FFK is Back! เพราะ ‘เพลงพาไป’ เฟย์ ฟาง แก้ว เลยกลับมาชวนย้อนความหลังยุค Kamikaze
- Writer: Montipa Virojpan
- Photographer: Chavit Mayot
FFK หรือ เฟย์ ฟาง แก้ว เกิร์ลกรุ๊ปเบอร์แรกของ Kamikaze ค่ายเพลงที่โตมาพร้อม ๆ กับเรา และกลายมาเป็นสัญลักษณ์ของวัยรุ่นยุคนึงที่ก็ว่าได้
หลังจากที่หายไปเกือบ 5 ปี พวกเธอกลับมาพร้อมซิงเกิ้ลแรก เพลงพาไป (Love Track) ที่พาเอาภาพเก่า ๆ และดนตรีที่เราคิดถึงกลับมาอย่างครบถ้วน แต่คราวนี้พวกเธอวางแผนการทำงานเองทุกขั้นตอน Fungjaizine เลยชวน FFK มารำลึกความหลังกันในบ่ายวันพฤหัสบดี ที่ฝุ่น pm 2.5 ก็ไม่สามารถกลบความสดใสของพวกเธอได้
รู้สึกยังไงเวลามีคนบอกว่า Kamikaze เป็นอีกยุคทองของวัยรุ่น ต่อจากที่ Dojo City
เฟย์: ก็แฮปปี้นะ เพราะเรารู้สึกว่า Dojo City ไม่ใช่แค่ค่ายเพลง แต่มีอิทธิพลทางด้านอื่น ๆ ด้วย เช่น แฟชัน ทรงผม หรือไลฟ์สไตล์ต่าง ๆ มากกว่าแค่เพลง ก็ดีใจที่คนยังเรียกถึง แม้เวลาผ่านไปแล้ว พอ refer กลับไปก็ยังให้ความรู้สึกเหมือนเป็น cult นึง (หัวเราะ)
ได้ประสบการณ์อะไรตอนอยู่ใน Kamikaze บ้าง
ฟาง: เยอะมากเลยนะ เพราะเราเด็กมากจริง ๆ อายุ 14 กันเอง เราไม่รู้อะไรเลย เรามาพร้อมค่ายเพราะเป็นศิลปินเบอร์แรกที่ออกมา จะหัวหรือก้อยก็ไม่รู้ ด้วยความที่เป็นเด็ก เขาให้เราทำอะไรก็ทำนะตอนนั้น ซึ่งมันก็เป็นข้อดี เพราะบางครั้งการโตมันก็เป็นอุปสรรคต่อความคิดให้เราคิดเยอะจนเกินไป จนไม่ได้ใช้ใจ
แก้ว: ได้พัฒนาตัวเองเยอะมากเลยนะ อย่างแก้วเป็นคนขี้อาย เวลาร้องเพลงก็จะมองเพดาน ไม่ค่อยมองคนอื่น การที่เราได้เข้ามาตรงนี้ ได้ฝึกฝนตัวเอง พ่อแก้วยังบอกเลยว่า ไม่น่าเชื่อเลยว่าคนอย่างแก้วจะขึ้นคอนเสิร์ตเล่นต่อหน้าคนเป็นพันได้ มันทำให้เราเปลี่ยนไปเยอะมากจริง ๆ
เฟย์: เป็นช่วงเวลาที่นอกจากฝึกแล้วยังให้เราได้ค้นพบตัวเองเยอะขึ้นด้วย เพราะมันอยู่ในสถานการณ์ที่เราต้องใช้สิ่งที่เรามีในการทำหลาย ๆ อย่าง อย่างเราอาจจะไม่คิดว่าเราทำได้ขนาดนั้น แต่พอถึงคราวจริง ๆ แล้วเราก็ทำได้ มันก็ดีนะ ทำให้เราได้รู้สึกเต็มที่กับตัวเองและการใช้ชีวิต ณ ตอนนั้น
ฟาง: มันก็คือครึ่งชีวิตของเราเลยนะ เพราะเราอยู่ Kamikaze มาประมาณ 10 ปีได้ ช่วงเวลาการทำงาน การค้นพบตัวเอง และการค้นหาว่าเราชอบอะไรก็มาจากช่วงนั้น
การเข้าวงการตอนที่ยังเด็กมาก ๆ เราได้รับแรงกดดันจากสังคม และมันบังคับให้เราต้องรีบโตหรือเปล่า
แก้ว: เมื่อก่อน Kamikaze โดนเยอะมากเลยนะ โดนว่าว่าเป็นเกาหลี อย่างนู้นอย่างนี้ cyber bully มันมาตั้งแต่ตอนนั้น แล้วเรายังเด็กอยู่ก็ไม่รู้จักคำนี้ ‘เฮ้ย จริงหรอ มันเป็นอย่างที่เขาพูดหรอ’ ก็คือโดนกดดันจากทุกด้านเลย
เฟย์: ตอนนั้นเองเราก็คิดเยอะเหมือนกัน ไม่ใช่แค่ตัวเรา แต่คนที่ฟังเรา มันจะมีการที่เขาไม่กล้าพูดในที่สาธารณะว่าเขาชอบเพลงของ Kamikaze นะ กลัวคนอื่นจะมองว่าฟังเพลงอะไรก็ไม่รู้ เพราะพอเราโตมาก็ได้รู้จากหลายคนว่า สมัยก่อนการฟังเพลง Kamikaze ต้องแอบฟัง แต่สมัยนี้สามารถเปิดเผยได้เต็มที่
ฟาง: เราว่าเป็นเรื่องยุคสมัยที่แต่ก่อนคนที่ฟังเราก็เป็นเด็ก ก็จะตามกระแสสังคม พอโตขึ้นมาเขาก็เป็นตัวของตัวเองมากขึ้น ก็กล้าที่จะแสดงออกว่าเราชอบแบบนี้นะ ถ้าเกิดว่ามันไม่ได้ไปทำร้ายใคร หรือผิดต่อมนุษยธรรมมันก็ไม่แย่ที่เราจะยืนหยัดในสิ่งที่เราชอบ หรือเปล่า
