของพี่เล็กที่อยากเอามาเขียนเป็นเพลงอีกไหม
อย่างเพลง ความบังเอิญ ก็จะเป็นมุมที่เราไม่ค่อยพูดเรื่องแบบนั้นเพราะมันบังเอิญจริง ๆ หรืออย่างเพลง ร่องน้ำตา หรือเพลง 9 มันจะพูดเรื่องการให้กำลังใจคน นอกจากเพลงพวกนี้มันจะพูดถึงความทรงจำ หรือความสัมพันธ์ ที่เราเชื่อว่าความสัมพันธ์ของคนมันไม่เคยเชย มันเกิดขึ้นตลอดเวลา ต่อให้เป็นตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายาย จนถึงทุกวันนี้คนก็ยังรักกัน คนก็ยังเลิกกันเหมือนเดิม ไอ้ก้อนความรักเนี่ยมันอาจจะมีมุมบางมุมที่เราไม่เคยเล่าเลยก็ได้ อะ รักกันเลิกกันจริงแหละ แล้วมันมีไอ้เพลงแบบเนี้ยทั้งนั้นเลย แต่เราจะพูดถึงเรื่องนี้ด้วยวิธีไหน
เป็นคนที่ต้องทัวร์คอนเสิร์ตเยอะมาก เคยเบื่อเซ็ตลิสต์ตัวเองบ้างไหมกับบางเพลงที่ต้องร้องซ้ำ ๆ
เคยมี ๆ แล้วเราก็อาจจะให้ทีมเทคนิเชียนที่เป็นน้องที่ทำด้วยกันดูให้ ‘วันนี้ลองเรียงลิสต์ซิ มันจะยังไง’ แล้วแบบ เฮ้ย เจ๋งอะ แต่ว่ามันเคยมีงานงานนึง A Blink of Time ที่เราจัดที่ De Commune เป็นงานเปิดตัว mv เพลง รอยกระพริบตา เราให้คนเขียนเพลงที่เขาอยากฟัง แล้วเราก็จะเลือกมาเล่น นั่นแหละเราถึงได้รู้มากขึ้นว่าคนอยากฟังหลายเพลงที่เราไม่เคยเล่นเลย มันก็ทำให้มาปรับใช้กับลิสต์เพลงต่าง ๆ แต่ถ้าถามว่า ถ้าเกิดมันไม่ได้ถูกปรับเปลี่ยน ไม่ใช่แค่เราหรอก คนฟังก็จะเบื่อ แบบ เอาอีกละเพลงนี้ ซึ่งแน่นอนแหละมันจะมีบางเพลงที่ไม่เล่นก็ไม่ได้ แต่ว่าถ้านอกเหนือจากเพลงพวกนั้นมันสามารถเล่นบางเพลงที่ไม่ค่อยเล่นก็ได้ แต่มันต้องดูสถานที่ด้วย ดูว่าคนประเภทไหน อยู่ในจังหวัดอะไร มันต้องวิเคราะห์เหมือนกันว่าคนทางนี้น่าจะชอบฟังเพลงประเภทนี้มากกว่า เป็นเรื่องที่ต้องคอยดูตลอด (FJZ: ตอนเล่นงานเห็ดสดเป็นไงบ้าง) ดีนะ ชอบ ๆ หรืออย่างเพลงบางเพลงเงี้ย ยามวิกาล ก็ได้ ก่อนหน้านี้นานแล้ว เราเล่นค่อนข้างเหมือนกับในซีดี แล้วเรารู้สึกว่ามันย้วยมาก มันก็ถูกปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่เหมือนกัน จนเพิ่งเล่นไปครั้งสองครั้งที่ถูกปรับมาเป็นแบบใหม่ แล้วมันสนุกมากขึ้น แม้แต่เพลง ฝืน หรือ สิ่งเหล่านี้ มันถูกปรับมาให้เล่นสดแล้วสนุกขึ้น
แล้วก่อนหน้านี้ก็ยังไม่ค่อยกล้าเอาเพลงใหม่ไปเล่นด้วยหรือเปล่า
