Ebola การกลับมาในค่ายใหม่ พร้อมซิงเกิ้ลสุดมันเย้ยฟ้าท้าดินอย่าง หักคอเทวดา
- Writer: Montipa Virojpan
- Photographer: Chavit Mayot
อัพเดตผลงานล่าสุดจากวงร็อกที่สร้างความมันให้กับวงการมาอย่างยาวนาน หลังจากห่างหายจากการปล่อยผลงานออริจินัลของวง Ebola วันนี้พวกเขากลับมาพร้อมการเปิดตัวกับบ้านหลังใหม่ Me Records ในเพลงที่ดุดันหนักแน่นอย่างเคยใน หักคอเทวดา
สมาชิก
เอ๋—กิตติศักดิ์ บัวพันธุ์ (ร้องนำ)
โอ๋—สุรพงษ์ บัวพันธุ์ (กีตาร์)
กอล์ฟ—วรรณิต ปุณฑริกาภา (กีตาร์)
พัน—พงษ์พันธุ์ โพธินิมิตร (กลอง)
เอ—เชาวลิต ประสงค์สิน เบส
ทำไมต้องไป หักคอเทวดา
เอ๋: สไตล์เพลง การทำงาน การเขียนเพลงส่วนใหญ่ของเราจะเป็นการให้กำลังใจคนที่รู้สึกท้อแท้ เราเป็นอย่างนี้มานานแล้วกับเพลงของ Ebola ซึ่งเพลงนี้ฟองเบียร์เป็นคนเขียนก็คงจะนึกถึงตรงนั้นด้วย ที่ผมคุยกับเบียร์คือเหมือนประมาณว่า ผู้ใหญ่บอกกับเราว่าบนฟ้ามีเทวดา มีสวรรค์ มาตั้งแต่เด็ก แต่พอเราโตขึ้นมาก็สงสัยว่าข้างบนนั้นมีเทวดา มีสวรรค์จริงหรือเปล่า ก็เลยอยากขึ้นไปดูบนนั้น โดยที่เราก็ชวนคนที่คิดเหมือนเราไปด้วย แต่จริง ๆ มันมีนัยยะเปรียบเทียบว่า การที่เราเฝ้าแต่ภาวนา หรือคิดแต่ว่าจะมีคนมาช่วยเรา จริง ๆ อาจจะไม่มีใครช่วยเราก็ได้ เราจะต้องเดินหน้าลุยด้วยตัวเอง ต้องฝ่าฟันอุปสรรคสิ่งต่าง ๆ ด้วยตัวเองมากกว่า สิ่งที่เราเชื่อหรือภาวนามันเป็นแค่สิ่งที่ใช้ยึดเหนี่ยวจิตใจ เป็นกำลังใจให้เราก้าวผ่านเรื่องแย่ ๆ ที่เลวร้ายไปได้
สังเกตว่าเพลงร็อกสไตล์นี้ไม่ค่อยพูดถึงความรักเลย
เอ๋: เพลงของ Ebola มันเป็นเหมือนการเปรียบเทียบมากกว่า อยากให้คนไปคิดต่อเพราะแต่ละคนมันคิดไม่เหมือนกันอยู่แล้ว ถ้าเรื่องที่มันจบในตัวเองมันไม่สนุกหรอก อย่างเพลง สิ่งที่ฉันเป็น เราก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องความรัก เราพูดถึงว่าวันนึงถ้าเราเปลี่ยนไป แล้วคนที่อยู่กับเราเขาจะเข้าใจหรือเชื่อเราต่อไปหรือเปล่า เหมือนวันที่ Ebola เคยทำเพลงหนัก ๆ มา แล้ววันนึงเราต้องเปลี่ยนสไตล์เพลง เปลี่ยนสไตล์การร้อง แล้วคนที่เป็นแฟนคลับเราเขายังจะรับเราได้อยู่ไหม แต่คนอาจจะไปตีความอีกแบบนึง ซึ่งเราไม่เคยเขียนเพลงเกี่ยวกับความรักเลย
ช่วงที่แนวเพลงเปลี่ยนไป แฟนเพลงตอนนั้นมีเสียงตอบรับยังไงบ้าง