เฟย์: ความที่ Kamikaze เป็นอะไรที่ใหม่และแตกต่าง คนยังไม่แน่ใจว่าทิศทางของค่ายมันจะไปยังไง มันจะประสบความสำเร็จได้นานแค่ไหน ออกมาแค่นิดเดียวแล้วหายไปเลยไหม เพราะงั้นคนที่ชอบก็อาจจะไม่แน่ใจตัวเองด้วยว่าฉันชอบจริงหรือเปล่า หรือพอชอบแล้วจะถูกตีสถานะทางสังคมแบบไหนกับเรา มันมีความกดดันจากคนรอบข้างด้วย
ฟาง: Kamikaze มันคือความแตกต่างที่แปลกใหม่มากสำหรับยุคนั้นที่อยู่ดี ๆ เด็กก็มารวมตัว มาร้องเพลง แต่ละคนก็มีไลฟ์สไตล์ การแต่งตัว การร้อง หรือแนวเพลงที่มันต่างกันไปหมด มันก็เลยเป็นความท้าทายของค่ายเราเหมือนกันที่จะทำยังไงให้คนเขายอมรับในความแตกต่างนั้น และมองว่าความแตกต่างนั้นก็เป็นสิ่งที่สร้างสรรค์
เฟย์: ซึ่งมันก็บังคับให้เราโตโดยไม่รู้ตัวประมาณนึง หนึ่งคือการจัดสรรเวลาด้วย ทั้งเรียนแล้วก็ทำงานไปในเวลาเดียวกัน จริง ๆ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะไม่งอแงและทนกับมันให้ได้ แต่โชคดีที่มันเป็นสิ่งที่เราชอบด้วย มันก็เลยสอนทั้งความอดทน ความมีระเบียบวินัย และความรับผิดชอบหลาย ๆ อย่าง ทุกอย่างต้องทำคูณสองให้มันได้ดีไปทั้งสองอย่าง แล้วมันก็ซึมซับเข้ามาเองโดยอัตโนมัติเลย
ในฐานะ trendsetter ในยุคนึง ตอนนั้นมีอะไรที่ฮิต ๆ บ้าง
ฟาง: ที่พูดถึงกันเยอะ ๆ ก็ทรงผม แล้วก็สีผม สมัยนั้นคงไม่มีคนทำเยอะมาก
แก้ว: ใช่ คนไม่ค่อยกล้าทำ พอเราออกมาอยู่ในที่สาธารณะคนก็เริ่มทำตามมากขึ้น ทำสี ทำไฮไลต์ ทรงที่แบบ ถ้าไปที่โรงเรียน ผอ. ก็ต้องด่า (หัวเราะ) โดนทำโทษ
เฟย์: แล้วก็แนวเพลงด้วย
ได้ยินว่าโดนบังคับตัดผม จริงไหม
เฟย์: (หัวเราะ) ก็จริงนะคะ เพราะสมัยนั้นความที่เรามีค่ายที่ดูแล เขาก็จะมีคนออกแบบให้ คิดมาแล้วแหละว่ามันดี อย่างที่บอกมันเป็นความแตกต่างสำหรับเราด้วยในบางที ตอนเขาให้ reference เรามาตอนแรกก็จะรู้สึกว่า ‘ได้หรอ จะไหวหรอ’
ฟาง: คนที่ตัดผมเยอะคือแก้ว ตัดบ่อย ทำสีบ่อย แต่คนที่ร้องไห้คือเฟย์ (เฟย์: (หัวเราะ) เออใช่ ร้องไห้เลย) แต่ว่าแก้วร้องไห้ตอนอัลบั้ม 4 ปะ ที่ตัดผมไม่เท่ากัน ด้านนึงสั้น ด้านนึงยาว
แก้ว: คือตอนนั้นไม่เข้าใจว่า ‘พี่ตัดอะไร’ นึกว่าเขาตัดไม่เท่ากัน พอดู reference ก็อ๋อ เข้าใจละ
เฟย์: อย่างเฟย์ แต่ก่อนอยู่โรงเรียนวัฒนา ฯ กฎระเบียบค่อนข้างเยอะมาก การที่ซอยผมนิด ๆ หน่อย ๆ เรารู้สึกว่าเป็นเรื่องใหญ่มาก นอกจากกลัวโดนครูดุแล้วก็กลัวเพื่อน กลัวรุ่นพี่หมั่นไส้ว่า ‘เฮ้ย ทำไมได้อภิสิทธิ์’ ไม่มั่นใจว่าไปโรงเรียนจะต้องทำตัวยังไง
ฟาง: พอโตขึ้นเราจะมองเรื่องของเด็กเป็นเรื่องเล็กเสมอ แต่ ณ วันที่เราเป็นเด็กทุกอย่างเป็นเรื่องใหญ่ เพื่อน กฎระเบียบ ครูเป็นเรื่องใหญ่ เพราะโลกเขามีอยู่แค่นั้น พอเรามองย้อนกลับไปในฐานะผู้ใหญ่เราก็เลยเข้าใจเด็กมากขึ้น เพราะเราก็เคยโตมาในแบบที่ไม่มีทางเลือก ตอนนี้ก็รู้สึกเป็นผู้ใหญ่ที่ใจกว้างขึ้น
ในค่ายสนิทกับใครที่สุด
แก้ว: นอกจากพวกเราแล้วก็มี หวาย มีน แจม มิล่า แรก ๆ เพื่อนก็เยอะหน่อย แต่หลัง ๆ ก็ออกไปทีละคน สองคน แต่ก็ยังติดต่อกันเรื่อย ๆ
เมื่อถึงยุคล่มสลายของ Kamikaze
ฟาง: มันเหมือนเครื่องบินจะระเบิด แต่เราโดดร่มชูชีพออกมาก่อน (หัวเราะ) คือหมดสัญญาด้วย
เฟย์: แล้วพูดตรง ๆ ว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของการทำให้ความเป็น Kamikaze เป็น Kamikaze เพราะฉะนั้นการที่ศิลปินเบอร์เก่า ๆ เริ่มโตขึ้นและแยกย้ายกันไป บางทีมันก็เหมือนชิ้นส่วนหลาย ๆ อย่างมันหลุดไปด้วย การที่จะเติมเต็มให้เหมือนเดิมมันก็ไม่ใช่ชิ้นที่จะเอาใครมาแทนก็ได้
