เอิ๊ต ภัทรวี กับประสบการณ์ 1 ปีในออสเตรเลียที่เปลี่ยนมุมมองทางดนตรีของเธอไปตลอดกาล
- Writer: Montipa Virojpan
- Photographer: Chavit Mayot
หลายคนน่าจะคุ้นเคยกับ เอิ๊ต ภัทรวี หรือ vlogger สาว Wishes on the Earth ที่ล่าสุดเธอได้ปล่อยเพลง มีไว้แค่เป็นของเธอเท่านั้น จนเป็นที่ติดใจของใครหลายคนกับสไตล์ดนตรีที่เปลี่ยนไป รวมถึงเธอจะมาเล่าประสบการณ์การใช้ชีวิตที่เมลเบิร์นเป็นเวลาหนึ่งปีเต็มว่าทำให้เธอได้แง่คิดและแรงบันดาลใจในการสร้างงานอย่างไรบ้าง
ก่อนหน้านี้หายไปไหนมา
หลังจากปล่อยเพลง Sky & Sea ก็เป็นช่วงที่ทำงานมาสักพักแล้วรู้สึก lost เพราะไม่ได้แฮปปี้กับสิ่งที่ทำอยู่ขนาดนั้น มีคำถามเกิดขึ้นว่ามันใช่เราจริง ๆ ไหม คือเราก็เรียนดนตรีมาตั้งแต่เด็กจนโต แต่พอได้มาทำจริง ๆ กลับไม่โอเค เราไปโฟกัสเรื่องอื่นที่ไม่ใช่ผลงานของเราอย่างยอดวิว หรือเวลาไปเล่นจะมีคนกรี๊ด มีคนแฮปปี้กับการแสดงของเราไหม เลยกลายเป็นว่าเราเครียดมาก จนนั่งเล่น Mario Kart ทั้งวัน แบบหยุดเล่นไม่ได้ เก็บตัวละครครบทุกตัว จะพักแค่ตอนกินข้าว เหมือนเข้าใจอารมณ์ของการเป็น depressed นิดนึง จนรู้สึกว่าเราปล่อยให้ตัวเองเป็นแบบนั้นไม่ได้แล้ว อยากพัก อยากหนีไปเที่ยว ในตอนนั้นไม่ได้มีแพลนว่าจะทำอะไรต่อ ก็เลยไปลงเรียนคอร์สแต่งเพลงที่ Melbourne ที่เลือกไปเมืองนั้นเพราะรู้สึกว่าเป็นเมืองแห่งการพักผ่อน และเป็นเมืองดนตรี มีคอนเสิร์ต มีอีเวนต์ที่เข้ากับเราจัดขึ้นที่นั่นบ่อยมาก ก็เลยไปลงเรียนภาษาอังกฤษ สอบ ๆๆๆ แล้วก็ไป ใช้เวลาปีนึงได้ถึงกลับมา เหมือนทุกอย่างได้ reset หมดเลย เราเริ่มทำเพลงที่อยากจะเล่าจริง ๆ คิดไลน์ดนตรีเอง สร้างงานศิลปะจริง ๆ โดยไม่ต้องคิดไกลกว่านั้นแล้วว่าถ้าแต่งเพลงนี้ออกไปท่อนฮุคจะมีคนร้องตามหรือเปล่า
คอร์สที่ไปลงมันเป็นคอร์สปริญญาตรี แต่เราเรียนแค่ diploma ถ้าเรียนต่ออีกปีก็ได้ปริญญาเลย จริง ๆ ก็อยากเรียนต่อเลยนะแต่มันต้องใช้เงินอีกเท่านึง ซึ่งเราใช้เงินเก็บตัวเองเกือบทั้งหมดไปแล้ว แล้วยังขอเงินพ่อไปนิดนึงด้วย รู้สึกว่าต้นทุนการใช้ชีวิตที่นั่นใช้เงินเยอะมาก เลยกลับดีกว่า แต่ก็ได้อะไรบางอย่างที่อยากได้มาแล้ว ซึ่งคืออะไรไม่รู้ รู้แค่ว่าตัวเองก็เปลี่ยนไปเพราะได้พักผ่อน