Article Interview

Fai Patthaya สาวเสียงดีอีกคนของวงการกับความชอบในแนวดนตรีที่เปลี่ยนไป

  • Writer: Montipa Virojpan
  • Photographer: Chavit Mayot

Fai Patthaya หรือที่บางคนอาจรู้จักเธอในชื่อของ ฝ้าย New Folder จาก Garden Music ตอนนี้เธอกลับมาอีกครั้งในฐานะนักร้องหญิงเดี่ยวคนใหม่ของค่าย Boxx Music กับแนวดนตรีอิเล็กทรอนิกป๊อปที่ใส่เมโลดี้กีตาร์เท่ ๆ กับไลน์เบสกรูฟโดดเด่นในเพลง บอกฉันก่อน (Sign) นอกจากเพลงของเธอจะน่าสนใจมาก ๆ แล้ว เธอยังเป็นสาวตัวเล็กพลังเยอะมากความสามารถ มารู้จักเธอให้มากขึ้นกันดีกว่า

ฝ้าย—ปัถยา วาสนสิริ เคยทำเพลงป๊อปอะคูสติกมาก่อน

ตอนเด็ก ๆ ชอบแจ๊สมาก ฟังอยู่ตลอด แต่คนเราเวลาทำอะไรแต่ละช่วงเวลาก็จะมีความชอบที่ค่อย พัฒนาขึ้นไปเรื่อย ตอนนั้นก็มาสนใจโฟล์ก เพลงฟังสบาย ชิล  ปกติก็เล่นกีตาร์ด้วยเลยทำเพลงออกเป็นแนวนั้น แล้วช่วงหลัง ๆ มาฝ้ายก็เริ่มฟังอิเล็กทรอนิกมากขึ้น ก็มีความสนใจแต่ก็ยังติดอะไรที่มีความวินเทจเบา

ชอบแจ๊สแล้วเคยคิดจะเรียนร้องเพลงแจ๊สไหม

อยากค่ะ อยากเรียนแจ๊สโดยตรงเลย ตอนนี้ก็เรียนสวิงแดนซ์ อันนี้คอร์สที่ 3 แล้ว คือสวิงแดนซ์ก็จะมีหลายแบบ คือฝ้ายเรียน lindy hop คลาสเบื้องต้น กับ charleston คลาสเบื้องต้น เราพยายามดูว่าอะไรที่เราเรียนแล้วรู้สึกดี ตอนนี้เรียน solo jazz คลาสเบื้องต้น คือการเต้นคนเดียว สนุกมาก เรียนไม่ถึงสามครั้ง คนอาจจะคิดว่าการเต้นคนเดียวน่าเบื่อ แต่มันไม่ได้น่าเบื่อนะ เพราะสมมติว่าถ้าเราต้องไปเต้นคู่ การเรียนโซโล่แจ๊สทำให้เราคิดท่าใหม่ ๆ ไปเต้นกับคู่ของเราได้ เท่าที่ฝ้ายรู้สึก ครูยองจีจะสอนละเอียดกว่าตอนสอน lindy hop คือโซโล่แจ๊สเขาจะสอนถ่ายทอดอารมณ์ในการเต้นด้วย สมมติว่าเราเป็นคนคาแร็กเตอร์แบบนี้ เราอยากจะเซ็กซี่หรืออยากจะบ้าไปเลย เขาก็จะให้เราถ่ายทอดออกมา ถ้าเราเรียน lindy hop เขาอาจจะไม่ได้สอนว่าต้องฟีลแบบนี้ แต่จะสอนว่าเทคนิคการเต้นที่ถูกต้องเป็นยังไง แต่จริง ชอบหมดเลย มันคนละฟีล เราเต้นกับคนอื่นก็สนุกเหมือนกัน เต้นคนเดียวก็สนุก เพราะมันอยู่ในความเป็นสวิง เป็นแจ๊สทั้งหมด