เอ๋: ในยุคนึงเรารู้สึกว่าเราทำอะไรบางอย่างมาซ้ำ ๆ เราอยากลองปรับเปลี่ยนอะไรดูบ้าง วันที่เราทำ สิ่งที่ฉันเป็น เอาจริงเราก็ไม่กล้า ไม่อยากทำ เพราะเราคิดว่าถ้าทำไปแล้วคนจะเข้าใจไหม เพราะ Ebola ไม่เคยมีเพลงอะคูสติกเลย เรามีแต่เพลงที่เป็นกีตาร์ไฟฟ้า มีเอฟเฟกต์ตลอด สุดท้ายสิ่งที่เราทำก็เหมือนการทดลองวิทยาศาสตร์ ถ้าเราไม่ทดลองเลย เอาแต่ play safe มันก็ได้แค่นั้น ก็ต้องทำอะไรใหม่ ๆ มาลองให้คนอื่นได้รู้จักบ้าง เราเชื่ออย่างนึงว่า ถ้าคนเป็นแฟน Ebola จริง ๆ เขาต้องเชื่อเราดิ ต้องอยู่กับเราดิ ด้วยความที่ชื่อ Ebola ยังไงมันก็เหมือนเป็นแบรนด์ที่ทุกคนศรัทธาแล้ว เมื่อวันนึงเปลี่ยนแปลงไป โอเคมันอาจจะแฟนน้อยลง แต่เราก็รับได้ เพราะคนที่อยู่กับเราคือคนที่รัก เหนียวแน่นจริง ๆ ต้อง keep ตรงนั้นไว้ แต่คนที่ผ่านมาแล้วผ่านไป เราอาจจะต้องเขาใจว่าเขาอาจจะเป็นคนที่ฟังเพลงตามแฟชัน แต่สิ่งที่เราต้องเจอในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ นอกเหนือจากเรื่องคนจะอยู่กับเราแค่ไหน ก่อนที่จะปล่อยเพลงเราก็คุยกันแล้วว่าถ้าเปลี่ยน แล้วเพลงมันทำงานมากขึ้น ได้มีโอกาสเดินทางไปที่ต่าง ๆ มากขึ้น ทำให้คนที่ไม่เคยรู้จักเราเลยได้รู้จักเรามากขึ้นก็คุ้มที่จะลอง แล้วมันก็สามารถทำได้จริง ๆ อย่างเพลง สิ่งที่ฉันเป็น มันก็พิสูจน์ได้ว่า เราไม่เคยทำเพลงอะคูสติกเลย แต่พอทำแล้ววันนี้เสือกดังขึ้นมา เราไม่เคยได้เล่นที่งานวัด งานกลางแจ้ง งาน OTOP
กอล์ฟ: จริง ๆ แล้วมันเป็นเหมือนกุญแจที่พาให้เราได้ไปเล่นที่ ๆ ไม่เคยเล่น ที่ ๆ แปลก ๆ ไกล ๆ แล้วเรายังได้เสนอเพลงอีกหลาย ๆ เพลงที่เรามีอยู่ให้เขาได้ฟัง
เอ๋: เราต้องกล้าที่จะปรับบางอย่าง ซึ่งมันก็มีสิ่งที่ต้องแลกมาอยู่แล้ว วันที่ปรับตอนแรกก็มีคนแอนตี้เหมือนกัน พวกแฟนเพลงที่เป็น hard banger ทั้งหลายแหล่ที่รู้สึกว่าไม่ใช่แล้ว แต่ผลก็คือคนที่ไม่เคยรู้จักเราก็รู้จักเพิ่มมากขึ้น คนที่ไม่เคยฟังเพลงเราเลยก็หาเพลงเก่า ๆ ของเรามาฟัง เราก็ต้องยอมแลก เพราะมันได้อะไรกลับมาเยอะมาก อย่างน้อยเราก็ได้ประสบการณ์แล้วเราได้ไปที่ต่าง ๆ เยอะแยะมากมายทั่วประเทศ เมื่อก่อนก็เล่นแค่ underground ในกรุงเทพ ฯ พอตอนนี้ โห ไปเล่นสามจังหวัดชายแดนใต้เงี้ย มันก็โอเคนะ แปลก ๆ ดี สนุกดี
อะไรทำให้กลับไปทำเพลงหนักแบบเดิม