ได้ดูคอนเสิร์ตดี ๆ เยอะ ระหว่างที่ดูคอนเสิร์ตพวกนั้นก็อยากกลับมาเล่นเหมือนกัน เพราะเห็นคนตัวเล็ก ๆ คนอื่น ๆ ที่เรียนดนตรีในมหาลัยหลายคนกำลังตั้งใจทำอะไรบางอย่าง เราเองก็เป็นหนึ่งในคนที่พยายามทำอะไรเล็ก ๆ ไม่ต้องดัง ไม่ต้องประสบความสำเร็จมาก แต่ได้ทำอะไรที่เป็นสิ่งที่เราชอบจริง ๆ ได้แต่งเพลงที่เป็นของเราจริง ๆ เราควรจะสนุกกับสิ่งนั้นในสตูดิโอหรือในห้องนอนที่เราพยายามจะแต่งเพลงของเราสิ
โชว์ไหนที่ได้ดูที่นู่นแล้วจุดประกายเอิ๊ตมาก ๆ
ดูเยอะมากตั้งแต่โชว์ที่มีหนึ่งคนเล่น Sofar Sound ที่นั่นก็ดีมาก ไปจนถึงฮอลใหญ่ ๆ แต่ที่ได้แรงบันดาลใจอาจจะเป็นคอนเสิร์ตเล็ก ๆ อันนึงของ Fatai เราเคยติดตามเขาใน YouTube เขาเก่งมาก เป็นคนออสเตรเลียเล่นเปียโนตัวเดียว ร้องคนเดียว เล่าเรื่องชีวิตของเขาว่าผ่านอะไร เจออะไรมาบ้าง การที่เขาทำแบบนั้นทำให้เรารู้สึกเหมือนรู้จักตัวเขามาก ๆ แค่ชั่วโมงครึ่ง ถ้าเราฝึกเพิ่ม อาจจะไม่ได้ร้องดีหรือเล่นดีเท่าเขา แต่น่าจะทำได้ มันเป็นสเกลที่เล็กไง เหมือนเป็นร้านอาหาร มีเวที คนก็ซื้อเบียร์มานั่งดู ชิวมาก แต่เราไม่ได้ทำแบบนั้น คือกลับมาก็รู้แล้วว่าชอบอะไร แต่ยังต้องหาสถานที่ที่ถูกต้องอยู่ เพราะสุดท้ายปาร์ตี้ที่นี่ก็ไม่เหมือนกับที่นั่น มันจะใหญ่แล้วตึ๊ด ๆ หน่อย ซึ่งเราก็ไม่ได้อินเท่าไหร่ เราไม่ได้มีความเป็นผู้นำขนาดจะเอนเตอร์เทนคนดูได้ขนาดนั้น แต่ปีนึงที่ผ่านไปทำให้เรารู้สึกเปลี่ยนไปว่ามันอาจจะมีหนทางให้ทำอะไรแบบนั้นได้นะ แล้วเราก็จะเอนเตอร์เทนคนให้มีความสุขในคืนให้ได้ เราแค่ต้องแยกแยะให้ถูกต้อง สมมติว่าเป็นสเกลที่คนอยากฟังเรื่องราวของเรา ก็ร้องเพลงตัวเองให้ครบทั้งเพลงได้ แต่ถ้าคืนนั้นเป็นวันศุกร์ที่ทุกคนอยากมาปลดปล่อย ถ้าเราไปร้อง Timehop คนก็อาจจะง่วง หรือเดินออก เราก็ต้องค่อย ๆ บาลานซ์ อาจจะเล่น Timehop ครึ่งเพลงแล้วมา mash up กับ Sky & Sea เหมือนค่อย ๆ หาจุดกึ่งกลางว่าสิ่งที่เราชอบจริง ๆ กับเนเจอร์ของคนมันควรจะอยู่ตรงไหน ซึ่งความจริงแล้วเราก็อยากหากลุ่มคนที่อาจจะตั้งใจฟังเพลง หรือคุยกับเราไปด้วย แล้วเขามีความสุขได้ แต่ก็ยังไม่มีกลุ่มก้อนที่จะมาฟังเพลงเรา หรือมีเวทีที่เป็นของเราจริง ๆ ก็ยังหา ๆ อยู่