เวลาเต้นสวิงปกติจะมี live band ด้วย เราได้ไปแจมกับเขาไหม

แจม ล่าสุดเนี่ยตลกมาก มันเป็นธีม Disney song ร้องเป็นสวิงแจ๊ส แล้วฝ้ายร้องเพลง Lion King Can You Feel the Love Tonight ซึ่งคอสตูมก็ต้องเป็นแบบในเรื่องด้วยนะ ตอนแรกจะ Hakuna Matata แต่ซ้ำกับคนอื่นก็เลยไม่เอา สนุกค่ะ มันเหมือนเป็น community ที่ทุกคนมีพลังงานดี เยอะมาก แล้วทุกคนที่มาเต้นตรงนั้นส่วนใหญ่ทำงานออกแบบ เจอคนทำกราฟฟิก ทำอินทีเรีย ช่างภาพ ได้เพื่อนใหม่เยอะมาก ก็งงเหมือนกัน สงสัยมันคือรสนิยมหรืออะไรบางอย่างที่ชอบเหมือนกัน เหมือนรวมคนคอเดียวกันมาอยู่ด้วยกัน คุยกันสนุกมากเลย

ช่วงที่ทำเพลงโฟล์กหรือฟังแจ๊ส ชอบศิลปินคนไหนบ้าง

ถ้าคนรู้จักเยอะ หน่อยก็จะเป็น John Mayer แต่เขาไม่ได้แจ๊ส คือฝ้ายชอบเล่นกีตาร์ แล้วพอดูเขาเล่นก็จะรู้สึกว่า ทำไมเขามีสเน่ห์ขนาดนี้ รู้สึกแบบ เป็นคนที่เล่นแล้วเหมือนเอากีตาร์มาเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของร่างกายไปแล้ว เขาเจ๋งมาก ส่วนคนแจ๊ส สมัยก่อนก็จะเป็น Nat King Cole ที่ร้องเพลง L-O-V-E ฝ้ายดูหนังสมัยเด็ก เลย ชื่อ ‘The Parent Trap’ คือชอบมาก พูดได้ทุกประโยค แล้วเพลงแต่ละเพลงในนั้นคือชอบหมดเลย ซึ่งมันมีอิทธิพลมาถึงตอนโต เหมือนเวลาเราดูการ์ตูนเจ้าหญิงก็จะมีความฝันแบบนั้น ก็เด็ก จะโตมากับหนังโรแมนติกคอเมดี้ ชอบดูดราม่า โตมาก็จะชอบหนังปรัชญาหน่อย อะไรที่ให้ข้อคิดแบบ ‘About Time’ หนังที่เอากลับมาคิดได้ ให้อะไรกับเราได้

เคยคิดจะลองเอาแจ๊สเข้ามาในเพลงตัวเองไหม

จริง แล้วอยากมาก แต่ด้วยความที่เราทำกับค่ายด้วยเพลงนี้เราอาจจะถ่ายทอดในแนวประมาณนี้ แต่เพลงต่อ ไปเราอาจจะต้องมาคุยกันว่าเราจะเพิ่มหรือจะลดอะไรหรือเปล่า แต่อยากทำเป็นแจ๊สเหมือนกัน

เข้ามา Boxx Music ได้ยังไง

รู้จักกับพี่ตั๊ด พี่ที่ดูแลค่าย ซึ่งพี่ตั๊ดเป็นแฟนกับพี่ไอซ์ ฝ้ายรู้จักกับพี่ไอซ์ ก็คือพี่ PR ที่ค่ายเก่า ก็ถามว่าฝ้ายสนใจมั้ยจะไปคุยกับพี่ตั๊ด เพราะตอนนั้นมันใกล้จะหมดสัญญา ประมาณปีที่แล้ว เขาก็ถามว่าอยากทำเพลงอยู่ไหม เราก็อยากทำเพลงอยู่แล้ว แล้วพี่ตั๊ดก็พาไปคุยกับพี่พล

ตั้งแต่ที่ทำงานอะคูสติกมา เป็นคนทำเพลงเองตลอดหรือเปล่า

ใช้คำว่ามีส่วนร่วมดีกว่า คือไม่ได้แต่งหรืออะเรนจ์เองอะไรขนาดนั้น มีพี่โปรดิวเซอร์ช่วย เพลงเก่าก็มีพี่แม็ค ศรันย์เขียนเนื้อให้ แต่ทุก process ทุกขั้นตอนคือฝ้ายจะเข้าไปคุยอยู่แล้วเพราะมันอาจจะเริ่มมาจากตัวฝ้ายเอง เรื่องราวเหมือนถ่ายทอดออกมาให้เป็นตัวเอง