ฟาง: มันไม่ใช่คนใดคนนึง มันคือโดยรวมของพวกเราที่เป็น Kamikaze ไม่ว่าจะเป็นตัวศิลปินเอง ทีมงานเบื้องหน้า เบื้องหลัง ฟางว่ามันคือส่วนผสมทุกอย่างที่มันลงตัว พอส่วนผสมหลักหายไป ส่วนผสมย่อยก็หายไปด้วย การเติมส่วนผสมใหม่เข้ามามันอาจจะไม่ได้รสชาติหรือกลิ่นที่เหมือนเดิม มันเลยไม่ใช่ Kamikaze แบบที่มันเคยเป็น
เฟย์: ที่จริงก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีนะ เมื่อถึงจุดที่อิ่มตัวประมาณนึง แต่ละคนก็ได้ลองหาอะไรใหม่ ๆ ทำดู ถ้าไม่มีวันนั้น ก็คงไม่มีวันนี้ที่ทุกคนจะได้รู้สึกคิดถึงอีกทีนึง แล้วเราทุกคนสามารถกลับเข้ามารวม และให้ความรู้สึกเดิม ๆ กับแฟน ๆ ได้ เหมือนเป็นการตอกย้ำจริง ๆ ว่าทุกชิ้นส่วนมันสำคัญมาก ๆ แล้วพอมันมารวมกันเมื่อไหร่ก็สร้างความเป็น Kamikaze ได้
ตอนที่ห่างหายกันไป ทำอะไรกันบ้าง
ฟาง: ฟางไปเรียนโทที่อังกฤษ เกี่ยวกับ Strategic Marketing กับ Digital Marketing
เฟย์: ส่วนเฟย์ไปเรียน Fashion Entrepreneurship and Innovation ที่ LCF ปีเดียวกัน เรียนโทปีกว่า ๆ แล้วกลับมาทำงานที่ไม่ค่อยได้ใช้ (หัวเราะ)
ฟาง: ฟางก็ได้ทำบ้าง คือทุกคนอยู่ในโลกดิจิทัลแหละ แต่ถามว่าได้ใช้ที่เรียนมาโดยตรงไหม คือฟางเรียนไฟแนนซ์มา มันก็ไม่ค่อยหรอก แต่มันก็สร้างบุคลิก สร้างความคิด สร้าง logic ในตัวเรา
แต่เฟย์เรียนรัฐศาสตร์มานี่ตอนแรก
เฟย์: คือรัฐศาสตร์มันเป็นมุมมองกว้าง ๆ สำหรับเฟย์ เหมือนการปูทัศนคติ และเปิดโลกให้มองจุดต่าง ๆ รอบตัวเรามากขึ้น สายมันค่อนข้างไปต่อได้ในหลาย ๆ อย่าง แล้วตอนไปเรียนโทเหมือนเฟย์มีสิทธิที่จะเลือกอีกทีนึง เฟย์ก็อยากลองอะไรที่เราชอบเหมือนกัน แล้วพอไปรีเสิร์ชตัวมหาลัยก็ดูน่าสนใจ เลยไปจับสายนั้น แต่มันก็ยังเป็น Fashion Entrepreneurship ที่ยังเป็นเรื่องธุรกิจด้วยนิดหน่อย ไม่ใช่ดีไซน์พลิกไปเลยทีเดียว
แก้ว: ส่วนแก้วไปเรียนทำอาหาร Le Cordon Bleu คนละทางเลย ก็ได้มาทำร้านอาหารของตัวเอง แต่ว่าตอนนี้ปิดไปแล้วเพราะว่าหมดสัญญา
แล้วจะทำอะไรกันต่อจากตรงนั้น
เฟย์: คิด ๆ อยู่เรื่อย ๆ แต่ว่าน่าจะทำควบคู่ไปกับอย่างอื่นที่ทำอยู่เป็นงานอดิเรก
ฟาง: ตอนนี้ทำพวก self care product ชื่อ Self Story ก็มีทั้งผลิตภัณฑ์ดูแลตัวเอง ไลฟ์สไตล์ ส่วนเฟย์น่าจะเพิ่มแฟชันเข้ามามากขึ้น เร็ว ๆ นี้
เฟย์: ก็รอติดตามค่ะ ทุกอย่างใช้เวลา อยากแยกร่างได้มาก (หัวเราะ)
อะไรทำให้แก้วสนใจการแสดง
แก้ว: พอเราไม่ได้โฟกัสการร้องเพลงแล้วก็ยังอยากอยู่ในวงการอยู่เพราะสนุกในแบบนั้น แล้วมันก็เป็นอีกศาสตร์นึงที่ยังไม่ได้ลอง ก็อะ ไปลองดู แล้วก็มีผู้ใหญ่ให้โอกาสเยอะ นักร้องเหมือนเอาตัวเราไปร้องเพลงบอกทุกคนว่าเราเป็นอย่างนี้นะ การเล่นละครคือไปเป็นอีกคนนึงเลย เราต้องเรียนรู้แบ็กกราวด์ของตัวละครว่าเขาเจออะไรมาบ้าง ถ้าเขาเจอเหตุการณ์แบบนี้ เขาจะทำยังไง มันก็เป็นอะไรที่ท้าทาย ถามว่าสนุกไหม เวลาตื่นเช้าไปทำงานมันก็ไม่สนุกหรอก (หัวเราะ) แต่เวลาที่เราได้แสดงจริง ๆ แก้วว่ามันเป็นอะไรที่สนุก ได้คุยกับผู้กำกับ แลกเปลี่ยนความคิดว่าเราทำแบบนี้ได้ไหม มันก็เป็นอีกศาสตร์ที่น่าสนใจเหมือนกัน
ซึ่งเวลาผ่านไป คนที่ลุคดูต่างไปจากเดิมที่สุดคือแก้ว
แก้ว: จริง ๆ ก็เหมือนเดิมแหละ การแต่งตัวเราก็ใส่กางเกง เสื้อยืด oversized เหมือนเดิม แต่ที่เปลี่ยนไปอาจจะเพราะลุค ทรงผม แต่งหน้า เพราะเล่นละคร จะไปผมซอยเป็นนางเอกก็ไม่ได้ ต้องไว้ผมยาว อย่างงั้นอย่างงี้ เป็นไปตามการทำงานด้วย
อะไรทำให้กลับมาเจอกัน