เพลงใหม่ของเอิ๊ตค่อนข้างเข้าไปถึงคนฟังกลุ่มใหม่อยู่เหมือนกันนะ ได้อิทธิพลจากดนตรีที่ฟังที่นู่นมาไหม
เราก็ไม่ใช่คนที่เก่งดนตรีจนสามารถบอกได้ว่าเป็นดนตรีแบบไหน คือเป็นคนที่ชอบฟังเพลงประมาณนี้อยู่แล้ว แต่ก่อนเราจะคิดว่าต้องทำเพลงให้คนหมู่มากชอบสิ เราเลยไม่เพลงอันนั้นลงไป แต่พอเราได้ไปเรียน ได้ไปดู ก็เหมือนทุกอย่างมันได้สะสมถึงทำออกมา มันไม่ใช่อยู่ดี ๆ มีเอิ๊ตเกิดขึ้นมา เหมือนก็จะเป็นนักร้องที่ชอบ 10 20 คนมารวม ๆ กันจนกลายเป็นเราโดยไม่รู้ตัว อย่างเพลงล่าสุดก็มีพี่ลีแอน (Lianne La Havas) เป็นต้นแบบ ได้ไปดูเขาที่ Wonderfruit แล้วรู้สึกว่าเขาเก่งมากนะ เขาเล่นกีตาร์ได้น่าสนใจมาก เหมือนเขาเป็นนักกีตาร์ เป็นนักร้อง นักแต่งเพลงที่มารวมอยู่ในคนเดียวกัน เราฟังเพลงเขาเยอะมาก ตอนแต่งก็มีเขาเป็น reference ในใจว่าอยากมีไลน์กีตาร์ที่ฟังแล้วเพราะเลย แล้วเหมือนเป็นไลน์ที่เล่าเรื่องไปในตัว ก็ได้เป็นช่วง intro กับ outro ของเพลง มีไว้แค่เป็นของเธอเท่านั้น ซึ่งตอนแรกมันมีไลน์นั้นอยู่ทั้งเพลงเลย
เราเป็นคนที่ทำอะไรไม่ได้คิดถึงกลุ่มคนฟังเท่าไหร่ ก็ตื่นเต้นดี แต่ก็มีความกลัวเล็ก ๆ ว่าจะมีคนฟังเพลงเราไหมอยู่เรื่อย ๆ ปกติมันต้องมีเพลงของเราอยู่ในวิทยุสิถึงจะโอเค อย่าง Timehop หรือ มีไว้แค่เป็นของเธอเท่านั้น วิทยุก็ไม่เปิดเพราะมันเป็นเพลงที่ค่อนข้างยาว แล้วไม่ได้เป็นเพลงที่เศร้าหรือมีความสุขเป็นพิเศษด้วย ความรู้สึกของเรามันค่อนข้างจะกลาง ๆ อธิบายความรู้สึกไม่ได้ชัดเจน มันคือ โอเค เลิกกัน แต่มีความสุขกับการนึกถึงความสัมพันธ์เก่า ๆ มันไม่ได้มีอะไรที่ขาวดำ บางทีคนที่เขาอยากจะผ่อนคลายเขาก็ไม่อยากฟังเพลงที่งง ๆ แบบนี้
ตอนนี้เลิกคิดแบบนั้นหรือยัง
ก็ยังนะ นาน ๆ ทีก็พยายามเปิดหาเพลงของตัวเองในวิทยุบ้าง แต่พอเจอคนนู้นคนนี้มาบอกว่าเคยฟังใน YouTube แล้วชอบ ก็รู้สึกว่า ถ้าเราทำต่อไปเรื่อย ๆ น่าจะมีคนที่ยังอยากฟังเพลงที่เราทำหรือชอบอะไรแบบนี้คล้าย ๆ กัน
ได้ไปเล่นสดตอนอยู่ที่เมลเบิร์นด้วย