แล้วตัวฝ้ายจริง เป็นคนแบบไหน

เพลงที่ฝ้ายเพิ่งปล่อยไปมันเหมือนผู้หญิงที่พูดตรง ใช่ไหม แต่ความจริงอะ ฝ้ายเป็นคนไม่ได้พูดตรง ขนาดนั้น มีความอุปมาอุปมัยเปรียบเทียบ ชอบอ่านกลอน ฟ้า ดวงดาว ธรรมชาติ มันทำให้เรารู้สึกว่ามีความเป็นกวีอยู่ในนั้น เนื้อเพลงอาจจะไม่ได้พูดตรง เธอรักฉัน ฉันรักเธอ แล้วจบ ก็จะมีการไปเปรียบนู่นเปรียบนี่

เคยเจอประสบการณ์แบบในเพลงไหม

จริง ไม่เคยโดยตรงว่าเรากับเขา แต่มันเป็นความรู้สึกของตัวเราเอง คือมันมีคำถามอยู่ในใจเราที่เราต้องการคำตอบ แต่มันไม่มีคำตอบอะ ซึ่งทำยังไงอะ เป็นคนชอบคุยกับตัวเอง บางทีก็คิดเยอะเกินไป คิดเยอะมาก บางทีก็ต้องห้าม ตัวเองว่าจะคิดเยอะไปทำไม แล้วก็คอยถามตัวเองว่า มันไม่มีคำตอบอะ มันจะรู้สึกอึดอัด แล้วสักพักก็จะรู้ว่า เออ ไม่ต้องคิดขนาดนี้ก็ได้ เดี๋ยวมันก็มีคำตอบของมันเองพอถึงเวลา

คอนเซ็ปต์ของเพลงคือ ‘ความเงียบที่รู้สึกได้’ มีที่มาจากอะไร

จุดเริ่มต้นของเพลงนี้คือเรามองท้องฟ้า เรามองเมฆ แล้วรู้สึกว่าเมฆมันเปลี่ยนไปตอนไหนไม่รู้ คือเรามองมันอยู่ตั้งนานแล้วแต่มันค่อย เปลี่ยน แล้วพอเรามาดูอีกทีแล้วมันก็กลายเป็นรูปอื่น มันก็เลยทำให้เรานึกถึงความรู้สึกของคนเราที่อยู่ด้วยกัน เขาอาจจะเปลี่ยนไปโดยที่เราไม่รู้ตัว เขาเองก็อาจจะไม่รู้ตัว แต่ความรู้สึกมันไม่เหมือนเดิมแล้ว เราก็เหมือนเอาตรงนี้ไปขยายความต่อ ‘ความเงียบที่รู้สึกได้’ ก็คือเหมือนเราอาจจะไม่รู้ตัว แต่เรารู้สึกได้นะว่ามันเปลี่ยนไป

ที่บอกว่าเป็นคนชอบเปรียบเทียบ ในเนื้อเพลงก็มีการใช้คำกวี แบบ ‘ดอกไม้ไร้ฝนยังทนไหว’

ฝ้ายชอบประโยคนึงในหนังสือ คือปกติจะเป็นคนเขียนทุกอย่างที่ชอบลงสมุดหนังสือ แล้วฝ้ายยกอันนึงขึ้นมาคุยกับพี่พล เราชอบการเปรียบเปรยกับดอกไม้ว่าสุดท้ายเราผิดหวังจากความรัก หรือผิดหวังจากอะไรขึ้นมา เราก็มองว่าตัวเราเองเป็นดอกทานตะวันรึเปล่าที่โตหน้าร้อน ชอบแดด แล้วตอนนี้เป็นหน้าฝน ก็รู้สึกว่ามันยังไม่ถึงฤดูกาลของเราที่มันจะบาน ให้รอ ก็เลยบอกกับพี่พลว่าชอบประโยคนี้ ซึ่งพี่บิวอาจจะหยิบยกประโยคตรงนี้ไปเขียนถึงดอกไม้ด้วย

เป็นคนชอบขีดเขียนแล้วอยากจะเขียนอะไรด้วยตัวเองบ้างไหม

อีกความฝันนึงคืออยากเป็นนักเขียนด้วย ยิ่งถ้าเป็นเพลงตัวเองก็อยากจะเขียนเพลงเอง เราคงจะรู้สึกดีมาก