กอล์ฟ: ก็แล้วแต่อารมณ์เพลงมากกว่า บางทีเพลงนี้เราอยากจะให้มันหนักหน่อย หรือเพลงนี้เราอยากจะดูสมูธ ๆ หน่อยเราก็จะลองทำ แต่อันนี้เราตั้งใจให้กลับไปย้อน ๆ แบบสมัยเรายังเป็นใต้ดินที่กำลังจะมาบนดิน วิธีมันจะผสม ๆ กับปัจจุบันแต่จะออกมาเป็นอารมณ์เพลงในช่วงนั้น
เอ๋: แล้วเรารู้สึกว่าตอนนี้ดนตรีมันเริ่มย้อนแล้ว คนเริ่มกลับไปฟังอะไรเก่า ๆ ที่มันวินเทจ ๆ อย่างดนตรี 90s ซึ่งเป็นสิ่งที่เราโตมา Ebola ในยุคนั้นคือเป็นนูเมทัลที่เด็กสมัยนี้อาจจะไม่รู้จัก แต่พอเอากลับมามันเลยเป็นของใหม่น่าตื่นเต้นสำหรับเขา ทั้งที่จริง ๆ มันถูกนำเสนอมานานแล้ว ซึ่งอันนั้นมันคือตัวตนสมัยนั้นของเราเลย เราก็ลองย้อนกลับไปหาตัวเราในสมัยนั้นกันดูไหม อย่างพวก Korn, Limp Bizkit อะไรพวกนั้น มันก็เป็นอะไรที่น่าลอง แล้วดนตรีสมัยนี้มันจะมีอิเล็กทรอนิกเข้ามาผสม เราก็เลยอยากเอาตรงนั้นมาผสมกับดนตรีนูเมทัลของเราให้ดูร่วมสมัยมากขึ้น แต่ก็คงไม่เอาแบบ Daft Punk หรือ The Chemical Brothers มาทำ เราจะกลับไปยุคแบบ Nine Inch Nails หรือ Fear Factory พวกซาวด์แบบ industrial เข้ามาผสมให้มีความหนักแน่น เป็นเมทัลมากขึ้น จะเหมาะกับเรามากกว่า
ในมิวสิกวิดิโอของเพลงนี้ Ebola มีส่วนร่วมในงานยังไงบ้าง
กอล์ฟ: ผู้กำกับได้พี่ เจษ—เจษฎา หั่นช่อ ก็มาคุยกับทีม Me Records ฟองเบียร์ แล้วก็พวกเรา ออกไอเดียกันอยู่สองรอบ จนตกผลึกมาเป็นแบบที่จะได้ดูกัน 3 เมษายนนี้ครับ
เอ๋: แล้วทุกคนก็ได้แสดงกันเต็มที่ ไปเรียนแอคติ้งกันมาด้วย… ล้อเล่นนะครับ (หัวเราะ)
รู้สึกยังไงที่การกลับมาครั้งนี้มีแฟน ๆ รอคอยเป็นจำนวนมาก
เอ๋: ก่อนอื่นก็ต้องขอขอบคุณแฟนเพลง ขอบคุณ Me Record ที่มองเห็นอะไรในพวกเรา หนึ่งคือเราไม่ได้ออกอัลบั้มมานานมากแล้ว ไฟบางอย่างมันอาจจะมอดไปบ้าง แต่ความรู้สึกของเราคือยังอยากเล่นดนตรีเหมือนเดิม ตั้งแต่วันที่เบียร์ติดต่อมา ชวนเราว่า ‘พี่มาอยู่กับผม แล้วเรามาสนุกกัน’ เราเพื่อนกัน 5 คน ตอนถามว่าพร้อมไหม มองหน้ากันแล้วรู้เลยว่าพร้อม เราโอเค เรามีไฟ แล้วเราไม่ได้หวังว่าอนาคตมันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เรามองแค่ว่าวันนี้มีคนให้โอกาสเรา วันนี้เพื่อนเราอีกสี่คนอยากทำเพลง วันนี้มันถึงเวลาแล้วว่าเราจะออกไปสู้ ออกไปทำงานของเราต่อไป อย่างน้อย ๆ เราหวังแค่ได้กลับไปเล่นดนตรี มันเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวเรามาตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา คือเราเล่นมาครึ่งชีวิตแล้วก็คิดว่าคงไปทำอย่างอื่นไม่ได้แล้วนอกจากเล่นดนตรี เราเอาความอยากเล่นดนตรีตรงนั้นมาตั้งต้นในการทำงานที่เราคิดว่าจะทำให้ดีที่สุด อย่างน้อยคือถ้าตัวเรายังชอบ ก็หวังว่าแฟนเพลงของเรา หรือเด็กรุ่นใหม่ ๆ เขาก็น่าจะชอบเหมือนอย่างที่เราชอบ ที่เหลือมันคือกำไรแล้ว