มันเหมือนงานของโรงเรียนที่ให้จับกลุ่มคนมั่ว ๆ มารวมเป็นวงเดียวกัน แล้ววงเรามีคนจากหลายประเทศมาก ๆ ทำให้มีปัญหาในการสื่อสารประมาณนึง ทุกคนไม่เก่งภาษาอังกฤษเลยอะ คุยกันก็ไม่รู้เรื่อง แล้วเราก็ไม่ใช่ชาวร็อกใด ๆ แต่ก็สนุกดี อันนั้นก็ได้อะไรกลับมามากเลยนะ ปกติเวลาเราทำเพลงอยู่ในวงของเราเราก็จะบอกว่าชอบแบบไหน แล้วมันจะหล่อหลอมมาเป็นงานของเรา แต่อันนี้คนชอบกันแบบสิบอย่าง ต้องพยายามจูนกันครึ่งเทอม สุดท้ายก็โอเค มันเจ๋งดีตอนที่ลงจากเวทีทุกคนดูรักกันมาก แบบ good job โผกอดกัน แล้วอาลัยอาวรณ์ว่าเราจะไม่ได้เล่นด้วยกันแบบนี้แล้วนะ มันเป็นความสดใสของดนตรี ทั้งที่ก่อนหน้านี้ดูเกลียดกันนิดนึง แบบ คนนั้นแม่งมาสาย คนนี้อะไรวะ ส่งเมสเสจไปแล้วไม่อ่าน ฝรั่งมีการนินทาเหมือนกัน นี่ตื่นเต้นนะฝรั่งนินทาได้ (หัวเราะ) ตอนนั้นเราเล่นเพลง Paramore ยุคเก่า ๆ ที่กีตาร์ต้องเสียงแตก แตกให้สุด เหมือนค้นพบความสนุกของดนตรีอีกแบบที่ก็ไม่ใช่ความสนใจของเรา แล้วมันสนุกมาก
ตอนช่วง Timehop คือยังอยู่ที่ออสเตรเลีย การทำเพลงจากต่างประเทศส่งกลับมาเป็นสิ่งที่ยากไหม
ปกติเรากับพี่โปรดิวเซอร์จะส่งทุกอย่างผ่าน Dropbox อยู่แล้ว อย่างเพลงนี้ไม่ยากมากเพราะเราก็ทำเดโม่ไว้เกือบทุกอย่างแล้วเขาก็เอาไปทำต่อ ส่วนเพลง Starry Night จะยากกว่า เราต้องอัดใหม่หมดเลยเพราะไม่ได้ทำเดโม่ไว้ มันก็จะงงนิด ๆ เหมือนต้องทำด้วยตัวเองค่อนข้างเยอะ ต้องหาว่าจะอัดกีตาร์ อัดร้อง ที่ไหน จองห้องที่โรงเรียนไว้แต่พอไปถึงห้องไม่ว่าง หรือพอได้ห้องแล้วห้องข้าง ๆ เล่นเพลงร็อกเสียงดังมาก ๆ เราก็ทำอะไรไม่ได้เพราะเป็นวงอาจารย์ (หัวเราะ) คือถือไมค์กับคอมไปหลายที่มาก จริง ๆ สุดท้ายเราเลยต้องหอบของไปบ้านพี่นิค temp. แล้วส่งกลับไป เชลโล่ก็ให้เขาเล่นเอาที่ไทย
มีไว้แค่เป็นของเธอเท่านั้น มีที่มาจากอะไร
เพลงนี้เริ่มจากอะไรก็ไม่รู้ จำไม่ได้แล้ว แต่เราทำเมโลดี้เอาไว้ในคอมอยู่ก่อนแล้วอยากทำเพลงที่ค่อนข้างมีกรูฟ มีความเหงา ๆ เศร้า ๆ เราชอบคำว่า ‘pause’ มันเหมือนเป็นการอึกอัก ไม่ move on สักที แล้วมันคือสิ่งที่เราเป็นทุกครั้งที่จบความสัมพันธ์ จะ 3 เดือน 6 เดือน 1 ปี ยิ่งถ้าเป็นความสัมพันธ์วัยเด็กหน่อย ช่วงมัธยม ต้น ๆ มหาลัย เราเชื่อว่ามันคือสิ่งที่เรารอคอย แล้วมันจะงง ๆ เพราะเราไม่อยากเชื่อว่ามันก็จบลงไปแล้ว และจะมีคำพูดแบบ ชอบคนนี้คนเดียว ไม่มีทางไปชอบคนอื่นหรือเริ่มต้นใหม่ได้แล้วแหละ มันเป็นจุดที่กระอักกระอ่วนที่มีเสน่ห์ดี เหมือนเป็นการหลอกตัวเองด้วยซ้ำว่าแค่ได้คิดถึงก็มีความสุขแล้ว ซึ่งในความเป็นจริงมันต้องเศร้าอยู่แล้วปะ แต่มันเป็นหนทางเดียวที่เราจะโอเคกับสภาวะนั้น