เฟย์: ความคิดถึงเนี่ยแหละค่ะ เราแฮปปี้กับการร้องเพลง พอหายไปก็รู้สึกว่าตอนนั้นมันก็ดีนะ แล้วในช่วงที่พอมีเวลามาให้ตรงนี้ก็ลองมาคุยกัน ยังไม่แน่ใจหรอกว่าจะรวมได้หรือเปล่า แต่พอรวมได้ และมีหลาย ๆ ทีมงานมารวมกัน จนได้เป็นผลงานจริง ๆ ขึ้นมา ก็ดีใจที่เราทำได้แล้ว เพราะมันใช้เวลาเยอะเหมือนกัน
ฟาง: ปีกว่า ตั้งแต่เราเริ่มคุยกันว่าคิดถึงการร้องเพลง แล้วแฟน ๆ ก็คิดถึง อยากให้รวมตัวกัน ก่อนหน้านี้แต่ละคนก็แยกย้ายไปทำงานของตัวเองกัน อยู่คนละประเทศ พอมีเวลาก็มาคุยกัน การที่จะสร้างมาเป็นเพลงเพลงนึงมันยากในเรื่องเวลา เรื่องบุคลากร และไอเดียด้วย ที่จะสื่อออกมาว่าแบบไหนดี
เฟย์: จริง ๆ คือยากหมดเพราะแต่ก่อนเราเป็นแค่คนข้างหน้าอย่างเดียว พอทำเองหมดเลยทุกอย่าง ติดต่อเองในทุกด้าน เพลง เนื้อเพลง ทำ mv ทำลุค ทำ storyboard ก็เป็นอะไรที่แปลกใหม่ (ฟาง: แต่ก็เป็นอะไรที่เราภูมิใจนะ เราได้วางแผนในทุกขั้นตอนเลย) แต่ตอนแรกที่ทำ ด้วยเรื่องเวลามันเลยออกมาเป็นคัฟเวอร์เพลงเก่าของเราก่อน มันก็เลยยิ่งทำให้มั่นใจว่าหลาย ๆ คนคิดถึงเพลงของพวกเรานะ รอฟัง FFK ปี 2019, 2020 อยู่ ว่ามันจะแตกต่างจาก 10 ปีที่แล้วยังไง ขอให้ออกมาเถอะ อะไรก็ได้ แล้วเรารู้สึกว่าถ้าสามารถทำออกในแบบที่เราในปัจจุบันชอบเหมือนกัน เขาก็น่าจะชอบและหายคิดถึงด้วย
ทำไมตอนนั้นเลือก แทน Lipta มาโปรดิวซ์
แก้ว: ตอนแรกเราอยากให้พี่แทนมาทำเพลงให้
ฟาง: แต่พี่แทนไม่ยอมทำ ‘พี่ไม่กล้าทำ’ หลายโปรดิวเซอร์บอกว่าแนวเพลง ลายเซ็นเรามันชัด จะไป re-write มันออกมายังไง จะดีหรือไม่ดีก็ไม่รู้
แก้ว: เขากลัวทำได้ไม่ดีเท่าเมื่อก่อน
แต่เขาก็ทำให้ อิ้งค์ วรันธร แนวใกล้ ๆ กันนี่
ฟาง: นั่นก็คือสิ่งที่พวกเราคิดเหมือนกัน ที่เราติดต่อพี่แทนเพราะรู้สึกว่าเขาถนัดทำเพลงให้ผู้หญิง เพราะฉะนั้นการจะทำให้เราก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่ เขาบอกว่าถ้าทำให้เฟย์ออกเดี๋ยว ฟางออกเดี่ยว แก้วออกเดี่ยว เขาทำให้ แต่พอสามคนปุ๊บ มันเหมือนยากสำหรับเขา เขาไม่รู้จะไปในเวย์ไหน
เฟย์: เขารู้สึกว่ามาตรฐานของเราแต่ก่อนมันค่อนข้างสูงประมาณนึง ถ้าทำไม่ถึงตรงนั้นเองเขาจะไม่แฮปปี้ด้วย ก็คิดไม่ออก เลยไม่ทำละกัน
ฟาง: พอเราจะทำ live session พี่แทนเขาก็น่ารัก มาช่วยเป็นที่ปรึกษาให้แทน อันนั้นเป็นจุดเริ่มต้นเลยก็ว่าได้ เหมือนมีแฟน ๆ รอเราอยู่จริง ๆ ก็เลยมีโอกาสที่จัดมินิคอนเสิร์ต แล้วก็เจอหลาย ๆ คน แล้วอย่างที่เห็น พอพวกเราเริ่มปุ๊บ ก็มีเพื่อน ๆ Kamikaze คนอื่นที่กลับมาให้หายคิดถึงกันบ้าง เหมือนความเป็น Kamikaze กลับมามีกลิ่นอายนิดนึง
เฟย์: คอนเสิร์ตที่ DND น่ะค่ะ เพราะเอาจริงตอนแรกเราก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าฟีดแบ็กจะเป็นยังไง เพราะสมัยก่อนเด็กกว่านี้เยอะ เป็นฟรีคอนเสิร์ต (แก้ว: ไม่เคยเข้าไปเล่นในผับ) ฟีลมันก็ต่างกันเลย อันนี้ขายบัตรด้วย แต่สุดท้ายฟีดแบ็กดี คนมาดูเยอะมาก
ฟาง: เขาร้องดังกว่าที่เราร้องอีกบางที เราเลยรู้สึกว่าต้องพุชตัวเองมากกว่านี้ ตอนแรกเราก็ไม่มีเวลา จะมารอให้มีเวลามันก็ไม่ได้ เลยมาคุยกันว่าต้องหาเวลาแล้วแหละ เหมือนคนยังรออยู่เยอะมาก ใกล้จะสิ้นปีอีกรอบแล้ว ก็อยากทำอะไรออกมาตอบแทนความรักที่พวกเขาให้ เราไม่รู้หรอกว่ามันจะบวกมากแค่ไหน แต่ขอแค่มีอะไรให้เขาหายคิดถึง ก็พยายามหาเวลากันมาจนได้เป็นเพลงนี้