กอล์ฟ: กับเรื่องดนตรีผมว่ามันเปิดกว้างแล้วอะ ไม่ว่าจะยุคไหน รุ่นเล็ก รุ่นใหญ่ ก็เข้าถึงมันได้ ถ้าเราตั้งใจทำแล้วก็ชอบมันอยู่แล้ว เราก็สามารถนำเสนอได้
ซึ่งความจริง Ebola ไม่ได้หายไปไหน
กอล์ฟ: ใช่ครับ แค่ หักคอเทวดา จะเป็นเพลงใหม่จริง ๆ นอกนั้นก็เป็นเพลงละครบ้าง เพลงเก่าเอามาทำ เพลงหนัง ก็มีทำอยู่เรื่อย ๆ
คราวนี้จะกลับมาเป็นอัลบั้มเลยหรือเปล่า
เอ๋: แน่นอน เรารู้สึกอย่างนึงว่าวงยุคเราเนี่ยมันต้องทำอัลบั้ม ถ้าทำเป็นซิงเกิ้ลเรารู้สึกว่ามันไม่ตอบโจทย์เท่าไหร่ เราโตมากับซีดีที่มันสามารถเก็บได้นานเท่านาน มีปกอัลบั้ม มีเครดิต เรารู้สึกว่ามันเป็นความคลาสสิกของวัยรุ่นยุคนี้ เราควรจะทำเป็นระบบนี้
แต่ก่อนหน้านี้วงปล่อยมาเป็นซิงเกิ้ล
กอล์ฟ: จริง ๆ ซิงเกิ้ลตอนนู้นมันจะเป็นเพลงพิเศษมากกว่า มันก็เลยไม่ได้รวมมา แต่อันนี้ที่ Me Records เราก็อาจจะปล่อยเป็นซิงเกิ้ลทยอย ๆ ไปก่อน แต่จะทำเป็นอัลบั้มแหละครับ แนวเพลงก็ยังบอกไม่ได้ครับว่าจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมไหม แต่ก็คงจะมีหลายรูปแบบ มันยังมีเวลาให้ทำอยู่บ้าง แต่เนื้อหาคงจะไปในทิศทางแบบ Ebola อยู่แล้ว
การทำงานในค่ายใหม่เป็นไงบ้าง ได้อิสระในการทำงานมากขนาดไหน
เอ๋: การทำงานทุกอย่างเราต้องคุยกันก่อนว่าถ้าเรามาแล้วเราจะได้ทำในสิ่งที่อยากทำหรือเปล่า ถ้าเราฟรี เราแฮปปี้ เราทำแน่นอน แต่ถ้าอันไหนเราว่าไม่ใช่เราก็จะไม่เลือก อย่างเบียร์เคยทำงานกับพวกเรามาก่อนในอัลบั้มที่เขาเขียนเพลงช้า เรารู้สึกว่าคุยกับเขาแล้วมันคลิก เคมีมันตรงกัน แล้ววันนึงเขาก็ชวนเรามาอยู่ ผมเชื่ออย่างนึง ฟองเบียร์เขาไม่พาเรามาฆ่าทิ้งแน่นอน เพราะวันที่คุยกันเบียร์บอกว่า ‘พี่อยากทำอะไรพี่ทำเลยนะ ผมปล่อยให้เป็นตัวตนของพี่เต็มที่’ ซึ่งเราโอเค แล้วอีกอย่างนึง ก่อนหน้าที่เราจะเข้ามาค่ายนี้จะมีวงรุ่นพี่เราหลาย ๆ วง อย่าง Silly Fools เงี้ย เราก็ดูแล้วว่าเขาได้ทำสิ่งที่เขาอยากทำ เลยคิดว่าเนี่ย มันใช่ละ เราได้ทำงานที่เราอยากทำ ได้เป็นตัวของเราแน่นอน เลยตัดสินใจมา