ใช่ เรารู้สึกว่าช่วงเวลานี้เริ่มค่อย ๆ เอามาเล่นได้แล้วหลังจากปล่อยอัลบั้มมาปีกว่า ๆ ไม่อย่างนั้นถ้าช่วงที่ปล่อยอัลบั้มแล้วเล่นเลยเนี่ย โห เรายังไม่มีเวลาให้คนฟังย่อยเลย แม้แต่ ยามวิกาล ก็เพิ่งเอามาเล่น หรืออย่าง นิรันดร์ ก็เล่นบ้างไม่เล่นบ้าง แต่อย่าง ระเบิดเวลา จะค่อนข้างกล้าเล่นหน่อยเพราะคนน่าจะรู้สึกว่าฟังไม่ยากมาก แต่ในเพลงอย่าง ตาบอดแสง เคยเล่นแล้วแบบ… ตึ๊บสุด ๆ เลยฮะ เราเคยคิดนะว่าคนจะตึ๊บไหม หมายความว่านิ่งแบบ ไม่เข้าใจว่าเล่นอะไร หรือบางคนอาจจะยังไม่มีอัลบั้มแล้วไม่รู้ว่าเพลงอะไร แต่เราว่าในบางครั้งเราควรเล่นเพลงบางเพลงที่เขาอาจจะยังไม่รู้จัก หรือเพลง B side เหมือนเป็นการนำเสนอสิ่งที่เขาไม่ค่อยได้ฟัง แบบมีตอนนั้นอยากเล่นเพลงนี้จริง ๆ นิ่งก็นิ่ง ไม่เป็นไร หรืออยากเล่นเพลงอัลบั้มเก่า ๆ ก็เริ่มเอามาเล่นบ้างแล้ว ภาพชินตา อะไรเงี้ย พอมาเล่นก็ไม่ได้แย่มาก ที่สำคัญคือผู้เล่นจะรู้สึกสนุก
เล่นงานใหญ่ ๆ มาเยอะมาก พอได้กลับมาเล่นที่เล็ก ๆ เป็นยังไงบ้าง
(ตอบทันที) ชอบมาก สุด ๆ เลย ล่าสุดไปเล่นที่เชียงใหม่มา ร้านเล็กมากถึงขนาดที่เราเอาเปียโนปกติเข้าไปไม่ได้ เราก็ต้องเอาตัวเล็กเข้าไป แล้วเป็นร้านอยู่ริมถนนเงี้ย วันนั้นอากาศเย็น คนก็ได้ประมาณซักร้อยสองร้อย แต่นั่นคือแน่นมากแล้ว แต่สนุกมาก คือเราชอบเล่นร้านเล็กมากเลยอะ คนดูกับคนเล่นได้อยู่ใกล้กัน เคยเล่นอยู่ที่นึงที่ระยอง หลับตาร้องเพลงอยู่ลืมตามาอีกทีไอแพดอยู่ตรงจมูกเราเลยอะ แล้วมันรู้สึก โห เดือดมาก เราได้เจอกันอย่างนี้ เล่น ๆ อยู่แล้วมากอดกัน ชอบมาก ชอบจริง ๆ คืองานใหญ่ก็สนุกครับแต่มันก็อีกแบบนึง แต่พอร้านมันเล็กอะ โห มาเลย Greasy Cafe ไม่เคยเกี่ยงเลยว่าร้านจะเล็กแค่ไหน คนจะเยอะแค่ไหน จังหวัดจะอยู่ไกลแค่ไหน ถ้าเขาอยากให้ไปก็คือเขาอยากฟัง เราต้องเล่นให้เขาฟัง
ได้มาร่วม Crossplay กับ ฟังใจ ทำไมถึงเลือกเพลง อย่าเลย…อย่า (ทรมาน) ของ Moving and Cut มาทำ
เรารู้สึกว่าเพลงของ Moving and Cut เขาพูดเรื่องใกล้เคียงกับสิ่งที่เราพูดเหมือนกันนะ แล้วเพลงก็เพราะดีด้วย แล้วเราคิดว่าถ้าเอาเพลงแบบนี้มาทำใหม่ เราจะทำยังไง ตอนนั้นเลือกอยู่หลายเพลงเหมือนกัน จนมาจบที่เพลงนี้ที่รู้สึกว่าเราจะเล่าได้เข้าปาก ก็เลยฟังแล้วหาคอร์ดว่ามันคือคีย์อะไร พอฟังแล้วจำได้ปุ๊บก็ไม่ฟังอีก แล้วเราก็ทำเลย ไม่งั้นถ้าเราฟังเยอะแล้วเราจะติดว่าอ๋อ คอร์ดนี้ต้องไปคอร์ดนั้น แต่ถ้าทำแบบเราบางคอร์ดหรือบางช่วงของเพลงของเขาจะหายไปเลย ซึ่งก็ดีนะ สดชื่นดีพอทำอะไรแบบนี้