เฟย์: ความเซอร์ไพรส์ตอนที่ขึ้นคอนเสิร์ตคือ เดี๋ยวนี้เวลาคนไปดูจะชอบโพสต์สตอรี่ใช่ไหมคะ มีหลายคนมากที่เราไม่คิดว่าเขาจะไปก็ไป วันแรกมีหลาย ๆ คนมาให้กำลังใจเยอะมาก อย่างเช่น พี่ป๋อมแป๋ม เราไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะอยู่ในช่วงที่เราทำเพลง (ฟาง: เพราะเราก็อยู่มานานแล้วไงแก (หัวเราะ) ตั้งแต่ก่อนเขาเป็นศิลปินจนเขาเป็นศิลปินเงี้ย) หรือแม้แต่พี่ ๆ ที่ทำรายการพี่ฟาง TGIF แทบจะทุกคน ครีเอทีฟของ Good Day ของโต๊ะข้างหน้าเลย ร้องได้ทุกเพลง แบบ เฮ้ย มันมีอีกหลายคนมากที่เขาไม่แสดงตัวตอนนั้น
ฟาง: เหมือนเราเป็นลัทธิแล้วทุกคนซ่อนตรามารเอาไว้ แล้วพอถึงวันรวมตัว คือจะเปิดชายเสื้อออกมาแล้วเห็นตรานั้นว่าพวกเราคือแก๊งเดียวกัน เหมือนเป็น community อีกลัทธินึงของพวกเราทุกคน
เฟย์: เราไม่มีความรู้สึกว่าเราจะมีอิทธิพลต่อโซเชียล ณ ตอนนั้น ขนาดนั้น เพราะมันไม่ได้มีโซเชียลอะไรหลาย ๆ อย่างให้เราได้เห็น (ฟาง: เรารู้ฟีดแบ็กจากการแค่ขึ้นชาร์ต หรือออกรายการ แค่นั้นเอง) มันไม่มีแชร์โพสต์ในเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ อินสตาแกรม หรือแฮชแท็กเทรนด์อะไรพวกนี้ เพราะฉะนั้นช่องทางที่เราจะเห็นได้มันน้อยมาก เลยไม่ได้คิดว่ามันจะขนาดนี้ เสียดายเหมือนกัน ถ้าเราเกิดตอนยุคอินสตาแกรมก็คงจะสนุกกว่านี้
กลับมาเข้าห้องอัดอีกครั้งรู้สึกยังไง
เฟย์: ก็ตื่นเต้นที่เข้าห้องอัดอีกที แต่อย่างที่บอกว่าเราทำงานกับทีมเดิม โปรดิวเซอร์คนเดิม คนเขียนเนื้อคนเดิม แล้วห้องอัดก็เป็นห้องเดิมด้วย (หัวเราะ) มันเลยให้ความรู้สึกที่ค่อนข้างคุ้นเคยประมาณนึงด้วย แล้วความกดดันก็น้อยลง
จริง ๆ แต่ละคนมีความสนใจดนตรีแนวไหนบ้าง
เฟย์: ที่จริงเราสามคนก็ไม่ได้ฟังเพลงตรงกันขนาดนั้น แต่การที่เราชอบดนตรีแบบนึง กับการที่เรามาร้อง ก็คือคนเราสามารถชอบดนตรีได้หลายแบบ ฟังก็เรื่องนึง แต่สิ่งที่เราร้องก็อาจจะเป็นอีกแนวนึง หรือความที่มันจะเข้ากับเราก็ต้องดูอะไรหลาย ๆ อย่าง
ฟาง: พอมันเป็นกรุ๊ปก็ต้องหาจุดเชื่อมตรงกลางที่มันจะ blend พวกเราสามคนได้ (แก้ว: อย่างเสียงก็ไม่เหมือนกันแล้ว) อย่างแม้ว่าเพลงนี้เป็นเพลงของ FFK แต่มันก็มีสไตล์เพลง ซาวด์ดนตรียุคปัจจุบันเข้าไป มีอะไรแปลกใหม่ พี่โปรดิวเซอร์ก็คุยกับเราตลอด เพราะเป็นทีมที่เราเชื่อใจ ไว้ใจอยู่แล้ว
เฟย์: นอกเหนือจากตัวดนตรีเราฟังเพลงนี้ครั้งแรกแล้วก็ยิ้มตาม มันรู้สึกอบอุ่นกับเพลงนี้อยู่แล้ว ก็คิดว่านี่แหละเป็นเพลงที่เหมาะกับเรา ณ ตอนนี้ พอฟังแล้วให้ความรู้สึกฟีลกู๊ด น้ำตาจะไหล ออกมารวม ๆ กัน ด้วยความที่ทำกับทีมเดิม เขาก็ซึมซับอะไรหลายอย่างมากับเรา เขาก็พอจะเข้าใจได้ดีว่า เรามีความรู้สึกแบบไหนที่อยากจะสื่อออกไป ก็เลยออกมาตรงกับความรู้สึกตอนนี้มาก ๆ
ฟาง: ตอนแรกเราพูดไปว่าอยากได้เพลงที่เป็นบวก ที่ทุกคนฟังแล้วมีความสุข แล้วก็พูดถึงความรัก ความคิดถึง
ยกตัวอย่างเพลงหรือวงที่ชอบฟัง
ฟาง: เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ นะ ฟางไม่ได้ติดกับใครคนใดคนนึง ถ้าเป็นเพลงที่ฟังแล้วชอบ แล้วมาดูว่า เฮ้ย ศิลปินคนนี้อีกแล้วหรอ ก็มี Sam Smith, Charlie Puth, Ariana Grande, Meghan Trainor, Taylor Swift บางเพลง แล้วเพลงเก่า ๆ ก็จะฟังมิวสิคัล มันจะไม่อัพเดตเลย ทุกอย่างมันจะ refer ไปออริจินัลเพราะมันเป็นโน้ตเพลง
แก้ว: จริง ๆ ชอบทุกแนวเลย แต่บางทีก็ไปฟังอัลเทอร์เนทิฟร็อก กลับไปฟัง Queen, Guns and Roses ชอบเพลงเก่า ๆ