ทำไมถึงเลือกไปร่วมงานกับศิลปินต่างแนวอย่าง พงษ์สิทธิ์ คัมภีร์ หรือ Thaitanium
กอล์ฟ: มันก็เหมือนการเล่นสนุกอะ เอาเพลงคนละแนวมาเจอกัน
เอ๋: พี่ปูนี่ พูดตรง ๆ คือพวกผมเรียนอาชีวะมา พวกผมรู้จักเพลงเพื่อชีวิตหมดอยู่แล้ว มันปฏิเสธไม่ได้ว่าเราจะไม่ชอบ เราชอบเลย ซึ่งเรารู้สึกว่าพอได้ทำเพลงของพี่ปู ความรู้สึกเก่า ๆ ตอนเราเรียนอาชีวะได้ที่เราได้เล่นกีตาร์ล้อมวง ร้องเพลง เสมอ ของพี่ปู มันก็น่าสนุกนะถ้าวันนึงเราได้มาคัฟเวอร์หรือ tribute เพลงของพี่ให้เป็นสไตล์ Ebola เป็นโจทย์ที่ท้าทาย เราก็เอาเล้ย ลองสักตั้ง แล้วเพลงก็เคยร้องเคยฟังอยู่แล้ว แค่เอาดนตรีมา re-arrange ใหม่ เอาสไตล์ของพวกเราใส่เข้าไป มันต้องลองดูอะ ซึ่งพอออกมา โอเค มันแฮปปี้ ไม่รู้ว่าคนดูชอบมากน้อยแค่ไหน แต่เราฟังแล้วเราโอเคก็พอแล้ว
กอล์ฟ: ส่วน Thaitanium อันนั้นเป็นเพลง คนพันธุ์เรา ซึ่งตอนนั้นมันก็มีท่อนท่อนกลางที่เราคิดว่าน่าจะหาอะไรมาเติมให้มันสนุกขึ้น ทาง Warner Music ก็เลยลองคุยกับทาง Thaitanium ดู เขาก็อยากร่วมงานด้วย ก็เลยลองสับกันดูสักตั้ง ก็สนุกดี
เอ๋: ดนตรีนูเมทัลยุคนึงมันจะมีดนตรีอย่าง Limp Bizkit ที่ทำเพลงร็อกกับแรปผสมกัน หรืออย่าง Linkin Park ตอนที่มี Mike Shinoda อยู่ มันเป็นการผสมผสานดนตรีอีกแบบที่น่าทดลอง เราก็เลยรู้สึกว่า ตรงท่อนกลางที่กอล์ฟบอก ถ้ามันมีแรปลงไป จะสนุกไหม หรือเราจะแรปเองก็คงไม่ไหว เอา professional มาดีกว่า อย่างที่ผมบอกว่า การเล่นดนตรีมันเหมือนอยู่ในห้องทดลอง เอาส่วนผสมหลาย ๆ แบบ ดนตรีหลาย ๆ แบบมาผสมกัน เกิดเป็นส่วนผสมใหม่ที่อาจจะดีบ้าง ไม่ดีบ้าง เราต้องทดลองไป อย่าง Thaitanium เนี่ย ทุกคนในวงหรือไม่ว่าใครในประเทศนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักเขา มันเป็นโอกาสดีที่คนเก่ง ๆ ได้มาร่วมงานกับเรา มันก็เป็นความรู้สึกที่ว่าไอเดียต่าง ๆ ของเขามันจะทำให้ศักยภาพของเพลงมันเพิ่มขึ้น เลยออกมาเป็นแบบนั้น
มีโอกาสได้ไปทำเพลงละครได้ยังไง
กอล์ฟ: เพลง หัวใจลิขิต อันนั้นมาทางพี่ หนึ่ง ณรงค์วิทย์ เขาก็ทำเพลงละครให้ช่อง 3 เป็นหลักอยู่แล้ว แล้วละคร เลือดมังกร มันมี 5 ตอน มีศิลปิน 5 คนมาทำเพลงให้แต่ละตอน แล้วตอน กระทิง ที่เข้มข้นที่สุด อยากให้เป็นเพลงร็อกหน่อย เขาก็นึกถึง Ebola ก็ติดต่อมาทาง Warner Music ก็เลยได้ร่วมงานกันตอนนั้น
ตอนที่รู้ว่าจะต้องมาทำเพลงละคร กลัวจะสูญเสียความเป็นตัวเองไหม