Crossplay เท่าที่เราเข้าใจคือเอาวงใหญ่ไปทำกับวงเล็ก วงเล็กมาทำกับวงใหญ่ เราไม่เคยรู้สึกว่าเราคือวงใหญ่ เรารู้สึกว่าทั้งเราและเขาคือวงดนตรี เรามาแลกกันทำ เหมือนมาเตะบอลกัน
ได้ฟังนิรันดร์เวอร์ชัน Moving and Cut แล้วเป็นยังไงบ้าง
ดี! ยิ่งเมโลดี้ตอนฮุกคือคิดว่า โห ร้องแบบนี้ได้ด้วยหรอ เราก็ไม่เคยรู้ว่าจริง ๆ แล้วเมโลดี้แบบนี้ก็เพราะดีนะ ฟังตอนแรกจะรู้สึก เอ๊ มันยังไงนะ แต่พอฟังรอบที่สามคือ เออ เขาไม่ควรต้องแก้อะไรอีกแล้ว ซึ่งเราได้เจอกับ Moving and Cut สักพักใหญ่ ๆ ละ แล้วเขาก็บอกว่า ‘ทำเสร็จแล้วพี่’ เราบอก ‘เอ้าหรอ แล้วของเราได้ฟังยัง’ เขาบอกยัง ‘แต่ว่าต้องส่งกันเมื่อไหร่‘ เราบอก ‘เราไม่แน่ใจนะ แต่เหมือนยังพอมีเวลา’ เขาบอก ‘หรอ งั้นผมขอกลับไปแก้’ แต่ในที่สุดเขาไม่ได้แก้ เพราะงั้นเราได้ฟังเวอร์ชันที่ไม่ได้แก้ เป็นตอนนั้นที่เขาคิดจบแล้ว แล้วเรารู้สึกว่ามันจบแล้วจริง ๆ พอแล้ว ดีแล้ว
ตอนพี่เล็กแต่งเพลงให้คนอื่น ๆ ทั้งจิดา หรือปาล์มมี เคยเจอปัญหาว่าเพลงเหล่านั้นติดคาแร็กเตอร์ของเราไหม
เราต้องพยายามเอาตัวเราเป็นเขาให้ได้ว่า ถ้าเขาพูดแบบนี้มันจะโอเคไหม เขาจะเคอะเขินไหมในการพูดคำนี้หรือประโยคนี้ อย่างของจิดาเนี่ยไม่เท่าไหร่เพราะเรารู้จักจิดาประมาณนึงเลย เราจะรู้ว่าเพลงนี้จิดาร้องได้ แต่อย่างตอนที่ร่วมงานกับมี่ นั่นอะคุยกันเยอะมาก เยอะจริง ๆ ซึ่งมันเกิดจากการที่ต้า Paradox มาคุยกับเราก่อนว่ามีโปรเจกต์นึงอยากให้ลองมาช่วยกันดู พอรู้ว่าเป็นมี่เราบอกว่าเราไม่ทำหรอก ในตอนนั้นนะ เราก็เป็นแฟนเพลงเขามาแต่ไหนแต่ไร พอจะมาแต่งให้เขาก็แบบ โห ต้า อย่าเลยดีกว่ามั้ง ไม่ใช่เราไม่อยากแต่งให้เขา แต่เราคิดว่าเราไม่เก่งพอที่จะทำให้เขา ต้าก็บอกว่าพี่ลองก่อนก็ได้ เขาก็ให้โจทย์ เล่าเรื่องมาประมาณนึงว่าเป็นแบบนี้ มันก็เลยเกิดเป็น ทุ่งสีดำ ในเพลงแรก ซึ่งเราก็ชอบ เรารู้สึกว่ามี่น่าจะร้องเพลงแบบนี้ได้นะ ‘ม่านฝนที่โปรยมา’ มันอาจจะดูเซอร์นิดนึง แต่เขาก็ทำได้ดีมาก ๆ แล้วต่อมาด้วยเพลง Butterfly ก็ยากเหมือนกันครับ แต่เป็นเรื่องสนุกที่ท้าทายมาก ๆ ก็ดีครับ ได้มีโอกาสลองทำอะไรแบบนี้
ชุดคำที่พี่เล็กใช้มักจะมีความน่าสนใจเสมอ