เฟย์: ความที่เราร้องเพลงด้วยบางทีก็ต้องฟังสายร้องด้วยอย่าง Ariana Grande ก็ฟัง แบบที่พี่ฟางฟังก็ฟัง เพลิน ๆ ก็อีกแนว Jeremy Zucker, Daniel Caesar พวก Troye Sivan, Frank Ocean แต่จะไม่ชอบเพลงที่หนักมาก
ฟาง: ตอนที่เราส่ง reference เพลงที่เราชอบไปสามคนอะ คนละแนวเลย แล้วต่อหนึ่งคนก็มีสิบแนว เราไม่ได้มีแนวเพลงที่เราจะต้องแนวนี้เท่านั้น บางคนอาจจะร็อกมาก r&b จ๋า แต่ของเราคือ ไม่รู้ว่าเรียกว่าอะไร แต่เป็นเพลงที่เราชอบ
ตอนนี้กลับมาเลยเป็นศิลปินอินดี้ไปเลย แค่ทำเพลงป๊อป
ฟาง: เออ ใช่ มันคือการทำงานแบบ independent (หันไปพูดกับเพื่อน) เฮ้ยยยย เราเป็นศิลปินอินดี้อะเพื้อนนนน (หัวเราะ) รู้สึกคูลเลย
อยากรู้ที่มาที่ไปของ mv เพลงพาไป Love Track
แก้ว: จริง ๆ ได้ reference มาจากเรื่อง ‘Drive’ การที่จอดรถรออีกคนปล้น แค่นั้นเลย รู้สึกว่าอยากเอามาทำ
เฟย์: เราชอบความรู้สึกของฉากนั้น แต่ก็รู้สึกว่ายากเหมือนกันว่าจะลิงก์ยังไงให้เข้ากับความเป็นตัวของเรา อีกอันคือเพลงมันฟีลกู๊ดมากกกก
ฟาง: จะบอกว่าตอนปล่อยเพลงไป แล้วคนฟังคอมเมนต์ฟีลกู๊ดมาก พอทีเซอร์ออกมาปุ๊บ คนก็มองว่า นี่มันเพลงเดียวกันปะเนี่ย (หัวเราะ) ซึ่งคอนเซ็ปต์ mv สตอรี่บอร์ด เรานั่งคุยกับทีม mv จาก 0 เลยนะ แล้วภายใน 10-20 นาทีก็ออกมาเป็นอันนี้ อยู่ดี ๆ มันพรั่งพรูออกมา และร้อยเรียงด้วยอะไรบางอย่าง จนกลายเป็นสตอรี่ที่จบได้
เฟย์: เพราะเราต้องการ mv ที่ไม่ใช่แค่มีเนื้อเรื่องเล่าเนื้อเพลง มันเป็นเรื่องราวการเดินทางนับตั้งแต่วันที่เราหายไป จนมาถึงทุกวันนี้ สื่อทุกอย่างผ่าน mv ในเวลาสั้น ๆ) แล้วก็มีความเกิร์ลกรุ๊ปของเราด้วย
ฟาง: มันเป็น mv symbolic เยอะมาก ทุก ๆ ฉากมันมี meaning ของมัน (แก้ว: mv ก็อินดี้นะ (หัวเราะ))
เฟย์: อย่างที่บอกเราก็ทำกันเอง ทุกคัต ทุกอีดิต นั่งตรวจตาแตก กว่าจะปล่อยมาได้ (หัวเราะ)
ฟาง: เดี๋ยวเร็ว ๆ นี้จะมีคนถามถึงท่าเต้น แต่ใน mv เราใส่เรื่องราวเข้าไปเลยไม่สามารถใส่ท่าเต้นได้ทั้งหมด เดี๋ยวจะมี dance version ให้ดู เอ้อออออ
แก้ว: น่าจะเป็นอีกเพลงนึงที่เราเต้นเยอะที่สุดแล้วในชีวิต เมื่อก่อนยังไม่เต้นเยอะเท่านี้
เฟย์: แต่ว่ามันก็เป็นกิมมิกของเพลงเรามาตลอดอยู่แล้ว ในทุก ๆ เพลงจะมีท่าเต้นนิด ๆ หน่อย ๆ ให้คนสามารถเต้นตามได้ อันนี้ก็เลยคุย เตรียมท่าเต้นกันไว้ในขั้นตอนการเตรียมตัว คนก็ค่อนข้างเซอร์ไพรส์เยอะ ไม่คิดว่ายังเต้นไหว (หัวเราะ)
Symbolic นี่มีอะไรบ้าง
ฟาง: อย่างซีดี ตอนที่เข้าไปปล้น (เฟย์: มันเป็นซีดีเก่าของวงเรา) แค่จะสื่อให้เห็นว่าสิ่งที่เป็นของเราก็คือของเรา ความเป็นตัวตนก็ยังเป็นตัวเราอยู่ การเผาสัญญาก็เป็นการที่แค่พูดว่า เราเป็นอิสระแหละ (แก้ว: เป็นการอธิบายสั้น ๆ ว่าเห็นภาพแล้วเข้าใจเลย) แต่ไม่ใช่ว่าเรามีปัญหากับที่เก่านะ หลายคนคิดว่าจบมาไม่ดีรึเปล่า เพราะศิลปินบางคนออกมาแล้วไม่แฮปปี้ แต่พวกเราคือทำงานมาด้วยความราบรื่นตลอด ผู้ใหญ่ทุกคนที่ RS หรือคุณครูทุกคนก็ยังน่ารัก ยังร่วมงานกันได้ตลอด เพราะถ้าไม่สนิท ไม่รักกัน ก็ไม่กล้าทำนะ (หัวเราะ) ก็อาจจะทำให้เห็นภาพเยอะขึ้น เพราะพอพูดถึง FFK ก็จะรู้สึกโยงถึง Kamikaze หรือภาพเก่า ๆ ได้สูงอยู่ ตรงนั้นมันแข็งแรง แล้วพอรู้ว่าเราเป็นอิสระมันก็ให้ความรู้สึกแตกต่างกันไป born free แล้ว ได้มอง FFK แบบไม่ได้ติดกับภาพเก่า ๆ ได้มากขึ้น