กอล์ฟ: คิดว่าน่าจะสนุกมากกว่า เพราะนึกถึงเนื้อหาเพลง ตัวละคร แล้วก็พี่ อ๊อฟ—พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง กำกับ มันต้องดีแน่นอน ไม่น่าจะขัดเขินอะไร แล้วเขาก็ให้เราทำในสไตล์เรา น่าจะสนุกอยู่แล้ว ก็เลยทำเลย
แล้วเพลงประกอบภาพยนตร์ อัลเทอร์มาจีบ ที่ต้องทำเพลง แล้วเธอ ของอรอรีย์ รู้สึกยังไง
กอล์ฟ: มันก็เป็นอีกแบบครับ เพราะเพลงนี้ก็เป็นเพลงฮิตในยุคอัลเทอร์เนทีฟ เด็ก ๆ เราก็แกะหมดแหละครับไม่ว่าจะเพลงอะไรมัน ๆ Nirvana ก็เคยซ้อมเล่นกันมาหมดแล้ว
เอ๋: จริง ๆ มันดีนะ ในซาวด์ดนตรีของพี่อรอรีย์ในยุคนั้น ผมเชื่อจริง ๆ คือถ้าคนที่ฟังเพลงหนัก เขาต้องชอบ ความรู้สึกผมด้วย rhythm มันใช่เลย คือเป็นกรันจ์หนัก ๆ เลยอะ ซึ่งผมก็ชอบ มีซีดีชุดนั้น เคยแกะเพลงนี้เล่นด้วยซ้ำ แล้วก็คิดว่ามันน่าสนใจ เป็นโจทย์ใหม่ที่เมทัลต้องเอาเพลงยุค 90s มาทำ ก็รู้สึกว่ามันท้าทาย มันมันแน่นอน อันนี้ก็อยู่ที่คนฟังแล้วว่าชอบเวอร์ชันเราหรือเปล่า
ถ้ามีคนมาเสนอให้ทำเพลงประกอบละครหรือหนังอีกจะทำไหม
กอล์ฟ: ก็ต้องดูว่ามันเหมาะกับเราหรือเปล่า ถ้าเราทำแล้วมันน่าจะสนุกก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร
เอ๋: แต่ถ้าเอาเพลง Britney Spears มาให้ทำก็ไม่น่าจะไหว
พัน: แปลกดี (หัวเราะ)
จากวันนั้นถึงวันนี้ จุดมุ่งหมายการทำเพลงของ Ebola ยังเหมือนเดิมหรือเปล่า
เอ๋: เอาเรื่องความคาดหวังดีกว่า เราไม่เคยคาดหวังอะไรกับการทำงานของเราเลย อย่างที่โอ๋บอกตลอดเวลา ‘แค่ได้ออกมาเล่นดนตรี’ แค่นั้น เหมือนเราเป็นเด็ก ๆ สมัยก่อน จุดเริ่มต้นเราเป็นอย่างนั้นมาตลอด การเล่นดนตรีคืออยากมาเจอเพื่อน ได้เจอสิ่งแวดล้อม บรรยากาศ เจอคนดู แค่นั้นก็แฮปปี้แล้ว ที่เหลือมันคือกำไรแล้ว เราทำดนตรีมาเพราะ หนึ่งเราชอบ สองคือเราได้อยู่กับเพื่อน สมาชิกเราไม่เคยเปลี่ยน เราอยู่ด้วยกันมายี่สิบปีก็คือสมาชิกเดิม สิ่งที่เราทำมาได้ไกลขนาดนี้ ในความรู้สึกถ้าเราชอบมัน คนดูก็คงชอบเหมือนกับเรา เราก็หวังแค่นั้น จากวันนั้นถึงวันนี้เราผ่านอะไรมาหลายอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นช่วงที่พีคที่สุด ช่วงที่งานน้อยที่สุด หรือช่วงที่ทุกอย่างกำลังเดินหน้าต่อไป เราเจอมาหมดแล้ว เราไม่เคยคิดว่าจุดมุ่งหมายเราจะต้องไปเป็นวงระดับแนวหน้า ไม่ขนาดนั้น