รู้สึกยังไงบ้างที่ได้ร่วมงานกับ รัฐ Tattoo Colour และ บิว Lemon Soup 

ดีใจมากค่ะ อย่างพี่รัฐ กีตาร์เอย หรือ position ทางคอร์ด การเรียบเรียงเขาเจ๋งมากอยู่แล้ว ก็รู้สึกดีมากที่ได้ทำกับพี่รัฐ กับพี่บิวด้วย คือพี่รัฐกับพี่บิวเขาทำงานโคกันอยู่แล้วด้วย พี่รัฐก็เหมือนคุยกับพี่บิว ส่วนนึงเลยให้พี่บิวแต่งด้วย แต่ฝ้ายก็ส่งทุกอย่างที่เราคิดให้พี่รัฐหมดเลย เขียนอธิบายไปว่า พี่รัฐ ฝ้ายชอบตรงนี้มาก ท่อนนี้ แบบนี้ ก็คุยกับพี่รัฐก่อนตลอด มันเป็นความแปลกใหม่ที่เราก็ไม่แน่ใจนะว่าคนอื่นจะฟังหรือเปล่า จะชอบไหม แค่รู้สึกว่าถ้าเราไม่ได้ลองปล่อยออกไปก็จะไม่รู้ว่าจะเป็นยังไง ตอนนี้เราสนุกกับการทำแบบนี้

เปลี่ยนทั้งลุค ทั้งแนวเพลง กลัวคนจำไม่ได้ไหม

ไม่คิดอะไรเลยค่ะตรงนั้น รู้สึกว่าจริง แล้วเพลงมันขึ้นมาก่อน แล้วด้วยความที่พี่ครีเอทีฟเขาก็อยากให้มีความสนุกสนานมากขึ้นด้วย แล้วก็เหมือนตัวเรา ด้วยความที่มันเป็นเพลงอิเล็กทรอนิก เขาก็เห็นถึงสีที่มันเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งถามว่าจริง แล้วฝ้ายเป็นคนฉูดฉาดขนาดนี้ไหม มันจะมีพาร์ตนึงที่เป็นคนชอบแฟชัน สนุกกับการแต่งตัว แต่เราก็ยังมีความชอบธรรมชาติ ชอบอะไรมินิมัลอยู่ ตอนนี้เป็นแบบนี้ กับเพลงที่เป็นอิเล็กทรอนิก มันก็น่าจะเหมาะกัน

ตั้งใจจะเปลี่ยนนิยามของป๊อปแบบเมื่อก่อนไปเลยหรือเปล่า คนจะคิดว่าด้วยเนื้อเสียงน่ารัก จะต้องร้องเพลงใส อย่างเดียว แต่เพลงนี้เท่ และการใช้เสียงแบบนี้เลยทำให้ดูแปลกไปเลย

มันมีความขัดแย้งกันที่กลมกลืนใช่ไหมคะ ต้องการเปลี่ยนความเป็นป๊อปสมัยก่อนหรือเปล่า จริง เรารู้สึกว่า เราจะไม่ตีกรอบว่าเราเสียงแบบนี้แล้วเราจะร้องไม่ได้ มันคือการที่เราชอบแนวดนตรีแบบนี้ ผสมผสานทุกอย่างมาเป็นเรา บวกกับเสียงเรา คือสุดท้ายแล้วฝ้ายว่ามันไม่จำเป็นต้องไปอยู่ในความใสอะไรขนาดนั้น เพราะเราชอบแบบนี้ก็ต้องอยู่แบบนี้แหละ

แฟนเพลงที่ติดตามตั้งแต่ตอนแรกที่แนวเพลงไม่ใช่แบบนี้มีฟีดแบ็กยังไงบ้าง

เขาก็ชอบนะคะ บอกว่า เออ ดูเราโตขึ้น เป็นตัวของตัวเองมากขึ้น ก็ดูฟีดแบ็กกลับมาดี คนรอบตัวก็บอกว่าชอบเพลงนะ บอกว่าเพลงหลอน (หัวเราะ) คือมันติดหูที่ท่อนนั้น ประโยคนั้น