มีวิธีก้าวข้ามความผิดหวังในชีวิตรักยังไงอีกบ้าง
เราเป็นคนที่จะไม่จมกับความเศร้า ไม่ใช่ว่าเราเก่งนะ แต่เราเป็นคนที่ไม่สามารถเครียด หรือเศร้าได้ไม่นาน ถ้าเศร้านานก็อยากจะตะโกน พอถึงจุดที่ทำอะไรไม่ได้แล้วจะรู้สึกว่าจะเป็นบ้า ชีวิตมันอึกอักไปหมด การเล่น Mario Kart ก็เป็นส่วนนึงของมัน คือมันตึงไปหมดเลย เราต้องหาเหตุผลมารองรับให้ได้เยอะ ๆ ถ้าเรามีปัญหาก็จะมองว่าทุกอย่างต้องมีทางแก้ มีทางออก 1 2 3 4 นะ แล้วเราต้องทำให้มันสำเร็จให้ได้ ก้าวข้ามไปให้ได้แม้จะต้องหลอกตัวเองแบบในเพลงนั้นก็ตาม
รู้สึกยังไงกับงานชิ้นนี้ไหม
รู้สึกว่าเป็นการเริ่มต้นครั้งใหม่ คิดไลน์ดนตรี เนื้อร้อง ทำทำนองเอง ก็มีพี่ ๆ ช่วยแหละ แต่เราคิดคอนเทนต์ขึ้นมา แล้วตั้งใจให้มีอะไรซ่อน ๆ ไว้ในเพลง มันก็มีความภูมิใจที่ได้สร้างมันขึ้นมา เป็นงานศิลปะที่เป็นตัวเราจริง ๆ แล้วเราชอบมัน เช่นไลน์กีตาร์ที่อยู่ในเพลงมันก็มีโมทีฟซ้ำ ๆ วน ๆ ก็คือคอนเซปต์ของ ‘pause’ มันคือการเล่นไปแล้วมันกระตุก กลองก็จะดูอึกอัก ๆ เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมาจากคอนเทนต์ของเพลงเลย
คิดว่าเพลงใหม่นี้เป็นทิศทางที่ตายตัวของเราแล้วหรือยัง
คิดว่าวิธีการทำงานมันจะเป็นแบบนี้ต่อ ๆ ไป คือเราเริ่มเพลงเอง ทำไลน์ดนตรีต่าง ๆ คิดคอนเทนต์เอง พอทำเนื้อออกมา ร้องออกมาจะเป็นตัวเองจริง ๆ แต่จะไม่เป็นแบบ รู้สึกว่าต้องปล่อยเพลงแล้วถึงค่อยมาแต่ง เราจะค่อย ๆ ทำสะสมมันไปเรื่อย ๆ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นแนวนี้ตลอดไป อย่างตอนทำเพลงนี้ก็อินพี่ Lianne La Havas อิน Honne เบา ๆ Prep, The fin., John Mayer เพลงใหม่ หรือวงเกาหลี Oohyo ก็ทั่ว ๆ ไปปะที่ทุก ๆ คนฟังอะไรมาก็จะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ
ใกล้มีเพลงใหม่ให้ฟังหรือยัง