เราแค่รู้สึกว่าเรามีเวลาเล่าน้อยในแต่ละเพลง 3-4 นาทีกว่า เพราะงั้น เราจะเล่าเรื่องอกหัก รักกัน เลิกกัน ยังไงให้สามารถถ่ายทอดสิ่งที่เรารู้สึกในวันนั้นได้ สมมติเราจะรวบประโยคยังไงให้มันจบเลย คือเพลงบางเพลงพอมันได้โครงขึ้นมา ไอ้ตอนที่ขยี้คำ อาจจะแค่หาคำคำเดียว แต่มันใช้เวลานานมาก เรารู้สึกว่าเราต้องพูดแบบนี้ถึงจะแทนความรู้สึกนั้นได้จริง ๆ เราไม่ได้รู้สึกว่าต้องพยายามใช้คำยาก ๆ คนจะได้อิน ไม่เคยเลย นี่พยายามให้ง่ายที่สุดแล้ว เลยเป็นคำแปลก ๆ บ้า ๆ บอ เหมือนอย่างสมมติพูดว่า ‘ม่านฝนที่โปรยมา’ คือมันเป็นม่านลงมาอย่างนั้นเลยนะ ไม่อย่างนั้นเราจะบอกว่า ‘ฝนตกหนัก’ หรอ มันแทนคำไม่ได้อะ ถ้าเราพูดว่า ‘ม่านฝน‘ สำหรับเรามันคือหนาตามาก
รู้สึกยังไงเวลาคนมองว่าพี่เล็กเป็นเจ้าพ่อเพลงเศร้า
ไม่ได้คิดอะไร เราไม่คิดว่าเราทำเพื่อจะเป็นอะไร แต่ว่าถ้าคนจะมองว่าเราเป็นอะไร มันก็ห้ามใจใครไม่ได้ เราก็แค่ได้ทำงานที่เรารัก แค่นั้นพอแล้ว
อยู่วงการมา 20 ปี เห็นตัวเองเปลี่ยนแปลงไปยังไงบ้าง เป้าหมายตอนที่เริ่มทำตอนแรกจนถึงตอนนี้ยังเหมือนเดิมไหม
เราว่าเราเริ่มต้นด้วยการไม่มีโกล เราเริ่มด้วยการแค่ทำให้เสร็จหนึ่งอัลบั้ม มีทั้งหมด 12 เพลง แค่นั้นดีใจมากแล้ว ไม่เคยคิดว่า เอ้า ทำอัลบั้มสอง เอ้า ได้ทำอัลบั้มสามด้วยหรอ ไม่เคยคิดว่าพอเราทำได้ห้าอัลบั้มแล้ว ประสบความสำเร็จแล้วจะจบโกล แต่ว่าสิ่งที่มันเปลี่ยนแปลงมาตลอดคือเราอยู่กับมันได้จริง ๆ เราอยู่ได้ด้วยการทำงานแบบนี้ ให้พอจะมีเงินกินข้าวได้จริง ๆ นั่นคือสิ่งที่เปลี่ยนแปลงที่เห็นผลจากที่เริ่มแรกว่า โห วันนี้จะทำยังไงดี จะอยู่ยังไง งานไม่มีเลย อย่างที่หลาย ๆ คนรู้ว่าวงการดนตรีสมัยนี้มันอยู่ได้ด้วยโชว์ ต้องเล่นอะ ถ้าไม่มีคอนเสิร์ตมันยากมาก ก็ดีขึ้น
แต่ถ้าไม่ได้ประสบความสำเร็จมาในระดับนึงก็ไม่ใช่อาชีพที่หาเลี้ยงตัวเองได้ซะทีเดียว
ก็อาจจะมั้ง ไม่รู้อะ ในวันที่เราทิ้งการถ่ายภาพ นั่นคือเราบอกกับตัวเองว่า ถ้าไม่มีตังกินข้าวอย่ามาร้องโอดครวญนะ เพราะเราเลือกตัดสินใจเอง เพราะงั้นมันก็ผ่านช่วงกระท่อนกระแท่นสุด ๆ มาแล้ว แต่เราได้คุยกับตัวเองเยอะว่ามันคือสิ่งที่เราอยากทำจริง ๆ หรือเปล่า เรายังมี passion กับมันอยู่บ้างไหม ถ้าใช่ ทำไปเถอะ ไม่เป็นไร เดี๋ยวค่อยว่ากัน เรายังรักที่จะทำกับมันมาก ๆ ก็ยังทำต่อไป เดี๋ยวมันก็จะดีเอง อย่าง Greasy Cafe ก่อนที่มันจะเริ่มโอเค มันไม่ใช่แค่ปีเดียวแล้วมันโอเคนะ มันหลายปีมาก เมื่อไม่นานมานี้เองจริง ๆ นะที่รู้สึกว่ามันเริ่มพอได้บ้างแล้ว เพราะทุกวันนี้มันก็ไม่ได้ถึงระดับว่าสบาย
เคยโดนเอฟเฟกต์ของการเป็นศิลปินดังกระทบกับชีวิตบ้างไหม