ตอนนี้ใช่ตัวตนเราแล้วหรือยัง

ใช่นะ ตอนนี้มันใช่สำหรับตอนนี้ แนวดนตรีหรือเพลงที่เราอยากทำมันเป็นประมาณนี้

วางแผนไปถึงทำอัลบั้มหรือยัง

จะมีเพลงที่ 2-3 คงเป็นแนวประมาณนี้แต่อาจจะช้าลง หรือมีความ vocal หนักกว่านี้ อาจจะใส่ความเป็นแจ๊ส natural human source เป็นเสียงที่คนสร้างเสียงขึ้นมา ก็คงต้องคุยกันอีกทีว่าจะเป็นแนวทางไหนทิศทางไหน เราต้องคิดอันต่อ ไปแล้ว แต่ยังไม่คุยกับพี่ทีมงานชัดเจน แต่ฝ้ายก็คิดไว้แล้ว

อีกสองเพลงจะพูดเรื่องอะไร

เขียนอยู่แต่ไม่รู้จะหยิบอันไหนมาเล่า แต่เราเขียนไว้ทุกวัน แล้วก็ทำการบ้านเหมือนกันว่าประโยคนี้เจ๋งดี แล้วฝ้ายเชื่อว่าจริง แล้วคนเราแต่งเพลง เราไม่สามารถที่จะเอาอันนี้แล้วแต่งได้เลย มันต้องมีคลังของตัวเองแล้วหยิบมาแล้วดูภาพรวมมากกว่า แต่ถ้าพูดถึงเรื่องเนื้อเพลง ก็จะเป็นตัวเองเนี่ยแหละ ในวิธีเล่าอาจจะไม่ได้พูดตรงแบบที่ฝ้ายบอกขนาดนั้น

ฝ้ายเชื่อในการออกเพลงเป็นซิงเกิ้ลหรือเป็นอัลบั้มมากกว่า ได้วางคอนเซ็ปต์ไว้ไหม

วางค่ะ ฝ้ายเชื่อว่าศิลปินเวลาออกซิงเกิ้ลหรือออกเพลง เขาก็คงคิด และสิ่งที่ทุกคนอยากจะมีคือการทำเป็นอัลบั้มเต็ม เราก็วางมู้ดโทนทุกอย่างที่เป็นกรอบของอัลบั้ม คิดเผื่ออยู่แล้ว ถ้ายิ่งแต่งเนื้อเองได้บางเพลงก็จะดีมาก

เดี๋ยวนี้ศิลปินคนนึงปล่อยเพลงเยอะมาก กลัวคนย่อยไม่ทันไหม

ฝ้ายรู้สึกว่า ยิ่งปล่อยเพลงไปเยอะ ไม่ได้กลัวคนฟังตามไม่ทัน แต่ถ้าเกิดเขาชอบแนวเพลง เป็นคนที่ชอบเหมือน กับเรา เราต้องการแค่นั้นเลย ถ้าเขาชอบเขาจะตามต่อ ไป อย่างเราปล่อยอันหลังมา แล้วเขาชอบ เขาก็คงจะกลับไปตามอันอื่น มันไม่น่าจะมีปัญหากับการที่ปล่อยออกมาเยอะ ในมุมนั้น

แต่แล้วศิลปินในตลาดเพลงป๊อปออกมาพร้อมกันเยอะ เราจะทำยังไงให้คนจดจำเราได้

จริง มันเหมือนการแสดงออกถึงความเป็นตัวเองออกมา คือเราอาจจะไม่ต้องวัดว่า คนกลุ่มมากต้องฟังเราขนาดนั้น ขอแค่คนบางกลุ่มที่ชอบเพลงเรา หรือเห็นคุณค่าของงานที่เราทำ ขอแค่กลุ่มนี้ฝ้ายก็ดีใจมาก แล้ว ฝ้ายไม่ได้ต้องการจะไปสู้กับคนอื่นว่าทุกคนต้องมาฟังฉันนะ ใครชอบก็มา

ฝ้ายเป็นคนทำงานดีไซน์ด้วย

Interior design ค่ะ จบมัณฑนศิลป์ ศิลปากรมา ตอนนี้ก็ยังทำอยู่ อย่างหนักหน่วง การจัดการ work life balance คือต้องขยันมาก มีวินัยมาก แต่ฝ้ายเป็นคนอยู่ออฟฟิศไม่ได้ คือฝ้ายตั้งแต่จบมา เข้าออฟฟิศไปเดือนเดียวแล้วเรามีโอกาสทำเพลงตัวเอง เราต้องเลือกแล้วว่ามันเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อ แต่พอมันเป็นสิ่งที่เราชอบทั้งสองอันแล้วทำไมเราต้องเลือกอันใดอันนึงขนาดนั้น เราจะสามารถทำยังไงได้บ้างที่จะออกมาทำได้ทั้งสองอย่าง ก็เลยทำฟรีแลนซ์แล้วกระจายงานให้คนอื่นมากขึ้น เราเป็นคนดีไซน์ เขียนแบบ คุยกับลูกค้าก็จะมีเพื่อนคอยซัพพอร์ต มีรุ่นน้องมาเขียน 3D Max ทำโปรแกรมอะไรให้ แต่ก็มีไอเดียหลัก ๆ มาจากเรา คล้าย เป็นเฮาส์โปรดักชันเล็ก