ตั้งแต่ปล่อยเพลงไปแล้วยังไม่คิดแต่งเพลงใหม่เลย แต่ว่าก็มีเพลงที่อยู่ในคอม ช่วงไหนอินเพลงแบบไหนก็จะทำเพลงที่คล้าย ๆ กับเพลงนั้นออกมา 5 เพลง แล้วจะหยิบจุดที่ดีที่สุดของแต่ละอันมารวมร่างกัน ซึ่ง ก็ไม่ชอบมันแล้ว ตัดทิ้ง ถือว่าไม่มี ตอนนี้ก็ต้องสะสมเพลงใหม่ ทำเพลงใหม่ต่อไปเรื่อย ๆ ขอเขาไปแล้วว่าอยากทำ EP แต่เพลงยังไม่พร้อมเลย ก็ต้อง manage เวลาดี ๆ เหมือนอย่างอันนี้ปล่อยเพลงไปก็ยังงง ๆ วุ่น ๆ อยู่ แต่ต่อไปจะเริ่มทำเพลงเก็บไว้โดยที่ไม่หาฤกษ์งามยามดีอีกต่อไป ปกติเราจะหาเวลามาคิดเพลงในวันที่อากาศเป็นใจ ซึ่งจะทำอย่างนั้นไม่ได้แล้ว ต้องขยันขึ้น ทำเป็นกิจวัตรมากขึ้น
ได้ข่าวว่าจะไปเป็นอาจารย์พิเศษที่ ABAC
เรารู้จักกับพี่ที่สอนอยู่ที่นั่น แล้วเขารู้ว่าเราเพิ่งกลับมาจากที่เรียนอันนั้นพอดี มันก็เป็นบทใหม่จริง ๆ แต่ก็เคยไปลองบรรยายมาหนึ่งรอบ เขาก็รู้สึกว่าเราทำได้ เราก็เลยจะลองดู มันก็จะเป็นคอร์สการแต่งเพลง มีทั้งสำหรับคนที่ไม่รู้เรื่องดนตรีเลยกับคนที่รู้มานิดนึง สิ่งที่ไปเรียนมามันก็น่าจะมาปรับใช้ได้ เพราะเราก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าการแต่งเพลงมันก็มีหลักสูตรเหมือนกับวิชาอื่น ๆ นั่นแหละ โอเค เราต้อง explore ตัวเอง ลองขุดสิ่งที่ตัวเองเคยประสบมา หรือเรื่องของทฤษฎีดนตรีจริง ๆ มันก็มีเยอะมากที่สามารถถ่ายทอดได้ เราก็ไม่แน่ใจว่าเราจะทำออกมาได้ดีไหม
เดี๋ยวเทอมนี้กำลังจะเริ่มขึ้นแล้วในอีกไม่กี่วัน น่ากลัวนิดนึง เพราะเราจัดการตัวเองไม่เก่งเรื่องเวลา แบบ จะต้องตัดเกรดวันไหน อันนี้อาจจะทำให้เราเป็นคนที่จัดการเวลาได้ดีขึ้นมาเลยก็ได้นะ ที่รับมาลองทำก็เพราะอยากที่จะพัฒนาตัวเองในไฟท์บังคับด้วย มันน่าจะช่วยเรื่องงานเพลงเราด้วย การสอนแต่งเพลงมันต้องคิดบ่อย ๆ ก็น่าจะได้ทำอะไรเยอะ หรือถ้าคนไหนมีไอเดียดี ๆ อาจจะบอกว่า พี่ขอได้ไหมน้อง (หัวเราะ)
ฝากผลงาน
ขอฝากเพลง มีไว้แค่เป็นของเธอเท่านั้น ด้วยนะคะ เป็นเพลงที่ตุ้ม ๆ ต่อม ๆ มากตอนปล่อยเพราะรู้สึกว่ามาก็มาแนวใหม่ ไม่รู้ว่าคนที่เคยฟังเพลงเราเขาอยากจะฟังไหม เราเองก็หายไปช่วงนึง Timehop ก็ไม่ค่อยได้โปรโมตอะไรมาก ทำเอาสนุก แต่เพลงนี้คาดหวังเยอะกว่าเพลงอื่น ๆ เราตั้งใจทำมาก เปิดศักราชใหม่ โปรดิวซ์เองด้วย ก็อยากฝากเพลงนี้จริง ๆ คิดว่าน่าจะมีคนรู้สึกอึกอักแบบนี้คล้าย ๆ กัน
รับฟังเพลง มีไว้แค่เป็นของเธอเท่านั้น บนเว็บไซต์ฟังใจได้ ที่นี่