เราไม่เคยรู้สึกว่าเราเป็นศิลปิน มันเลยไม่เคยกระทบชีวิตเราเลย ไม่เคยรู้สึกแม้แต่วันเดียว วินาทีเดียว เราอาจจะได้ยินในวันที่เขาประกาศรางวัลแล้วเราก็ได้ในฐานะศิลปิน แต่ในใจเราตั้งแต่วันแรกจนถึงตอนนี้ที่นั่งคุยกันอะ ในเส้นทางการทำดนตรี เราไม่เคยคิดว่าเราเป็นศิลปิน เราก็แค่คนทำเพลงแค่นั้นเอง เราไม่ได้เป็นใครตั้งแต่แรก แล้วเราจะรู้สึกว่าเราเป็นใครทำไม ไม่เห็นต้องรู้สึกแบบนั้น
วางแผนทำอัลบั้มหน้าหรือยัง
เราเริ่มที่จะขยับนิดหน่อยแล้ว แต่ว่ามันยังไม่มา ก็มีหลายคนบอกว่าชอบอัลบั้มนี้นะ หรือบอกว่าอยากฟังพี่ทำกีตาร์โปร่ง ที่เราทำแต่อัลบั้มที่ผ่านมา เราก็ไม่รู้จริง ๆ ว่าอัลบั้มนี้จะทำแบบนี้ ๆๆ ไม่เคยรู้สึก เลยไม่รู้ว่าอัลบั้มห้าจะเป็นยังไง แต่อยากทำ
เร็ว ๆ นี้จะมีโปรเจกต์อะไรไหม
1 กุมภาพันธ์จนถึงสิ้นเดือน จะมีงาน 101 จัดที่ปุณวิถี ซึ่งแน่นอนว่าเราจะมีไปเล่นวันนึง วันที่ 8 แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นตลอดทั้งเดือนมันจะมีสิ่งที่เรียกว่า Love Room เป็นห้องของศิลปินแต่ละคน มี สิงโต นำโชค ฮิวโก้ ของเราก็มีห้องนึง จะจำลองห้องทำงานเราประมาณนึง แล้วจะมีหูฟังให้ฟัง เสมือนว่าสิ่งที่เราได้ยินตอนที่เราทำเพลง เขาค่อนข้างจะได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้นในหู ใกล้เคียงประมาณนั้น เหมือนให้เขาได้มาแชร์ประสบการณ์ว่ามันเกิดอะไรขึ้นในหัว มีเป็นไลน์กีตาร์นั้นนี้ให้เลือกฟัง มีโต๊ะทำงานเรา แล้วก็เครื่องดนตรีที่เราใช้จริง ๆ ในอัลบั้มอะไรงี้บางส่วน บางอันก็ไม่ได้ใช่แต่เป็นเครื่องดนตรีจริงที่เราเคยใช้อยู่ตรงนั้น
ฝากถึงศิลปินรุ่นใหม่
เคยมีคนถามเราว่า พี่เล็กครับ ผมอยากแต่งเพลง ผมต้องทำยังไง process ของการทำเพลงเดี๋ยวนี้มันไม่ได้ใช้เงินเยอะจริง ๆ โดยเฉพาะขั้นตอนการเริ่มต้น แค่กระดาษแผ่น กีตาร์ตัวนึง แล้วก็ปากกา แทบจะเป็นอะไรแค่นั้นเลย โทรศัพท์มันก็อัดเสียงได้ ไม่ต้องใช้เครื่องอัดเสียงแบบนั้น นั่นแหละฮะ มันต้องเริ่มเลยจริง ๆ
แล้วอย่าไปกลัวว่าแนวนี้ หรือร้องแบบนี้คนจะชอบมั้ย ไม่เป็นไร อันนั้นเอาไว้ก่อน ทำมันให้ได้ก่อน แล้วถ้ามันเป็นสิ่งที่เราอยากทำจริง ๆ อย่ารอเวลาเลย ต่อให้อายุน้อยแค่ไหน ทำเลย ถามตัวเองก่อนว่า ถ้าอยากทำเรื่องนี้จริง ๆ ก็ทำให้เต็มที่ก่อน อย่าไปห่วงเรื่องอย่างอื่น
สำหรับใครที่อยากฟังอัลบั้ม Technicolor แบบเต็ม ๆ สามารถเข้าไปฟังบนสตรีมมิง ฟังใจ ได้ >ที่นี่< เลย