นอกจากนี้ก็ทำแบรนด์เสื้อผ้าด้วย

แบรนด์เล็ก ทำกับน้องชาย เหมือนเขาไปเรียนอเมริกา แล้วเราก็ไม่ได้มีเวลาว่างขนาดนั้น ถามว่าเราอยากทำไหม อยากทำมาก ตอนแรกคุยกับน้องว่าจะช่วยซัพพอร์ตเรื่องการจัดการ เพราะน้องเรียนการตลาดมา ก็อาจจะทำต่อ

เป็นคนที่ทำอะไรหลายอย่างมาก

ทำหลายอย่างเพราะเรารู้สึกว่ามีโอกาสดี มั้งก็ไม่อยากทิ้ง calligraphy ก็ชอบเขียน เราได้งานของ Crabtree & Evelyn กับ Estee Lauder มา เหมือนเขาจัดเวิร์กช็อปมากลางห้าง แล้วเราก็ดู direction ของทั้งหมด เขียนมาเป็นการ์ดชื่อของแต่ละคน หรือว่าทำ illustrator วาดภาพประกอบตัวแขวนช่อดอกไม้เอย อะไรเอย แค่นั้นก็รู้สึกสนุกแล้ว ก็รับทับ นั่งเขียนไปเหมือนคัดลายมือ (หัวเราะ)

พลังเยอะขนาดนี้มีวันที่พลังหมดไหม

มีแหละ ถ่านหมดก็ชอบอยู่บ้าน นอน จัดบ้าน จริง เวลาพลังหมดจะชอบจัดบ้าน ไม่รู้ทำไม ทั้งที่มันดูเหนื่อย ใช่มะ (หัวเราะ) เราชอบให้ทุกอย่างมันอยู่เป็นระเบียบ โอเค พอรู้สึกเหนื่อยแล้วเวลาหันไปมองกองตรงนั้นมันรกนิดนึงจะยิ่งรู้สึกไม่สบายตา ก็เดินไปเก็บ เปิดแผ่นเสียงแล้วจัดห้องมันผ่อนคลายมาก จริง

สะสมแผ่นเสียงด้วย?

ไม่ใช่แค่เพลงแจ๊สนะ แต่ยุคใหม่ ก็มี หลัง เสียทรัพย์ยับเลย มีพวก Haim, Prep, Men I Trust

มีคนบอกว่า ‘เป็นศิลปินอย่างเดียวอยู่ไม่ได้’ คิดยังไงกับตรงนี้

ฝ้ายอาจจะโชคดีอย่างนึงที่สามารถทำทุกอย่างที่เราแฮปปี้ได้ แล้วเราสามารถเลี้ยงเป็นอาชีพได้ เรามองว่าเราเพิ่งเริ่มใหม่กับ Boxx Music เราทำเพราะความชอบ เพราะความรัก เราอยากร้องเพลง ตอนนี้มันอาจจะดูเป็นงานอดิเรก แต่คิดว่าซักวันนึง ถ้ามันงอกได้ โตได้ดี ฝ้ายอยากให้มันเป็นอาชีพหลัก ซึ่งก็ไม่ได้คาดหวังกับมัน ถามว่าตอนนี้เรามีความสุขไหม เราทำ interior ไปด้วย ทำตรงนี้ไปด้วย เราก็ไม่ได้คาดหวังอะไรกับมันมากขนาดนั้น เพราะเราชอบทำงานดีไซน์ สนุกกับการคิดคอนเซ็ปต์มากอยู่แล้วด้วย