แล้วก็มีท่าเต้น คนที่ออกแบบก็คือคนที่เคยออกแบบให้สมัยพวกเราอยู่ Kamikaze มาก่อน มันจะมีท่าที่ remind ถึงเพลงเก่า ๆ เล็ก ๆ น้อย ๆ ตรงดาดฟ้าที่โปรย ๆ กัน อย่างที่บอกว่าช่วงเวลาที่หายไปมันค่อนข้างนาน แล้วเราก็ได้รับข้อความจากแฟน ๆ มา ว่าเขาคิดถึง อยากให้กลับมา ก็เป็นการรวมพวกเมสเสจของแฟน ๆ แล้วโปรยออกไปให้เห็นว่า ‘FFK is back’ เรากลับมาแล้วตามคำเรียกร้องของทุกคน
เคยร้องเพลงเกี่ยวกับโซเชียลแพลตฟอร์มอย่าง MSN หรือ หยิ่ง ที่พูดถึง Instagram ตอนนี้ใช้อะไรบ่อยที่สุด ทำไม
เฟย์: ตอนนี้น่าจะอินตาแกรม เป็นคนชอบดูรูป แล้วรู้สึกว่ามีอะไรหลาย ๆ อย่างที่ให้ความรู้ด้วย แล้วแต่ว่าเราจะเล่นกับอะไร แล้วมันเข้าใจง่าย มันควรจะใช้เวลาน้อย ดูจากรูปแล้วมันเร็วกว่าไปอ่านจากทวิตเตอร์ แล้วมันก็เซฟได้ด้วย เป็นการหาแรงบันดาลใจด้วย แล้วก็เริ่มใช้ทวิตเตอร์บ้าง ไว้ตามเป็นเรื่อง ๆ ไป
แก้ว: ของแก้วก็น่าจะอินสตาแกรมแหละ หลัง ๆ เราชอบถ่ายรูปเยอะ มันก็เป็นอีกสิ่งที่สะท้อนตัวตนของเรามาผ่านรูปได้ ก็คงเสียเวลากับการคุมโทน มันต้องสีนี้ตลอดไม่งั้นมันจะไม่สวย หาแรงบันดาลใจในการท่องเที่ยวจากตรงนี้เยอะเหมือนกัน ทวิตเตอร์ก็ดูบ้าง แต่จะแอบส่องข่าวเฉย ๆ (หัวเราะ)
ฟาง: คล้าย ๆ กันค่ะ
ตอนต้นพูดถึง cyber bully อยากรู้ว่าแต่ละคนจะมีวิธีป้องกันตรงนี้ หรือทำให้คนตระหนักสิ่งนี้ยังไง
ฟาง: การ bully มันมีมาทุกยุคทุกสมัย เพียงแต่ว่าตอนนี้มันง่ายขึ้น เราไม่ต้องเจอหน้าเราก็ bully กันได้แล้ว หลัก ๆ เลยจะมีคนบอกว่าคิดก่อนพูด ตอนนี้ต้องคิดก่อนพิมพ์นะ เพราะบางคำพูดที่เป็นลบ คนพูดเขาใช้โซเชียลมีเดียในการระบายอารมณ์ คนเขียน เขียนเสร็จลืม จบละ แฮปปี้ ได้ระบาย แต่คนที่โดนกระทบ โดนเขียนถึง อาจจะเอาไปคิด เก็บไปเป็นปม เลยรู้สึกว่าการวิจารณ์ใครมันควรเป็นการติเพื่อก่อ ไม่ใช่ติเพื่อระบายอารมณ์ตัวเอง
เฟย์: แล้วสมัยนี้การว่าคนคนนึง คุณไม่ได้เห็นคนเดียว การที่เราเขียนไปบางทีอาจจะเป็นการชี้นำความคิดคนอื่นโดยไม่รู้ตัว คนที่ผ่าน ๆ มา อาจจะไม่ได้คิดเหมือนกัน แต่พออ่านสิ่งที่คุณคอมเมนต์ กลายเป็นว่าเขามองโอนเอนไปในแบบที่เราไม่ได้คิด จากคำติอันเดียว อาจจะกระจายเป็นหลาย ๆ อย่าง อาจมีการเพิ่มเติมข้อมูลในทางลบไปอีก
ฟาง: มันเหมือนหาพวกเข้าไปอีก แล้วบางครั้งคนที่พิมพ์ไม่ได้รู้สึกแบบนั้น แค่ต้องการยอดไลก์ เพราะกระแสสังคมโอนเอนไปทางนี้ บางคนก็ไม่กล้านำเสนอความคิดจริง ๆ ของตัวเองเพราะกลัวจะแปลกแยกจากคนอื่น
แก้ว: ในยุคนี้คนเข้ามาสนใจกันเยอะขึ้นเพราะมันเกิดเหตุการณ์หลาย ๆ อย่างที่ทำให้คนตระหนักถึงตรงนี้ว่ามันรุนแรงจริง ๆ นะ มีการฆ่าตัวตายบ่อยขึ้นเรื่อย ๆ เพราะสิ่งนี้ หลาย ๆ คนก็เริ่มให้ความสำคัญและสนใจว่า เฮ้ย มันเกิดขึ้นได้ยังไง มีวิธีแก้ไขมั้ย
เฟย์: เวลาที่เราจะชมใครดันกลายเป็นเรื่องยากสำหรับคนสมัยนี้เนาะ ไม่ค่อยมีใครให้ฟีดแบ็กในด้านดีกัน ถ้าจะชมใครก็ชมไปเหอะ อย่าคิดเยอะ เขียนไปเลย แต่เวลารู้สึกว่าอะไรไม่ถูกใจเรา อาจจะไม่ใช่เรื่องที่ผิดเสมอไป หากไม่ใช่เรื่องที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น เก็บไว้ได้กับตัวเอง หรือไม่ใช่เรื่องของเรา เราไม่ต้องระบายออกไปก็ได้ ข้าม ๆ มันไป เพราะเรื่องเล็กพวกนั้นอาจจะเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเขา
ศิลปินบางคน เพลงพาพวกเขาให้ได้ไปทัวร์ต่างประเทศ ได้ไปเจอผู้คนที่น่าสนใจ สำหรับ FFK เพลงพาไปไหน
แก้ว: เพลงพาไปเจอความสุขมั้ง ตั้งแต่ฟังเพลงนี้ครั้งแรก มันคือเพลง road trip ฟังในรถได้เรื่อย ๆ ขับรถไปที่ไหนก็ได้ที่ไปเจอความสุข มันมีความบวก พาไปที่ที่เราอยากไป