กอล์ฟ: เหมือนเราต้องเขาใจสถานการณ์รวม เราไม่เคยไปคิดเยอะ คิดท้อ คิดน้อยใจ ทำไมนู่น ทำไมนี่ เราคิดแค่ว่าถ้าเรามีแรงเราก็ลุยดีกว่า ผมว่ากำลังใจต้องมีให้ตัวเองมากที่สุดมันถึงจะผ่านอะไรไปได้
แฟนเพลงที่เด็กที่สุดอายุเท่าไหร่
เอ๋: โห ประมาณเด็กประถมอะ
กอล์ฟ: ตอนนั้นเราไปเล่นงาน Banana Records คงเป็นลูกหลานแฟนเพลงล่ะมั้ง เขาร้องเพลงเราได้ด้วยนะ
เอ๋: เราเล่นดนตรีมานานแล้ว แล้วคนที่เป็นแฟนเพลงวงเราก็เป็นคนของแต่ละ gen ที่ผ่านมา บางคนเขาติดตามเรามาตั้งแต่เด็ก ๆ จนตอนนี้เขามีลูกแล้ว บางทีลูกก็ฟังเพลงที่พ่อฟัง แม่ฟัง ผมเคยมีแฟนเพลงส่งคลิปมาให้ดู เด็กมาก น่าจะอนุบาลเลยมั้ง ร้องเพลงเราได้ เราแบบ จริงหรอ แต่คิดว่าเป็นพ่อแม่เขามากกว่าที่ให้ลูกซึมซับวัฒนธรรมของ Ebola ไป
เอ: ลูกคงฟังแล้วโยกหัวร้องตามมัน ๆ เหมือนเขา ถ้าเป็นลูกเราคงจะดี (หัวเราะ)
มีแฟนเพลงที่ตามไปทุกงานไหม
พัน: ล่าสุดเพิ่งเจอ นั่งเฝ้าไม่ยอมกลับ
กอล์ฟ: ก็มีบ้าง แต่ไม่ใช่ตามไปทุกที่ เราก็เข้าใจว่าเขาไม่ได้สะดวกขนาดนั้น แต่ถ้าไปเล่นตามจังหวัดต่าง ๆ เขาก็จะมีแก๊งประจำ งานใต้ดินก็มีหน้าประจำ เห็นหน้าแล้วจำได้
เอ๋: มันก็จะมีกลุ่มที่ตามไปดูบ่อย ๆ หรือบางทีมีคอนเสิร์ตที่เป็นของเราเอง คนพวกนี้จะมาตลอด มาถามเราว่าจำหน้าได้ไหม เราก็จำได้สิหน้าคุ้นทั้งนั้น จะใกล้ไกลแค่ไหน เขาก็จะมา เขาบอกเราอย่างนี้
เร็ว ๆ นี้จะมีเล่น Paradise Fest ด้วย
เอ๋: ใช่ เห็นฟอร์จูนเพิ่งไฟไหม้เนี่ย (หัวเราะ) เราก็มีงานเรื่อย ๆ ไม่ได้ห่างหายเท่าไหร่ แต่งานเดี่ยว ๆ ใหญ่ ๆ ไม่ค่อยมี ส่วนมากจะเป็นงานเล็ก ๆ ถ้างานคอนเสิร์ตเปิดอัลบั้มก็ต้องคุยกันอีกที วงอย่างเราก็รู้สึกว่ามันน่าจะมีงานที่เป็นการรวมตัวของแฟนคลับเหนียวแน่นของเรา
กอล์ฟ: อาจจะจัดที่เล็ก ๆ เราเคยจัดงาน 17 ปี Ebola กะจะให้มีแฟนเพลงมา 300 คน แต่กลายเป็นว่า โห มันมีคนชอบเรามากขนาดนี้เลยหรอ ที่ชั้นสองของ Rockademy ยังล้นออกมา แน่นมาก
ฝากผลงาน
เอ๋: Ebola เรากลับมาแล้วกับค่ายใหม่ ซิงเกิ้ลใหม่ที่มีชื่อว่า หักคอเทวดา ยังไงก็ฝากเพื่อน ๆ พี่น้องทุกคนที่เป็นแฟนเพลงของ Ebola ช่วยกันดาวน์โหลด เราบอกไม่ได้ว่าเพลงดีแค่ไหน ผลงานเราสร้างมาเพื่ออยากให้ทุกคนลองฟังก่อน ตัดสินได้ คอมเมนต์มาได้ในเพจวง หรือทาง Me Records ก็ได้ เวลาเรามีคอนเสิร์ตก็ตามไปดูกันได้ครับผม
กอล์ฟ: เพลงก็ไปดาวน์โหลดได้ที่ Apple Music, iTunes
โอ๋: ดิจิทัลดาวน์โหลด *492222269 ครับ