ได้เอาสิ่งที่เรียนมาใช้กับการทำเพลงไหม

จริง ฝ้ายรู้สึกว่ามหาลัยเป็นอะไรที่ คำว่านักศึกษา คือเราศึกษา ไม่ใช่นักเรียน นักเรียนคือครูสอน แล้วเราเรียน อันนี้คือเราหาความรู้เองด้วยส่วนนึง ถ้าเราตั้งใจ เราขยัน มันสอนอยู่แล้ว และอาจารย์ก็ไม่ได้ถึงขั้นสอนวิธีคิดคอนเซ็ปต์ เขาจะสอนเบสิกการเขียนแบบ การใช้ human dimension, human scale ต่าง แต่เราจะพัฒนาความคิดของเราต่อได้ยังไง ก็คิดการอ่านมาก ดูมาก การเรียนรู้จากตัวเองหรือเป็น case study ต่าง เราต้องหาเยอะมากด้วยถึงจะได้มาก

แล้วมันเกี่ยวมาก พอเราเรียนทางด้านดีไซน์มาเราจะมีวิธีคิดแบบคนที่เรียนมา สมมติตอนเด็ก ฝ้ายเรียนสายศิลป์มาโดยตรงขนาดนั้นฝ้ายอาจจะไม่คิดแบบนี้ ตัวเองชอบวาดรูปมาตั้งแต่เด็ก แต่เรียนวิทย์คณิตเพราะคิดว่าตัวเองคงชอบวิทยาศาสตร์ ก็เลยไปเรียน พอเรียนเสร็จแล้วเราก็ไม่ได้ชอบขนาดนั้น แต่มันฝึกให้เราเป็นคนมีเหตุมีผลในการใช้ชีวิตด้วย เหมือนฝ้ายเป็นคนมีสองด้าน คือมีทั้งวิทย์ แล้วก็ศิลป์มาก คือมีทั้งอารมณ์ความรู้สึกหนักมาก แต่อีกทางก็เป็นคนมีเหตุมีผลเหมือนกัน ก็เอามาใช้กับเรื่องในเพลงว่า เราเข้าใจทุกอย่างนะ เหมือนเพลงนี้ คือให้บอกก่อน เป็นอะไรก็ไม่เป็นไร ถึงมันจะเศร้า มันจะอะไร แต่เราต้องยอมรับความจริงว่าเธอเปลี่ยนไปแล้ว ก็จะไม่ฟูมฟาย

Fai Patthaya

จะทำเพลงไปอีกนานขนาดไหน

มันคือความสุขแหละ เหมือนไปเต้นแจ๊ส ไม่ต้องคิดมาก อันนี้เราก็มีความสุขกับการทำงานแบบนี้ มันคือพาร์ตนึงตรงที่เรามีความสุขกับการร้องเพลง การเต้น การดีไซน์ มันก็เป็นสิ่งที่เราชอบทั้งหมด

เร็ว นี้จะมีเล่นสดทีไ่หน

ในเดือนหน้า มีของนิตยสาร แพรว เป็นงานการกุศลที่ EmQuartier อีกอันของ Joox ที่ช่างชุ่ยค่ะ แล้วก็จะมี Boxx Party น่าจะธันวาคมเลย

ฝากผลงาน

ฝากเพลง บอกฉันก่อน ด้วยนะคะ อยากให้ลองฟังกันดูสำหรับคนที่ชอบแนวเพลงแบบนี้ เป็นอิเล็กทรอนิกโฟล์ก ถามว่าฟังง่ายไหม มันอาจจะชอบเป็นแค่บางกลุ่มคน แต่อยากให้ลองเปิดใจฟังดู มันอาจจะเป็นสิ่งที่เราตั้งใจทำ mv มีแล้ว ฟังได้ในหลาย ช่องทาง Joox, iTune, Spotify มีใน YouTube ด้วย แล้วก็ฝ้ายมี instagram กับเฟซบุ๊ก ชื่อ Fai Patthaya ไม่ใช่พัทยานะ ปัถยา ทุกคนจะแบบ เธอชื่อพัทยาหรอ (หัวเราะ) แล้วก็ติดตามได้ที่เพจของ Boxx Music ได้ด้วยค่ะ

Facebook Comments

Next:


Montipa Virojpan

อิ๊ก เนิร์ดดนตรีที่เพิ่งกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนตอนอายุ 25 ชอบเดินเร็ว นอกจากขนมปังกับกาแฟดำแล้วก็สามารถกินไอศกรีมกับคราฟต์เบียร์แทนมื้อเช้าได้