ฟาง: บางทีเราไม่ต้องไปจริง ๆ แต่เราฟังเพลง หลับตา แล้วนึกถึง มันก็จะพาเราไปในที่ที่เราอยากไป ที่ที่มีความคิดถึง ความรัก ความทรงจำที่ดี
เฟย์: คิดในทำนองเดียวกันว่าเพลงมันพาเราไปที่ไหนก็ตาม แต่มันจะพาเราไปทางบวกแน่นอน ถ้าเป็นความทรงจำ อาจจะเป็นความทรงจำดี ๆ ที่เคยเกิดขึ้นที่ไหนสักที่ กับใครสักคนนึง ในช่วงไหนก็ตาม หรือความเพ้อฝันที่เราอยากให้มันเกิดขึ้นสักวันนึง มันจะพาไปหาแต่อะไรที่ดียิ่งขึ้นและมีความสุขยิ่งขึ้น
ฟาง: เป็นเหมือน time machine เนาะ ย้อนไปอดีต เล่าเรื่องปัจจุบัน และฝันถึงอนาคตได้ พาไปในที่ที่เรามีความสุข
ซิงเกิ้ลที่สองจะมาเมื่อไหร่
FFK: (หัวเราะ)
เฟย์: ซิงเกิ้ลแรกเพิ่งปล่อยนะ แต่ก็จะพยายามให้มีซิงเกิ้ลต่อไป
ฟาง: ได้ฟังเพลงช้าแน่นอน (แก้ว: สรุปเป็นเพลงเร็วกว่าเดิม) แต่จะไม่ปล่อยให้ทำกันถึงปีละ น่าจะภายในปีนี้ พยายามให้ได้ในครึ่งปีละกันอะ
แก้ว: การทำเองมันก็แอบยากเหมือนกัน มีอะไรเยอะอะ
เฟย์: แต่ออกมาก็จะให้ฟีลลิ่งคนละแบบกับที่เราทำกับค่าย แต่ตอนนี้มีมินิคอนเสิร์ตอยู่เรื่อย ๆ เราก็จะซ้อมขึ้นมินิคอนเสิร์ตแหละ เพราะเรายังไม่มีการไปขึ้นคอนเสิร์ตที่ร้องเพลง เพลงพาไป แบบ live จริง ๆ ด้วยซ้ำ เป็น first stage ของเรา
ฟาง: ก็ลุ้นกันว่าจะเป็นที่ไหน แต่ 8 กุมภา มีเล่นที่งานฟุตบอลประเพณี จุฬา–ธรรมศาสตร์ แล้วก็จะเป็นคอนเสิร์ตทั่ว ๆ ไป (เฟย์: เดือนนี้ก็จะเดินสาย) เดี๋ยวจะมีคนไปเที่ยว หลังจากวันนี้ ว่างอีกทีคือต้นกุมภา
แก้ว: ปีที่แล้วทำงานมาเยอะมากกกกก ถ้าทุกคนดูในอินสตาแกรมจะคิดว่าเราเที่ยวไง เวลาเราไปทำงานก็ไม่ได้ลงไง
ฟาง: ทุกคนคะ เรากำลังออกเพลงใหม่ ส่วนแก้ว กลางเดือนแรกของเดือนที่ปล่อยเพลง แก้วจะไปเที่ยวในประเทศ ปลายเดือนเที่ยวต่างประเทศ เพราะฉะนั้น ปล่อยเพลงใหม่ปุ๊บ เว้นเดือนนึง แล้วค่อยโปรโมต (หัวเราะ)
เฟย์: อินดี้จริง
ช่วงที่เพลง รักติดไซเรน เป็นกระแส แก้วกลับมาเจอกับโทโมะ K-OTIC และคัฟเวอร์เพลงนี้ มีคนบอกว่า OG กว่าต้นฉบับ
แก้ว: เอาจริงเสียงแพรวาสูงกว่าแก้วเยอะเลย เขาร้องเพราะอยู่แล้ว ต้นฉบับอะ แต่ความที่แนวเพลงมันมีกลิ่นความเป็น Kamikaze เพราะโปรดิวเซอร์ (เอฟู—ณรงค์ศักดิ์ ศรีบรรฎาศักดิ์วัชรากรณ์) และคนเขียนเนื้อ (ก๊อป โปสการ์ด—ธานี วงศ์นิวัติขจร) คือคนที่ทำให้ Kamikaze แก้วว่าคนฟังมันคงคิดถึงแหละว่าเพลงแนวนี้มันต้อง Kamikaze ดิ เราก็เหมือนไปคัฟเวอร์ขำ ๆ พี่เอแบบ มา ๆ ช่วยกันร้อง ไม่ได้คิดอะไรเลย
ฟาง: ว่าง่าย ๆ เหมือนพี่เอฟูให้แก้วโปรโมตเพลงแหละ (หัวเราะ) กลับมาทำเพลงแล้วก็บอกว่า มาช่วยกันหน่อย
ฝากถึงแฟน ๆ และคนที่เพิ่งเคยมาฟัง FFK
ฟาง: เหมือนมันเป็น gap year ที่เราหายไป 4-5 ปี อาจจะมีเด็กที่เพิ่งโตและสนใจมาฟัง ก็ดีใจที่เขาจะได้ฟังเพลงเรา ถึงแฟน ๆ ทุกคนด้วยที่ยังรออยู่และชอบเพลงใหม่ของเรา แล้วก็ถึงผู้ฟังทุกคนที่ชื่นชอบเพลงแนวนี้ ขอให้ฟังเพลงนี้อย่างมีความสุขนะคะ
เฟย์: ใครที่ยังไม่ได้ฟัง ไม่ได้ดู mv หรือยังไม่ได้โหลดเพลงก็สามารถเข้าไปได้ที่ FayeFangKaewofficial ใน YouTube นะคะ ปล่อย mv แล้ว
ฟาง: ฝากผลงานของศิลปินเกิร์ลกรุ๊ป ในฐานะนักร้องอินดี้หน้าใหม่ (หัวเราะ) ถ้ามีคนรอฟังเรื่อย ๆ เราก็จะมีอะไรออกมาให้หายคิดถึงกันได้เรื่อย ๆ ค่ะ
แก้ว: เราก็จะทำออกมาเรื่อย ๆ ค่ะ
เฟย์: ฝากซัพพอร์ตและขอความรักด้วยนะคะ
อ่านต่อ
‘เฟย์ ฟาง แก้ว’ กลับมาแล้ว! กับเพลงใหม่ล่าสุด ‘เพลงพาไป’